นางพญาปิศาจจิ้งจอก

8.0

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.

  21 ตอน
  11 วิจารณ์
  25.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ตอนที่ 18 กลอน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 18 กลอน

 

ฮองเต๊กตกตะลึงเมื่อทราบว่าบุคคลที่ตนเดินตามเข้ามานั้น มิใช่พี่ชายร่วมสาบาน จึงเร่งจะก้าวเท้าออกจากห้อง เพราะการที่ชายหนุ่มอื่นอยู่กับว่าที่เจ้าสาวคงมิสู้งามนัก – แต่กระนั้นร่างกายก็ไม่ขยับเขยื้อนแม่แต่น้อย สายตานั้นมองไปยังนางอันเป็นที่รัก แม้ตอนนี้ก็ยังรัก

สกเกี้ยวรีบเดินไปปิดประตูลั่นดาลไว้ ฮองเต๊กมองตามในหัวของฮองเต๊กขาวโพลนเมื่อเห็นนางอันเป็นที่รักอยู่ในชุดสง่างาม แต่แผลเล็กๆปวดแสบปวดร้อนก็ปะทุในใจขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้ว่า – เจ้าบ่าวมิใช่ตน

“สวัสดีพี่สะใภ้” ปากไวไปกว่าใจของฮองเต๊ก สกเกี้ยวค่อยๆหันหน้ามามองตามเสียงนั้น แม้มีผ้าแพรแดงบังหน้าไว้แต่ก็รับรู้ได้ถึงสีหน้าอันเจ็บปวด

“ใต้เท้าจะแสร้งไม่รู้จักข้าน้อยก็ตามเถิด แต่ท่านจะแสร้งใจท่านได้หรือ -- ” น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยของสกเกี้ยวทำให้ความอดทนของฮองเต๊กหมดไป อดีตแม่ทัพหนุ่มปล่อยโฮเงียบๆทรุดลงนั่งเข่าอย่างหมดสภาพ สกเกี้ยวนั่งเข่าลงและใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งซับน้ำตาของฮองเต๊ก – ผืนที่เคยเป็นของฮองเต๊ก

สกเกี้ยวเองก็น้ำตาไหลรินลงเปรอะเปื้อนชุดสวย ฮองเต๊กเห็นดังนั้นก็จึงเอื้อมมือจะซับน้ำตาให้ แต่สกเกี้ยวเอี้ยวตัวหนีให้ห่างจากมือของฮองเต๊ก อดีตแม่ทัพหนุ่มราวกับถูกตอกลิ่มลงกลางใจ ค่อยๆหดมือกลับและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุดระทม

“เจ้ารังเกียจข้าหรือ?”

“อันโบราณว่าธรรมเนียมหญิงมีสามีแล้วมิควรให้ชายใดได้ถูกตัว” สกเกี้ยวเอ่ยด้วยเสียงร่ำไห้

“เช่นนั้นก็จงปล่อยให้น้ำตาของข้าไหลต่อไปจนเป็นสายเลือดเถิด -- ”

“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ราวกับไม่รู้ใจข้าน้อย -- ”

“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลย เพราะเหตุใด – เจ้าถึงไม่รอข้ากลับมา......”

“เหตุการณ์ทั้งมวลนั้นแม้นกล่าวไป -- ก็ราวกับแก้ตัว ข้ายินดีรับคำตำหนิจากใต้เท้าทุกประการ -- ”

“เลิกเรียกข้าว่าใต้เท้าเสียที!!” ฮองเต๊กเสียงดังทั้งน้ำตา “อย่ามาใช้สำเนียงผู้ดีกับข้า!! ข้ามันคนเถื่อน!! ข้ามันยากจนมาแต่น้อย – สำนวนผู้ดี คนโง่ๆอย่างข้าไม่เข้าใจ!!”

สกเกี้ยวแม้ตกใจแต่มิได้ถอยหนี ได้แต่นิ่งไว้ เนิ่นนานจนฮองเต๊กเย็นพอลงแล้วนางจึงเอ่ยว่า

“กับท่านจงเซิ่นเป็นการทดแทนพระคุณ.... มิใช่ความรัก......”

ถ้อยคำนี้สกเกี้ยวแน่ใจว่าถ้าเอ่ยออกไป ฮองเต๊กอาจจะทำเรื่องใหญ่..... แต่ก็เป็นถ้อยคำที่นางยอมแลกทุกสิ่งเพื่อเอ่ยออกไป – มันเป็นถ้อยคำจากใจจริงของนาง

“หมายความว่าอย่างไร” ฮองเต๊กมีสีหน้าฉงน

“แม้นว่าตัวข้าจะเป็นข้าตระกูลจง แต่ใจของข้านั้น – อยู่กับท่าน..... ตลอดมา และตลอดไป”

ฮองเต๊กฉุดมือทั้งสองของนางไว้ และมองนางอย่างมีความหวัง......

สกเกี้ยวค่อยๆดึงมือกลับมา......

ฮองเต๊กราวกับถูกทวนใหญ่พุ่งเสียบที่กลางใจ แม้นว่าจะรักนางมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจตอบสนอง ไม่อาจสัมผัสแม้นเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของนาง ฮองเต๊กตัวชาน้ำตาไหลมองนางที่นั่งร้องไห้ ทั้งสองอาลัยรักแทบขาดใจแต่มิได้สุขสม วินาทีที่แล้วมา หากสกเกี้ยวยังค่อยบีบมือฮองเต๊กไว้ ฮองเต๊กคงไม่ลังเลใจที่จะพานางหนีไป --

หนีไปจากที่แห่งนี้ –

หนีไปจากแคว้นติว แคว้นเย่ –

หนีไปสู่ที่ๆไม่มีใครรู้จัก –

หนีไปสู่ที่ๆมีเพียงสองเรา........

 

ฮองเต๊กลุกขึ้นเปิดประตูและเดินจากไป – ทิ้งให้สกเกี้ยวนั่งตัวสั่นน่าสงสารอยู่ผู้เดียว…….

 

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน ดนตรียังคงบรรเลงเพลงครึกครื้น ผู้คนยังคงเฉลิมฉลองกันเป็นที่สุขสำราญ เป็นงานเลี้ยงที่กระจายความสุขให้กับคนทุกชนชั้น – เป็นงานที่ไม่มีใครเห็นฮองเต๊ก

 

รุ่งเช้าพ่อบ้านรีบตามหาจงเหลงกับจงเซิ่น และเรียนเชิญไปยังห้องของฮองเต๊กเป็นกาลด่วน และสิ่งที่สองพ่อลูกพบเจอที่ห้องของฮองเต๊กนั้นก็คือ........

จดหมายลาราชการใจความสั้นๆ และ โคลงกลอนครึ่งบท –

“ ‘ข้าพเจ้า เต๊ก แซ่ฮอง กราบเรียนต่อท่านพ่อผู้ต่อชีวิตแลท่านพี่ผู้การุณ ด้วยงานทางราชการข้าพเจ้าเหนื่อยนักทั้งจากทัณฑ์พักจาก ท่านไซ่ฮัว ข้าพเจ้าจึ่งขอลาพักราชการไปท่องเที่ยวแคว้นเย่ให้ทั่วก่อน ขออภัยที่มิได้แจ้งท่านพ่อให้ทราบล่วงหน้า’ แลนี่คือตราประจำตัวของท่านฮองเต๊ก ขอรับ”

พ่อบ้านอ่านจดหมายเสร็จแล้วจึงมอบตราให้จงเซิ่น จงเซิ่นรับตรามาและมองด้วยความงุนงง ก่อนจะส่งตรานั้นให้กับสกเกี้ยว และกลับไปมองโคลงกลอนที่เขียนไว้บนกำแพง –

 

     ความรัก มีรสหวาน        ดุจน้ำตาล อร่อยลิ้น

เพียงหน ได้ยลยิน              ให้ถวิล มิรู้คลาย

     มีรัก ก็มีโศก                 วิปโยค มิรู้หาย

คงจำ จนวางวาย                 ถึงได้คลาย รสรักนั้น

 

                ทุกคนต่างมองกลอนครึ่งบทนั้นอย่างงุนงง ด้วยไม่แน่ใจว่าฮองเต๊ก เป็นผู้ประพันธ์กลอนนี้หรือเปล่า จากปากคำเล่าของทุกคนในตระกูลก็มิได้ปรากฏว่าฮองเต๊ก มีความชำนาญในกาพย์กลอนแต่อย่างใด

                “เจ้าเต๊กคงกำลังมีความรักกระมัง” จงเหลงเอ่ยออกมาอย่างขบขัน “คงกำลังถูกใจนางใดในแคว้นเย่ แล้วอยากให้ชีวิตอย่างสงบสุขกระมัง” จงเหลงหันไปมองจงเซิ่น “เป็นเพราะเจ้าเองไม่รีบหาภรรยาจึงทำให้เจ้าเต๊กน้อยใจดังนี้”

                ทั้งบ้านนั้นฮาครืนมองจงเซิ่นที่ขวยเขิน

                จงเซิ่นมองหาภรรยาเพื่อแก้เขิน แต่แปลกใจที่ไม่เห็นภรรยา จึงออกเดินตามหา

                จงเซิ่นเดินใกล้เข้ามาใกล้ที่ห้องได้ยินเสียงของภรรยาท่องกาพย์จึงหยุดนิ่งและแอบมองผ่านช่องหน้าต่าง จึงเห็นนางเขียนโคลงของฮองเต๊กบนกระดาษ

 

ความรัก มีรสหวาน                              

ดุจน้ำตาล อร่อยลิ้น

เพียงหน ได้ยลยิน                                 

ให้ถวิล มิรู้คลาย

มีรัก ก็มีโศก                                          

วิปโยค มิรู้หาย

คงจำ จนวางวาย                            

จึงได้คลาย รสรักนั้น…..

 

        ........ความรัก มีรสเลิศ                   

ให้พรึงเพริศ ดุจความฝัน

แม้นตาย วายชีวัน                  

ก็มิหวั่น จนวันตาย

มีรัก แม้นมีโศก                      

ดุจเป็นโรค มิรู้หาย

คงจำ จนวางวาย                    

จึงได้คลาย รักเจ้าเอย…..

                               

                สกเกี้ยวเขียนเสร็จ ก็มองอยู่เนิ่นนาน ซับน้ำตาและขยำทิ้ง จงเซิ่นอยู่มองเห็นกาลทั้งหมดด้วยความรู้สึกว่าร่างทั้งร่างว่างเปล่า ก่อนจะตีบตื้นและทะลักออกราวคลื่นซัด......

                “กลอนบทนั้นมิได้เพิ่งแต่งขึ้น” – จงเซิ่นคิด “ -- แต่เป็นกลอนที่ทั้งสองได้แต่งให้กันและกัน”

                ชั่วพริบตา จงเซิ่นเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด.....

 

                พิษรักจักแทรกซึมและแผ่ซ่านต่อบุคคลผู้อยู่ในห้วงแห่งรัก.....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา