[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  228.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) Chapter 25 : ยังเป็นคนเดิม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 25 : ยังเป็นคนเดิม

 

“พี่ลุกซ์ ผมยังเป็นเปอร์คนเดิม  ผมยังงี่เง่า ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยให้พี่มาเอาใจเหมือนเดิมนะ  ผมยังรอพี่เสมอ  รอพี่อยู่ที่เดิม  รอให้พี่กลับมาจากอเมริกาแล้วมาเลี้ยงดูผมตามสัญญา  ผมรออยู่...” ผมพูดออกไปทั้งน้ำตา สะอื้นตัวตัวโยน  ไม่รู้ว่าที่ผมพูดออกไปพี่มันจะฟังรู้เรื่องไหมเพราะมันตะกุกตะกักสิ้นดี

“...” พี่ลุกซ์ชะงักแล้วพิงประตูรถด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน  พี่มันยังคงหันหลังให้ผม  และยังยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองอยู่

“ผมรู้ว่าพี่เจ็บ  ผมเองก็เจ็บ  ผมแค่อยากเริ่มต้นใหม่กับพี่  แต่ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ผมก็พร้อมที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  สานต่อความสัมพันธ์เดิมของเรา” ผมพูดพลางค่อยๆ เดินเข้าไปหาพี่ลุกซ์  พอมายืนอยู่ตรงหน้า ผมก็สวมกอดพี่มันทันที

พี่ลุกซ์ยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะโถมตัวเข้ากอดผมแน่น  ตัวพี่มันสั่นเทิ้มพร้อมกับเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ  ยิ่งผมรู้สึกถึงความทรมานสุดซึ้งผมก็ยิ่งร้องไห้ด้วยใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน

“...รัก...นะ” พี่มันพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ  แม้จะสั้นแต่ก็กินใจเหลือเกิน

“อื้อ ผมก็รักพี่ครับ” ผมตอบกลับพลางลูบหลังของพี่มันเบาๆ อย่างปลอบโยน  ทุกครั้งคนที่ถูกปลอบมักจะเป็นผม  ผมดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ปลอบเขาสักครั้ง “ไหน ขอดูหน้าคนขี้แยหน่อยซิ” กอดกันไปได้สักพักผมก็ดันตัวพี่ลุกซ์ออกห่างแล้วมองหน้าพี่มันทั้งน้ำตา  ตอนนี้หน้าพี่มันไม่เหลือคราบน้ำตาแล้วล่ะครับแต่ตายังแดงอยู่เลย

“คนขี้แยอยู่ตรงนี้ต่างหาก” พี่ลุกซ์ยิ้มพลางยกมือขึ้นวางไว้บนหัวผมแล้วโยกไปมาเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาเช็ดน้ำตาให้

“อื้อ คิดถึงจัง” ผมยิ้มปลื้มปริ่มก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่มันอีกครั้ง  คราวนี้กอดแบบเต็มรักเลยครับ  กอดได้อย่างสนิทใจเลยด้วย

“คบกันนะเปอร์” พี่ลุกซ์เอ่ยขอทั้งๆ ที่เรายังกอดกันอยู่  ได้ยินแบบนั้นผมก็ผละออกไปแล้วมองหน้าพี่มันทันที

“เราเลิกกันแล้วเหรอ?” ผมถามกลับยิ้มๆ  จริงๆ แล้วเรายังไม่ได้เลิกกันเลยด้วยซ้ำ  ยังไม่มีคำขอเลิก ยังไม่มีข้อยืนยันอย่างชัดเจน  ผมจะคิดซะว่า...เราแค่ทะเลาะกัน

“นั่นสินะ” พี่ลุกซ์ยิ้มกว้างแล้วจับมือผมขึ้นไปจูบ “เราแค่ทะเลาะกันเองนี่หว่า” พอเอามือผมออกจากปากพี่มันก็ดึงผมเข้าไปชิด

“อื้ม” ผมพยักหน้า “ดูซิ ตาแดงหมดแล้ว” ผมเอื้อมมือออกไปลูบใต้ตาของพี่มันเบาๆ  สัมผัสได้แค่นิดเดียวพี่มันก็คว้ามือผมไปจูบอีกรอบ

“มึงเป็นคนแรกเลยนะที่ทำกูเจ็บซะจนอยากจะฆ่าตัวตายแบบนี้  เมื่อกี้ก็คิดอยู่ว่าจะขับรถไปแหกซักโค้งให้ตายซะดีไหม” พี่ลุกซ์จับมือผมแนบแก้มตัวเองพลางใช้มืออีกข้างประคองแก้มผมไว้บ้าง

“ไม่แหกโค้งตายหรอก  ขนาดโดนโกงตอนแข่งยังไม่เป็นไรเลยไม่ใช่เหรอ?” ผมหัวเราะนิดๆ กับความคิดของพี่มัน  ไม่ได้หัวเราะเยาะหรอกนะครับ  แต่ผมว่ามันน่าเอ็นดู ฮ่าๆ

“นี่ ขอจูบได้ไหม?” พี่ลุกซ์จับตัวผมพลิกไปพิงที่รถส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ด้านนอกหลังจากที่ถามออกมา

“เอ๋?” ผมทำหน้างงๆ ปกติไม่เห็นจะขอ  อยากจูบก็จูบเลยไม่ใช่หรือไง “อืมมม ยังไม่ได้” ผมดึงมือตัวเองออกมาจากหน้าพี่ลุกซ์แล้วลูบคางเบาๆ อย่างพินิจพิเคราะห์

“หืม?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“คุกเข่าอ้อนวอนแบบเมื่อกี้สิ” ผมบอกก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างผู้เหนือกว่า

“เข่าช้ำหมดแล้วเนี่ย” พี่ลุกซ์อิดออด

“งั้นก็ไม่” ผมตอบพลางทำท่าจะเดินเข้าบ้าน

“โอ๊ย เมียจ๋า ขอจูบหน่อยน้า” พี่ลุกซ์รีบวิ่งมาขวางก่อนจะทรุดตัวคุกเข่าลงแล้วกอดเอวผมเอาไว้ด้วยท่าทางอ้อนๆ

“ฮ่าๆ อยากถามตั้งนานแล้ว  ไปหัดอ้อนมาจากไหนเนี่ย?” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา  สงสัยเหลือเกินว่าพี่ลุกซ์ผู้แข็งกระด้างไปหัดออดหัดอ้อนมาจากไหน  ทำตัวเหมือนลูกแมวเชียว

“ก็อปไอ้เคย์มา  เห็นมันอ้อนพี่ถังบ่อยๆ” พี่ลุกซ์บอกพลางเงยหน้ามองผมทั้งๆ ที่ยังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

“พี่เคย์เรียกไอ้พี่ถังว่าเมียจ๋าเหรอ?” ผมก้มลงมองพี่ลุกซ์ด้วยแววตาพิศวงปนขบขำ

“ก็นะ  ว่าแต่จะให้จูบได้ยัง  เหงาปากสุดๆ” พี่ลุกซ์ถาม  ผมมองพี่มันอย่างพิจารณาก่อนจะพยักหน้า พี่มันรีบลุกขึ้นยืนแล้วจับหน้าผมดึงเข้าไปจูบอย่างโหยหาทันที

ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่มันอดอยากปากแห้งชนิดที่แทบเหี่ยวตายขนาดนี้มาก่อนเลย  นี่พี่มันจูบหรือสูบพลังชีวิตก็ไม่รู้  ดูดเอาๆ จนผมหายใจไม่ทันหนำซ้ำยังแทบจะลากลิ้นผมออกไปปู้ยี่ปู้ยำต่อข้างนอกอีก  ทั้งหื่นทั้งกระหายแบบนี้ไม่รู้ว่าถ้าไปถึงขั้นนั้นพี่มันจะหิวเป็นเสือโหยขนาดไหน

“อื้อ พอแล้ว  เดี๋ยวมีใครผ่านมาเขาจะมองไม่ดีเอา” ผมดันพี่ลุกซ์ออกแล้วเตือน 

“ยังไม่อิ่มเลย” พี่ลุกซ์แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะกลืนน้ำลาย นี่เขาสูบพลังชีวิตผมไปจริงๆ ใช่ไหมเนี่ยถึงบอกว่าไม่อิ่ม!? คงจะอดอยากปากแห้งมากจริงๆ สินะ

“ผมว่าเราเข้าบ้านก่อนเถอะครับ  อาบน้ำอาบท่าก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด” ผมบอก  รู้สึกหนาวขึ้นมาซะแล้ว

“แล้ว...” พี่ลุกซ์ทำท่าลังเลพลางชะโงกหน้ามองไปที่ตัวบ้าน

“คงขึ้นนอนกันหมดแล้วล่ะครับ  อาบเสร็จค่อยกลับ” ผมบอกเพราะรู้ว่าพี่ลุกซ์คงกังวลเรื่องคนในครอบครัวของผม

“นอนด้วยไม่ได้เหรอ?” พี่ลุกซ์ถามพลางคว้ามือผมไปจับแล้วเกี่ยวนิ้วผมเล่น

“ไม่ได้ครับ ถ้าพ่อรู้ล่ะก็พี่ตายแน่” ผมรีบส่ายหัวรัวๆ  ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมอธิบายให้ใครฟังทั้งนั้น

“งั้นกลับเลยดีกว่า  ค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะดึงผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วหอมเบาๆ ที่แก้ม

บ้าจริง! เป็นไข้แล้วมั้งเรา  หน้าร้อนฉิบ

“อะ...อื้อ เจอกันพรุ่งนี้” ผมก้มหน้าหลบสายตาเจ้าชู้ของพี่ลุกซ์พลางพยักหน้าหงึกๆ

พี่ลุกซ์ค่อยๆ เดินออกไปทั้งๆ ที่จับมือผมอยู่  ดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์มากเพราะพี่มันไม่ยอมปล่อยมือผมเลย  กระทั่งเดินห่างออกไปจนระยะแขนเอื้อมไม่ถึงกันถึงยอมปล่อย

“ขับรถดีๆ นะครับ” ผมบอกเมื่อพี่ลุกซ์ขึ้นรถไปแล้ว  ไม่รู้จะได้ยินที่ผมบอกไหมแต่แค่พี่มันยิ้มให้คืนนี้ผมก็ฝันดีแล้วล่ะครับ

หวังว่าพรุ่งนี้เช้า เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่ความฝันหรอกนะ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น

อ๊า!!! เมื่อคืนมันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม!? ผมคืนดีกับพี่ลุกซ์และเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสินะ อ่า...ไปทำงานเจอกันผมควรจะทำหน้ายังไงให้ดูปกติดีนะ?  ประหม่าแฮะ อ๊าก!! รู้สึกเขิน!

ไปอาบน้ำแล้วรีบไปทำงานดีกว่า



62.5%



 

สงสัยผมจะมาทำงานเช้ากว่าปกติมาก  ผมมาตอนออฟฟิศเปิดพอดีเลยครับ  ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเลย  ผมคงตื่นเต้นมากเกินไปสินะ  โอ้ยยยย ถ้าเจอหน้าพี่ลุกซ์ผมควรทำตัวยังไงดีเนี่ย

“มาเช้าจังเลยนะ” ผมสะดุ้งขณะที่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ 

อ่า...ฉิบหาย  แล้วไหงมาเช้าเหมือนกันได้วะ

“สะ...สวัสดีครับ” ผมก้มหน้าทักทาย  อ๊าก หน้าร้อนฉ่าเลย  บ้าหรือเปล่าวะเนี่ย  ผมกับเขาไม่ใช่คู่รักใหม่ซักหน่อย  ทำไมมาเขินอะไรกันตอนนี้วะ

“อ่า สงสัยกูตื่นเต้นไปหน่อยเลยมาแต่เช้า” พี่ลุกซ์ยกมือขึ้นเกาคอตัวเองแกรกๆ  ผมเหลือบตามองเขาก่อนจะก้มหน้าลงอีกรอบ  เขินว่ะแม่ง

“อะ...เอากาแฟไหมครับ เดี๋ยวผมชงให้นะ” ผมบอกอย่างลนๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะทำงาน  แต่เพราะตื่นเต้นมากเกินไปขาเจ้ากรรมเลยสะดุดขาโต๊ะทำให้ตัวผมพุ่งไปข้างหน้าอย่างกับกำลังเล่นกรีฑาประเภทลานอยู่

“ไม่เป็นไร  ดื่มมาแล้วล่ะ” พี่ลุกซ์ที่คว้าตัวผมเอาไว้ได้ทันบอกเสียงนุ่มพลางช่วยพยุงให้ผมยืนดีๆ

อ่า...เขินกว่าเดิมอีกสัตว์!

“อ่า ผะ...ผม...ผม...ผมรู้สึกแปลกๆ  เหมือนหน้าจะระเบิดเลย” ผมดันพี่ลุกซ์ออกให้ห่างตัวก่อนจะก้มหน้างุด  มันแปลกจริงๆ นะ  รู้สึกเขินและประหม่าสุดๆ  เหมือนเพิ่งคบกันใหม่ๆ เลยแฮะ

“รู้สึกเหมือนกันเลยนะ  แต่กูอยากจูบ...” พี่ลุกซ์ขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือขึ้นไล้ที่แก้มผมเบาๆ  ขนผมลุกซู่อย่างตื่นเต้น

“บ้า ที่ทำงาน” ผมเบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นไปปิดหน้าพี่ลุกซ์เอาไว้เพื่อไม่ให้จูบผมได้

“ขอเถอะ  นี่อดทนมานานแล้วนะ  อุตส่าห์ได้เจอกันแต่ทำอะไรไม่ได้มันอึดอัดนะเว้ย” พี่ลุกซ์ปัดมือผมออกก่อนจะรวบตัวผมไปกอดเอาไว้ซะแน่น

“นี่ ปล่อยได้แล้วครับ  เดี๋ยวก็มีคนเข้าออฟฟิศแล้วนะ” ผมบอกพลางตีไหล่พี่มันเบาๆ

“คนในออฟฟิศเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน  เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเลยเป็นไง พวกสาวๆ จะได้ไม่ต้องหวังในตัวกู  เนอะ” พี่ลุกซ์กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

“หลงตัวเองไปหรือเปล่า  ใครเขาจะชอบคนแบบนี้กัน?” ผมทำปากยื่นนิดๆ

“อย่าทำปากยื่นแบบนั้น  อยากกัด อยากดูด อยากเลีย...”

“โว้ย พอแล้ว ทะลึ่ง!  แล้วก็ปล่อยได้แล้ว” ผมโวยวายนิดๆ พลางพยายามดันหน้าที่มุดเข้ามาหวังจะทำเรื่องทะลึ่งออกให้ห่าง

“ขอกอดเมียให้ชื่นใจก่อนสิ” พี่ลุกซ์ปัดมือผมที่ดันหน้าเขาออกก่อนจะรีบหอมซ้ายหอมขวาผมอย่างรวดเร็ว

“ประธาน ไม่เอา อย่าแกล้งสิ” ผมพยายามมุดออกจากอ้อมแขนและพยายามเบือนหน้าหลบการหอมของเขาพัลวัน

“เรียกเหมือนเดิม” พี่ลุกซ์หยุดชะงักก่อนจะทำหน้าดุ

“ในที่ทำงานก็ให้ผมเรียกแบบนี้เถอะ” ผมบอก

“เรียกแบบนี้แค่ตอนประชุมกับตอนพบลูกค้าก็พอ” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะยอมปล่อยแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผม

“ว่าแต่...ที่บอกว่าจะย้ายฝ่ายให้นี่...?” ผมเดินไปนั่งที่ของตัวเองก่อนจะแอบถางทางถามออกไป

“อยากไปไหมล่ะ?” พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมนิ่งๆ ทำเอาผมขนลุก  ปากก็ถามอย่างนั้นแหละแต่สายตาบ่งบอกเหลือเกินว่าไม่ให้ผมไป

“จริงๆ แล้วผมก็อยากจะทำอะไรให้ตรงกับที่เรียนมานะครับ  จบด้านนี้มาโดยตรงแท้ๆ” ผมบอกเสียงอ่อน  ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าตัวผมหดลงไปเรื่อยๆ  แล้วทำไมผมต้องกลัวเขาด้วยล่ะเนี่ย

“แต่กูอยากให้มึงทำงานอยู่ข้างๆ” พี่ลุกซ์บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ถ้างั้น...ถ้ามีเวลาผมไปที่แผนกเครื่องยนต์ได้ไหมครับ?” ผมถาม  ปกติพี่ลุกซ์ก็ไปที่นั่นบ่อยๆ ไปช่วยพวกช่างซ่อมรถด้วยตัวเอง  ผมเห็นผมก็อยากจะทำบ้าง  คิดถึงเครื่องมือกับกลิ่นน้ำมัน  เฮ้ย แต่ผมไม่ได้เป็นพวกชอบสูดกลิ่นน้ำมันจนติดเป็นยาเสพติดหรอกนะเออ

“เอาสิ ไปกันเลยไหมล่ะ?” พี่ลุกซ์พยักหน้า

“บ้าสิ มีประชุมเช้านะครับ  ต้องเตรียมตัว  เมื่อคืนมีเรื่องก็เลยไม่ได้เตรียมเอกสารเลย  และนี่ก็เช้ามาก ยังไม่มีใครมาทำงานหรอก” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้แล้วรีบกดเปิดคอมเพื่อจัดการเอกสารในการเข้าประชุม

“น่าเบื่อ” พี่ลุกซ์ทำหน้าเซ็งๆ เมื่อพูดถึงการเข้าประชุม  ท่าทางพี่มันจะไม่ชอบประชุมเลยล่ะครับ  บางทีแทบจะหลับในที่ประชุม  ต้องให้คอยสะกิดเรื่อยเลย

“เป็นประธานแท้ๆ พูดแบบนี้ได้ยังไง  เดี๋ยวบริษัทก็เจ๊งหรอก” ผมเอ็ดเบาๆ  ดูเหมือนพี่มันไม่ค่อยใส่ใจงานที่ทำอยู่ซักเท่าไหร่แต่จริงๆ ก็เก็บทุกรายละเอียดนะครับ  เรื่องงานผมไม่จำเป็นต้องย้ำเลย  แต่เวลามีประชุมกับมีงานเลี้ยงทีไรต้องให้ย้ำทุกที  ผมว่าไม่ใช่เพราะจำไม่ได้แต่ทำเป็นลืมเพื่อหนีต่างหาก

“เฮ้อ เปอร์ กลับมาอยู่ด้วยกันไหม? ที่คอนโดน่ะ” พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะเอนตัวฟุบลงที่โต๊ะแล้วเอียงหน้ามาคุยกับผมโดยที่แก้มอีกข้างแนบชิดไปกับโต๊ะ

“ผมต้องอยู่ดูแลคนในครอบครัวนะครับ  พี่เองก็ต้องทำแบบนั้นด้วย” ผมละสายตาออกจากคอมแล้วมองพี่ลุกซ์อย่างจริงจัง  ไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่  แต่เราต่างก็มีภาระด้วยกันทั้งคู่  อีกอย่าง...ผมยังทำใจไม่ได้เรื่องที่จะบอกครอบครัวว่าผมคืนดีกับพี่ลุกซ์แล้ว  คือแบบ...ยังไม่พร้อมจะรับกับปัญหาเพราะเพิ่งผ่านช่วงเวลายากๆ มาหยกๆ

“ก็มาอยู่ด้วยกันที่คอนโดแต่ก็กลับไปหาพ่อกับแม่บ่อยๆ ไง  ทั้งพ่อกับแม่ของมึงและของกู  รู้ไหมว่ากูเตรียมโอนคอนโดให้เป็นชื่อมึงเลยนะ” พี่ลุกซ์พูดพลางเขี่ยนิ้วที่วางราบอยู่บนโต๊ะทำงานของผมเล่น

“บ้าสิ จะมาโอนให้ผมทำไมล่ะ?” ผมรีบโวยทันที  เรื่องอะไรต้องมาโอนคอนโดให้ผมด้วยเนี่ย  บ้าจริงๆ

“ก็...เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะโอนให้  ค่าสินสอดไง  กุญแจก็ให้ไปแล้วด้วย” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นมานั่งเอาศอกค้ำโต๊ะมือท้าวคางพลางพูดเสียงงึมงำๆ เหมือนคนขี้เกียจ

“สินสอดอะไร? มาขอแล้วเหรอ?” ผมยิ้มนิดๆ ที่มุมปากก่อนจะส่ายหน้าไปมา  ถึงจะทำเป็นไม่สนใจเท่าไหร่นักแต่จริงๆ ผมอยากจะฉีกยิ้มกว้างๆ ให้เหมือนกับใจที่กำลังพองตัวอยู่เลยด้วยซ้ำ

“เปอร์ มึงจำของขวัญวันเกิดที่กูให้มึงได้ไหม? ตอนที่ให้น่ะ กูยังเป็นแค่นักศึกษาที่ไม่มีรายได้  แต่ตอนนี้กูเป็น CEO ของบริษัทใหญ่ที่มีรายได้มากมาย  กูแต่อยากเติมเต็มของที่กูยังให้มึงไม่ครบ” พี่ลุกซ์บอกด้วยสีหน้าจริงจังจนผมนิ่งไป  พอตั้งสติได้ผมจึงถอนหายใจแล้วพูดออกมา

“จริงๆ แล้วตอนนี้ความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่มันยังกลับมาไม่เต็มร้อยหรอกนะครับ  ระยะห่างของเรามันทำให้ผมเกรงใจ  ไม่กล้ารับอะไรจากพี่  ผมรู้สึกว่าผมไม่คู่ควรกับพี่ด้วยซ้ำ  เมื่อก่อนผมไม่รู้ว่าพี่คือใครและผมก็คิดว่าอย่างน้อยฐานะเราอาจจะไม่ต่างกันมากนัก  แต่ตอนนี้มันไม่ใช่  พี่เป็นประธานบริษัทส่วนผมเป็นแค่พนักงานที่ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว  ผมรู้สึกเหมือนกับกำลังเกาะพี่กิน” ผมมองหน้าพี่ลุกซ์นิดๆ ก่อนจะหลบสายตาด้วยการก้มหน้าลง

“ทำไมมึงต้องคิดแบบนั้นล่ะ? ที่กูให้ ไม่ใช่เพราะกูเห็นว่ามึงไม่มีนะ  เงินเดือนที่กูให้ก็ไม่ได้ให้เพราะความรู้สึกส่วนตัว  โอเค อาจจะมีนิดหน่อย  แต่มึงทำงานระดับนี้เงินเดือนมันก็ต้องเยอะสิ  ยกตัวอย่างเลย  เลขาคนก่อนของพ่อกูเงินเดือนเยอะมาก  เยอะกว่ามึงตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า  คุณพลอยก็เยอะ  ตอนนี้มึงยังใหม่มึงเลยไม่กล้ารับเยอะแต่ทำงานนานๆ ไปมึงจะมาปฏิเสธเงินที่จะได้ไม่ได้นะ  กูว่า...ถ้าคนอื่นเป็นคนให้มึงคงจะรับอย่างไม่ลังเล  แต่เพราะกูเป็นคนให้มึงเลยไม่กล้าเอาเพราะคิดว่ากูอยากจะช่วยเหลือมึงใช่ไหมล่ะ” พี่ลุกซ์พูดเร็วไฟแล่บจนผมหาที่จะแทรกไม่ได้เลย  แต่ที่เขาพูดมาก็ถูก  ถ้าคนอื่นเป็นคนให้ผมคงจะรับแต่เพราะผมคิดว่าที่เขาให้เงินเดือนผมสูงก็เพราะเขาอยากจะช่วยเหลือผม

“ก็ผม...” ผมจะหาข้ออ้าง

“ไม่ต้องมาปฏิเสธ  ถ้าทำงานไปเรื่อยๆ กูจะขึ้นเงินเดือนให้  ถ้ากูให้แบบไม่สมเหตุสมผลกูต้องโดนตรวจสอบอยู่แล้ว” พี่ลุกซ์บอก  ผมเบนสายตาไปมองพี่มันอีกครั้งด้วยความซึ้งอกซึ้งใจ  ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจผมขนาดนี้ก็ได้

“ทำไมต้องดีกับผมขนาดนี้ด้วย? ผมทำร้ายพี่ไม่ใช่เหรอ?” ผมหลบสายตาอย่างรู้สึกผิด  แต่พอพี่มันเลื่อนมือมากุมมือ ผมก็หันกลับไปสบตา

“เปอร์ ที่มึงทำกับกูมันแค่เศษเสี้ยวของแผลที่กูสร้างให้มึงเองนะ  กูละอายใจด้วยซ้ำที่มึงยอมให้อภัยกูแบบนี้  และที่กูดีกับมึงก็เพราะกูต้องการ  ไม่ใช่เพื่อชดใช้ให้กับความผิดของกู แต่เพราะกูรักมึง” พี่ลุกซ์บีบมือผมเบาๆ แล้วพูดด้วยแววตาและน้ำเสียงจริงจังจนผมละอายแก่ใจ  มัวแต่โกรธเคืองจนไม่ลืมหูลืมตา  ไม่คิดเลยว่าเขารักผมมากมายขนาดนี้

ผมหลบตาก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมจนทำให้พี่ลุกซ์ซึมไป  เขาดูเหมือนคนถูกสูบพลังชีวิตออกไปจนห่อเหี่ยวจนผมใจหาย  ที่ผมดึงมือออกไม่ใช่เพราะจะหลบเลี่ยงแต่ผมจะลุกไปหาเขาต่างหาก

“ขอบคุณนะครับ  ผมก็รักพี่นะ” ผมเดินอ้อมไปด้านหลังพี่ลุกซ์ก่อนจะโน้มตัวไปโอบรอบคอแล้วหอมแก้มเขาเบาๆ หนึ่งที

“หืม? อื้ม” พี่ลุกซ์สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันหน้ามาหอมแก้มผมที่กอดคออยู่ด้านหลังคืน

“อ๊ะ มากกว่านี้ไม่ได้นะครับ” ผมรีบบอกเมื่อพี่ลุกซ์จะจูบ  แต่เมื่อกี้ปากเราแตะกันไปซะแล้ว  ก่อนที่จะไปไกลจนไม่สมควรผมก็รีบผละออกแล้วกลับไปนั่งที่เดิม

“เปอร์ คืนนี้มาอยู่ด้วยกันเถอะนะ” พี่ลุกซ์ขอ  สายตานี่แทบฆ่ากันได้  ไม่รู้พี่เคย์สอนมายังไงถึงเป็นได้ขนาดนี้  เปลี่ยนเสือให้เป็นแมวชัดๆ

“คิดจะทำอะไรไม่ดีล่ะสิ” ผมมองอย่างรู้ทัน

“ไม่ดีตรงไหน? คนรักกันมีอะไรกันมันเป็นเรื่องธรรมดานี่หว่า  ยิ่งกับคนรักที่ห่างกันไปตั้งหลายปีแบบนี้  ไม่คิดจะให้ปลดปล่อยบ้างเลยหรือไง” พี่ลุกซ์ทำหน้าเซ็งๆ เมื่อผมทำท่าจะไม่ยอม  ตอนนี้ผมไม่พร้อมจริงๆ ครับ  ผมห่างหายจากเรื่องแบบนี้มานาน  ผมกลัวเจ็บอ่ะ

“คนอย่างพี่ไม่ได้ปลดปล่อยเลยเหรอ  ผมไม่เชื่อหรอก” ผมรีบพูด  คนหื่นกระหายที่ทำได้วันละหลายๆ รอบแบบนี้ไม่มีทางที่จะไม่ปลดปล่อย

“เมียกูก็มีแค่สองคนเท่านั้นแหละ  มึงกับมือ” พี่ลุกซ์ยกมือขวาขึ้นมาด้วยสีหน้าเซ็งๆ ทำเอาผมขำพรืด

“บ้า” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

“กูชอบนะเวลามึงด่ากูด้วยท่าทางเขินๆ ฮึๆ น่ากินดี” พี่ลุกซ์พูดพลางยิ้มมุมปากทำหน้าหื่น

“โรคจิต  คนนะไม่ใช่ของกิน” ผมว่าพลางส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ  ท่าทางจะอดอยากจริงๆ ถึงพูดจาหื่นใส่ผมซะขนาดนี้

“ฮึๆ” พี่ลุกซ์หัวเราะในลำคอ  ผมมองแล้วหัวเราะตามก่อนจะหันไปสนใจกับเอกสารการประชุมที่กำลังจะจัดการ  พี่ลุกซ์เองก็นั่งเท้าคางมองผมทำงานไปเรื่อยๆ จนคนอื่นๆ เริ่มทยอยมาทำงานพี่มันถึงกลับเข้าไปในห้อง

 

หลังประชุมตารางงานของพี่ลุกซ์ก็ไม่มีอะไรแล้วครับพี่มันก็เลยชวนผมไปที่ฝ่ายเครื่องยนต์  แต่ก่อนที่จะไปที่นั่นผมกับพี่ลุกซ์ก็ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันก่อน  พี่มันพาไปร้านประจำที่เราเคยไปด้วยกันบ่อยๆ ทั้งๆ ที่มันไกลจากบริษัทมาก  แต่ผมก็ไม่ค้านนะเพราะหมูมะนาวของร้านนี้รสชาติดีอย่าบอกใคร

“กินเสร็จเดี๋ยวแวะซื้อขนมไปฝากช่างด้วยละกันนะ” พี่ลุกซ์พูดขณะที่เรากำลังสวาปาม เอ้ย ทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย  ผมบอกได้เลยนะครับว่าต่อให้พวกเราทำงานอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต คนรู้จักหน้าค่าตาแต่ว่าการกินของเราก็ยังไม่เปลี่ยน  กินการมูมมามหรืออุบาทว์แค่ไหนก็ยังเป็นเหมือนเดิม  ไม่มีหรอกครับไอ้ที่ต้องมานั่งคอแข็งหลังตรงกินคำเล็กๆ  แม้ว่าผมจะไม่ได้นั่งกินข้าวกับพี่มันบ่อยๆ เพราะเรามีปัญหากันแต่ผมก็รู้ว่าท่าทางการกินของพี่มันยังเหมือนเดิมเพราะพี่มันชอบให้ผมสั่งข้าวมาให้กินที่ออฟฟิศบ่อยๆ  ยิ่งตอนที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวพี่มันยิ่งกินเร็วราวกับยัดแบบไม่เคี้ยวเลยล่ะครับ

“ใจดีแบบนี้เดี๋ยวพนักงานก็รักหรอกครับ” ผมแซวนิดๆ

“รักบ้าอะไร  กูไปทีไรขี้คร้านจะรีบหนี  จะมีก็แต่พนักงานเก่าสมัยกูยังเป็นเด็กฝึกงานเท่านั้นแหละที่ไม่กลัว” พี่ลุกซ์บ่นไปกินไปจนสำลักทำให้ผมต้องรีบยื่นกระดาษทิชชู่ไปให้เช็ดปาก  พี่มันรับไปก่อนจะกินน้ำซะหมดแก้วแล้วซับปากลวกๆ

“จริงเหรอ? ไปทำอะไรพวกเขาเข้าล่ะ?” ผมถามเพราะตอนที่ผมเคยไปกับพี่มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา

“ก็...ตอนที่มึงไม่อยู่กูไปอาละวาดที่นั่นบ่อยจนไอ้ลันไม่ให้ไปอีกน่ะสิ  เล่นเอาพวกช่างปวดหัวกันเป็นแถว” พี่ลุกซ์จิ้มหมูมะนาวเข้าปากก่อนจะพูด

“ทำตัวอย่างกับเด็กเกเร” ผมว่า

“ก็ใครทำตัวเป็นเด็กดื้อขี้งอนก่อนวะ  ช่วยไม่ได้” พี่ลุกซ์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ  ดูคำพูดของพี่มันสิครับ  น่ารักไม่เข้ากับน้ำเสียงและหน้าตาเอาซะเลย

“ไม่คุยด้วยแล้ว  กินข้าวๆ” ผมขี้เกียจเถียงง้องแง้งกับพี่ลุกซ์ก็เลยตัดบทแล้วตั้งใจแย่งหมูมะนาวกับพี่ลุกซ์เสียยกใหญ่  เราแย่งกันกินโดยไม่พูดกันซักคำเดียว  แต่มันก็สนุกดีนะ

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา