ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

73)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ศาลาลูกขุน หรือที่เรียกกันว่าศาลหลวงนั้นเป็นเหมือนมุกศาลา หรือเรือนซึ่งเป็นพระที่นั่งยกสูงโปร่งๆ ขนาดใหญ่โดยมีสระน้ำเล็กๆขุดอยู่ข้างๆ โดยศาลาที่ว่านี้ตั้งอยู่ ณ ส่วนที่เป็นเหมือนศูนย์ราชการที่เขตพระราชฐานชั้นนอก โดยที่เวลานี้ดูเหมือนส่วนราชการอื่นๆจะหยุดทำการไปชั่วคราว...เพราะเหล่าขุนนางข้าชการเกือบทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ชั้น เจ้าพระยา ซึ่งเป็นเจ้ากรม ลงไปจนถึงระดับชั้นสัญญาบัตรระดับล่างสุดที่ทำงานอยู่ในรั้ววังแห่งนี้อย่างระดับ พัน  ต่างก็มานั่งรอชมการตัดสินคดีขุนนางหนุ่มที่มาแรงที่สุดอย่างเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ในข้อหาที่อุกฉกรรจ์ร้ายแรงอย่างมีความสัมพันธ์อันไม่เหมาะไม่ควรกับเหล่านางใน...ที่หนักที่สุดคือนางในที่ว่าน่ะเป็นถึงสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...เจ้าฟ้าราชธิดาในสมเด็จกรมขุนวิมลพัตร พระอัครมเหสีอีกต่างหาก...

 

     ...แปลว่าถ้าหากการสอบคดีออกมาเป็นสัตย์จริง...หัวของขุนนางหนุ่มดาวรุ่ง ที่กำลังพุ่งแรงเป็นดาวหาง ได้มีหวังกระเด็นออกจากบ่ากลายเป็นกับดาวดับแสงเป็นที่แน่นอน...

 

      " อืม...ไม่ค่อยกดดันกันเลยแฮะ "  ไกรที่เห็นเหล่าขุนนางทั้งที่พอจะคุ้นหน้าและที่แปลกหน้าแบบไม่เคยเห็นมาก่อนเลยที่มานั่งออรอต้อนรับกันให้พรึ่บก็ถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างเริ่มแกว่งๆทันที นี่ขนาดเขาว่าเขาเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้วแท้ๆนะเนี่ย...ในขณะที่ท่านครุฑและท่านบุนนาคที่เดินเคียงข้างมาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกันทันที

 

      " ก็อย่างว่านั่นแหละขอรับ...ถึงจะยังหนุ่มยังแน่น แต่ท่านเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าพระยาพานทองผู้มีอำนาจและศักดินาสูง...ที่ดีไม่ดีอาจจะสูงพอๆกับพวกกระผมหรือเจ้าพระยาสุรสีห์ (เจ้าเมืองพิษณุโลก) และเจ้าพระยาศรีธรรมราช (เจ้าเมืองศรีธรรมราช) ด้วยซ้ำไป ในกรณีที่เจ้ารับใช้ใกล้ชิดพ่ออยู่หัวมากกว่าคนอื่นๆ ...เพราะฉะนั้นในการประหาร---เอ้ย! การไต่สวนคดีความของท่านเลยต้องมีผู้ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ...ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะต้องมากังวลใดๆหรอก "  ท่านคุฑที่เดินอยู่ข้างๆพูดเบาๆเป็นเชิงให้ชายหนุ่มสบายใจมากขึ้น แต่คำบางคำในประโยคปลอบใจของอีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำให้ไกรสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย

 

      ' ตะกี๊นี้เหมือนเราจะได้ยินคำที่เราไม่ควรได้ยินอย่างคำว่า ประหาร อะไรเทือกนี้รึเปล่าหว่า? '  ไกรเกาหัวแกรกๆพร้อมกับอดคิดในใจเล็กน้อยไม่ได้...ในขณะที่ท่านบุนนาคที่ยืนอยู่อีกด้านนึงสอดส่ายสายตาอันคมกริบมองไปรอบๆ ก่อนจะเลิกคิ้วดกหนาที่เริ่มจะมีสีขาวแซมสีเข้มของเขาเล็กน้อยอย่างประหลาดใจอะไรบางอย่างทันที

 

      " หืม? ...อ้าว? ไม่มาหรอกหรือเนี่ย "

 

      " ขอรับ? "  ไกรหันไปถามอย่างสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย ในขณะที่ท่านครุฑเป็นฝ่ายตอบคำถามแทนเบาๆว่า

 

      " ท่านบุนนาคหมายถึงเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์น่ะขอรับ "  

 

      " เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์? "  ไกรทวนคำพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่เต็มใบหน้า...เพราะหลังจากได้ยินยศและบรรดาศักดิ์ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ก็คือ...ใครฟะ?! 

 

      " เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์เป็นตำแหน่งและศักดินาของจางวางผู้เป็นหัวหน้ามหาดเล็กทั้งหมดทั้งมวลน่ะขอรับ...อ้อ...แล้วที่ท่านบุนนาคพูดออกมาเพราะนี่เป็นการตัดสินคดีความของท่านที่เป็นคนที่เขาน่าจะไม่ชอบขี้หน้าทั้งที รายนั้นก็ไม่น่าจะพลาดแท้ๆ "

 

       " หา? ประเดี๋ยวก่อนเลยขอรับ...แค่หน้ายังไม่รู้จักเลย แล้วกระผมจะไปทำให้เจ้าพระยาผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าได้อย่างไรกันล่ะขอรับ?! "  ...แค่เรียกตีนยังพอเข้าใจ เพราะด้วยตำแหน่งและท่าทางขี้โอ่เมื่อคราวการประลองรับน้องนั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผนของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ไอ้เรื่องที่ไม่ชอบขี้หน้าเนี่ยมันออกจะเกินไปหน่อยนะ...ยิ่งไปทำให้คนที่แม้แต่เขายังไม่เคยเห็นหน้าเกลียดขี้หน้านี่ยิ่งแล้วใหญ่...

 

         คำร้องของไกรทำให้เจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งสองถึงกับหันไปมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมามองหน้าไกรอีกครั้งอย่างประหลาดใจ ก่อนที่ท่านบุนนาคจะพยักเพยิดให้ท่านครุฑเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายอธิบายทันที 

 

       " ...มันเป็นมุกตลกชวนหัวที่พวกขุนนางเขาพูดกันน่ะขอรับ...ทานไกร...ก่อนที่ท่านจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีผู้บังคับบัญชาเหล่าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์น่ะดำรงตำแหน่งเป็นจางวางผู้เป็นหัวหน้าเหล่ามหาดเล็กทั้งมวล...หมายถึงทั้งทหารมหาดเล็กราชองครักษ์รักษาพระองค์และเหล่ามหาดเล็กที่เป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน...การที่ท่านก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ มันจึงเหมือนกับเป็นการลดอำนาจที่มีอยู่อย่างล้นเหลือของเจ้าพระยาราชมนตรีผู้นั้นกลายๆ เพราะเจ้าพระยาผู้นั้นจะคุมเพียงเหล่ามหาดเล็กที่เป็นฝ่ายพลเรือน ในขณะที่ท่านคุมมหาดเล็กฝ่ายทหาร...เป็นเหมือนกับฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายอย่างกระผมกับท่านบุนนาคนั่นแหละ  ท่านกับเจ้าพระยาผู้นั้นจึงมีชื่อราชทินนามที่คล้องกัน...เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ และเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีอย่างไรล่ะ "  ท่านครุฑอธิบายเบาๆพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจที่ไกรไม่รู้จักกับอีกฝ่ายเช่นนี้ เพราะตามปรกติแล้วฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาต่างก็ต้องทำงานร่วมกันชนิดไม่มากก็น้อย ทำให้การไม่คุ้นชื่อหรือไม่รู้จักกันเช่นนี้ถือเป็นเรื่องประหลาดมาก ในขณะที่ไกรก็ร้อง อ๋อ! อย่างเข้าใจพร้อมกับโคลงหัวเล็กน้อยทันที

  

      ' ...ปัดโธ่เอ้ย...ทำแปลกใจไปได้...อันที่จริงไม่รู้จักสิไม่แปลก เพราะไอ้ตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์กับหน่วยคเณศร์เสียงาเนี่ยมันเป็นตำแหน่งและหน่วยที่ถูกอุปโลกน์สร้างขึนเพื่อเป็นไม้กันหมาและเป็นหน้าฉากอยู่แล้ว...แถมยังพึ่งเป็นได้ไม่ถึงเดือน...ไอ้หน้าที่อะไรต่างๆมันก็ยังคลุมเคลือไม่เข้าที่เข้าทางดีเลยด้วยซ้ำ...เพราะงั้นไอ้เรื่องท่านเจ้าพระยาราชมนตรีอะไรนี่คงจะพักไว้ก่อนได้ เพราะเรื่องที่เราต้องกังวลตอนนี้คือเรื่องตรงหน้านี้ต่างหาก...เฮ้อ...เป็นได้ไม่ถึงเดือนก็เสี่ยงถูกฟันคอริเรือนซะแล้ว ตู... '

 

      " ท่านไกร...กระผมคงจะต้องส่งท่านเพียงเท่านี้...จากนี้ไปจะอยู่หรือไปก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว...โชคดีมีชัยนะขอรับ "  ก่อนที่ในที่สุด เมื่อเจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งสองก็เดินมาส่ง---หมายถึงควบคุมตัวเขาให้เดินมาถึงจุดที่เป็นเหมือนลานอิฐโล่งๆตรงหน้ามุกศาลาลูกขุนซึ่งเป็นศาลหลวงที่จะใช้ตัดสินชำระคดีความของไกร ท่านครุฑผู้ที่สนิทกับไกรมากกว่าในฐานะของผู้ที่นำลูกชายบุญธรรมอย่างสินมาฝากไว้ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเพื่อส่งชายหนุ่ม...ถึงจะฟังดูแล้วเหมือนเป็นการส่งแบบแปลกๆก็เถอะ...ในขณะที่ท่านบุนนาคที่สนิทกันน้อยกว่าและดูเหมือนเป็นคนที่พูดน้อยกว่าเช่นกันทำเพียงพยักหน้าให้ไกรน้อยๆพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " โชคดีนะ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "

 

      " ขอบพระคุณท่านทั้งสองมากนะขอรับ...ท่านครุฑ ท่านบุนนาค "  ไกรยิ้มรับคำสั่งน้อยๆ ก่อนจะก้มหัวขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อม ในขณะที่กองทหารที่ถูกจัดขึ้นเพื่อมาจับกุมตัวเขาต่างก็แยกย้ายกันไป ส่วนออกญาจักรีสมุหนายกและออกญามหาเสนาสมุหกลาโหมต่างก็แยกย้ายกันไปขึ้นบนศาลาลูกขุนจากบันไดซ้ายขวา ขึ้นไปนั่งยังตั่งไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ประดับยศอย่างเชี่ยนหมากหรือพานทอง อันแสดงให้เห็นว่าเป็นตั่งประจำตำแหน่งของทั้งสองช้าๆ...

 

        พอไม่มีเจ้าพระยาผู้อาวุโสทั้งสองยืนคอยเป็นแบ๊ค---หมายถึงผู้หนุนหลังให้อยู่...เรื่องก็เกิดทันที! 

 

      " เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่สวมเครื่องจองจำนักโทษผู้นี้! "

 

      ' เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง  เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา...เฮ้อ...พึ่งเห็นสัจธรรมกันแบบคาตาวันนี้เองนะเนี่ย '  ไกรลอบถอนหายใจเฮือกพร้อมกับโคลงหัวช้าๆทันที

 

        เสียงอันพยายามแสดงถึงอำนาจบาตรใหญ่ของขุนนางวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มที่ไกรเดาว่าน่าจะเป็นกลุ่มของพวกคณะลูกขุนที่มีชายชราที่อยู่ในชุดราชครูพราหมณ์นั่งเป็นประธานฝ่ายลูกขุนก็ตะโกนขึ้นจนดังไปทั่ว โดยเจตนาตวาดใส่กลุ่มกองทหารที่กำลังจะแยกย้ายกันออกไป ซึ่งทำให้กองทหารที่ไปจับกุมตัวของไกรเหล่านั้นชะงักกึกพร้อมกับหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังปรึกษาหาคนช่วยทันที...แต่ก่อนที่เหตุจะเข้าสู่สถานการณ์คับขันจนพวกเขาต้องอาญาเพราะงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่...เจ้าพระยาจักรีที่นั่งอยู่บนตั่งประจำตำแหน่งของตนเองก็หยิบหมากที่วางอยู่บนพานหมากข้างๆขึ้นมาเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะพูดแก้ต่างให้กับเหล่าทหารขึ้น ขณะยังคงมีหมากอยู่เต็มปากทันทีว่า

 

      " กระผมเป็นคนบอกให้พวกมันไม่ต้องใส่ตรวนหรือขื่อคาใดๆทั้งสิ้นเองนั่นแหละ "

 

      " ท่านออกญาจักรี?...แต่ว่ามันคือนักโทษนะขอรับ! "

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเพียงถูกกล่าวหาด้วยบัตรสนเท่ห์อันเป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว...ทั้งยังมิได้ลงลายมือชื่อผู้ที่กล่าวหาใดๆอีกด้วย...มันเป็นการกล่าวหาให้ร้ายอย่างหลักลอย...ท่านจึงยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา...มิใช่นักโทษแต่อย่างใด "

 

      " นี่ท่านจงใจบิดพลิ้ว เลี่ยงบาลี! "

 

      " ถ้ากระผมจงใจจริงๆ ท่านจะทำอะไรกระผมล่ะ...ท่านขุน!! "  เจ้าพระยาจักรีเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นข้นหนักขึ้นอย่างเริ่มอารมณ์กรุ่นๆที่เห็นขุนนางระดับขุน ที่มีลำดับชั้นต่ำกว่าเจ้าพระยาอย่างเขาถึง ๔ ขั้นมาต่อปากต่อคำเช่นนี้ จนทำให้ท่านขุนลองของผู้นั้นถึงกับผงะไปเล็กน้อยทันที

 

      " ท...ท่าน! "

 

      " ...เฮ้อ...ผู้ที่ผ่อนปรนอนุญาตให้ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ไม่จำเป็นต้องสวมตรวนน่ะไม่ใช่แค่ท่านออกญาจักรี...แต่รวมถึงกระผมด้วย...หากท่านจะอาศัยสิทธิ์ของท่านลงโทษทัณฑ์พวกทหารเหล่านั้น...ท่านก็คงจะต้องลงอาญากับกระผมและท่านออกญาจักรีด้วย...ท่านจะลงอาญาพวกกระผมในเวลานี้เลย...หรือว่าจะรอให้จบเรื่องท่านเจ้ารพะยาพิทักษ์ฯก่อนดีล่ะขอรับ...ท่านขุน "  ท่านบุนนาค...ออกญาพระกลาโหมผู้นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังยอมรับผิดร่วมกับพระสมุหนายก แต่น้ำเสียงราบเรียบเจอกระแสท้าทายของคำพูดยอมรับผิดแต่โดยดีนั่นทำให้ท่านครุฑที่นั่งเคี้ยวหมากอยู่ถึงกับหลุดขำออกมาทั้งที่อารมณ์กรุ่นๆอยู่อย่างห้ามไม่อยู่ทันที

 

     ...เพราะมันเป็นการบ่งบอกว่าไอ้คนที่ยศเพียง ขุน นั่นกำลังหาเรื่องกับเจ้าพระยาทั้ง ๓ คนพร้อมๆกัน...โดยที่เจ้าพระยา ๒ คนใน ๓ ที่ว่านี่คุมขุนนางเกือบทั้งหมดไว้ในกำมือเลยทีเดียว!

 

      ' อื้อหือ...ไม่ใช่แค่นารีอุปถัมภ์...คราวนี้แม้แต่เจ้าพระยาผู้ใหญ่ทั้งสองยังให้ความเอ็นดู...ไอ้เด็กนี่มันรู้ตัวไหมนะว่ามันมีผู้สนับสนุนจนมีอำนาจในพระบรมมหาราชวังและในหมู่เหล่าขุนนางไม่ใช่น้อยๆแล้วนะเนี่ย '  ท่านผู้เฒ่าที่เวลานี้เดินไปยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของมุกศาลาลูกขุน (ที่ไกรเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอาศัยตำแหน่งอะไรไปยืนอยู่ตรงนั้น) ถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่เขาจะกอดอกหันไปมองท่านขุนโชคร้ายที่เล่นไม่เข้าเรื่องอีกครั้งอย่างรอดูปฎิกริยาต่อไป...

 

        คำพูดอันกดหนักเชิงท้าทายของเจ้่าพระยามหาเสนาถึงกับทำให้ท่านขุนสุดห้าวผู้นั้นถึงกับหน้าซีดเผือดไปเลยทันที เพราะเขาพึ่งรู้ตัวว่ากำลังเล่นอยู่กับของที่เขาไม่ควรคิดจะเสี่ยงเล่นด้วยเข้าแล้ว...ในขณะที่บรรยากาศเริ่มข้นหนักขึ้น ชั่วอึดใจต่อมาขุนนางชราในชุดพราหมณ์ที่นั่งเป็นประธานคณะลูกขุนอยู่ด้านหน้าถึงกับหลับตาลงพร้อมกับถอนใจเฮือก และพูดขึ้นเรียบๆโดยไม่หันกลับไปมองหน้าทันทีว่า

 

      " เงียบได้แล้ว...ท่านขุน "

 

      " ต...แต่ว่า ท่านพระมหาราชครู...ราชปุโรหิต! "  ด้วยทิฐิมานะบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจทำให้ท่านขุนผู้นั้นโวยขึ้นทันทีอย่างไม่ยอม เพราะถือว่าพวกเขามีกฎหมายอยู่ในมือ...แต่ฮึกเหิมได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็ต้องกลับลงนั่งหุบปากเงียบเป็นหมาหงอยทันที เมื่อราชปุโรหิตชราหันกลับมามองด้วยสายตาวาวโรจน์ที่บ่งบอกเป็นคำๆเดียว...

 

        หุบปาก!

 

      " เจ้าอยากจะทำให้ข้าต้องอับอายไปถึงไหน...ท่านขุน! "

 

      ' พระมหาราชครู ปุโรหิตาจารย์?...เท่าที่จำได้ ตำแหน่งพระมหาราชครูนี่เป็นหัวหน้าฝ่ายพราหมณ์นี่นา...ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าท่านมีหน้าที่ในการตัดสินคดีความด้วย '  ไกรที่ยืนมองอย่างเงียบๆถึงกับเลิกคิ้วบางๆกับความรู้ใหม่ที่แทบจะหาไม่ได้ในหนังสือเรียนนี้ ก่อนที่เขาจะต้องจัดลำดับพระมหาราชครูเฒ่าผู้นี้ห้กลายเป็นบุคคลที่เขาต้องให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ เพราะดีไม่ดี ราชปุโรหิตผู้นี้นี่แหละที่จะเป็นผู้ตัดสินเป็นตายชีวิตของเขา...

 

      " ...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "

 

      ' นั่นปะไร...หวยมาออกที่ตูจนได้ '  ไกรถอนหายใจเฮือกในขณะที่ปากจะยิ้มพร้อมกับตอบรับไปเบาๆว่า

 

      " ขอรับ...ท่านพระมหาราชครู? "

 

        พระมหาราชครูเฒ่าจ้องนิ่งมาที่ไกรครู่หนึ่งด้วยสีหน้าตายสนิทอย่างผู้ที่ผ่านโลกมาค่อนชีวิต จนไกรเดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายมาดีหรือมาร้าย...หรือแม้แต่คิดอะไรอยู่ในใจ...ก่อนที่ในที่สุด เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิมว่า

 

      " ...ดาบของท่าน...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...ต่อให้ท่านยังไม่ได้ต้องโทษ หรือเป็นนักโทษ...แต่ท่านก็ยังคงเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาอยู่ดี...มันออกจะไม่เหมาะสม และผิดต่อกฎจารีตประเพณีอยู่ ที่ท่านที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาในอรรถคดีที่ใหญ่เช่นนี้จะยังคงพกศาสตราอันตรายอยู่ระหว่างตัดสินคดีความ "

 

      " ประเดี๋ยว...ท่านมหาราชครู--- "  ท่านครุฑที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดเพื่อหมายจะช่วยไกรอีกรอบ แต่คราวนี้พระมหาราชครูไม่เปิดโอกาสให้ เพราะราชปุโรหิตเฒ่ารีบชิงพูดต่อโดยไม่สนใจคำขัดของออกญาจักรีทั้งสิ้น

 

      " ราชมัล!! "

 

        สิ้นคำตวาดเรียกขานของราชครูเฒ่า เหล่าราชมัลหรือผู้คุมหนวดเฟิ้มกล้ามเป็นมัดๆหลายคนก็ลงมาที่ลานอันเป็นลานตัดสินที่ไกรยืนอยู่เพื่อยึดดาบ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องชะงักราวกับถูกสาปเป็นหินไปพร้อมกันเมื่อเห็นเจ้าพระยาหนุ่มที่ยืนอยู่กลางลานอิฐยกดาบสีเงินวาวที่ยังคงอยู่ในฝักขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับคำรามกร้าวๆทันที

 

      " ผู้ใดอยากได้ ก็มาแย่งจากมือข้าไปซะสิ!! "

 

        เสียงคำรามที่แฝงมาด้วยจิตคุกคามที่แข็งกร้าวของไกร รวมถึงดาบสีเงินวาววับที่ยังอยู่ในฝักหนังและอยู่ในมือของไกรไม่ใช่สิ่งที่พวกราชมัลเหล่านั้นจะกล้าเสี่ยง...ถึงพวกเขาจะมีมากกว่าและถืออาวุธครบมือเช่นกัน แต่เจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นไปแล้วว่าไม่สามารถวัดฝีมือกันด้วยปริมาณคนได้ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีท่าทีลังเล...ในขณะที่พระมหาราชครูขยับมุมปากเล็กน้อยจนหนวดสีดอกเลาที่ยาวเฟิ้มกระตุก ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆอีกครั้ง

 

      " คิดจะขัดขืนอย่างนั้นหรือขอรับ? ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "

 

      " กระผมแค่ปกป้องสิทธิของกระผมเท่านั้นขอรับ "

 

      " แปลว่าเห็นกฎหมาย...และข้อหาขั้นอุกฤษฏ์ที่ท่านถูกกล่าวหาตามบัตรสนเท่ห์เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือขอรับ? "

 

      " นอกจากจะมีราชโองการเป็นอื่น...กระผมยังคงเป็นเจ้าพระพิทักษ์ราชภักดี เป็นจางวางผู้เป็นหัวหน้าเหล่าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้งปวง...กระผมมีหน้าที่ในการถวายการอารักขาแก่พ่ออยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน...อีกอย่าง กระผมเชื่อว่ากระผมไม่มีความผิดใดๆตามที่กล่าวหาทั้งสิ้น กระผมจึงไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด...หากว่ามีผู้ใดไม่เห็นด้วยและคิดจะริบศาสตราประจำกายของกระผม...ก็เชิญเข้ามาแย่งไปเลย! "

 

        คราวนี้ไกรตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ทรงอำนาจที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ให้แผ่ไปพร้อมจิตคุกคามที่เร่งให้ถึงจุดขีดสุด...จนกระทั่งคำพูดเชิงท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดของไกรดังก้องไปทั่วทั้งลานและศาลาหลวง สร้างแรงกดดันประหลาดให้กับเหล่าคณะลูกขุนและขุนนางทุกคนที่นั่งอยู่ถึงกับต้องขยับทันทีอย่างอึดอัด ไม่ต้องพูดถึงเหล่าราชมัลที่อยู่ใกล้กับไกรที่สุดที่ถึงกับต้องขยับก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัวเพื่อรับแรงกดดัน...ในขณะที่เหล่าขุนนางที่มีฝีมือมากพอจะสามารถต้านทานจิตคุกคามนี้ได้ถึงกับต้องเลิกคิ้วพร้อมกับตาลุกวาวใส่ไกรที่ยืนนิ่งอยู่อย่างสนอกสนใจทันที

 

     ...เพราะนี่เป็นครั้งแรก...ที่คนๆหนึ่ง ที่จะกำลังตกเป็นผู้ต้องหาด้วยซ้ำแท้ๆ...หาญกล้าที่จะต่อต้านอำนาจของพระมหาราชครู...ราชปุโรหิตาจารย์เฒ่าผู้ถืออำนาจของเหล่าตุลาการและคณะลูกขุนทั้งมวลไว้ในมือ!...

 

      ' ดีแล้ว...แบบนี้นั่นแหละ ดีแล้ว ไกร...หากเจ้าเลือกที่จะสู้ และอีกฝั่งก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอเช่นนี้ ก็ให้ยืนกรานไปว่าไม่ผิดถ่ายเดียวเช่นนี้แหละ...หากเจ้าพลาดเผยความอ่อนแอหรือช่องว่างให้อีกฝ่ายเห็นเพียงแค่นิดเดียว พวกมันจะไม่ละโอกาสที่จะแสยะเขี้ยวขย้ำเข้าจุดอ่อนนั้นทันที...เจ้าไม่ผิด...นั่นแหละสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าชนะในการดานหมากการเมืองนี้ได้ '  ท่านผู้เฒ่าที่ยืนกอดอกอยู่ที่มุมศาลาลูกขุนขยับตัวเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยเพื่อต้านจิตคุกคามที่แผ่กระจายไปทั่วของไกรพร้อมกับลอบยิ้มบางๆทันทีอย่างผู้อาวุโสที่เคยเล่นหมากเช่นนี้มาก่อน...ก่อนที่เขาจะเหลือบมองไปรอบๆอย่างปราณีตที่สุด

 

     ...ผู้ใดก็ตามที่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับไกรที่ยืนอยู่ตรงกลางลาน แม้แต่เพียงนิดเดียว...ไม่ว่าจะพยายามเก็บซ่อนแค่ไหน ก็จะถูกเขาหมายหัวไว้โดยทันที...ถึงแม้ว่าการมีท่าทีเป็นปฎิปักษ์นั้นอาจจะเกิดจากความหมั่นไส้ก็จริง...แต่ก็อาจจะเกิดจากการที่พวกมันเป็นหนึ่งในกลุ่มบรรลัยกัลป์ด้วยเช่นกัน...

 

     ...เขา และหมู่บ้านยุคันตวาตเฉื่อยชามามากพอแล้ว ตั้งรับมามากพอแล้ว...ประมาท...มามากพอแล้ว...

 

     ...ถึงเวลาใช้ไม้แข็งเสียที!...

 

      " การกระทำของท่านแปลได้ว่าท่านกำลังขัดขืนกฎหมายอยู่นะขอรับ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "  ในที่สุดพระมหาราชครูเฒ่าผู้นั่งเป็นประธานคณะลูกขุนก็เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบและอดทน ในขณะที่ไกรส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นช้าๆทันที

 

      " กระผมแค่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของกระผมเท่านั้น...และกระผมขอยืนยันคำเดิม ว่ากระผมขอมีดาบเล่มนี้อยู่กับตัว...และกระผมรับรองด้วยเกียรติและสัตย์ของกระผม ว่าหากทุกอย่างยังคงเป็นไปอย่างขาวสะอาด...ดาบเล่มนี้จะไม่มีวันได้ออกจากฝักเด็ดขาด "

 

        สิ้นเสียงตอบโต้ของไกรเท่านั้น เรื่องก็เกิดทันที

 

      " ข้าก็ขอยืนยันคำเดิมเช่นกันว่าข้าไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดอยู่เหนือกฎหมายได้! มิฉะนั้นกฎหมายที่ข้าดูแลมาทั้งชีวิตจนกระทั่งหัวเปลี่ยนสีเช่นนี้จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปในปัจจุบันทันที!...ให้ตกนรกสิเอ้า! ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมาย...ไม่เว้นแม้กระทั่งท่าน! "  จากท่าทีสุขุมภีรภาพราวกับนักปราชญ์แปรเปลี่ยนเป็นชายชราผู้เกรี้ยวกราดที่ผรุสวาทออกมาดังก้อง...แต่ทั้งๆที่ท่านตวาดออกมาอย่างกราดเกรี้ยว แต่ทว่ากลับไม่มีความโกรธเคืองใดๆอยู่ในน้ำเสียงนั้นเลย...พระมหาราชครูผู้นี้ไม่ได้โกรธแค้นไกร...เขาเพียงแต่โมโหที่เห็นไกรพยายามยกตนเหนือกฎหมายที่ชายชราผู้นี้ยึดถือเป็นสรณะสูงสุดเท่านั้น

 

     ...เขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดและวิถีทางสมเป็นผู้รักษาความสถิตย์ยุติธรรมของแท้!...

 

      ' เวรกรรมแล้วไงตู...ดันไปมีเรื่องกับขุนนางตงฉินระดับท่านเปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงเข้าซะแล้ว '  ไกรคิดในใจพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ก่อนที่เขาจะทำใจแข็งด้วยการยืนกรานคำเดิมต่อไปว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งอาวุธ...นั่นทำให้ระดับความโมโหของพระมหาราชครูเฒ่าผู้นี้ถึงกับพุ่งปรี๊ดทันที 

 

      " ราชมัล!! ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมเข้าไปปลดศาสตราของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ตามหน้าที่ของเจ้าโดยตรง...ข้าคงต้องลงอาญาโบยพวกเจ้าทุกตัวคน...บัดเดี๋ยวนี้!! "

 

     ...ในขณะที่เหตุการณ์และบรรยากาศบริเวณศาลาลูกขุนกำลังข้นหนักขึ้น เพราะฝ่ายหนึ่งถือเอากฎหมายยิ่งชีวิตโดยไม่ยอมลดราวาศอกหรืองดเว้นให้แม้แต่กระเบียดนิ้ว...กำลังเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่อาจจะยอมอ่อนข้อได้เช่นกัน มันทำให้บรรยากาศรอบๆที่แห่งนี้เป็นเสมือนลูกโป่งที่กำลังพองลม...และกำลังพองลมโป่งขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งในที่สุด ลูกโป่งที่ว่านี้ก็กำลังจะระเบิดออกอยู่รอมร่อแล้ว!...

 

 

      " พ่ออยู่หัวเสด็จแล้ว!! "

 

 

        ก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้น...ก่อนที่บรรยากาศอันเป็นเหมือนลูกโป่งใบนี้จะแตกโพล๊ะออก เสียงสวรรค์เสียงหนึ่งก็ตะโกนก้องเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันข้นหนัก เป็นเสมือนระฆังหมดยกที่ดังขึ้น...ลดอุณหภูมิที่กำลังจะระอุเกินขีดจำกัดนี้ลงในปัจจุบันทันด่วน...เพราะเหล่าขุนนางทั้งหมดทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ไกรและพระมหาราชครูต่างก็ต้องหันกลับไปถวายบังคมเพื่อรับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์หลายต่อหลายท่านที่โดยเสด็จมาด้วยทันที

 

      ' หืม...กำลังสนุกแท้ๆ...แต่เอาเถอะ แบบนี้แหละดีแล้ว '  ท่านผู้เฒ่าที่หลบอยู่ที่มุมศาลาลูกขุนถึงกับโคลงหัวพร้อมกับหัวเราะอย่างเหนื่อยๆทันที...จริงอยู่ที่การยืนมองดูไกรและพระมหาราชครูเฒ่านั่นทะเลาะกันเป็นอะไรที่สนุกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูกในความคิดของเขา แต่สถานการณ์ในเวลานี้มันสุ่มเสี่ยงเกินกว่าจะเล่นอะไรได้อีกต่อไปแล้ว

 

        ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตรอจนกระทั่งราชพิธีทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและเสร็จเรียบร้อย เขาจึงค่อยๆเดินอย่างช้าๆราวกับแมวย่องโดยไม่มีใครสังเกตเห็น หรือไม่ก็สังเกตเห็นแล้วแต่ปล่อยผ่านไปเพราะมองทะลุหนังแกะที่คลุมอยู่ไม่ออก จึงไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถเป็นอันตรายกับใครได้...จนกระทั่งในที่สุด...อดีตออกญาจักรีผู้เป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงทั้งสามก็เลื่อนมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงเบื้องหลังสมเด็จพระพี่นางพินทวดี หนึ่งในลูกศิษย์ที่เขาสามารถคุยได้ง่ายที่สุดเรียบร้อยแล้ว...

 

      " แหม...ไม่มีผู้ใดสนใจกุมภีร์ผู้ลอยนิ่งเข้ามาดั่งขอนไม้ผุๆสักคนเดียว...ปล่อยให้ชายพายเรือเข้ามาถึงกระทั่งเบื้องหลังข้าได้...มันน่าสั่งเฆี่ยนเหล่าจ่าโขลนและราชองครักษ์คนอื่นๆให้หลังลายนัก! "  ทันทีที่ท่านผู้เฒ่านั่งเข้าที่ สมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็หรี่เนตรลงและกางพัดจีนในหัตถ์ขึ้นปิดโอษฐ์พร้อมกับตรัสเรียบๆโดยไม่จำเป็นต้องหันกลับมามองทันที...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าได้แต่ฝีนหัวเราะแห้งๆอย่างไม่อยากจะต่อปากต่อคำด้วยในเวลาเช่นนี้...ชายหนุ่มมองไปรอบๆราวกับสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างเห็นผิดสังเกตอะไรบางอย่างจนกระทั่งเขาเอ่ยทูลถามขึ้นเบาๆทันที

 

      " สมเด็จพระพี่นาง...แล้ว...สมเด็จพระอัครมเหสี...กับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรล่ะพุทธเจ้าข้า?...ไม่โดยเสด็จมาด้วยหรือ? "

 

        คำทูลถามของท่านผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์ทำให้อดีตองค์หญิงผู้เวลานี้ดำรงยศเป็นสมเด็จพระพี่นางของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ถึงกับต้องปัสสาสะเฮือก ก่อนจะฝืนสรวลออกมาอย่างเหนื่อยๆทันที

 

      " ที่ท่านถามมานี่ท่านคิดหรือเปล่า ท่านออกญา...ขืนให้สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรทรงเสด็จมาที่นี่ แล้วเกิดทอดพระเนตรเห็นเจ้าพระยาหนุ่มนั่นถูกประหารขึ้นมา...มีหวังพระนางได้เปลี่ยนกลายเป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง อีกรอบแน่...แล้วการปรากฏของบุตรีแห่งสุรีย์แสงท่ามกลางพ่ออยู่หัวทั้งสอง พระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ และเหล่าขุนนางค่อนพระนคร...ฝันร้ายชัดๆ "

 

      " ท่านก็เลยไม่ยอมให้พระองค์โดยเสด็จมาด้วย...และท่านกรมขุนวิมลพัตรพระอัครมเหสีผู้เป็นพระราชมารดาจึงไม่อาจโดยเสด็จมาด้วยเพราะต้องอยู่ปลอบพระทัยสมเด็จเจ้าฟ้าท่านสินะพุทธเจ้าข้า? "

 

      " ท่านฉลาดเรื่องอิสตรีมาโดยตลอด...คาดเดาเรื่องได้ไม่ผิดเพี้ยนเลยนี่...ท่านออกญา "

 

      " การถวายการอารักขาล่ะพุทธเจ้าข้า? "

 

      " ไม่ต้องกังวลไปหรอก...ข้าให้คุณท้าวศรีสัจจาและเหล่าโขลนที่ฝีไม้ลายมือดีที่สุด ๒ กองคอยถวายการอารักขาคุ้มกันอยู่ทั้งภายในและภายนอกพระตำหนัก...ไม่นับรวมเด็กอนาสตาเซีย...บุตรีบุญธรรมของท่านที่เวลานี้คงจะอยู่กับองค์หญิงอีก...อ้อ...พูดถึงบุตรีบุญธรรมของท่าน...รอยบาดแผลของท่านที่ข้า ฝาก ไว้หายเร็วดีแท้เลยนะ ท่านออกญา "

 

      " ...เฮ้อ...ร่องรอยหายไปแต่ความเจ็บปวดยังคงฝังลึกอยู่ในใจดวงน้อยๆของข้าพุทธเจ้านี่อย่างไม่หายไปง่ายๆแน่...ท่านลงหัตถ์ได้อย่างโหดเหี้ยมสิ้นดีเลยนะพุทธเจ้าข้า! "

 

      " ก็แหม...ข้าก็ขอโทษขอโพยไปแล้วอย่างไรล่ะ ท่านเองก็มีส่วนผิดที่ไม่อธิบายให้เร็วกว่านี้นะ "

 

      ' เหอะๆ คงจะอธิบายทันหรอก...ไปถึงยังไม่ทันได้ถวายบังคมด้วยซ้ำ...หมัดเท้าเข่าศอกพระองค์ท่านประเคนมาหมด...ถ้าเป็นคนธรรมดามีหวังต้องฝังกันแล้วซะล่ะกระมั้ง! '  ท่านผู้เฒ่าได้แต่หัวเราะแห้งๆพลางเถียงกลับไปในใจโดยไม่กล้าเอ่ยปากพูดออกมา...ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงพร้อมกับเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดทันที

 

      ' ...ก็แปลว่าที่อนาสตาเซียไม่มา ก็เป็นเพราะต้องไปอยู่ถวายการอารักขาองค์หญิงสิริจันทร...ตามที่หน้าที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้...อืม ก็จริง...เวลานี้เป็นเวลาที่ปลอดคน ปลอดการอารักขาและเหมาะที่สุดที่จะลงมีทำเรื่องเวรอะไร...เวลานี้ลำพังแค่เหล่าโขลนกับอนาสตาเซียคงไม่พอ ประเดี๋ยวคงต้องส่งข่าวให้อุษากับศกุนตลาลักลอบปลอมปนเข้ามาคุ้มกันพระตำหนักเสียหน่อยแล้ว '  ท่านผู้เฒ่านั่งนิ่งเงียบไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด จนกระทั่งสมเด็จพระพี่นางผิดสังเกตจนพระองค์ต้องผินพักตร์กลับมาเหลือบทอดพระเนตรเล็น้อยทันที

 

      " หืม?...ดูท่าท่านไม่ค่อยจะเป็นเดือดเป็นร้อน ปริวิตกกังวลใดๆเลยนะ...ทั้งๆที่ญาติผู้หลานจอมปลอมของท่านกำลังจะเข้าสู่หลักตะแลงแกงแล้วแท้ๆ...หรือว่า...มีแผนการอันล้ำเลิศและชาญฉลาดไว้แล้ว? "

 

      " ขะว่ามีก็มีนะพุทธเจ้าข้า... "  ท่านผู้เฒ่าครางพลางฝืนกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะกราบทูลต่อว่า  " ...เสียดายที่แผนการนี้ไม่ใช่แผนที่ข้าพุทธเจ้าเป็นคนคิดขึ้น...ทั้งยังเป็นแผนการที่สุ่มเสี่ยงและบ้าเลือดสิ้นดีเลยอย่างไรล่ะ! "

 

      " เอ๋? "

 

        ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกพร้อมกับหันไปมองพ่ออยู่หัวทั้งสองที่เวลานี้ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งที่อยู่สูงสุดของมุกศาลาลูกขุนแห่งนี้อย่างพินิจ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจจะอ่านท่าทีใดๆของพ่ออยู่หัวทั้งสองได้...ไม่นับว่าพระเจ้าเอกทัศน์ทรงอยู่ภายใต้หน้ากากขาวที่ปิดบังพระพักตร์ทั้งหมด...พระเจ้าอุทุมพรเองก็สีหน้านิ่งสนิทราวกับเต็มไปด้วยฌาณสมาธิราวกับผู้ทรงศีลที่ตัดขาดจากทางโลกแล้ว จนไม่อาจจะจับสังเกตใดๆได้เหมือนกัน...

 

      " เฮ้อ...ก็สมแล้วที่ถูกขนานนามว่าขุนหลวงหาวัด "  ท่านผู้เฒ่าลอบครางออกมาเบาๆ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะตัดสินใจหันกลับมาถามผู้เป็นพระเชษฐภคินีของพ่ออยู่หัวทั้งสองแทนว่า

 

      " สมเด็เจ้าฟ้า...ข้าพุทธเจ้าขอถามอะไรหน่อยเถอะนะพุทธเจ้าข้า...หลังจากที่พ่ออยู่หัวทั้งสอง โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้ทรงทราบเรื่องที่ถูกเขียนไว้ในบัตรสนเท่ห์นั่นแล้ว...พระองค์มีปฏิกริยาใดบ้างหรือพระพุทธเจ้าข้า? "

 

        คำถามของท่านผู้เฒ่าทำให้สมเด็จพระพี่นางเลิกขนงเล็กน้อย ก่อนจะหรี่เนตรลงพร้อมตรัสตอบคำถามกลับมาเบาๆว่า

 

      " เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านออกญา...พ่ออยู่หัวทั้งสองน่ะทรงทราบดีว่าการที่เด็กไกรนั่นอยู่ใกล้ชิดกับองค์หญิงเพราะมีพันธะที่ต้องถวายการอารักขาแก่องค์หญิง...ถึงบางครั้งบางคราจะพิศดูแล้วมิบังควรไปบ้าง แต่ทั้งสองพระองค์ก็เข้าพระทัยดีและพระทัยกว้างพอจะไม่ถือสาเอาความอะไร...ถึงข้าจะไม่แน่ใจความในใจของเด็กไกร กับพระทัยขององค์หญิงก็ตามทีเถอะ...แต่โปรดอย่าห่วงไปเลย...ทั้งสองพระองค์ โดยเฉพาะพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ทรงไม่ติดพระทัยอะไรกับบัตรสนเท่ห์หลักลอยของกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่ท่านว่า...พระองค์เชื่อใจท่านและไกรมากพอ "

 

      " แต่ก็ไม่ช่วยอะไรไกรเท่าไหร่สินะขอรับ? "  ท่านผู้เฒ่ากราบทูลต่ออย่างรู้ทันด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายอะไรราวกับว่าเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ในขณะที่สมเด็จพระพี่นางยกพัดปิดโอษฐ์สรวลออกมาเบาๆทันที

 

      " คิกๆ...ใช่...เพราะถึงแม้พระราชประเพณีจะบัญญัติอย่างชัดแจ้งว่าพ่ออยู่หัวถือเป็นผู้พิพากษาอรรถคดีฎีกาสูงสุด แต่อย่างไรเสียคำตัดสินก็ยังคงเป็นของพระราชครู ปุโรหิตาจารย์ และเหล่าคณะลูกขุนอยู่ดี...ราชโองการลงโทษ ลงพระราชอาญาของพ่ออยู่หัวก็เป็นเพียงแค่ในพระนาม...เป็นเพียงคำพูดปากเปล่า เพราะตามธรรมเนียม พ่ออยู่หัวได้มอบพระราชอำนาจในการตัดสินอรรถคดีใดๆก็ตามให้แก่คณะลูกขุนเหล่านั้น เพื่อตัดสินอรรถคดีฎีกาต่างๆโดยอ้างพระนามของพ่ออยู่หัวไปแล้ว...และเพื่อความมั่นคงและความศักดิ์สิทธิ์กฎหมาย...ไม่ใช่แค่กฎมณเฑียรบาล แต่เป็นกฎหมายทั้งหมดทั้งมวล...พระองค์ไม่อาจจะยื่นหัตถ์เข้าแทรกแซงใดๆ หรือวางพระองค์ลำเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่งได้...อย่างเต็มที่ก็คงจะแค่ขอลดหย่อนโทษจากฟันคอจนสิ้นชีวิต เป็นโทษเฆี่ยนโบยจนสิ้นชีวิตแทน...ซึ่งถ้าหากไม่มีเหตุอื่นที่อยู่ในขั้นปาฏิหาริย์มาช่วยแทรกแซงเพื่อช่วยแก้ต่างให้กับเจ้าพระยาหนุ่มนั่น...ข้าว่าคงไม่พ้นทางใดทางหนึ่ง...ไม่ตัดคอก็โบยจนถึงกระดูกเป็นแน่ "

 

      " สร้างขวัญกำลังใจกันดีเสียจริงนะพุทธเจ้าข้า... "

 

        ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ากำลังกราบทูลเจรจาความกับสมเด็จพระพี่นางอย่างเงียบๆอยู่นั้นเอง เวลาก็ไม่ได้หยุดเดินลงแต่อย่างใด...เพราะหลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้ว พระมหาราชครูผู้เฒ่า...หัวหน้าเหล่าคณะลูกขุนผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีความ...ที่เวลานี้กำลังจะตัดสินเป็นตายของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีหรือไกร ก็ประกาศดังลั่นไปทั่วทั้งลานและศาลาลูกขุนแห่งนี้ทันที

 

      " ...กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...ขอเดชะ...ใต้ฝ่าละอองะุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม...ภายใต้ดวงเนตรแห่งเหล่าเทวดาฟ้าดินและภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอันแผ่ไพศาล...ด้วยสิทธิและฐานะอย่างชอบธรรมที่ฟ้าดิน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานมา...ข้าพระพุทธเจ้า พระมหาราชครู พระราชประโรหิตาจารย์ ราชสุภาวดีศรีบรมหงษ์ องคบุริโสดมพรหมญาณวิบุลสิลสุจริต วิวิทธเวทยพรหมพุทธาจารย์...ราชครูฝ่ายปุโรหิต... "

 

        ทันทีที่พระมหาราชครูเฒ่ายกมือประนมประกาศจบลง...ชายวัยกลางคนที่ดูหนุ่มกว่าในชุดพราหมณ์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆอีกคนก็ยกมือประนมขึ้นและประกาศต่อในทันทีทันใดว่า

 

      " ...และข้าพระพุทธเจ้า...พระมหาราชครู พระครูมหิธรธรรมราช สุภาวดีศรีวิสุทธิคุณวิบูลธรรม วิสุทธิพรมจาริยาธิบดีศรีพุทธาจารย์...ราชครูฝ่ายพราหมณ์...ผู้เป็นหัวหน้าเหล่าลูกขุนผู้ตัดสินพิพากษาอรรถคดีทั้ง ๑๒ ท่าน...ขอเปิดการพิจารณาตัดสินคดีความตามคำฟ้องในบัตรสนเท่ห์...ของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี จางวางหัวหน้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ บัดเดี๋ยวนี้! "

 

        ครืนนน!

 

        บรรยากาศอันข้นหนักที่ถาโถมเข้าใส่ไกรที่เวลานี้ยืืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางลานอิฐแดงนั้น เต็มไปด้วยความขลังจนกระทั่งไกรถึงกับขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง และรู้สึกราวกับร่างกายถูกบีบให้หดเล็กลีบลงเหลือตัวนิดเดียวในทันที!

 

      ' อ...อื้อหือ...นี่ถ้ามีเสียง เว-----ฮู! หลังประกาศจบนี่ใช่เลย...บรรยากาศหนักกว่าตอนนั่งเปิดเน็ตดูประกาศผลแอดมิชชั่นอีกนะเนี่ย!...อ้าว? ก็ถูกแล้วนี่หว่า แอดฯพลาดตูก็ยังเข้าที่อื่นหรือรออีกปีได้...แต่งานนี้ถ้าเราพลาดมีหวังคอหลุดจากบ่านี่เนาะ '  ไกรคิดในใจพร้อมกับเหงื่อตกอย่างเริ่มลังเลแล้วว่าเขาตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่เลือกเล่นหมากแนวนี้ ก่อนจะกัดฟันกรอดพร้อมกับครางออกมาเบาๆโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นได้ทันที...

 

      " เร็วหน่อย...อเทตยา...ที่ฉันบอกว่าชีวิตฉันอยู่ในมือเธอ...ฉันไม่ได้พูดเพื่อปลอบขวัญ แต่พูดจริงๆจากใจเลย...เพราะฉะนั้น รีบทำงานให้เสร็จ แล้วกลับมาซะทีเถอะ...ฉันรอเธอยู่นะ "

 

        หลังไกรครางออกมาจบประโยคเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เสียงๆหนึ่งก็ตะโกนดังขึ้นจากทางเบื้องหลังของเขาทันที

 

      " ขอพระราชทานอภัยโทษที่พวกข้าพระพุทธเจ้ามาช้า...พวกข้าพระพุทธเจ้าขอเข้าร่วมการตัดสินพิพากษาโทษทัณฑ์...ในฐานะของพยานปากสำคัญของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีพระพุทธเจ้าข้า! "

 

        เสียงตะโกนนั้นทำให้ไกรหันหลังกลับมามองอย่างงงงวย ก่อนที่เขาจะต้องอ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้างแทบถลน...ลืมมาดและม่านความน่าเชื่อถือที่ตัวเองเพียรพยายามสร้างขึ้นมาชั่วขณะเลยทันที

 

      " ตูรอคนอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้รอเจ้าสองคน! ท่านเรือง สิน!! " 

 

 

 

 

 

 ...................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา