ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

74)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...พระตำหนักใหญ่แห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...เขตพระราชฐานชั้นใน...

 

     ...พระตำหนักอันเป็นที่พำนักแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง...ผู้เป็นราชธิดาองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ อันประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสีกรมขุนวิมลพัตร เป็นตำหนักเรือนไทยยกสูงขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบและถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมช่างอันงดงามสมเป็นพระตำหนักประจำพระองค์ของดรุณีน้อยผู้ถูกขานว่าเป็น ลูกรัก ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...พระตำหนักใหญ่...ที่เวลานี้รายล้อมเต็มไปด้วยกองทัพเหล่าจ่าโขลนที่มองเพียงผาดๆก็รู้แล้วว่ามีฝีมือระดับตัวเอ้ที่คัดมาแล้วล้วนๆ...ซึ่งในเวลานี้พวกเธอต่างก็แยกกันเป็นกลุ่มๆเพื่อเดินตรวจตราไปรอบๆพระตำหนักอย่างแน่นหนา จนกระทั่งแม้แต่หนูซักตัวก็คงจะไม่อาจเล็ดรอดผ่านเข้าไปในพระตำหนักได้โดยที่พวกเธอไม่รู้แน่นอน!...

 

     ...การถวายการอารักขา...ที่ถูกสั่งการลงมาโดยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี...ผู้เป็นพระปิจตุฉา (ป้า) ของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเอง...

 

      ' ...อืม...การคุ้มกัน---การถวายการอารักขาระดับนี้ แม้แต่เราหรืออุษาเองที่ว่าแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนที่สุดก็คงจะไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้ง่ายๆ...สมเด็จพระพี่นางทรงรอบคอบเสียจริง ' อนาสตาเซีย หนึ่งในมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ที่เวลานี้อยู่ในชุดและตำแหน่งของจ่าโขลนพิเศษที่ถูกแต่งตั้งขึ้นจากโอษฐ์ของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเอง กำลังยืนกอดอกอยู่ตรงศาลาน้อยๆที่ปลูกอยู่กลางเรือนพระตำหนัก พร้อมกับคิดในใจเล็กน้อยขณะใช้สายตาสีฟ้าจรัสของเธอเหลือบมองการเดินตรวจตราของกองจ่าโขลนภายใต้การนำของคุณท้าวศรีสัจจาหัวหน้ากองจ่าโขลน...ที่ดีไม่ดีอาจจะมีความเป็นระเบียบมากกว่าพวกกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือทหารล้อมวังด้วยซ้ำ

 

        ก่อนที่เธอจะหันสายตาไปมองเหนือกำแพงเขตพระราชฐานสีขาวด้านที่เป็นทิศที่ตั้งของศาลาหลวงซึ่งเป็นสถานที่ที่เวลานี้กำลังมีการตัดสินคดีความครั้งสำคัญของไกรผู้เป็นสหายของเธอ...ก่อนที่เสียงที่ถูกเปิดแง้มออกของประตูไม้หน้าห้องพระบรรทมที่ถูกเปิดออกจะดึงความสนใจของเธออีกครั้ง...พร้อมกับการยาตราออกมาของสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในราชอาณาจักรอย่างสมเด็จพระอัครมเหสี ที่ออกจากห้องพระบรรทมมาพร้อมกับเหล่านางสนองพระโอษฐ์ ในขณะที่อนาสตาเซียหันกลับมาพร้อมกับก้มลงคุกเข่าถวายบังคมอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังคงดูเก้ๆกังๆอย่างคนที่ไม่เคยถูกฝึกสอนอะไรเช่นนี้ ได้แต่มองดูและเลียนแบบอย่างครูพักลักจำเอา...จึงทำให้การถวายบังคมของเธอดูแปลกตา ไปจนถึงขัดตาเล็กน้อยสำหรับสำหรับผู้ที่อยู่ในรั้วในวัง จนกระทั่งเหล่านางสนองพระโอษฐ์ที่ตามเสด็จออกมาต้องหันไปซุบซิบกันเบาๆพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆทันที...แต่สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรก็ยังคงเก็บพระอาการและรักษาท่าทีได้เป็นอย่างดี...อาจเป็นเพราะพระองค์ถูกสั่งสอนมาให้แสดงออกอย่างสำรวมและวางพระองค์สมเป็นขัตติยนารี...หรือไม่ พระองค์ก็ทรงวิตกกังวลในพระอาการของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงผู้เป็นธิดามากจนเกินกว่าจะมาแปลกใจในเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้แล้ว...

 

      " ถวายบังคมสมเด็จพระอัครมเหสี... "

 

        กรมขุนวิมลพัตรเหลือบสายพระเนตรมองมาอนาสตาเซียที่คุกเข่าถวายบังคมเธออยู่เล็กน้อย ก่อนจะหลับเนตรและปัสสาสะเฮือกออกมาอย่างดำริไม่ตก...พระองค์หยุดบาทลงพร้อมกับหันกลับไปหากระบวนนางสนองพระโอษฐ์ที่กำลังหยุดและคุกเข่าลงนั่ง พร้อมกับตรัสสั่งออกมาเบาๆทันที

 

      " พวกเจ้า ลงไปคอยท่าข้าที่ด้านล่างพระตำหนัก...ข้าจะสนทนากับคุณท้าวจ่าโจลนพิเศษตามลำพัง "

 

      ' คุณท้าว...เนี่ยนะ '  อนาสตาเซียที่ยังคงหมอบคุกเข่าอยู่ก้มหน้าลงเลิกคิ้วคิดในใจเล็กน้อยทันทีกับคำเรียกขานที่ฟังดูแล้ว แก่ เกินตัวเธอไปไม่น้อย ในขณะที่เหล่านางกำนัลและนางสนองพระโอษฐ์ที่ได้ยินดำรัสสั่งอย่างชัดเจนของสมเด็จพระอัครมเหสีก็ถึงกับหันไปมองหน้ากัน ก่อนจะกราบทูลห้ามปรามไว้ในทันที

 

      " แต่ว่า สมเด็จพระอัครมเหสีเพคะ--- "

 

      " ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า...ข้าแค่จะสนทนาอะไรกับคุณท้าวตามลำพังสักเล็กน้อยเท่านั้น "

 

      " ต...แต่ว่า คุณท้าวเป็นพวกตะวันตก...เป็นพวกฝรั่งแขนลาย "

 

        เหตุผลของเหล่านางกำนัลที่พยายามทูลทัดทานกันซึ่งๆหน้าทำให้มือสังหารสาวชาวตะวันตกผู้เวลานี้กลายเป็น คุณท้าว ต้องขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อยทันที ก่อนที่เธอจะลอบระบายลมหายใจอย่างถอนฉิวพร้อมกับคลายมุ่นคิ้วที่ขมวดอยู่อย่างช้าๆอย่างเข้าใจดี

 

      ' โทษกันไม่ได้...นโยบายการยกเลิกความสัมพันธ์ทางด้านการทูต และการสอนให้ชาวสยามไม่ค่อยถูกชะตากับชาวฝรั่งแขนลายเริ่มต้นตั้งแต่รัชสมัยของพระเพทราชาผู้เป็นต้นตระกูลบ้านพลูหลวง...ถึงในยุคปัจจุบันไอ้แนวคิดเหล่านี้จะจางลง ไม่ค่อยสุดโต่งเช่นในอดีต แต่ผู้คนก็ยังมีอคติต่อชาวฝรั่งแขนลายอยู่ดี... '  มือสังหารสาวคิดในใจเล็กน้อย ในขณะที่สมเด็จกรมขุนวิมลพัตรปัสสาสะเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะดำรัสขึ้นอย่างราบเรียบว่า

 

      " ...ใช่...คุณท้าวเป็นฝรั่งแขนลาย...แต่นอกเหนือจากนั้น คุณท้าวก็ยังคงเป็นจ่าโขลนพิเศษที่ถูกแต่งตั้งขึ้นจากโอษฐ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยตรง มีสิทธิมีอำนาจในกองจ่าโขลนเป็นรองเพียงคุณท้าวศรีสัจจาผู้เดียวเท่านั้น...อันแสดงว่าสมเด็จพระพี่นางทรงรู้เช่นเห็นชาติดีอยู่แล้วในเรื่องความจงรักภักดีและฝีมืออันเก่งฉกาจของคุณท้าว...ก่อนที่พวกเจ้าจะเป็นห่วงข้า พวกเจ้าเป็นห่วงตัวเองซะก่อนเถอะ ที่กล่าววาจาอย่างนั้นต่อหน้าคุณท้าวโดยตรงเช่นนี้ "

 

      " หึๆๆ "  เสียงหัวเราะในลำคออย่างแปลกประหลาดของ คุณท้าว ชาวฝรั่งแขนลายที่ยังคงนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ ทำเอาเหล่านางกำนัลทุกคนถึงกับสะดุ้งพร้อมกับหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะพร้อมใจกันถอยกลับไปตามดำรัสสั่งของสมเด็จพระอัครมเหสีทันที

 

        เมื่อเห็นว่าอยู่กันตามลำพังแล้ว สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรก็ปัสสาสะเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะดำรัสเปรยขึ้นเบาๆว่า

 

      " เจ้าไม่ได้ใช้ไม้พลอง...ไม่ได้ใช้อาวุธปกติของเหล่าจ่าโขลน แต่ใช้แส้หนัง...เจ้าคิดว่าแค่แส้หนังนั่นจะปกป้องลูกข้าได้จริงหรือ? "

 

        อนาสตาเซียเลิกคิ้วเล็กน้อย เธอยกมือถวายบังคมก่อนจะค่อยๆปลดแส้หนังที่ม้วนเก็บอยู่ตรงสะโพกมาคลายออกช้าๆพร้อมกับกราบทูลกลับไปเบาๆว่า

 

      " ...หากไม่นับกฎราชมณเฑียรบาลที่ว่าห้ามนำศาสตรามีคมเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในโดยไม่มีเหตุจำเป็นที่สุดแล้ว ตั้งแต่ยังเด็ก หม่อมฉันเองก็ไม่ได้ถูกสั่งสอนมาให้ใช้ศาสตราที่ทื่อๆตรงๆแต่แรกแล้ว แต่เป็นศาสตราอ่อนที่ไว และสามารถลดเลี้ยวทะลุเกราะหรือเครื่องป้องกันได้อย่างเช่นแส้หนังนี่อยู่แล้วเพคะ "  มือสังหารสาวกราบทูลพร้อมกับตวัดแส้วาดพรึ่บจนเกิดเสียงปลายแส้ฟาดอากาศดังสนั่น ส่งปลายแส้ไปขยี้ผึ้งตัวเขื่องๆที่กำลังบินวนตอมดอกไม้ในกระถางไกลออกไปจนเป็นผุยผงได้อย่างแม่นยำ พร้อมๆกับตวัดม้วนเก็บกลับที่เดิมในทันที อันแสดงถึงความชำนาญในศาสตราชนิดนี้ของเธอ ทำให้สมเด็จพระอัครมเหสีแย้มพระสรวลบางๆอย่างพอพระทัยทันที

 

      " แต่...คงจะต้องเรียนรู้และปรับปรุงเรื่องการถวายบังคมสักหน่อยสินะ...เจ้าน่ะ "

 

      " เพคะ "  อนาสตาเซียก้มหน้าลงอย่างกระดากอายเล็กน้อย นึกโทษตัวเองที่ไม่คิดว่าจะต้องเข้ามาอยู่ในวัง จึงเรียนรู้แต่เรื่องศาสตราอย่างเดียว โดยไม่คิดจะเรียนรู้เรื่องอย่างการแฝงตัวพรรค์นี้เลย...ในขณะที่กรมขุนวิมลพัตรสรวลออกมาเบาๆ ก่อนที่พระองค์จะประทับนั่งลงที่ตั่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆและตรัสขึ้นเรียบๆอีกครั้ง

 

      " องค์หญิงบรรทมไปแล้ว...พระองค์กรรแสง จนพระวรกายอ่อนเพลีย บรรทมหลับไป... "

 

      " เพคะ? "

 

      " ข้านึกว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ศาลาลูกขุน...คอยท่ารอฟังคำตัดสินของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเสียอีก "

 

      " หม่อมฉันมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ และอีกอย่าง หม่อมฉันเชื่ออยู่แล้วว่าอย่างไรเสียไกร---ท่านเจ้าพระยาคงจะสามารถเอาตัวรอดมาได้ "  คำตอบของคุณท้าวสาวทำให้สมเด็จกรมขุนวิมลพัตรแย้มพระสรวลบางๆ ก่อนจะตรัสต่อเรียบๆว่า

 

      " หลังจากราตรีนั้น เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่?...เรื่องของ พลัง ที่แอบซ่อนอยู่ในพระวรกายองค์หญิง "

 

      " เพคะ "

 

      " บางคราข้าก็คิดนะ คุณท้าว...ว่าการที่เจ้าพระยาหนุ่มผู้นั้นอยู่ห่างจากลูกของข้าจะเป็นการดีมากกว่าหรือเปล่า...ทั้งกับตัวลูกข้าและตัวเจ้าพระยาเอง... "

 

        ดำรัสของสมเด็จพระอัครมเหสีทำให้อนาสตาเซียหันไปมองพระพักตร์ของพระองค์พร้อมกับนิ่งไปเล็กน้อยอย่างไม่อาจจะกราบทูลอะไรได้...อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้ถูกฝึกมาให้มาปลอบใจคนแต่เป็นลอบสังหารคน แต่เหตุผลจริงๆคงจะเป็นเพราะสิ่งที่เธอเห็นภายในดวงเนตรนั้นต่างหาก...ดวงเนตรของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไม่ใช่ดวงเนตรแห่งสมเด็จพระอัครมเหสี สตรีผู้ทรงอำนาจที่สุดในราชอาณาจักร...แต่เป็นเนตรของมารดาของเด็กสาวคนหนึ่ง...ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงลูกสาวตนเองจากใจจริง

 

      " สมเด็จพระอัครมเหสี...เพคะ "

 

      " เฮ้อ...ช่างเถอะ...ข้าแค่บ่นไปตามเรื่องตามประสาเท่านั้น... "  ก่อนที่อนาสตาเซียจะได้ทันกราบทูลอะไร กรมขุนวิมลพัตรก็ตรัสเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นช้าๆ ยืดพระวรกายกลับคืนสู่อิศริยยศอัครมเหสีอีกครั้ง ก่อนพระองค์จะผินพระพักตร์กลับมาหา คุณท้าว อนาสตาเซีย พร้อมกับตรัสขึ้นเบาๆอีกครั้งว่า

 

      " ข้าจะไปสวดมนต์ที่หอพระ...อย่างไรก็ฝากดูแลสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรด้วยนะ สมเด็จพระพี่นางและข้าไว้ใจฝีมือเจ้าที่สุด คุณท้าว... "

 

      " พ...เพคะ "

 

      " ข้าไปล่ะ... "  สมเด็จกรมขุนวิมลพัตรตรัสลาเรียบๆพร้อมกับยาตราออกไป ปล่อยให้อนาสตาเซียยังคงนั่งคุกเข่านิ่งอยู่...นานชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ในที่สุดเธอจะถอนหายใจเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับครางออกมาเบาๆทันที

 

      " ทั้งๆที่ไม่มีฝีมือด้านศาสตราใดๆเลยแท้ๆ แต่กลับสร้างแรงกดดันได้อย่างประหลาด...และทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้มีชนักปักหลังจนต้องกลัวพระองค์ด้วย...แปลกดีแท้ๆ "

 

      " คุณท้าว...ท่านอนาสตาเซีย... "

 

      " หืม? "  เสียงหวานใสที่อยู่ๆก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังจับสัมผัสใดๆไม่ได้เลยทำให้มือสังหารสาวที่ใจลอยออยู่สะดุ้งเล็กน้อยอย่างตกใจพร้อมกับที่มือพุ่งไปจับแส้ที่สะโพกอย่างรวดเร็วและหันขวับกลับมา แต่สตรีผู้ที่เรียกชื่อเธอนั่นกลับทำให้เธอถึงกับต้องเบิกตากว้างและรีบปล่อยมือจากแส้พร้อมกับร้องออกมาเบาๆอย่างประหลาดใจทันที 

 

      " องค์หญิง?...สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร "

 

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่ศาลาลูกขุนที่กำลังตัดสินตดีความ...เขตพระราชฐานชั้นนอก

 

      " ห...หลวงยกกระบัตรเมืองตาก...กับ...นั่น...ข้าตาฝาดไปรึเปล่าเนี่ย?...อ ออกญาสุรินทฦาไชย พระยาเพชรบุรี!! "  เสียงที่ดังขึ้นในหมู่ขุนนางที่กำลังระส่ำระสายอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการปรากฎตัวของหน่วยคเณศร์เสียงาทั้งสองทำให้ท่านผู้เฒ่าที่หมอบแอบอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง) ของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีถึงกับต้องเลิกคิ้วออกมาอย่างสนอกสนใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยกระแสของความหวั่นเกรงและคร้ามครั่นแล้ว...เขายังสามารถจับสังเกตถึงความตื่นเต้นยินดีที่แฝงมาในเสียงพูดคุยอันเซ็งแซ่นั้นด้วย จนกระทั่งเขาต้องพูดออกมาเบาๆว่า

 

      " หืม...จริงอยู่นี่เป็นคราครั้งแรกที่พระยาเพชรบุรีนั่นปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างไม่ปิดบังอำพราง...แต่ ชื่อเสียงของมันสร้างความแตกตื่นได้มากถึงขนาดนี้เลยรึนี่? "

 

      " หือ อ้าว? ท่านไม่รู้จักมันหรอกหรือ? "  สมเด็จพระพี่นางที่ประทับอยู่ด้านหน้าเหลือบกลับมาตรัสถามอย่างงงๆ จนท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกพร้อมกับโคลงหัวเล็กน้อยทันที

 

      " ข้าพุทธเจ้าไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องนะพุทธเจ้าข้า...ยิ่งหลังจากที่ข้าพุทธเจ้าทูลลาออกจากราชการยิ่งแทบไม่ได้ติดต่อกับเรื่องภายในเลย "

 

      " อืม...เข้าใจล่ะ...ถึงจะเห็นอย่างนี้ แต่ไอ้พระยาเพชรบุรีนั่นน่ะมีอายุแก่กว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่น้อยเลยนะ...มันอยู่ในการราชการมามาตั้งแต่ปลายรัชสมัยพ่ออยู่หัวท้ายสระ และเป็นข้าขุนนางผู้มีความสามารถที่พ่ออยู่หัวบรมโกศไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ขุนนางรุ่นเก่าๆทั้งมวล...ถ้าหากมันไม่เกิดไปทำเรื่องระยำตำบอนอย่างการคิดลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวล่ะก็ ป่านนี้มันน่าจะดำรงยศเป็นเจ้าพระยาระดับนาหมื่นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไปแล้ว "

 

     ...จริงอย่างที่พระพี่นางว่า...เพราะเมื่อทุกคนเริ่มสร่างจากความตะลึงแล้ว ท่านผู้เฒ่าได้เห็นขุนนางที่เป็นข้าราชการเก่าที่น่าจะเคยร่วมงานกับพระยาเพชรบุรีมาก่อนขยับลุกขึ้นด้วยสีหน้ายินดีราวกับจะลงไปเพื่อเข้าไปทักทายกับพระยาเพชรบุรีที่ยืนอยู่กับสินและไกร ทั้งๆที่แต่ละคนที่มีท่าทีเช่นนั้นมีหน้าตาเกือบจะแก่คราวพ่อของเรืองได้เลยด้วยซ้ำ  จนที่แห่งนี้หวิดจะควบคุมไม่ได้  กระทั่งพระมหาราชครูผู้เป็นหัวหน้าคณะลูกขุนต้องตวาดออกมาเสียงดังสนั่นเพื่อหยุดเหตุการณ์ที่กำลังจะเข้าสู่กลียุคนี้ไว้ทันที

 

      " หา? นี่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? แต่ว่า...จากหน้าตา มันยังอ่อนเกินกว่า---อย่าบอกนะว่า มันเป็นแบบเดียวกับข้า? "  ท่านผู้เฒ่าร้องออกมาอย่างตกใจ แต่สมเด็จพระพี่นางส่ายหน้าช้าๆ 

 

      " ไม่ใช่หรอก...ถึงมันจะเป็นจอมขมังเวทย์ที่มีของขลังและอาคมขลังที่สุด แต่มันก็ยังแก่ และตายได้อยู่ดี...แต่เล่าลือกันในหมู่ผู้มีวิชาอาคม และเหล่าราชมัลที่เป็นผู้สร้างห้องจองจำมันว่าที่มันแก่ช้าและเส้นผมเป็นสีทองแดงแทนที่สีเดิม เป็นเพราะมันฝัง แร่เหล็กน้ำพี้ ไว้ทั่วทั้งร่างอย่างไรล่ะ "

 

      " ฝังแร่เหล็กน้ำพี้ไว้ทั่วทั้งร่าง?! มันบ้าไปแล้วรึอย่างไรกัน?! ทำเช่นนั้นมีหวังได้ตายก่อนพอดี! "  คำบอกเล่าของสมเด็จพระพี่นางทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับอุทานออกมาทันที เพราะขนาดเขาที่ว่าไม่แก่ไม่ตายยังไม่กล้าทำเรื่องบ้าๆอย่างฝังแร่โลหะที่มีคุณสมบัติของธาตุเตโช(ไฟ) สูงขนาดนั้นไว้ในร่างเลย...แต่นั่นก็สามารถอธิบายความหน้าเด็กและเส้นผมสีทองแดงของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี...เพราะผู้ที่บรรลุถึงขั้นนั้นได้จะต้องเป็นผู้ที่ดูดซับพลังของเหล็กน้ำพี้ถึงจุดสูงสุดเท่านั้น ซึ่งเขาก็รู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว แต่ว่า...

 

      ' เสียสติไปแล้วชัดๆ...โกง...เร่งการดูดซับพลังเตโชด้วยการฝังเหล็กน้ำพี้เข้าร่างเนี่ยนะ...มิน่าล่ะ มันที่เป็นพวกเล่นอาคมและของขลังแท้ๆถึงไม่ยอมเข้าใกล้ดาบสดายุของไกรที่ถูกสร้างมาด้วย เหล็กสังขวานร เลย...ธาตุระดับสูงที่เป็นปฏิปักษ์กันอยู่ใกล้กันเช่นนี้มีหวังตีกันตายเป็นแน่ !! '  ท่านผู้เฒ่าคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่สถานการณ์ที่ใหญ่กว่าอย่างการมาถึงของสองหน่วยคเณศร์เสียงาที่ไม่ได้เป็นพรรคพวกของหมู่บ้านยุคันตวาตอย่างเรืองและสิน ที่สร้างความสั่นสะเทือนราวกับเป็นแรงกระเพื่อมบนฝืนน้ำได้อย่างชะงัด...ในขณะที่สตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าเหมือนจะรู้ทันความคิดของเขา เพราะพระองค์ตรัสถามขึ้นมาเบาๆทันที

 

      " การมายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ของพระยาเพชรบุรึและหลวงยกกระบัตรเมืองตากจะเปลี่ยนอะไรหรือไม่?...ช่วยอะไรเจ้าพระยาหนุ่มผู้นั้นได้หรือไม่? ท่านออกญา "

 

        ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหลุดหัวเราะพรืดออกมาเบาๆจนกระทั่งสมเด็จพระพี่นางต้องผินพระพักตร์กลับมามองตรงๆอย่างงงงวยทันที

 

      " ท่านออกญา? "

 

      " เขาสองคนช่วยอะไรไม่ได้หรอก...ต่อหน้าค้อนแห่งความยุติธรรม ขุนนางพราหมณ์ผู้ยึดถือกฎหมายเหนือชีวิตอย่างพระมหาราชครู ราชปุโรติตาจารย์ ต่อให้พระอินทร์เขียวๆเสด็จลงมาก็คงช่วยอะไรไกรไม่ได้...แต่ว่า...สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว... "

 

     ...สำหรับพระราชครูผู้นั้นน่ะยังพอเข้าใจว่าคงจะตัดสินคดีความด้วยความเที่ยงตรงโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น แต่กับเหล่าลูกขุนคนอื่นๆ กับขุนนางที่นั่งอยู่ทั้งหมดน่ะมันคนละเรื่องกันเลย...เพราะพวกเขาได้รู้ ได้เห็นแล้วว่าไม่ได้มีแค่เจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งสองให้ความเอ็นดูเท่านั้น...แต่เจ้าพระยาพิทักษ์ฯยังมีผู้ที่หนุนอยู่เบื้องหลังเป็นถึงอดีตขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ออกมาจากการจองจำ และเป็นผู้ที่มีอาคมสูงสุดน่าหวาดกลัวอีกด้วย...

 

     ...นั่นแปลว่าเหล่าคณะลกขุนรู้ความเสี่ยงแล้วว่า ถ้าหากพวกเขาทำการตัดสินพลาดไปเพียงนิดเดียว...งานนี้ไม่จบแค่ถูกอัครมหาเสนาบดีทั้งสอง และผู้หนุนหลังเจ้าพระยาหนุ่มเกลียดขี้หน้าแน่...

 

      " พ...พระมหาราชครูขอรับ "

 

      " ...กฎหมายต้องมีความศักดิ์สิทธิ์...ไม่ว่าใครจะหนุนหลังเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าศาลาหลวงและคณะลูกขุนก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีผล พวกท่านเองก็จงพึงสังวรณ์ไว้เช่นเดียวกับข้า... "  พระมหาราชครูเฒ่ายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหนักแน่นราวกับขุนเขาโดยไม่หันมามอง เพื่อสร้างขวัญและความมั่นคงให้กับเหล่าลูกขุนพราหมณ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังทั้งมวล แต่นั่นทำให้ท่านผู้เฒ่าที่นั่งใกล้พอที่จะได้ยินคำพูดนั้นหัวเราะในลำคออกมาเบาๆทันที

 

      ' ...สำหรับท่านน่ะอาจจะใช่...พระมหาราชครู...แต่คนอื่นไม่ได้เถรตรงและยึดมั่นถือมั่นในกฎหมายเหนือชีวิตเช่นท่าน...แม้แต่กฎอันศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถถูกปิดตาปิดปากได้...ครานี้ก็ต้องมาวัดกันแล้วล่ะ...ว่าระหว่างกฎหมายกับความรักตัวกลัวตาย อะไรมันจะเหนือกว่ากัน ' 

 

      " ...ถ้าหากท่านไม่ว่าอะไร ท่านอดีตพระยาเพชรบุรี ท่านหลวงยกกระบัตร...ท่านกำลังขวางการตัดสินพิจารณาพิพากษาคดีของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...เชิญท่านทั้งสองออกมาเถิด "

 

      " หมดกัน...อุตส่าห์เปิดตัวอย่างดี...ถูกขัดหัวทิ่มเลยแฮะ "  เรืองที่รักษาสีหน้านิ่งสนิทครางออกมาเบาๆอย่างหน้าตายทันที ทำเอาแม้แต่คนที่ไม่ใคร่ชอบขี้หน้าซักเท่าไหร่อย่างสินที่ยืนอยู่ด้านข้างยังถึงกับหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ทันที แต่ไกรกลับไม่มีอารมณ์สนุกด้วย เพราะเขาขยี้ผมอย่างหัวเสียพร้อมกับพูดออกมาเรียบๆทันที

 

      " พวกท่าน...ทำ...บ้า! อะไรของท่านกันฟะเนี่ย?! "

 

     " ก็เห็นๆอยู่...พวกข้ามาช่วยท่านอย่างไรล่ะ "

 

      " แล้วพระคุณท่านเห็นคำพูดที่กระผมสั่งว่าห้ามพระเดชพระคุณทั้งสองให้เลิกยุ่งกับเรื่องนี้และถอยกลับไปเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองกันล่ะ...อากาศธาตุอย่างนั้นเหรอ?! "  

 

        เสียงและรูปแบบประโยคกร้าวๆของไกรที่กำลังยกมือขยี้สันจมูกอย่างแรงเพื่อระงับความโกรธทำให้ท่านเรืองและสินนิ่งไปเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกท่านไกรผู้เป็นผู้บังคับบัญชาด่าเอาแบบนี้...ถึงจะเป็นคำด่าที่แปลกหูมากก็ตามที...ก่อนที่ในที่สุด ท่านเรืองจะเป็นฝ่ายพูดเบาๆว่า

 

     " ท่านจะดุ จะด่าอย่างไรพวกข้าก็เชิญตามสบายเลยขอรับ ท่านไกร...แต่ว่า ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้สักข้อว่า ข้าเห็นด้วยกับสินตั้งแต่แรกแล้ว...ว่าที่ท่านทำน่ะมันผิดสิ้นดีเลย "

 

     " หา?! "

 

     " ท่านไกร ท่านเองก็น่าจะรู้ประวัติของข้าดีอยู่แล้ว...ข้าถูกผู้ที่ข้าคิดว่าเป็นพวกพ้องทอดทิ้ง ขายข้าอย่างเลือดเย็นที่สุด "

 

      " น...นั่นมัน "  ไกรอ้าปากพะงาบๆ เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าท่านเรืองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก...ชายหนุ่มหันไปมองบรรยากาศรอบๆอยางครุ่นคิดและวิเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อแข่งกับเวลาที่งวดลงทุกขณะทันที

 

      ' ...ก็พอเข้าใจสิ่งที่ท่านเรืองพูดก็เถอะ ...แต่ว่า กรรมตามสนองรึเปล่าน้อ ตู...ไม่สิ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง...ถ้าไม่นับว่าเราเอาบุคคลสำคัญทั้งสองในประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องแล้ว การปรากฏตัวของท่านสินและท่านเรืองในเวลานี้ เมื่อนับรวมเข้ากับฐานอำนาจเก่าที่ไม่คาดคิดของท่านเรืองก็นับว่าเหมาะใช้ได้...นั่นทำให้พวกลูกขุนเห็นแล้วว่าเรามีคนหนุนหลังอยู่ไม่ใช่น้อยๆ...อำนาจที่เรามีจะต้องมากพอจะปิดปากกฎหมายของพระมหาราชครูตงฉินนั่นได้ แต่ว่า...แค่นั้ยังไม่พอ... '  ไกรคิดในใจพร้อมกับพร้อมกับหันไปมองทางด้านประตูพระบรมมหาราชวังที่อยู่ไกลลิบๆออกไปพร้อมกับครางออกมาเบาๆทันที

 

      " ชักเป็นห่วงจริงจังแล้วแฮะ...อเทตยา...จะไหวรึเปล่าฟะเนี่ย? "

 

      " ท่านไกร? "  พระยาเพชรบุรีที่เห็นไกรบ่นพึมพำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ก็ร้องขึ้นเบาๆ นั่นทำให้ไกรได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับฝืนหัวเราะอย่างถอนฉิวและพูดเรียบๆว่า

 

      " เฮ้อ...อย่างน้อยการมาของท่านก็ได้จังหวะเหมาะพอดี ท่านออกไปนั่งด้านนอกเถอะ ประเดี๋ยวตาพระมหาราชครูนั่นจะเขม่นขี้หน้าข้าไปมากกว่านี้ ขอบใจพวกท่านมากนะ ที่อุตส่าห์มีแก่ใจมาช่วยข้า "

 

      " ก็ข้าได้บอกท่านไปแล้วนี่ขอรับ ว่าท่านคือยันต์กันผี...เป็นยันต์หนึ่งเดียวของข้าที่จะทำให้ข้าไม่ต้องกลับเข้าไปในคุกอีก...ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญของข้าก็ออกจะติดท่านอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นข้าก็คงจะปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปไม่ได้... "

 

      " คิดบ้างไหมว่าข้าไม่ดีใจกับเหตุผลพรรค์นี้เลยซักนิด "

 

      " ท่านไกร...ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมข้าที่เคยเป็นถึงพระยาชั้นผู้ใหญ่และแก่กว่าท่านกว่ารอบถึงเลือกที่จะยอมติดตามท่าน...ลำพังแค่ราชโองการของพ่ออยู่หัว ทั้งพระเจ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศน์ไม่ได้ทำให้ข้าอยู่เช่นนี้แน่...ท่านก็รู้ใช่หรือไม่ "

 

      " ... "  

 

      " ...สิ่งที่รั้งข้าไว้...ไม่ใช่ความจงรัก ไม่ใช่หน้าที่การราชการ ...แต่ท่านคือผู้สาดน้ำเข้าสู่ดวงตาที่มืดบอดและเต็มไปด้วยโทสจริตของข้า คำพูดของท่านหลายๆคำเปิดตาให้ข้าเห็นว่าอโยธยาไม่ได้มืดมนอย่างที่ข้าคาดคิดไว้มาก่อน...ท่านกระชากโซ่ตรวนออกและฉุดดึงข้าออกมาจากบ่ออันดำมืดขึ้นสู่แสงสว่างอีกครั้ง...ที่ข้าตอแยท่านขนาดนี้ เพราะข้าเชื่อในตัวท่าน...ทำให้ข้ารับไม่ได้อย่างยิ่งที่ท่านจะเดินจากไปโดยทิ้งพวกข้าไว้ ถึงจะอ้างเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของตัวข้าเองก็ตามที...ข้าฝากไว้ให้ท่านคิดเพียงเท่านี้แหละ... "  เรืองพูดด่้วยน้ำเสียงราบเรียบตามแบบฉบับของตัวเขา ก่อนจะก้มหัวลงเคารพไกรเล็กน้อยและเดินออกไปโดยมีสินเดินตามไปติดๆ เพื่อจะปล่อยให้ไกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการตัดสินคดีความต่อทันที 

 

     ...ถึงจะบอกว่ามีคนหนุนหลังไกรเพิ่มมาเพียงแค่ ๒ คน แต่ก็อย่างที่ท่านผู้เฒ่าเคยพูดเอาไว้ ว่าสองคนที่ว่าคนหนึ่งคือหลวงยกกระบัตรเมืองตากผู้เป็นที่น่าจับตามองในหมู่ขุนนางรุ่นใหม่ ในขณะที่อีกคนคือพระยาเพชรบุรีผู้นับหน้าถือตาในหมู่ขุนนางรุ่นเก่าๆ (ถึงเขาจะนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้นับหน้าถือตามากถึงขนาดนี้ก็ตาม)  การมาถึงของสองคนนั้นทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปจริงๆ...เพราะนอกพระมหาราชครู ราชปุโรหิตาจารย์ที่นิ่งและมั่นคงประดุจหินผาแล้ว เหล่าลูกขุนคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่พระมหาราชครูอีกคนเริ่มมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ยิ่งไอ้ท่านขุนพราหมณ์คนแรกยิ่งแล้วใหญ่เพราะเวลานี้ถึงกับนิ่งไปเลย...

 

     ...อำนาจของผู้ที่อยู่หนุนหลัง กำลังจะสามารถปิดปากกฎหมายได้จริงๆ...

 

     ...เหตุการณ์และการสืบสวนดำเนินมาอย่างเรียบร้อยที่สุด แม้จะมีการนำสืบพยานอย่างเหล่านางกำนัลในวังที่อยูในเหตุการณ์ในช่วงที่ไกรเข้าไปในพระราชฐานชั้นในและเป็นช่วงที่ไกรและองค์หญิงสิริจันทรทำเรื่อง ไม่งาม พรรค์นั้นจริงๆ แต่นางกำนัลเหล่านั้นก็ถูกปิดปากจนอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดความจริงออกมา แต่ถึงอย่างนั้น ไกรก็ไม่อาจจะปฏิเสธถึงเรื่องที่เขาแตะต้องพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรได้อยู่ดี...ถึงแม้ว่าเขาจะแก้ต่างไปแล้วว่าเขาแตะต้องพระวรกายพระนางด้วยเหตุจำเป็นเร่งด่วนสูงสุดก็ตาม แต่การผิดกฎมณเฑียรบาลก็ยังเป็นการผิดกฎมณเฑียรบาลอยู่ดี...

 

      ' อย่างกับตำนานเรื่อง พระนางเรือล่มเลยวุ้ย! ทั้งๆที่เราก็แก้ต่างไปแล้วว่าเราทำไปด้วยเหตุจำเป็นแท้ๆ...แต่ก็อย่างว่านั่นแหละเราก็ทำผิดจริงๆ แถมนี่ก็ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมในยุคปัจจุบัน แต่ยังเป็นยุคที่มยังมีความป่าเถื่อนอยู่มาก...แค่เราไม่ต้องไปพิสูจน์ด้วยการดำน้ำอย่าขุนแผนหรือลุยไฟอย่างนางสีดา...ได้เท่านี้ก็ถือเป็นกุศลท่วมหัวแล้ว '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยระหว่างที่เหล่าคณะลูกขุนทั้งสิบสองคนกำลังหันหน้าปรึกษากัน เพราะนี่ก็ใกล้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายในการตัดสินคดีความ นั่นก็คือช่วงประกาศคำตัดสินและบทลงโทษแล้ว...ซึ่งถ้าเขาสังเกตไม่ผิด เขาว่าเขาได้เห็นพระมหาราชครูเฒ่าหัวเสียอย่างน่าดูชมทีเดียว

 

      ' ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านเปาแกกำลังถูกบีบ...เพราะถ้าหากปล่อยให้ท่านตัดสินคนเดียว ป่านนี้หัวเราคงหลุดจากบ่าไปแล้ว...แต่นี่เป็นการตัดสินร่วมกันของลูกขุนทั้ง ๑๒ คน...นานาจิตตังแบบนี้ทางรอดเรายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ...แบบนี้ยังไงๆก็พ้นโทษตายแน่ๆ  แต่ว่า...สถานการณ์ยังคงก้ำกึ่ง...ถึงเว้นโทษตายได้ แต่ถ้าหากเราถูกโทษเนรเทศให้ออกนอกราชอาณาจักร ที่ทำมาทุกอย่างก็จบกัน '  คราวนี้ไกรได้แต่คิดในใจอย่างครุ่นคิด เพราะถึงจะบอกว่าทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นกำลังเอนเอียงมาเข้าทางเขาทุกประการ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจนกระทั่งเขาอดกังวลไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่ง...

 

        กึกๆๆๆ

 

     ...เสียงม้า?...

 

        เสียงของเกือกม้าหลายสิบตัว ที่กระทบกับถนนอิฐแดงเป็นจังหวะๆ ปลุกไกรให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ พร้อมๆกับที่เหล่าลูกขุนผู้กำลังหันหน้าไปสุมหัวปรึกษาหารือเกี่ยวกับบทลงโทษของไกรอยู่นั้นต้องหันกลับมามองอย่างงงๆทันที

 

      " ...ขอพระราชทานอภัยโทษที่ข้ามาช้า เพราะมัวแต่ติดกิจราชการสำคัญเกี่ยวกับการดูแลความสงบเรียบร้อย...ข้าพุทธเจ้า พระยาอนุชิตชาญไชย จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวา และผู้ติดตามแห่งกรมพระตำรวจทั้งหมดถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า! "

 

      " ระยำแล้ว! "  ทั้งเรืองและสินพร้อมใจกันลุกพรวดจากที่นั่งของตน ทะลึ่งขึ้นยืนพร้อมกับเบิกตากว้างแทบถลนทันที เมื่อพวกเขาได้เห็นขุนนางหัวหน้ากรมพระตำรวจวัยกลางคนที่พุงพลุ้ยที่เป็นอริและดูเค้าแล้วน่าจะเหม็นขี้หน้าเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หัวหน้าของพวกเขาอย่างที่สุด ลงจากหลังม้ามาถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ พร้อมกับพวกกรมพระตำรวจยศสูงที่ติดตามมานับสิบคน  แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรต่อไป ออกญาอนุชิตชาญไชยผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนและคว้าฝักดาบเดินอาดๆเข้าไปหาเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ผ้ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางลานอิฐและหันหลังให้อยู่จนแทบจะกลายเป็นเป้านิ่งชั้นดีทันที!

 

      " ท่านไกร! เลิกตกตะลึงแล้วชักดาบสิขอรับ!! "  สินที่เห็นดังนั้นก็รีบตวาดออกมาดังลั่นด้วยความเป็นห่วงโดยหวังจะให้ผู้บังคับบัญชาของเขาเลิกยืนนิ่งและเตรียมพร้อมตั้งรับ แต่ไกรกลับทำเพียงหันหน้ากลับมาหาเจ้ากรมพระตำรวจผู้มีอดีตอันไม่น่าจดจำต่อกันเท่าไหร่นักพร้อมกับยิ้มมุมปากและพูดเรียบๆเป็นเชิงทักทายว่า

 

      " ...ท่านออกญาอนุชิตชาญไชย "

 

      " ท่านไกร!! "

 

        ป้าบ!! 

 

        ฝ่ามืออันอวบใหญ่ของจางวางเจ้ากรมพระตำรวจถูกเงื้อและตบเข้าอย่างแรงที่ไหล่ของเจ้าพระยาหนุ่มจนกระทั่งไกรถึงกับเซหลุนๆไปด้านหน้า แต่เขากลับไปม่ยอมปัดป้อง...เพราะชายหนุ่มรู้ดีอย่าแล้วว่านี่ไม่ใช่การจู่โจม...แต่เป็นการทักทายอย่างสหายสนิทต่างหาก

 

      " ฮ่าๆๆๆ เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ท่านไกรสหายข้า...ดีจริงที่คอยังไม่หลุดจากบ่าและข้าก็มาทันเวลาพอดิบพอดี เพราะข้านำเรื่องที่จะช่วยให้ท่านพ้จากโทษทัณฑ์ทั้งหมดทั้งปวงมาฝากท่านและเหล่าลูกขุนผู้ตัดสินโทษท่านแล้ว! "

 

      " ว่าอย่างไรนะ?!! "  คราวนี้ทั้งสินและเรืองตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างไม่เชื่อหูตัวเองและไม่สนมารยาทใดๆทั้งสิ้นอย่างตกตะลึง...ในขณะที่คนที่ควรจะต้องตกตะลึงที่สุดอย่างเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรือไกร ในเวลานี้กลับทำเพียงลอบยิ้มบางๆออกมาอย่างสมคะเนเท่านั้น

 

      " จริงอย่างที่ท่านว่า ท่านออกญาอนุชิตฯ สหายข้า...ท่านมาได้จังหวะเหมาะเจาะพอดีจริงๆ "

 

     ...เขาไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด...จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวาผู้นี้มาได้จังหวะเหมาะพอดีจริงๆ...ที่นี้...ตัวหมากของเขาก็ลงสู่กระดานครบทุกตัวแล้ว!...

       

 

 

 .......................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา