เสน่หาทาสซาตาน NC18+ (โหดนิดๆ หยิกกัดน้อยๆ)

-

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.58 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  29.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564 11.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) คู่ปรับเก่าเราสองสามคน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

          หลังจากปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวก็ดูจะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้ตลอดการเดินทางมีทั้งเสียงพูดคุยหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่กันตลอดทาง 

            ทินกรเดินมาส่งแพรวายังห้องทำงานพร้อมกับดอกกุหลาบช่อโตในมือ ด้วยคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นเจ้านายของหญิงสาวคงยังไม่กลับมา หรือคงไม่เข้ามาอีกแล้ว เมื่อมาถึงเขาจึงผลักประตูห้องทำงานใหญ่เข้าไปทันที

            “เห้ย! โทษที ฉันนึกว่าแกจะไม่เข้ามาแล้ว”

            ทินกรตกใจที่เห็นเพื่อนรักนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะทำงานแต่มีสาวร่างอวบแสนเซ็กซี่นั่งอยู่บนตัก และกำลังแลกจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม

            “ว๊าย!”

            สาวร่างอวบที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจุมพิตอันเร่าร้อนหันมาตามเสียงประตูที่เปิดออก เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาจึงตกใจรีบลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่ม

            “อ้าวคุณกร สวัสดีค่ะ นี่ออกไปทานข้าวกลางวันกันมาหรือคะ แหม๋... มีดอกกุหลาบช่อโตด้วย... โรแมนติคจัง”

            เมธินีกล่าวทักทายสองหนุ่มสาวผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มที่แสนเบิกบาน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักกันแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่โรแมนติคขนาดนี้ ผิดกับชายหนุ่มเจ้าของห้องที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนโกรธใครมาเป็นสิบชาติ แต่ใครเลยจะรู้ว่าภาพของสองหนุ่มสาวตรงหน้าพร้อมด้วยดอกกุหลาบช่อโตนั้นสร้างความหงุดหงิดเคืองใจให้เขาแค่ไหน

            “สวัสดีครับคุณเมนี่” ทินกรยิ้มตอบทักทายหญิงสาวแสนเซ็กซี่ที่กำลังเดินตรงมาทางเขา

            “สวัสดีค่ะคุณแพรวา เมนี่ต้องขอโทษด้วยนะคะเรื่องเมื่อวานที่เมนี่เข้าใจผิดน่ะค่ะ”

            เมธินีพาร่างอวบอัดที่ดูเย้ายวนเดินเข้ามาหาหญิงสาวร่างบางที่บาดเจ็บเพราะเธอ

            “คะ ค่ะๆ สวัสดีค่ะคุณเอ่อ...” แพรวาอึกอักเพราะไม่มั่นใจว่าจะทักทายคนตรงหน้าอย่างไรดี

            “เมนี่ค่ะ คุณแพรวา”

            “ค่ะคุณเมนี่ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

            แพรวาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร แม้ในใจจะยังตกใจไม่หายกับภาพที่เพิ่งเจอเมื่อครู่

            “เมนี่ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ทำให้คุณแพรเจ็บตัวมากขนาดนี้”

            สาวร่างอวบยังคงออดอ้อนคว้ามือบางของคนตัวเล็กมาจับไว้อย่างคนสำนึกผิด

            “ไม่เป็นไรค่ะคุณเมนี่ แพรไม่ได้เป็นอะไรมาก”

            “แกเป็นอะไรวะธีร์ ดูทำหน้าอย่างกับโมโหใครซะนักหนา อย่าบอกนะว่าแกโกรธฉันกับคุณแพรที่เข้ามาขัดจังหวะ”

            ทินกรหันไปเย้าแหย่คนที่นั่งไม่พูดไม่จาทำหน้าบึ้งตึงอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่

            “ไม่เกี่ยวกับแก” คนไม่พอใจตอบเสียงแข็ง

            “ไม่เอาน่า... ธีร์ เดี๋ยวเย็นนี้ธีร์ไปหาเมนี่ที่คอนโดก็ได้นี่คะ อย่าโกรธเลย นะๆ ยิ้มหน่อยสิคะ”

            สาวร่างอวบทำเสียงออดอ้อนคิดว่าธีรพัฒน์ไม่พอใจที่เพื่อนเข้ามาขัดจังหวะจริงๆ

            คำพูดของเมธินีทำให้หญิงสาวอีกคนรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกน้อยใจแล่นขึ้นมาจุกที่คอจนเกินทน ใบหน้าหวานหันมองชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของหัวใจอย่างตัดพ้อ แต่ก็ได้รับเพียงแววตาเย็นชาหมางเมินกลับมา ‘ใช่สิ... เธอไม่เคยมีความหมายอยู่ในสายตาของเขาเลย ไม่เคยแม้แต่น้อย’ เพียงแค่คิดก็พลันให้น้ำตาที่พยายามสกัดกั้นไว้จวนเจียนจะเอ่อล้นออกมาประจานตัวเองเสียให้ได้

            “ผมจะทำงาน คุณกลับไปก่อนเถอะเมนี่” ธีรพัฒน์บอกเพื่อนสาวคนสนิทที่เขาชวนเธอออกไปทานข้าวกลางวันมา

            “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าเย็นนี้ธีร์ต้องไปหาเมนี่ที่คอนโดนะคะ เมนี่จะรอค่ะ”

            เมธินีเดินไปหาชายหนุ่มในดวงใจพร้อมทั้งก้มลงจุมพิตที่แก้มสากก่อนจะหันไปกล่าวลาบุคคลที่ยืนอยู่ในห้องอีกสองคน

            “เมนี่ต้องขอตัวก่อนนะคะคุณกรคุณแพร ขอให้หายไวๆ นะคะ”

            เมธินียิ้มหวานให้กับสองหนุ่มสาวที่เธอเข้าใจว่าเป็นคู่รักกัน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเต็มใบหน้า

            “แกไม่มีงานทำหรือไงวะไอ้กร”

            ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยปากไล่เพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้ ยืนยิ้มอยู่ได้ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนากลัวใครจะไม่รู้หรือไงว่ามีความสุข ดูท่าการสารภาพรักของทินกรที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้าจะประสบความสำเร็จ เพราะไม่งั้นสองคนคงไม่กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเสียงหัวเราะและดอกกุหลาบสีสวยช่อนั้นหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดรู้สึกไม่พอใจอะไรสักอย่างซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนี้

            “ก็มี... แต่ยังไม่ว่างไปทำ ตอนนี้ขอทำอะไรที่หัวใจมันเรียกร้องก่อน”

            ทินกรตอบเพื่อนรักพร้อมหันมาหัวเราะให้กับหญิงสาว ซึ่งกำลังยิ้มขบขันในคำยอกย้อนของเขา

            “ไร้สาระ” ธีรพัฒน์เบ้ปาก ปรายตามองหญิงสาวอย่างนึกโมโห ตอนเช้าจูบกับเขาทำเป็นไร้เดียงสาพอตกตอนบ่ายไปรับรักกับผู้ชายอีกคนอย่างหน้าไม่อาย

            “เออ ธีร์ ทำไมแกต้องให้คุณแพรเธอเข้ามานั่งทำงานในนี้ด้วยวะ เวลาใครจะมาติดต่อก็ลำบากน่ะสิ”

            ทินกรถามเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที เพราะเขาสงสัยตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสจะถาม

            “ก็ฉันรำคาญคนที่มายืนหน้าหม้อชวนเลขาของฉันคุยจนไม่ได้ทำงานทำการแบบนี้นี่ไง” ธีรพัฒน์สวนกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ

            “อ้าว ฉันถามดีๆ อย่างนี้มันหลอกด่ากันนี่หว่า”

            “ไม่ได้หลอกด่า แต่ฉันด่าจริงๆ ก็ดูสิ วันๆ เลขาฉันได้ทำงานไหม เดี๋ยวแกก็มายืนคุย เดี๋ยวก็มาลากตัวออกไป”

            ธีรพัฒน์ทำเสียงเข้ม หันไปมองหน้าคนตัวเล็กอย่างไม่สบอารมณ์นัก

            “เออๆ ฉันจะพยายามมารบกวนคุณแพรให้น้อยลง”

            “ดี!...”

            “ว่าแต่จะให้คุณแพรเธอทำงานในห้องนี้กับแกจริงๆ เหรอ” ทินกรถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

            “ก็เออน่ะสิ! แกมีปัญหาอะไร หรือว่าเจ้าตัวเขาไปเป่าหูแกล่ะ”

            ‘ฮึ! ไม่ทันไรก็ฟ้องกันขนาดนี้แล้วเหรอ แล้วถ้าเขาทำมากกว่าเมื่อเช้านี้ล่ะเธอจะกล้าฟ้องนายกรหรือเปล่า ยัยแม่มดเจ้ามารยา’ ธีรพัฒน์ต่อว่าหญิงสาวในใจพร้อมทั้งมองเธอด้วยสายตาอาฆาต

            “ไม่เกี่ยวกับคุณแพร แกอย่าหาเรื่องน่า... ธีร์ ฉันก็แค่จะหาคนมานั่งหน้าห้องของแกแทนคุณแพรเธอ ไม่งั้นใครจะมาจะไปก็โผล่พรวดพราดเข้ามาแบบเมื่อกี้อีกหรอก แล้วอีกอย่างช่วงนี้คุณแพรเธอแขนเจ็บคงพิมพ์หนังสือให้แกไม่สะดวกนัก หาใครมาทำแทนเธอดีกว่า คุณแพรก็แค่ตรวจทานแล้วส่งให้แกเซ็น” คนมีหน้าที่ผู้จัดการอธิบายยืดยาว

            “อือก็ดี แกก็จัดการตามที่เห็นสมควรละกัน ฉันไม่มีปัญหา”

            ‘ห่วงกันจริงนะ แค่เจ็บแขนไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย’ ธีรพัฒน์แอบเหน็บแนมหญิงสาวในใจ

            “โอเค งั้นเอาตามนี้แล้วกันนะครับคุณแพร เดี๋ยววันสองวันนี้ผมจะจัดการให้” ทินกรหันไปยิ้มหวานให้กับหญิงสาวข้างกาย

            “ขอบคุณค่ะคุณกร ที่จริงไม่ต้องลำบากหาใครมาช่วยก็ได้ค่ะ แพรพอทำได้”

            “เธอพิมพ์งานมือเดียวได้หรือไง อย่าทำเป็นอวดเก่งหน่อยเลยน่ะ” คนปากจัดอดไม่ได้ที่จะเหน็บหญิงสาวออกมา

            “เอาตามนี้แหละครับคุณแพร เดี๋ยวผมจัดการให้ไม่ต้องกังวลนะครับ” ทินกรหันมาย้ำ

            “ค่ะ” เมื่อไม่รู้จะคัดค้านยังไง หญิงสาวจึงจำเป็นต้องตอบรับ

            “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อน ผมวางดอกไม้ไว้ตรงนี้นะครับ แล้วตอนเย็นผมจะมารับ”

            ทินกรวางช่อดอกไม้ไว้ที่โต๊ะข้างเก้าอี้ที่หญิงสาวนั่ง แล้วเดินออกไปจากห้อง

          หลังจากทินกรออกไปแล้ว สองหนุ่มสาวเจ้านายจอมเอาแต่ใจกับเลขาหน้าหวานก็ต่างคนต่างหันมาสนใจกับงานของตัวเองโดยไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แต่คนที่ไม่มีสมาธิกับงานตรงหน้าคือชายหนุ่มที่กำลังว้าวุ่นใจ เอกสารที่ถืออยู่ในมือแม้จะเป็นสิ่งสำคัญที่เขาต้องเรียนรู้แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องราวของหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ตรงหน้ากับเพื่อนสนิทของเขาที่แอบไปเปิดเผยความในใจกัน แล้วกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขแถมยังตอกย้ำความสำเร็จด้วยดอกกุหลายช่อโตนั่นอีก ‘แกตกหลุมพรางของยัยแม่มดนี่แล้วหละนายกร แกคงไม่รู้สินะว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจเจ้ามารยาแค่ไหน’ ธีรพัฒน์นั่งต่อว่าหญิงสาวอยู่ในใจจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง จนรู้สึกว่าเขาควรจะไปให้พ้นจากตรงนี้ดีกว่า ไม่งั้นเขาคงต้องฟุ้งซ่านกว่านี้แน่

            “มีเอกสารให้คุณแม่เซ็นหรือเปล่า ฉันจะกลับแล้ว” ธีรพัฒน์ลุกขึ้นยืนเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนจะจริงจังกับงานจนลืมเจ้านาย

            “ไม่มีค่ะ” แพรวาตอบเพียงสั้นๆ โดยไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือ ซึ่งนั่นทำให้คนถามเกิดอาการหงุดหงิดขัดใจเป็นที่สุด ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วก้าวเท้าหนาออกไปจากห้องด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธทันที

          เมื่อคนใจร้ายออกไปจากห้องแล้ว แพรวาปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะไม่รู้ว่าเจ้านายเอาแต่ใจจะหาเรื่องอะไรเธออีกหรือเปล่า ‘เขาคงรีบไปหาคนรักของเขาที่นัดไว้สินะ’ จู่ๆ ภาพของชายหนุ่มในดวงใจที่กำลังจุมพิตอย่างดูดดื่มกับสาวคนรักก็ฉายชัดขึ้นมาในความคิด ความรู้สึกเจ็บปวด น้อยใจ แล่นขึ้นมาจุกอกของหญิงสาวจนแทบหายใจไม่ออก ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้วจะมาทำแบบนี้กับเธอทำไม มาใกล้ชิดเธอให้หวั่นไหวทำไมในเมื่อเขาเกลียดเธอนักหนา

            หญิงสาวนั่งเหม่อลอยคิดถึงเรื่องราวของชายหนุ่มในดวงใจจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นชายหนุ่มแสนดีของเธอมายืนอยู่ตรงหน้า

            “อ้าว คุณกร มาตั้งแต่เมื่อไรคะ” แพรวากระพริบตาถี่ๆ เพื่อมองหน้าชายหนุ่มให้ชัดขึ้น

            “ผมเคาะประตูห้องสองสามครั้ง เห็นข้างในยังเงียบ ก็เลยเปิดเข้ามาเห็นคุณแพรนั่งเหม่ออยู่นี่แหละครับ” ทินกรตอบหญิงสาวยิ้มๆ แม้จะมีความสงสัยอยู่บ้างว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ

            “อ่อ ขอโทษค่ะ แพรกำลังคิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ทันได้ยิน”

            “ปะ งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”

            ทินกรส่งยิ้มอบอุ่นให้กับหญิงสาวแม้ลึกๆ ภายในใจเขาจะยังเสียใจอยู่บ้าง แต่เขาก็เลือกที่จะซ่อนมันไว้ในใจให้ลึกที่สุดมากกว่า

            “นี่เลิกงานแล้วเหรอคะ”

            คนตัวเล็กเผลอยกข้อขึ้นมาหมายจะดูนาฬิกา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านาฬิกาของเธอคงจะหลุดหายไปตอนที่เธอล้มแน่ๆ

            “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแพร” เมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งไป ชายหนุ่มจึงเอ่ยทัก

            “อะ เอ่อ ปะ เปล่าค่ะ ขอแพรเก็บของแป๊บนึงนะคะ”

            มือบางหยิบของจำเป็นใส่กระเป๋า พลางคิดว่านาฬิกาของเธอที่หล่นตอนเธอล้มนั้นหายไปไหน หรือว่าแม่บ้านที่มาทำความสะอาดจะเก็บไป พรุ่งนี้คงต้องมาถามดูสักหน่อย เพราะนาฬิกาเรือนนี้สำคัญกับเธอมาก เป็นของที่คุณหญิงเพ็ญพักตร์มอบให้กับเธอในวันเกิดเมื่อ 2 ปีก่อน

            “มาครับ เดี๋ยวผมช่วยถือ”

            ทินกรยื่นมือไปรับกระเป๋าสะพายพร้อมกับช่อดอกไม้ของหญิงสาวมาถือไว้ พร้อมทั้งเปิดประตูแล้วพาหญิงสาวออกไปยังลานจอดรถ

 

          รถคันหรูของทินกรพาหญิงสาวออกมาจากบริษัทด้วยความเร็วไม่มากนัก เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานทำให้การจราจรค่อนข้างติดขัด ยังไม่ทันที่สองหนุ่มสาวจะได้เอื้อนเอ่ยอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือของแพรวาก็ดังขึ้น

            “สวัสดีจ้ะมล”

            “จ้ะแพร ตอนนี้ออกมาหรือยัง มลจะได้แวะรับมาเลย คืนนี้มลจะไปนอนกับแพรด้วย”

            ปลายสายตอบเสียงเจื้อยแจ้ว จนชายหนุ่มผู้มีหน้าที่ขับรถต้องหันมามองต้นเสียงที่อยู่ในสายโทรศัพท์ของหญิงสาว ‘ผู้หญิงอะไรเสียงดังชะมัด โวยวายเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้’ ทินกรส่ายหน้าแอบบ่นในใจถึงหญิงสาวในสายโทรศัพท์ พลันให้คิดไปถึงผู้หญิงที่เขาขับรถไปชนท้ายรถของเธอเมื่อคืนก่อน จะว่าไปเขายังไม่ได้คิดบัญชีกับยัยหมวยปากจัดนั่นเลยนี่นา ช่วงนี้เขาก็มัวแต่ยุ่งๆ ซะด้วยเลยยังไม่ได้สนใจเอารถไปเข้าอู่

            “แพรออกมาแล้วจ้ะมล พอดีคุณกรมาส่งน่ะ” หญิงสาวตอบเพื่อนรักแล้วหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มแสนดีที่ขับรถมาส่งเธอ

            “คุณกร คนที่คุณป้าจะให้แพรไปทำงานด้วยน่ะเหรอ”

            “ใช่จ้ะ”

            “โอเคๆ งั้นเจอกันที่ล็อบบี้ก่อนขึ้นลิฟต์นะจ๊ะ ตอนนี้มลผ่านบริษัทแพรมาแล้วหละ เดี๋ยวคงถึง”

            “จ้า แล้วเจอกัน”

            จะว่าไปนายกงนายกรอะไรนั่น ก็เป็นคนดีเหมือนกันแฮะ ดูสิ ยังอุตส่าห์ขับรถมาส่งเพื่อนเธอทั้งๆ ที่เจ้านายตัวต้นเหตุกลับไม่เหลียวแล พิชามลคิดในใจหลังจากวางสายของเพื่อนรักไปแล้ว 

 

            ไม่นานทินกรก็พารถมาจอดที่คอนโดของหญิงสาวในดวงใจที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทของเขาไปแล้ว

          ชายหนุ่มลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูให้หญิงสาวตัวเล็กอย่างเบามือ และหันไปเปิดประตูหลังเพื่อหยิบดอกกุหลาบช่อโตลงมาด้วย ก่อนจะเดินตามหญิงสาวไปที่ล็อบบี้

            “ขอบคุณค่ะคุณกร” หญิงสาวหันมาบอกชายหนุ่มที่เดินมาส่งเธอถึงล็อบบี้

            “เดี๋ยวผมนั่งรอเป็นเพื่อนนะครับ” คนไม่อยากกลับแสดงความมีน้ำใจ

            “ไม่เป็นไรค่ะคุณกร เพื่อนแพรขับรถตามหลังเรามานี่เอง เดี๋ยวคงถึงแล้ว”

            “ก็เพราะไม่นานไงครับ ผมถึงจะอยู่เป็นเพื่อน”

            “งั้นเชิญนั่งก่อนค่ะ” แพรวายิ้มหวานเป็นการขอบคุณ ผายมือเชิญชายหนุ่มให้นั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ

           

            ระหว่างที่นั่งรอเพื่อนของหญิงสาวอยู่นั้น ทินกรเหลือบไปเห็นรถที่เข้ามาจอดฝั่งตรงข้ามกับทางขึ้นล็อบบี้ที่เขานั่งอยู่ หญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถคนนั้นด้วยท่วงท่าที่งดงามชวนมอง ขาเรียวยาวขาวเนียนสะอาดตา ขับกับชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มสะดุดตาทำให้เธอดูสง่าน่ามองไม่น้อย ผู้หญิงคนนี้ทำไมช่างเย้ายวนจริงๆ ในสายตาเขา และเมื่อผู้หญิงที่เขากำลังมองอยู่นั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทินกรมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักนั่นอย่างใช้ความคิด จมูกที่เชิดรั้นนั้นน่ามันเขี้ยวจนน่าหยิก ทำไมเขาถึงยิ่งรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้จังเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทินกรคิดในใจพยายามทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเพื่อค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง และคำตอบก็ชัดเจนขึ้นทันทีที่หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าของแพรวา

            “เอ๊ะ! เธอ” ทินกรอ้าปากค้างทำตาโตเหมือนเจอสิ่งแปลกประหลาด

            “นี่! นาย” พิชามลยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มตรงหน้าทันทีที่จำได้

            “ยัยหมวยปากจัด” คนรู้สึกตัวก่อน เอ่ยปากเรียกฉายาของหญิงสาวที่เขาตั้งให้หลังจากได้ปะทะคารมกับเธอวันนั้น

            “นาย! ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” พิชามลตะคอกเสียงใส่อย่างเอาเรื่อง

            “อะ เอ่อ... นี่สองคนเคยพบกันแล้วหรือคะ” แพรวาซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยขัด

            “ใช่แพร ก็นายเฮงซวยนี่แหละที่ขับรถชนท้ายรถมลคืนนั้นที่มลโทรหาแพรเสร็จน่ะ” คนใจร้อนหันไปบอกเพื่อนสาวที่ยืนทำหน้างงอยู่

            “ครับคุณแพร ยัยหมวยปากจัดคนนี้ก็เลยลงมาต่อว่าผมทั้งๆ ที่เป็นความซุ่มซ่ามของตัวเอง” ชายหนุ่มหันไปยียวนหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนชี้หน้าว่าเขาฉอดๆ

            “แล้วใครใช้ให้นายขับรถเร็วขนาดนั้นล่ะ เบรกไม่ทันเองแล้วจะมาโทษฉันได้ไง เป็นผู้ชายซะเปล่าไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ”

            “แล้วใครใช้ให้คุณเบรกรถกะทันหันล่ะ ผมก็ขับของผมมาดีๆ”

            “เอ่อ แพรว่าใจเย็นๆ กันก่อนดีกว่านะคะ” คนที่ดูเหมือนจะเป็นกรรมการรีบห้ามทัพ เพราะไม่อยากจะตกเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้

            “เย็นได้ยังไงแพร ก็นายนี่มาว่ามลปากจัดและซุ่มซ่ามน่ะ”

            “ก็มันจริงนี่” ชายหนุ่มยียวนลอยหน้าลอยตาใส่คนตัวเล็กให้ยิ่งโมโห

            “เอ๊ะ! นาย” คนถูกต่อว่าทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ

            “คุณกรคะแพรขอร้องละค่ะ” แพรวาเอ่ยเสียงเบาขอร้องชายหนุ่มที่กำลังกวนประสาทเพื่อนสาว

            “ครับคุณแพร” ทินกรยอมลงให้กับผู้หญิงปากจัดด้วยเกรงใจหญิงสาวที่เขาแคร์ความรู้สึกของเธอมากกว่า

            “มล นี่คุณทินกร เป็นผู้จัดการและทนายความประจำบริษัท แล้วก็เป็นหลานของคุณท่านด้วย”

            แพรวาแนะนำเพื่อนสาวให้รู้จักกับผู้ชายแสนดีของเธอตรงหน้า

            “นายเนี่ยนะเป็นทนายความ” คนไม่พอใจเบ้ปากใส่พร้อมกับยกมือชี้หน้าชายหนุ่มอย่างเย้ยหยัน

            “ทำไม! ผมเป็นทนายแล้วยังไง และช่วยกรุณาลดมือลงด้วย คุณไม่มีสิทธิ์จะมาชี้หน้าผมแบบนี้ ผมสามารถฟ้องเอาผิดกับคุณข้อหาหมิ่นประมาทได้นะยัยหมวยปากจัด” ทินกรปรายตามองคนตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก

            “อี๋... ไอ้ผู้ชายเฮงซวย บ้าอำนาจ ถือว่ารู้กฎหมายแล้วจะรังแกคนอ่อนแอกว่าหรือไงยะ”

            “นี่! บอกว่าอย่าชี้หน้าไงล่ะ ระวังเถอะจะได้สามีเป็นคนที่เธอชี้หน้าด่านี่แหละ” ชายหนุ่มตะคอกใส่อย่างเหลืออดแกมหมั่นไส้

            “ว๊าย! หยาบคาย ใครอยากได้นายเป็นสามีกันยะ ถ้าทั้งโลกเหลือผู้ชายแบบนายแค่คนเดียว ฉันยอมกัดลิ้นตายดีกว่า” คนชี้หน้ารีบหดมือลงทันควัน ใช้หางตาจิกมองชายหนุ่มอย่างประเมินค่า

            “เชิญเลยแม่คุณ แล้วอย่ากลืนน้ำลายตัวเองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะสำลักจุกอกตายซะก่อนจะได้กัดลิ้น”

            ทินกรยังคงยียวนหญิงสาวตรงหน้าให้ยิ่งโกรธจนลมออกหู รู้สึกชอบใจเวลาเห็นหญิงสาวตรงหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟดูแล้วน่ารัก น่าหยิกดี

            “อ๊าย... อะ อะ ไอ้...” หญิงสาวเจ็บจุกจนไม่รู้จะหาคำใดมาด่าชายหนุ่มตรงหน้าให้สาแก่ใจได้

            “หยุด! ถ้าด่าผมอีกคำเดียวผมจูบคุณตรงนี้จริงๆ ด้วย เอาสิ”

            ทินกรขู่พร้อมชี้หน้าตอกกลับหญิงสาวที่กำลังคิดจะด่าเขา ส่งผลให้คนโดนขู่ต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองทันควัน แล้วรีบไปหลบอยู่ข้างหลังของเพื่อนสาวแต่ก็ไม่วายหันมาถลึงตาใส่เขาอย่างแค้นเคือง

            “แพรเราขึ้นห้องกันเถอะ มลหิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว” เมื่อสู้ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ จึงหันไปชวนเพื่อนรักขึ้นห้อง

            “ไปเถอะครับคุณแพร คุณจะได้พักผ่อนด้วย” ทินกรเห็นหญิงสาวลังเลเพราะเกรงใจเขา จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสียเอง

            “ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณกร แล้วก็ขอโทษแทนยัยมลด้วยที่เสียมารยาท” แพรวาส่งสายตาขอโทษไปให้ชายหนุ่มที่มาส่งเธออย่างจริงใจ

            “ครับ ไม่เป็นไร”

            ทินกรยิ้มหวานส่งให้แพรวาจนตาหยี ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างกายหญิงสาวต้องเบ้ปากล้อเลียน ‘ชิ! ทีกับยัยแพรทำเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ครับ ครับตลอด ทีกับเธอคำก็ยัยซุ่มซ่าม สองคำก็ยัยหมวยปากจัด ฮึย! คิดแล้วมันน่าโมโหนัก’

            “เอามาให้ฉันทำไมยะ” พิชามลมองดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ชายหนุ่มส่งมาให้กับเธอ

            “ผมไม่ได้ให้คุณ ผมให้คุณแพร แต่เธอแขนเจ็บถือไม่ได้ผมก็เลยจะให้คุณถือไปให้ด้วย” น้ำเสียงยียวนปนหยอกล้อของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวคว้าดอกไม้ในมือของเขามาถือแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจในลำคอ ก่อนจะรีบเดินฉับๆ ไปกดลิฟต์

            “แพรขอตัวก่อนนะคะคุณกร”

            “ครับ เชิญครับ พรุ่งนี้เจอกัน” ทินกรกล่าวจบก็หันหลังเดินออกไปจากล็อบบี้เพื่อตรงไปที่รถของตัวเอง

            ก่อนจะขึ้นรถทินกรยืนมองหน้ารถของตัวเองที่มีลอยยุบไปเล็กน้อย แล้วคิดถึงหญิงสาวตัวต้นเหตุที่เพิ่งปะทะคารมกันเมื่อครู่ ‘ฮึ โลกกลมจริงๆ ยัยหมวยปากจัด’ ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ ชายหนุ่มหยักยิ้มที่มุมปากอย่างผู้มีชัยแล้วกระโดดขึ้นรถของตัวเองขับออกไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

 

          เมื่อสองสาวขึ้นมาถึงห้องพัก พิชามลเป็นฝ่ายทำอาหารเย็นแบบง่ายๆ ที่เธอถนัดสองสามอย่างจากอาหารสดที่เธอซื้อมาไว้ในตู้เย็นตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนแพรวาเนื่องจากแขนเธอเจ็บจึงทำได้แค่หยิบจับจานชามแก้วน้ำเตรียมตั้งโต๊ะรออาหารจากเพื่อนสาวที่กำลังทำอยู่ในครัว

            “อีตากรนี่น่ะเหรอแพร ที่คุณป้าจะให้แพรไปทำงานด้วยน่ะ” พิชามลถามเพื่อนรักขณะตักอาหารคำโตใส่ปากด้วยความหิว

            “อืม ใช่จ้ะ” แพรวาเงยหน้าจากอาหารตรงหน้ามาตอบเพื่อนสาวเสียงใส

            “ดีแล้วที่แพรปฏิเสธไปน่ะ เพราะดูท่าอีตานี่ทั้งหัวงู มือไว ปากจัด และไม่เป็นสุภาพบุรุษด้วย”

            สาวหมวยได้ทีต่อว่าผู้ชายที่เธอไม่ชอบหน้าให้เพื่อนฟัง

            “หือ... คุณกรเขาไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย มลน่ะคิดมากไปแล้ว”

            “ไม่มากหรอก ดูสายตาที่เขามองแพรสิ หวานหยดจนน่าขนลุก และไหนจะดอกไม้นั่นอีก บอกมานะว่าคุณกรจีบเธออยู่หรือเปล่า”

            พิชามลจ้องหน้าเพื่อนรักอย่างจับผิด ถ้าเป็นอย่างที่เธอสงสัยจริงละก็ พี่วิทของเธอต้องแย่แน่ๆ เฮ้อ... หรือรักแท้จะแพ้ใกล้ชิดซะแล้วนะเนี่ย แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเศร้าใจยังไงไม่รู้เมื่อคิดว่าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นจีบเพื่อนของเธอจริงๆ

            “ไม่ใช่นะ คุณกรเขาไม่ได้จีบแพร เราเป็นแค่เพื่อนกัน ดอกไม้นั่นก็แค่มิตรภาพดีๆ ที่คุณกรเขามีให้แพรแค่นั้นเอง”

            แพรวาอธิบายให้เพื่อนรักฟังตามความจริง ส่งผลให้คนฟังรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด ‘นั่นสิ ทำไมเธอต้องดีใจด้วยนะ พิลึกจริง หรือว่าเธอดีใจแทนพี่ชายตัวเอง ที่อย่างน้อยตอนนี้พี่วิทก็ยังมีความหวัง นั่นไง... เธอดีใจแทนพี่วิทต่างหากล่ะไม่ใช่ดีใจเพราะตานั่นไม่ได้จีบเพื่อนเธอ’ พิชามลคิดในใจพลางส่งยิ้มให้เพื่อนสาวตรงหน้า

            “เดี๋ยวมลเก็บล้างเอง แพรเข้าห้องไปอาบน้ำเถอะจะได้รีบดูหนังกัน วันนี้มลซื้อหนังมาด้วย”

            “จ้ะ ขอบใจมากนะมล ถ้าไม่ได้มลแพรคงลำบากแน่ๆ”

            “ไม่เป็นไรจ้ะ ดีซะอีกที่มลได้มานอนกับแพร เราจะได้นอนคุยกันเหมือนตอนสมัยเรียนไง”

            สาวหมวยใจดีส่งยิ้มให้เพื่อนรัก ก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างทำความสะอาดตามหน้าที่

 

          ทางด้านคนที่ออกจากบริษัทตั้งแต่บ่ายสามโมง ธีรพัฒน์ไม่ได้ไปตามนัดที่หญิงสาวร่างอวบแสนเย้ายวนบอกไว้ แต่เลือกที่จะไปเตร็ดเตร่ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เพื่อหาของบางอย่างที่คิดว่าเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบให้กับหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เข้าใจผิดครั้งนั้น

            ธีรพัฒน์หยิบกล่องนาฬิกาเรือนสวยสไตล์เรียบง่ายแต่ดูหรูหราขึ้นมาดู ขณะนั่งเอนหลังพิงพนักหัวเตียงภายในห้องนอนของเขา ที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของราคาแพงขนาดนี้ให้กับหญิงสาวที่เขาให้ฉายาว่าผู้หญิงหิวเงิน แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงถูกใจนาฬิกาเรือนนี้และที่สำคัญเขาคิดว่ามันเหมาะกับข้อมือบางของเธอมาก จู่ๆ ใบหน้าหวานล้ำของหญิงสาวที่รบกวนจิตใจของเขาตลอดทั้งวันก็ฉายชัดขึ้นมา กลิ่นกายที่หอมกรุ่น เนื้อตัวนุ่มนิ่มน่ากกกอด เรียวปากอวบอิ่มดูเย้ายวนเกินห้ามใจที่เขาเคยได้ลิ้มรสความหวานจนติดตรึงไม่รู้ลืม ทุกอย่างที่รวมเป็นเธอล้วนทำให้เขาแทบคลั่ง 

            แต่ทำไมเขาถึงเป็นฝ่ายเดียวที่อยากจะสัมผัสอยากพูดคุยอยากอยู่ใกล้เธอนะ ทำไมไม่เป็นเธอบ้างที่อยากจะมาวนเวียนใกล้ชิดเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ หรือเธอจะมีใจให้กับเพื่อนรักของเขาจริงๆ ภาพของเพื่อนรักที่หยอกล้อพูดคุยกับเลขาของเขารวมถึงช่อดอกไม้นั่นอีก ทำให้เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากสองคนนั้นตกลงปลงใจที่จะคบกัน ธีรพัฒน์คิดในใจอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยนะ หัวใจดวงแกร่งรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลยสักนิด เธอจะไปคบกับใครก็เรื่องของเธอสิ ในเมื่อเธอไม่สนใจเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเธอเหมือนกัน

            ชายหนุ่มกระชากลิ้นชักข้างหัวเตียงแล้วยัดกล่องนาฬิกาที่เขาเพิ่งรู้สึกว่ามันสวยลงไป ก่อนจะกระแทกปิดอย่างใส่อารมณ์ เหมือนกับว่านาฬิกาเรือนนั้นไม่สวยสำหรับเขาอีกแล้ว

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่

 

                 

หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง

E-mail : oilza24@hotmail.com

โทร : 094-4942566

ไลน์ : oilza_writer

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา