MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}

8.3

เขียนโดย Remembrances

วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.

  11 ตอน
  4 วิจารณ์
  11.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) MEMORIES [10]: answers

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
MEMORIES [10]: answers
 
“ทำไมเวลาช่างผ่านไปช้านักนะ?”
 
เสียงที่ดังขึ้นราวกับรู้ว่าในใจผมคิดอะไรอยู่ ช่างเป็นประโยคที่คล้ายกันซะจริง ผมได้แต่คิดว่า เวลานี้ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้จะรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งก็ตาม แต่ทำไมมันไม่ชินซักที ผมยังคงรอคอยเวลาที่ผ่านไปอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดตอบกลับเจ้าของน้ำเสียงนั้นเลย และยังคงเหม่อลอย คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนน้ำเสียงจากเจ้าของเสียงคนเดิมได้กรอกเข้ามาในหูของผมอีกครั้ง
“ใช่หรือปล่าว?” เจเคจ้องมองมายังผมด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเหลียวมองขึ้นไปมองบนท้องฟ้าพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกฟอดใหญ่
 
          ผมเหลือบมองไปยังใบหน้าของเจเคที่กำลังเหม่อมองไปยังกลุ่มเมฆสีขาวอย่างที่ลอยล่อง ผมเองไม่รู้ว่าคำที่เจเคได้พูดออกมามันหมายความว่ายังไง แต่ที่ผมรู้คือ ผมในตอนนี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน  เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริงๆ
“นั่นสิ ช้าชะมัดเลย” คำตอบของผมในตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะใช่คำตอบซะทีเดียวหรือปล่าว ผมได้พ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับมองไปยังกลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันจะลอยไปได้กันแค่ไหนกันนะ? ผมได้แต่ยิ้มอยู่คนเดียวก่อนจะสะบัดหัวและเดินจากเจเคมาโดยที่ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ทิ้งให้เจ้าตัวยังคงมึนงงกับกริยาท่าทางของผม
 
          ร่างกายของผมตอนนี้ได้เดินไปอย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่จะมาหยุดนอนลงที่ตรงสนามหญ้าข้างๆสนามบาส ที่ผมมักจะแอบมางีบหลับที่นี่เป็นประจำ ผมทิ้งตัวลงนอนแล้วเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง (ก้อนเมฆสีขาวที่ลอยล่องนี้ช่างดูลื่นหูลื่นตาดีจัง) ผมได้คิดทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมพร้อมกับบทเพลงแล่นผ่านหูของผมทั้งสองข้าง อยู่จนทำให้ผมเผลออุทานประโยคหนึ่งออกมาพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งบ่นโวยตัวเองเพียงลำพังคนเดียว
 
“เราสนิทกันอย่างงั้นเหรอ?? ...............นี่มึงเป็นอะไรไปอีกวะไทค์ มึงแน่ใจแล้วไม่ใช่เหรอที่จะมาพบปุ้นที่นี่ แล้วทำไมมึงต้องคิดมากแบบนี้ด้วย”
 
          ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้งแต่เสียงเพลงๆนี้ยังเข้ามาให้หูผมตอนนี้เข้ามาถึงท่อนฮุกของเพลงนี้แล้ว
 
≈≈≈ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธ์จะบอกไป ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธ์จะบอกไป ว่ารักเธอ≈≈≈
          เสียงบทเพลงๆนี้ยังคงวนเวียนโลดแล่นเข้าไปในหัวผมซ้ำๆอย่างนั้น ทำให้ผมยิ่งไม่รู้เลยจริงๆว่าทางเดินของตัวเองจะเป็นยังไงต่อไป ตลอดเวลาตั้งแต่เปิดเทอมมานี้ ยังไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่สับสน และมึนงงกับความคิดของตัวเองเลยซักครั้ง
 
*****
 
“น้องไทค์”
 
          เสียงเรียกชื่อของผมจากใครคนหนึ่งที่ผมรู้จักดังมาแต่ไกลแต่ว่าผมกลับไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ความรู้สึกในตอนนี้แค่รู้ว่าอยากจะหลับตาลงและไม่ต้องคิดอะไรอีกเลย ปล่อยให้ถึงเวลานั้นและเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียวก็พอ แต่ว่าเสียงเพลงที่กำลังดังเข้าสูหูของผมกลับเงียบลงไปพร้อมกับสายหูฟังที่ถูกดึงออก
“ไทค์.........................พี่เรียกตั้งหลายรอบแล้วเนี๊ยะ” ผมตกใจพร้อมกับลุกขึ้นมาทันทีและได้มองไปยังใบหน้าของพี่ท็อปที่กำลังเรียกตัวผมให้ตื่นขึ้นมา
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ยินพี่เรียกจริงๆ” ก็ไม่ได้ยินจริงนั่นแหละคงไม่ผิดหรอกนะ
“ครับ แล้วนี่ไม่มีเรียนเหรอ แถมยังมานอนคนเดียวเพื่อนไปไหนหมดละ” แหม่ๆๆ เล่นถามเป็นชุดแบบนี้เลยนะให้เวลาผมได้เตรียมตัวซะมั่งเซ่
“ครับ เพื่อผมไปทานข้าวที่โรงอาหารแหละครับ ยังไม่กลับมากันเลย ผมเลยแอบมางีบ”
“อ๋อ อื้ม แล้ว......น้องไทค์ไม่ไปทานข้าวเหรอคับ ถึงได้มานอนเล่นแบบนี้”
“ไม่แหละพี่ ผมยังไม่หิวเลย ขี้เกียจไปด้วย เลยมานอนเล่นแบบนี้ไง” ตกลงเวลาผมมีมากสินะ มานอนเล่นในที่แบบนี้ได้เนี๊ยะ แต่ช่างเหอะก็มันว่าง ไม่มีรัยทำนี่นา
 
          ตอนนี้บทสนทนาของผมและพี่ท็อปได้ยังคงดำเนินต่อไป มันก็แปลกนะ เท่าที่ผมรู้สึกมาพักนี้เหมือนว่าตัวเองจะมีคนที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น และก็เยอะด้วย แต่ก็ดี รู้จักคนเยอะจะได้มีที่พึ่งพิงอาศัยๆ ได้ ผมยังนอนมองเมฆอยู่ข้างๆสนามบาสเก็ตบอลพร้อมกับพี่ท็อปที่มักจะชวนผมคุยเป็นระยะๆ ไม่ขาดสาย
“แล้วนี่คาบบ่ายไม่มีเรียนเหรอ อย่าบอกนะว่าจะโดด” พี่ท็อปยิงคำถามแรกมายังผมหลังจากที่ผมเงียบเสียงลงไป จะว่าไป คิดว่าผมเป็นคนแบบนี้เหรอเนี๊ยะ
“โห๋.........คาบว่างดิ อย่างผมเนี๊ยะไม่มีทางที่จะโดดแน่นอน ผมเด็กดีจะตาย”
“เหรอ..............พ่อเด็กดี เป็นเด็กดีให้มันได้ตลอดเถอะ” เหอะๆๆ ดีอยู่แล้ว
“แน่นอนดิพี่ คอยดูก็แล้วกัน”
“เออ ไว้จะคอยดูนะ หลุดเมื่อไหร่โดนประจานแน่” ประจานเหรอ ก็แค่ประจาน เห้ยเดี๋ยวดิประจานอะไรฟะ แต่ก็ช่างเหอะ ผมจะรอดูวันนั้นก็แล้วกันนะครับ
“จับผิดให้มันได้ก็แล้วกัน” เสียงสุดท้ายที่ผมบอกออกมาทำให้เราทั้งสองคนหัวเราะเฮฮากันข้างสนามบาส เอาตามตรงนะคงจะดังไปถึงหน้าโรงเรียนเลยละมั๊ง สนุกมากละสิ!!! แต่นี่มันก็เป็นเหตุการณ์ที่ดีอีกหนึ่งเหตุการณ์แหละ บทสนทนาของผมสองคนหยุดลงเมื่อพี่ท็อปได้ขอตัวออกไปจากผม คงจะทำธุระอะไรต่อแหละมั๊ง
 
“งั้นพี่ไปก่อนนะ.....แล้วเจอกัน”
 
          ตอนนั้นผมได้แต่ผงกหัวและยิ้มให้พี่ท็อปที่ลุกเดินจากผมไปเพียงเท่านั้น แต่แล้วสายตาของผมก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่อผมมองเห็นคนที่ผมคุ้นเคยมากคนหนึ่งซึ่งตอนนี้ เขาได้จ้องมองมาทางผมราวกับจะฆ่าผมยังไงอย่างงั้น
 
“ปุ้น..................”
 
          ผมได้พูดชื่อเจ้าตัวออกมาทั้งที่เขายังทำสายตาที่แปลกๆแบบนั้นอยู่
แต่........................................
เขากลับเดินหนีโดยที่ไม่ขานกลับมาหาผมเลย
“ปุ้น......ปุ้น.....เฮ้ยปุ้น” ผมได้แต่วิ่งไล่ตามและตะโกนเรียนชื่อของคนที่กำลังเดินหนีผมไป จนในที่สุด
 
“ไอ้ปุ้น!!! .......มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ แล้วนี่จะเดินหนีกูทำไม?” ผมจับแขนของปุ้นจนเจ้าตัวต้องหยุดชะงักลง แต่ว่าเขาก็ยังคงไม่ตอบกลับและก็ไม่หันหน้ามามองผมด้วย เสียงที่เงียบของปุ้นมันทำให้ผมชักเริ่มฉุนขึ้นมาทีละนิดแล้ว “มึงตอบกูมาดิวะ อย่าเอาแต่เงียบ!!!”
“..................................” ไม่ว่าผมจะพูดอะไรออกมา แต่ปุ้นก็ยังคงเงียบไม่พูดอะไรและไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจึงตัดสิใจที่จะกระชากมันให้หันหน้ามาคุยกับผม แต่แล้ว
“ไอ้ปุ้นมึงหะ................น”
 
พรึบบบบบ
          ตอนนี้โลกของผมกลับเงียบลงอีกครั้ง เมื่อคนที่กูเหมือนทำท่าทางจะเมินผมเมื่อกี๊กลับโผลเข้าหาผมและกอดแน่นโดยมอบความรู้สึกให้กับผมว่า อย่าพึ่งปล่อยมือเลยนะ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรทำยังไงต่อไป จะว่าทำตัวไม่ถูกมันก็ไม่ต่างไปจากคำนี้ ผมได้แต่สงสัยว่าคนที่กำลังกอดผมในตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
 
          ปุ้นกอดผมแน่นมากจนทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่ผมกลับไม่ผลักตัวเขาออก มิหนำซ้ำยังรับกอดนั้นมาโดยการยกมือทั้งสองข้างโอบกลับไป ถ้าพูดให้ถูก ปุ้นเป็นผู้ชายคนแรกและคงเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปขนาดนี้ ผมไม่เคยจะรังเกียจเขาเลยในทุกๆครั้งที่มีเขาอยู่ข้างๆ ผมรู้สึกว่าอุ่นใจ รู้สึกว่าโลกมันสดใสขึ้นมาทุกครั้งที่เขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆผม ทำไมกันนะ ทำไมกัน ผมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ผมใช้มือทั้งสองข้างของผมยกไหล่ของปุ้นและดันออก ทำให้ผมเห็นแววตาของปุ้นอย่างชัดเจน แววตาที่เหมือนกับว่าจะมีของเหลวสีใสไหลออกมา ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ผมถึงกับหน้าเสียขึ้นมาทันที นี่เราทำอะไรผิดไปรึป่าวนะ
 
*****
 
“ปุ้น.....มึงไปอะไรไปวะ บอกได้กูได้รึป่าว” คำถามของผมที่ส่งไปยังปุ้นทำให้เขาจ้องมาที่หน้าของผมโดยไม่กระพริบตา แต่ว่าเขากลับทำแค่ส่ายหัวโดยไม่ตอบอะไรผมเลย “ปุ้น...........หรือว่ามึงไม่เห็นว่ากูเป็นเพื่อนแล้วจริงๆวะ??” เสียงที่เงียบของปุ้นเริ่มทำให้ผมเริ่มท้อใจขึ้นมาทุกทีแล้ว แต่ผมก็ยังคงรอปฏิกิริยาที่ตอบโต้ผมกลับมาอยู่ซึ่งคราวนี้ท่าที่ส่ายหัวไปมาในตอนแรกนั้นกลับเปลี่ยนไป ปุ้นไม่ได้ส่ายหน้าไปมาเหมือนแรก แต่ว่าตอนนี้เขากลับผงกหัวขึ้นลง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมยิ่งท้อใจหนักไปกว่าเดิม “ปุ้น.....”
 
“ไทค์”
 
          สายลมทีพัดปลิวต้นไม้ใบหญ้าไปมา ได้พัดผ่านร่างกายของผมไปราวกับว่าเมื่อกี๊ผมได้ยินเสียงของปุ้นที่พูดขัดเสียงของผมที่กำลังจะพูดออกมา (นีเราหูฝาดไปรึป่าวนะ หรือว่าเราคิดไปเอง) ผมยังคงมองไปยังใบหน้าของปุ้นที่ผมเผชิญหน้ากับผมอยู่ตอนนี้ด้วยความสงสัย ว่าผมคิดไปเองรึป่าว แต่แล้ว.............ใช่............ผมไม่ได้คิดไปเอง ปุ้นเรียกชื่อของผมจริงๆ และตอนนี้เองเขาก็เรียกชื่อผมอีกครั้ง
 
“ไทค์”
 
          น้ำเสียงที่เอ่ยผ่านปากของปุ้นทำให้ผมต้องหยุดชะงักไปทุกครั้งที่ได้ยินมัน ปุ้นเอ่ยปากเรียกชื่อผมพร้อมกับจ้องมายังผม แววตาคู่นั้นทำให้ผมต้องมองกลับไปยังใบหน้าของเขา โดยที่ไม่สามารถที่จะหลบสายตาคู่นั้นได้เลย แววตาสีเทาขุ่นที่มักจะมองผมอย่างจริงจังในทุกๆครั้ง และตอนนี้มันก็มองมายังผมเหมือนเดิม ผมรู้ว่าปุ้นต้องการที่จะบอกบางอย่างกับผม ผมรู้ว่าเขาต้องการที่จะบอกอะไรกับผมต่อจากนี้ รู้ว่าสิ่งที่ตามมามันจะเป็นยังไง แต่ผมกลับอยากได้ยินจากปากของเขามากกว่า อยากได้ยินจากปากของปุ้นให้แน่ใจอีกซักครั้ง
“ปุ้น....................ตกลงมึงไม่เห็นกูเป็นเพื่อนของมึงแล้วใช่มั๊ย?” คำถามที่ผมตั้งใจจะส่งไปยังปุ้น ทำไมตอนนี้เสียงที่พูดประโยคนั้นต้องแผ่วเบาอย่างนี้กันนะ แต่ไม่ว่าจะเบาแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมรู้อยู่คือ ตอนนี้ปุ้นได้ยินเสียงนี้แล้ว
“อื้ม..........................” เสียงที่ปุ้นตอบกลับมาทำให้ผมนิ่งเฉยไป เหมือนว่าเรื่องราวระหว่างผมและปุ้นจะจบลงแค่ตรงนี้แล้ว แต่แล้วน้ำเสียงต่อจากนี้มันกลับเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เปลี่ยนไป “กูไม่คิดว่ากูรู้สึกกับมึงแบบเพื่อนแล้ววะ..........................ไทค์.........................สำหรับกูแล้ว.....มึงมีค่ามากกว่านั้น.....ไทค์ มึง............” น้ำเสียงของปุ้นเงียบไปอีกครั้ง “มึง..................”
“กู............................ทำไมวะ?”
“มึง................เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับกูนะเว้ย มึงเป็นทั้งเพื่อน เป็นเหมือนพี่และเป็นเหมือนน้อง ในบางครั้งมึงก็ทำให้กูรู้สึกว่าอยากใกล้ชิดกับมึงให้มากกว่าที่เป็นอยู่ กูมีความสุขทุกครั้งเวลาที่กูอยู่ใกล้มึง มึงทำให้กูลืมความทุกข์ในใจ มึงมามอบรอยยิ้มให้กูในทุกๆครั้ง ไทค์...........กูไม่รู้ว่ากูเป็นเหี้ยอะไรแล้ว กูรู้แค่ว่าตอนนี้กูอยากจะอยู่กับมึงแบบนี้ต่อไป..................ไทค์ มึงอย่าพึ่งปล่อยกูได้มั๊ยวะ” น้ำเสียงที่ดูสั่นคลอนราวกับคนจะร้องไห้ของปุ้นได้ร่ายประโยคที่ยาวเหยียดออกมา และเหมือนว่าผมจะได้ยินคำพูดแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ผมทำได้แค่รับอ้อมกอดของปุ้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เพียงเท่านั้น
“อืม...........กูจะไม่ปล่อยหรอก............เพราะว่ามึง.............ก็เป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่ามากสำหรับกูเหมือนกัน”
 
นี่มันเป็นเพียงแค่คำปลอบใจรึป่าวนะ? ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน? สิ่งที่ผมทำลงไป สิ่งที่ผมได้พูดออกไปนั้น เพราะผมเผลอไปใช่มั๊ย? ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของผม ได้ทำให้ผมกลายเป็นคนคิดมากอีกครั้ง แต่แล้วผมกลับทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้คิด นั่นก็คือคำพูดที่ผมพูดออกมาจากใจในตอนนี้
“ปุ้น.......กูไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปเรื่องราวระหว่างเรามันจะเป็นยังไง? แต่ว่ากูรู้แค่ตอนนี้กูอยากอยู่กับมึงให้ นานที่สุด อยากมีเวลาอยู่กับมึงให้นานที่สุด ปุ้น......กูว่ากูรู้สึกกับมึงเกินคำว่าเพื่อนไปแล้วจริงๆ” ปุ้นจ้องมายังผมหลังจากที่ประโยคที่ผมพูดจบลง ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันแสดงออกมาอย่างชัดเจน ทั้งการกระทำและคำพูด มันปรากฏออกมาอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
“ถ้ามึงคิดอย่างเดียวกัน กับที่กูคิดจริงๆ มึงบอกกูมาได้มั๊ยวะ บอกมาจากปากของมึง ว่ามึงรู้สึกยังไง?”
“ปุ้น..............”
“ไทค์............”
“ปุ้น....................กูรักมึง”
 
          ความรักคืออะไร ทั้งที่ผมยังไม่รู้จักคำนี้เลยแท้ๆ แต่กลับพูดมันออกมาได้อย่างเต็มปาก พูดคำว่ารักออกมาทั้งๆอย่างนั้น ผมได้ปิดตาตัวเองให้อยู่ในความมืด ไม่อยากเห็นภาพอะไร รู้แค่ว่าอยากให้ตัวเองรับรู้แค่ความรู้สึกที่ปุ้นส่งผ่านมาเท่านั้น ความรู้สึกที่แสนอบอุ่นนี้ ผมไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลย ผมได้ปล่อยให้ตัวเองหยุดนิ่งไปพร้อมกับริมฝีปากที่รู้สึกอุ่นๆและร่างกายที่รู้สึกอบอุ่น ซึ่งผมอยากเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดไป
ปุ้น...................กูรักมึง
 
 
#####################
 
 เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีเวลาได้อัพตอนใหม่เลย จึงขอออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะขอรับ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านและทุกคนที่ติดตามด้วยนะครับ ถึงแม้ว่ามันจะยาวเหยียดและยาวนานก็เหอะ ขอขอบพระคุณจริงๆนะครับที่อ่าน เนื่อเรื่องที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องซักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกท่านด้วยนะครับ มือใหม่กี็งี้แหละ ขอความกรุณาด้วยครับ
มีคำถามหรือจะติอะไรก็ติโลดเลยนะขอครับ ไม่มีโกรธอยู่แล้วเขียนมาเพื่อให้คนด่า ไม่สิ เขียนมาเพื่อให้วิจารณ์ ยังไงก็ของฝาก MEMORIES Chapter1 Confusion ด้วยนะครับ จุ๊บๆ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา