ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  109.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) ...ตอนที่ ๔...เลือกข้าง...(๑)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

         เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากไกรเข้าไปคุยกับท่านผู้เฒ่าแล้วออกมาใหม่ เขาก็ถูกท่านผู้เฒ่าที่ดูท่าทางจริงจังที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาลากไปที่ห้องขนาดใหญ่ที่ถูกจัดแต่งให้มีลักษณะเป็นห้องประชุมศึกโดยมีโต๊ะไม้สักรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวที่บนโต๊ะถูกสลกัให้เป็นรูปนูนต่ำแสดงเป็นแผนที่ดินแดนทั้งหมดในสุวรรณภูมิไล่ลงมาตั้งแต่พรมแดนตอนใต้ของแผ่นดินจีนโบราณ  ด้านซ้ายไปถึงเส้นแม่น้ำอิรวดีจรดทวาย  ด้านขวาวาดถึงอาณาจักรจำปาสัก  ในขณะที่ด้านล่างสลักไว้ถึงอาณาจักรสิงหปุระ(สิงคโปร์ปัจจุบัน)  ...ซึ่งไกรถึงขั้นต้องก้มลงเพ่งมองแผนที่รูปนูนตำ่นี่อย่างใกล้ชิดจนแทบจะหน้าติดโต๊ะเพราะความปราณีตบรรจงของโต๊ะแผนที่ที่ดูก็รู้ว่าถูกสลักมาโดยช่างแกาะสลักชั้นหนึ่งที่หาได้ยากยิ่งแม้แต่ในยุคปัจจุบัน...

 

        " ทำอะไรของเจ้าน่ะ ไกร...อย่ามัวแต่เล่นอะไรไร้สาระสิ...มานั่งได้แล้ว "  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยดุเบาๆอย่างไม่จริงจังอะไรนักเมื่อเห็นท่าทางของไกร ในขณะที่ท่านหันไปกล่าวขอบใจเด็กรับใช้ที่กำลังช่วยกันจุดโคมให้ห้องสว่างขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะอันเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเอ่ยสำทับให้ไกรรีบนั่งที่อีกครั้งเมื่อเขายังเห็นไกรยืนหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆอยู่

 

          ไกรหันไปมองที่เก้าอี้หลายสิบตัวที่วางอยู่รอบๆโต๊ะแผนที่ก่อนจะฝืนหัวเราะเจื่อนๆ เพราะเก้าอี้แต่ละตัวมีลักษณะต่างกันจนดูเหมือนแต่ละตัวเป็นเก้าอี้ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของเก้าอี้จนเขาไม่กล้านั่งทับที่ของใครซักคนเลยทีเดียว

 

          ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะรู้ความคิดของไกร...เขาถอนหายใจเฮือกก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมจะชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่คนละฝั่งกับเก้าอี้ของท่านผู้เฒ่า...ซึ่งไกรก็ถึงกับกลืนน้ำลายฝืดๆทันที เพราะมันเป็นเก้าอี้เดียวที่ใหญ่พอๆกับเก้าอี้ของท่านผู้เฒ่าที่ตั้งอยู่ที่หัวโต๊ะของอีกฝั่ง...

 

        " เอ่อ...ผ--ข้าว่ามันจะไม่เหมาะนะ... "

 

        " หือ? เพราะเหตุใดเล่า? "

 

        " ตำแหน่งที่ตั้งของเก้าอี้ตัวนี้ควรจะเป็นของผู้ที่มีอำนาจในหมู่บ้านเป็นรองเพียงท่าน...หากข้านั่ง ก็เท่ากับว่าข้า--- "  เขายังพูดไม่ทันจบ ท่านผู้เฒ่าก็ขัดขึ้นเสียก่อนด้วยนำ้เสียงเหนื่อยหน่ายทันที

 

        " เก้าอี้ก็คือเก้าอี้...ไม่สำคัญว่ามันใช้บ่งบอกตำแหน่งหรือศักดินาใด...จุดประสงค์หลักของมันก็คือมีไว้ให้นั่ง...อย่าให้ข้าต้องเชิญซ้ำสองเลย... "  ท่านผู้เฒ่ากล่าวพร้อมกับผายมือไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงหัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามอีกครั้งเป็นอันแน่ชัดแล้วว่าไกรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งเก้าอี้ตัวนั้น

 

        ' พูดด้วยดีๆก็ปรัชญาใส่ตูซะงั้น...นี่ถ้ายัยศกุนตลาย่องมาเชือดคอหอยตูเพราะนั่งเทียบเสมอท่านผู้เฒ่าที่เคารพ งานนี้จะไม่แปลกใจเลย '  ไกรโคลงหัวบ่นในใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะยอมลงนั่งเก้าอี้นั้นโดยดี...

 

       ...ทันทีที่หลังแตะเก้าอี้ ประตูห้องก็ถูกเปิดผางออกมาอย่างแรงพร้อมการเข้ามาของอนาสตาเซียและศกุนตลา...ทั้งสองสาวโค้งหัวทำความเคารพท่านผู้เฒ่าเล็กน้อยก่อนจะหันมามองไกรที่นั่งอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ แต่พวกเธอทำให้เขาประหลาดใจด้วยการไม่มีปฏิกริยาอื่นนอกเหนือจากนั้น...พวกเธอหันไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองพร้อมกับที่ศกุนตลาเริ่มรายงานสถานการณ์ทันที

 

        " ข้าส่งวิหคสื่อสารรหัสสีแดงที่เร็วที่สุดที่ข้ามีไปให้กับมือสังหารทุกคนแล้ว...ถ้าพวกเขาไม่ได้มีภารกิจติดพันใดๆ พวกเขาจะมาในอีกไม่เกินชั่วยามนี้... "  ศกุนตลายังพูดไมทันครบประโยคดี ประตูห้องก็ถูกเปิดผางออกมาอีกครั้งพร้อมกับสาวงามในชุดสไบสีน้ำเงินที่ดูผ่าหน้าผ่าหลังเว้าซ้ายเว้าขวามากเกินความจำเป็น ใบหน้าจริงๆแม้ว่าจะสวยหยาดเยิ้มน้อยกว่าศกุนตลาชนิดไม่อาจทาบกันได้ แต่ก็น่ารักน่ามองไปอีกแบบ...เมื่อรวมกับจริตจะก้านและการรู้จักแต่งเติมหน้าตาของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวคนนี้ดูน่าเข้าใกล้มากกว่าศกุนตลาหลายเท่าตัวนัก...หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่นั่งตัวเองซึ่งอยู่ข้างอนาสตาเซีย ในขณะที่อนาสตาเซียที่เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเบาๆ

 

        " ไฉนถึงได้มาเร็วนักล่ะ ดูจากงานที่เจ้าต้องทำแล้วเจ้าไม่ควรจะมาได้ด้วยซ้ำนะ อุษา? "

 

          หญิงสาวนามว่าอุษากอดอกยักไหล่พร้อมกับครางเบาๆ

 

        " ทีแรกข้าก็เข้าใจเช่นท่านเหมือนกันแหละ นาสตี้...แต่เป้าหมายมันดันหื่นกามกว่าที่ข้าคะเนไว้ไกลโข แค่ทำมารยาสะดุดล้มเซไปหาก็ชักชวนข้าเข้าบ้านเสียแล้ว เลยสบโอกาสควักลูกกระเดือกออกมาซะเลย...อ้อ!...อยากดูหลักฐานไหม? "  หญิงสาวพูดพร้อมทำท่าจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าลับเหน็บเอวออกมาให้ดู แต่อนาสตาเซียรีบส่ายหน้าจนผมปลิวพร้อมกับทำหน้าผะอืดผะอมทันที

         

        " เจ้านี่มัน...แหวะ!...ถามจริงพวกมือสังหารนอกจากข้าแล้วมีผู้ใดปกติบ้างไหมเนี่ย?! "

 

        " อ้าวๆ? กล่าวเช่นนี้ท่านก็เหมาว่าข้าเป็นพวกจิตไม่ปกติด้วยน่ะสิ? ท่านอนาสตาเซีย " ศกุนตลารีบแย้งขึ้นมาทันที แต่คำแย้งของเธอทำเอาไกรถึงกับต้องกลั้นหัวเราะกึกๆ เพราะเขาคิดว่าศกุนตลานี่แหละที่เป็นคนจำพวกที่ห่างไกลคำว่า จิตปกติ ที่สุดแล้ว

 

          ในที่สุด หญิงสาวนามว่าอุษาก็สังเกตเห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของไกร...หญิงสาวเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกับอนาสตาเซียที่นั่งอยู่ข้างๆทันที

 

        " นี่ๆ นาสตี้...เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกันหรือ? ไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อน แต่กลับนั่งเก้าอี้ตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่บ้านที่ไม่เคยมีใครมีศักดิ์และสิทธิ์พอจะนั่งมาก่อนแท้ๆ "

 

          อนาสตาเซียเหลือบสายตามองมาที่ไกรเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก

 

        " ลูกรักคนใหม่ของท่านพ่อไงล่ะ... "

 

          ในขณะที่อุษายังคงทำหน้างงอยู่ ท่านผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาเบาๆกับคำกระทบกระเทียบของอีกฝ่ายก่อนจะพูดเบาๆ

 

        " เอาเถอะ...ไว้รอคนมากันเยอะพอข้าจะแนะนำทีเดียวล่ะกัน อดใจรอหน่อย... "

 

          อุษาขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวต่อมาดวงตาสีน้ำตา่ลอ่อนที่ฉายแววสงสัยของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววตาอยากรู้อยากลอง...เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองก่อนจะเดินนวยนาดสะโพกใบไม้ไหวเข้ามาหาไกรอย่างเต็มไปด้วยมารยา...เธอใช้เสน่ห์ที่เธอมีอยู่เหลือเฟือได้อย่างเต็มที่ด้วยการใช้สายตาคมชมดชม้อยสบสายตาของชายหนุ่มพร้อมกับใช้มือเรียวบางลูบเข้าที่แก้มที่เริ่มเขียวครึ้มไปด้วยเคราที่พึ่งขึ้นของอีกฝ่ายช้าๆ

 

        " เอาเถอะ...หน้าตาหล่อเหลาเอาการแบบนี้ข้าไม่ถือหรอกนะ...ประเดี๋ยวช่วยวาดแผนที่ไปห้องให้เสียหน่อยนะ...เผื่อดึกๆให้เด็กพวกนี้เข้านอนก่อนเสียหน่อย ข้าจะย่องไป...ทำความรู้จัก ด้วย... "  หญิงสาวผู้นี้มีความสามารพิเศษอันน่ากลัวจริงๆ...มีไม่กี่คนหรอกแม้แต่ในยุคปัจจุบันที่จะพูดคำธรรมดาๆอย่าง ทำความรู้จัก ให้ฟังดูชวนคิดลึกไปไกลได้ถึงขนาดนี้

 

        " ร...ไร้ยางอายที่สุด! "  ขนาดอนาสตาเซียที่ว่าเป็นชาวตะวันตกเต็มขั้นยังว่ามาพร้อมกับหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ในขณะที่ศกุนตลาถอนหายใจเฮือกราวกับรู้เส้นนิสัยโลดโผนของอีกฝ่ายดีอยู่แล้วพร้อมกับกลอกตาไปมา...ภาวนาให้ท่านผู้เฒ่าเข้าเรื่องเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะมีรายการไร้สาระไปมากกว่านี้

 

          ถ้าหากเป็นผู้ชายในยุคสมัยนี้คงจะมีอาการต่อการยั่วยวนขนาดนี้ได้แค่ ๒ อย่างคือถ้าไม่อายม้วนต้วนจนไปไม่เป็นก็คงจะพุ่งเข้าใส่ด้วยความหื่นกามไปแล้ว...เสียอย่างเดียวคือไกรไม่ใช่คนสมัยนี้นี่สิ...

 

         ไกรยิ้มบางๆให้กับท่าทียั่วเย้าของหญิงสาว...จริงอยู่ว่าผู้หญิงโลดโผนอาจจะดูประหลาดในสมัยนี้ แต่สำหรับยุคของเขามันเป็นยุคที่สตรีมีสิทธิเทียบเท่าผู้ชาย...ถึงจะมีไม่บ่อยนัก แต่ผู้หญิงแบบนี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอ...ชายหนุ่มแกะมือของหญิงสาวที่กำลังเลื้อยพันเขาเป็นงูออกมากุมไว้อย่างสุภาพพร้อมกับยิ้มบางๆและสบตาของหญิงสาวด้วยสายตารู้ทัน...มันทำให้หญิงสาวนามอุษาถึงกับหน้าร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยอารมณ์ผสมปนเปกันไป...ที่แน่ๆคือความอับอายที่เธอรู้ได้เลยว่าถ้าหากยังจะขืนเล่นต่อ คนที่เสียเปรียบจะเป็นเธอเองนี่แหละ

 

          อุษารีบสะบัดมือของเธอออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายทันทีอย่างแรง...ดวงตาที่สับสนของเธอยิ่งเมื่อสบดวงตารู้ทันของอีกฝ่ายยิ่งสร้างความอับอายจนเธอต้องสะบัดหน้าหนีกลับมานั่งที่เดิมอย่าขุ่นเคือง

 

        " ว้า...แพ้ซะแล้ว "  คำพูดลอยๆของศกุนตลาทำให้อนาสตาเซียที่ยังตามไม่ค่อยทันหันมามองอย่างสงสัย ในขณะที่อุษาหันมาจ้องด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อพร้อมกับค้อนควั่บวงโต ส่วนท่านผู้เฒ่าที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดถึงกับตบมือพร้อมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

 

        " เก่ง...ไม่เสียทีที่เป็นชายชาติอาชาไนย ไม่ยอมให้อุษาลูบคมได้ง่ายๆ "

 

        " ท่านผู้เฒ่า! "

 

        " อ่ะๆ อย่าหาว่าข้าแกล้งเจ้าเชียวนะ...เรื่องนี้เจ้ารนหาที่เอง "

 

        " ช...เชอะ! "

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

 

          หลังจากสิ้นสุดรายการบันเทิงเล็กๆ เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เก้าอี้แต่ละตัวก็เริ่มถูกจับจองด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีเชื้อชาติและลักษณะการแต่งกายต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่นับสิงห์ที่พึ่งเข้ามาและเลื่อนเก้าอี้ตัวเองมานั่งใกล้ๆกับเขาแล้ว ทุกคนจะหันมามองไกรอย่างฉงนสงสัย แต่พวกเขากลับรักษามารยาทเป็นอย่างดีโดยไม่ยอมถามอะไรขึ้นมาก่อน

 

       ...อย่างนึงที่ไกรสังเกตเห็นได้เมื่อเขามองดูเหล่าผู้คนที่เรียกว่ามือสังหารเหล่านี้ก็คือ ชายหนุ่มฉายาว่าท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ที่หัวก้าวหน้ายิ่งกว่าคนทั่วไปในยุคสมัยนี้อย่างมาก เพราะเขาไม่ถือหรือแบ่งแยกสถานะระหว่างบุรุษกับสตรีเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้เห็นหญิงสาวที่มีฐานะเป็นมือสังหารมากขนาดพอๆกับผู้ชายแบบนี้แน่...

 

       ...เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นพร้อมกับกระแอมไอเบาๆ

 

        " เอาล่ะ...ถึงจะมาไม่ครบทุกตัวคนแต่ก็น่าจะพอแล้วล่ะกระมัง...มือสังหารทุกท่าน...ข้าทราบดีว่านี่เป็นการประชุมแบบวิสามัญครั้งแรก อาจจะสร้างความไม่สะดวกแก่ทุกท่านไปบ้าง...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแก่ทุกคน...ข้าจะขอเปิดการประชุมมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ณ บัดนี้... "  เมื่อท่านผู้เฒ่าพูดจบ ทุกคนก็ยืนขึ้นทันทีจนไกรต้องยืนตามอย่างงงๆ

 

 

        "  ...ความไม่จีรังคือความจริง ...ทุกๆสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับแค่การยอมรับ ... "  ทุกคนพูดในสิ่งที่ไกรคุ้นๆว่าเป็นคำทักทายที่สิงห์เคยบอกกับเขาก่อนจะแหกค่ายมังจากะเลไว้โดยพร้อมเพรียง

 

 

          ท่านผู้เฒ่ากระแอมไอเบาๆอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มต้นเล่าถึงเส้นทางการเดินทัพของทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญาช้าๆ ตามที่ไกรได้บอกไว้ก่อนแล้วทุกประการ ทำให้มือสังหารทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้มีท่าทีต่างกันไป ถึงจะบอกได้แน่นอนว่าทุกคนมีท่าทีประหลาดใจกับข้อมูลที่พึ่งได้รับรู้แบบสดๆร้อนๆนี้ก็ตามที...หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตกล่าวจนจบ เหล่ามือสังหารทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นไกรและสิงห์กับสองสาวที่ได้ยินมาก่อนแล้วก็หันไปคุยกันทันที ในขณะที่ชายสัญชาติญี่ปุ่นในชุดซามูไรคนนึงลุกขึ้นถามทันที

 

        " ท่านผู้เฒ่า...ด้วยความเคารพนะขอรั่บ...ท่าน...เอ่อ...ท่านไปเอาข้อมุง...ข้อมูลนี้มาจากไหนกัน? "  ถึงแม้จะมีบางคำที่พูดผิดพูดถูกไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเขาเป็นชาวญี่ปุ่นที่พูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนพอสมควรทีเดียว

 

          ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิด...เขาหันมาสบตากับไกรชั่วเสี้ยววินาทีนึงก่อนจะถอนหายใจเฮือกและตอบคำถามนั้นเรียบๆ

 

        " เอาเป็นว่า...ข้ามีสายข่าวที่เชื่อถือได้อย่างที่สุดรับประกันข่าวนี้...ทำไมรึ? "

 

        " ก็เพราะว่าความเป็นไปได้ของข่าวนี้มันต่ำอย่างยิ่งน่ะสิคะ... "  หญิงสาวในชุดผ้าคลุมที่ปิดมิดชิดจนไม่อาจจำแนกเชื้อชาติได้รีบกล่าวขึ้นพร้อมกับพูดต่อ   " ข้าออกตัวไว้ก่อนว่าข้าเองก็มิใช่ผู้ที่รู้แจ้งในด้านประวัติศาสตร์นัก แต่ตามราชพงศาวดารแล้วไม่มีครั้งใดเลยที่กองทัพพม่ารามัญจะยกพลมาทางช่องกันดารด่านสิงขร...แทนที่จะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ หรือด่านแม่ละเมา(อ.แม่สอด จ.ตากในปัจจุบัน) อย่างที่เคยกระทำกันมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสิบทิศบุเรงนอง ...ซึ่งหากพากันมาทางด่านสิงขรจริง ก็เท่ากับว่าทัพหลวงต้องเดินทางด้วยเรือผ่านมะริดและตะนาวศรีที่ทุรกันดารอย่างที่สุด(๑)... "

 

        " ก็เพราะเราคิดไม่ถึงน่ะสิ...การเดินทัพครานี้ถึงได้บรรลุผล...มือสังหารทุกท่าน...ข้ารู้ดีว่าหมู่บ้านของเรามีกฎเหล็กว่าเราจะไม่ขอเข้ายุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้...แต่สถานการณ์ในปัจจุบันมันต่างออกไป...นับตั้งแต่สงครามยุทธหัตถีในรัชสมัยพระนเรศราชาอพี...ไม่มีการศึกใดที่จะยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้เลย ...ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าต่างก็เป็นผู้ที่ต้องทุกข์ทรมานจากภัยสงครามและการแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน...ซึ่งข้าภูมิใจอย่างยิ่งที่ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ทรมานเหล่านั้นได้...แต่หากศึกระหว่างอโยธยากับพม่าครั้งนี้เกิดขึ้นโดยที่อโยธยาไม่อาจจะรู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายเลย...คราวนี้มีหวังคงได้เกิดคนดั่งเช่นพวกเจ้าอีกนับหมื่นนับพันเป็นแน่แท้... "

 

        " ท่านผู้เฒ่าคะ... "  คราวนี้หญิงสาวนามว่าอุษาขัดขึ้นเบาๆ พร้อมกับพูดต่อ   "ข้าทราบว่าท่านเคารพสิทธิและเสียงของพวกข้าในฐานะที่เป็นมือเท้า คอยรักษาหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติของพวกข้าอย่างมาก...แต่พวกข้าทราบแน่แก่ใจดีว่าพวกข้าถ้วนทั่วทุกตัวคนนั้นเป็นหนี้บุญคุญของท่านอย่างมากมายมหาศาลจนชาตินี้พวกข้าไม่อาจทดแทนพระคุณได้หมดสิ้น...หากไม่มีท่านผู้เฒ่าและหมู่บ้าน พวกข้าคงไม่อาจจะมีวันนี้ได้เป็นแน่...ด้วยเหตุนี้ หากท่านผู้เฒ่ามีเรื่องอันใดที่บัดนี้ยังคงกวนใจท่านอยู่ ก็เชิญท่านพูดมาโดยไม่ต้องอ้อมค้อมได้เลย...หากว่ามันเป็นสิ่งที่พวกข้าพอจะทำได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต...พวกข้าก็ยินดี... "

 

         มือสังหารทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของอุษา ทำให้ท่านผู้เฒ่ามีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย...เขาสูดหายใจลึกชั่วครู่ ก่อนจะประกาศกึกก้อง

 

        " ...เพื่อลดความสูญเสียของไพร่ฟ้าประชาชีที่อาจจะประเมินไม่ได้...การศึกครั้งนี้หมู่บ้านยุคันตวาตของพวกเราจะเข้าร่วมกับอโยธยา!! "  

 

          ระหว่างที่ทุกคนหันไปมองหน้ากันพร้อมกับพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ชายหนุ่มผู้คะเนจากหน้าตาและผมเผ้าที่เริ่มมีผมหงอกขึ้นบ้างประปรายอันบ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่มือสังหารทั้งหมด(ซึ่งดีไม่ดีอาจจะอาวุโสกว่าท่านผู้เฒ่าเองด้วยซ้ำ) ผู้ซึ่งในชุดชาวบ้านธรรมดาๆก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

 

        " ขอให้ช้าเสียมารยาทขัดขึ้นเล็กน้อยเถิด...ท่านผู้เฒ่า...ใช่ว่าข้าจะมิได้เห็นดีเห็นงามกับท่าน แต่ท่านก็ทราบดีว่าพวกเราเหล่ามือสังหารแต่ละนายนางล้วนแต่ก็มีโทษทัณฑ์ มีราคาค่าหัวกับถ้วนทุกตัวคน...หนักบ้างเบาบ้างตามแต่ภารกิจที่พวกเราเคยได้กระทำในอโยธยา ข้ารู้ว่ามันเป็นเหมือนกับการปิดทองหลังพระ...ในสายพระเนตรของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ และในสายตาของทุกผู้ทุกคนในอโยธยา พวกเราก็เป็นได้แค่โจรชั่วที่สมควรจะต้องพระอัยการ...คำพูดของพวกเราต่อให้เป็นเรื่องจริงมันก็ไม่ต่างจากผายลม...เอ่อ ขอโทษที... "  ชายหนุ่มคนนั้นหันไปขอโทษทุกคนที่ทำหน้าปุเลี่ยนๆกับคำเปรียบเปรยอันหยาบคายในตอนท้าย ก่อนที่เขาจะกระแอมเบาๆและพูดต่ออีกครั้ง   " ประเด็นที่ข้าต้องการจะบอกกล่าวก็คือ ถึงท่านจะบอกว่าท่านจะเข้าฝ่ายอโยธยา แต่ท่านจะทำประการใดที่จะให้ฝ่ายอโยธยาเชื่อคำท่านกัน "

 

        " โห...โคตรจะหลักแหลมเลย...นี่ใครกันเนี่ย? "  ไกรอดกระซิบถามสิงห์ที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดไม่ได้ ในขณะที่สิงห์ก็หัวเราะในลำคอเบาๆอย่างรู้ทัน ก่อนจะขมวดคิ้วและซู้ดปากอย่างแรง เพราะการหัวเราะของเขาดันไปสะเทือนแผลที่ซี่โครงเข้าให้

 

        " ข้ากะอยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องสงสัยใคร่รู้...เอาเถอะ ถึงแม้จะบอกว่าทุกคนในห้องนี้ต่างก็ละทิ้งอดีตจนหมด แต่สำหรับเขาแล้วคงจะไม่สามารถละทิ้งอดีตได้อย่างสิ้นเชิงแน่ "

 

        " หมายความว่าไง--หมายความว่าอย่างไร? "  

 

          สิงห์ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการเปลี่ยนสำเนียงคำพูดของไกร แต่เขาก็ยักไหล่อย่างไม่ติดใจเอาความอะไรพร้อมกับพูดต่อ

 

        " ท่านผู้นั้นน่ะคือผู้ที่อดีตเคยรั้งตำแหน่งถึงพระยายามราช ว่าที่พระสมุหกลาโหม แต่คราวผลัดแผ่นดินที่พระบรมโกศชิงราชสมบัติและขึ้นครองราชย์ คราวนั้นพระองค์ตรัสสั่งฆ่าล้างโคตรขุนนางเป็นอันมาก...ถ้าหากไม่ได้ท่านผู้เฒ่าช่วยไว้ ป่านนี้ก็คงมีหัวกับตัวแยกกันอยู่ไปแล้ว...จะว่าไปในรุ่นของพวกเรานี่ก็มี ท่านเมือง  นี่แหละที่อาวุโสที่สุด "

 

         " อ...เอาจริงดิ?! เฮ้ย! ตกลงท่านผู้เฒ่านี่เป็นใครกันแน่ฟะ?! ถึงขนาดช่วยขุนนางอาวุโสที่ต้องราชทัณฑ์ประหารชีวิตให้รอดมาได้เนี่ยไม่ใช่แค่มือสังหารธรรมดาแล้วนะ ...ล...แล้วตอนช่วยท่านเมืองนี่ท่านผู้เฒ่าอายุเท่าไหร่กัน? "

 

          สิงห์ตอบคำถามของไกรด้วยการเบะปากพร้อมกับเอียงคอยักไหล่เล็กน้อย

 

        " ไม่รู้สิ...ข้าเองก็ไม่ได้ถามซะด้วยเพราะตอนฟังเรื่องนี้จากท่านเมือง ทั้งข้าทั้งท่านเมืองเองก็เมาได้ที่เหมือนกัน...เพราะฉะนั้นอย่ามาเอานิยมนิยายกับคำตอบของข้ามากก็ได้เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าข้าฟังมาจริงๆหรือเพ้อเองเพราะพิษเหล้า "  คำตอบแบบหักมุมสุดๆทำเอาไกรถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะสบถออกมาเบาๆอย่างเดือดดาล  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับสะกิดใจอะไรบางอย่าง

 

        " ประเดี๋ยวนะ...ถ้าหากสมมุติที่เจ้าพูดเป็นความจริง เหตุใดท่านเมืองนี่ถึงได้คิดจะช่วยอโยธยาล่ะ? ...ทั้งที่ปกติแล้วอย่าว่าแต่แนะนำอย่างนี้เลย...ท่านเมืองควรจะปฏิเสธไม่เข้ากับฝ่ายอโยธยาด้วยความแค้นด้วยซ้ำ "

 

        " เจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า ไกร?... "

 

        " ??? "

 

        " นับตั้งแต่ที่พวกข้าอยู่ที่นี่ พวกข้าก็ทิ้งความแค้นและอดีตไปจนหมดสิ้น บัดนี้พวกข้าหาใช่ชาวเมืองหนึ่งเมืองใดอีกต่อไปไม่...พวกข้าคือชาวยุคันตวาตอย่างไรล่ะ "

 

          ในขณะที่ไกรกำลังคุยกับสิงห์อยู่นั้น ท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆพร้อมกับตอบคำถามของมือสังหารอาวุโสนามว่าท่านเมืองทันที

 

        " เรื่องที่เจ้าว่า...เมือง...เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงอันใดทั้งสิ้น..."

 

        " ? "

 

        " ข้าเชื่อว่าถ้าหากข้าได้นำความนี้ไปบอกแก่ผู้เป็นสหายของข้าคนนึงในอโยธยา...เวลานั้นแม้แต่พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ก็ยังต้องฟังคำของพวกเรา! "

 

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

          หลังการประชุมและแนะนำไกรในฐานะมือสังหารใหม่ให้มือสังหารทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมได้รับทราบ (ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ยังใช้มุกว่าเขาเป็นลูกของเพื่อนรักเหมือนเดิม) ทุกคนก็มีท่าทีเป็นมิตรกับไกรมากขึ้น...และการประชุมครั้งนี้เป็นเหมือนการกลับมาพบกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาของทุกคนทำให้หลังจบประชุมทุกคนก็ยังคงนั่งคุยสารทุกข์สุกดิบของกันและกันยาวเหยียดจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น สภาพของห้องประชุมจึงกลายเป็นงานเลี้ยงขนาดย่อมๆไปเลย ...ซึ่งไกรก็เห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเป็นส่วนเกิน เขาจึงแอบปลีกตัวออกจากห้องประชุมมาอย่างเงียบๆ แต่เขาเดินไปได้เพียงลับมุมห้องประชุม เขาก็ชะงักกึกกับคำทักทายของชายคนนึงเสียก่อน

 

        " ถึงจะบอกว่านี่ไม่ใช่คำชม...แต่ข้าก็ต้องขอชมจากใจจริงเลยนะว่าเจ้าช่างจืดจางได้ยิ่งกว่ามือสังหารตัวจริงอย่างพวกข้าเสียอีกนะ...ข้าเกือบจะไม่รู้เลยว่าเจ้าออกมาเมื่อใดด้วยซ้ำนะเนี่ย "  

 

          ไกรหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือก

 

        " ก็แค่ เกือบจะ สินะ ...ท่านผู้เฒ่า "

 

          ท่านผู้เฒ่าที่เดินลับมุมมืดออกมาราวกับภูติผีเอามือไขว้หลังพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ

 

        " ทำไมรึ? งานเลี้ยงไม่สนุกรึอย่างไร...หรือเจ้าเข้ากับพวกนั้นไม่ได้กัน? "

 

        " เปล่าหรอกครับ...อันที่จริงผม---ข้าค่อนข้างประหลาดใจด้วยซ้ำ...ข้าไม่นึกเลยว่าภาพพจน์ของมือสังหารอย่างสิงห์หรือศกุนตลาจะเป็นมิตรได้ถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มีเรื่องมากมายมันประดังประเดเข้ามาจนกระทั่งบางครั้งก็มากเกินรับไปหน่อย...ผมแค่ต้องการเวลาและสถานที่เงียบๆในการย่อยข้อมูลเท่านั้น... "

 

        " ...สถานที่เงียบๆอย่างนั้นรึ?...เอาอย่างนี้ เจ้าตามข้ามาสิ... "

 

        " ??? "

 

        " ข้ามีสถานที่เงียบๆ ที่นึงจะแนะนำเจ้า...รับรองว่าเจ้าต้องชอบแน่ "

 

          ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย...นึกสงสัยว่าท่านผู้เฒ่าเข้าใจคำว่าที่เงียบๆ ซึ่งแปลว่าที่ที่เขาอยู่ได้ตามลำพึงหรือเปล่า...แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดินตามท่านผู้เฒ่าไปอย่างเสียไม่ได้

 

          หลังจากที่ท่านผู้เฒ่านำเขาผ่านเส้นทางและบันไดวนที่คดเคี้ยวเป็นเขาวงกตที่ชายหนุ่มไม่รู้จริงๆว่าอีกฝ่ายเดินได้อย่างไรโดยไม่หลงเกือบ ๑๐ นาที พวกเขาก็มาโผล่ในที่ที่เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าว่าทุกประการ เพราะมันอยู่บนยอดแหลมของหอคอยที่สูงที่สุดของป้อมปราการนี้นั่นเอง

 

        " ม...มาโผล่บนนี้ได้ไงเนี่ย? "  ไกรหันซ้ายหันขวาพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างงงๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ

 

        " ความสวยงามของงานออกแบบอย่างไรล่ะ...ป้อมปราการนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นเขาวงกต บางสถานที่เช่นที่นี่หากรู้ทางก็จะขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว...แต่ถ้าไม่รู้ทาง บางทีต่อให้เดินวนทั้งชาติก็หาทางขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ "

 

          ไกรยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะปีนไปนั่งห้อยขารับลมอยู่ที่ขอบระเบียง...เขานั่งมองพระอาทิตย์ที่บัดนี้กำลังจะตกลับยอดเขาตรงหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆให้กับบรรยากาศโดยรอบ...ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่สถานที่นี้เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าบอกไม่มีผิดเพี้ยนเลย...บนนี้มันช่างเงียบ...และสงบอย่างที่เขาหวังจริงๆ

 

        " ...ร้องเพลงให้ข้าฟังหน่อยซิ ไกร... "  หลังจากเสพบรรยากาศได้ไม่ทันเต็มปอดดี อยู่ๆท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกระทั่งชายหนุ่มถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างงงๆ

 

        " นึกอะไรขึ้นมาได้ล่ะครับเนี่ย? "  

 

        " ก็แหม...เห็นอย่างนี้ข้าก็เป็นคนอารมณ์สุนทรีย์นะ ข้าได้รับฟังเพลงขับร้องตั้งแต่ของอดีตมาจนถึงปัจจุบันจนเอียนแล้วน่ะสิ...คนที่มาจากอนาคตอย่างเจ้ามาอยู่ตรงหน้าทั้งที่มันก็อดอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้ไม่ได้ซะด้วย "

 

        " นี่ตกลงเป็นคำขออย่างจริงจังใช่ไหมเนี่ย? "

    

        " อ้าว? ก็ใช่น่ะสิ...เอาเพลงที่โด่งดังที่สุดในยุคของเจ้าเลยนะ "

 

          ท่าทีอยากรู้อยากเห็นในเรื่องไม่เป็นเรื่องของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรถึงกับต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  เขาเกาหัวแกรกๆก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกเพลงได้ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพร้อมกับเริ่มต้นร่้องทันที

 

        " อามี อามี กาฟรื้อ!! เดซิโก๊ะ เดจิ นาโบ  กาโว๊ะ กาโว กาโว กาโว~~  "

 

        " พอ! "  

 

        " อ้าว? ยังไม่ทันจบเพลงเลย "

 

        " น...นี่ในยุคของเจ้า พวกเราใช้ภาษาไทยร่วมกับภาษาผีตองเหลืองรึนี่...ส...สะเทือนใจอย่างแรงเลย "

 

        " เฮ้ยๆๆๆ นี่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ? ข้าแค่ล้อเล่นๆ "  ไกรรีบบอกทันทีที่เห็นท่านผู้เฒ่าทรุดลงไปนั่งอย่างหดหู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับนึกหาเพลงดังๆแบบเก่าๆที่เขาเคยฟังและพอจะไม่ทำให้ท่านผู้เฒ่าช๊อคอีก...เขานึกอยู่นานก่อนจะเลือกเพลงและเริ่มต้นร้องเบาๆ

 

        "   ...ออกศึก ไม่เคยถูกคม       กลับมาต้องคมกานดา
           คมเนตร คมวาจา                 กรีดใจข้า เป็นริ้วเป็นรอย
           ต้องกลับ ด้วยความอับอาย     สิ้นชาย แพ้รักเคยคอย
           เห็นแก้มสีพลอย                 นั่นเป็นรอยของ บุเรงนอง
                     

                           อยู่หงสาวดี แต่ใจพี่ อยู่ใกล้น้อง
                                 ตะละแม่ ไม่แลมอง

                       บุเรงนอง.........พ่าย......รัก.....เอย.....  "   (เพลงบุเรงนองพ่ายรัก...คำร้องและทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง  ....ขับร้อง : ชรินทร์ นันทนาคร)

 

          ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงพร้อมกับยิ้มบางๆ ปล่อยให้สายลมและบทเพลงที่ไกรขับกล่อมไล้ผ่านร่าง เขาทั้งคู่นั่งรับลมอย่างเงียบๆจนกระทั่งตะวันตกดิน...ในที่สุด ท่านผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

 

        " นี่แน่ะ ไกร...สนใจจะเข้ากรุงอโยธยากับข้าไหม? "

 

        " ?!!! "

 

 

 

 

........................................

 

 

 

 

 

 

            (๑) สำหรับการเดินทัพของพระเจ้าอลองพญาที่ฉีกตำราพิชัยสงครามของพระเจ้าบุเรงนองทิ้งโดยการเดินทัพผ่านมะริด ตะนาวศรีและเข้าชายแดนด่านสิงขรอันทุรกันดารนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยได้ทรงวิจารณ์ไว้ในพระนิพนธ์ ไทยรบพม่า ว่า  ' คงจะไม่รู้ภูมิแผนที่ '  ...แต่ในความคิดของนักประวัติศาสตร์หลายๆคน กลับคิดว่านี่เป็นการเดินทัพที่มาเหนือเมฆอย่างที่สุด เพราะในคราวนั้น ทหารอยุธยาราวหมื่นนายถูกสงไปรอตั้งรับเก้ออยู่ที่กาญจนบุรี  อีกราวหมื่นนายก็ถูกส่งไปรอเหงาๆอยู่ที่ด่านแม่ละเมา ชนิดที่เมื่อทราบข่าวการเดินทัพของพม่าจริงๆแล้ว กองทัพทั้งสองกองนี้เกือบจะกลับมาตั้งรับที่พระนครฯไม่ทันกันเลยทีเดียว

 

                                                                                     LanzaDeLuz

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา