The Revenge ความแค้นที่หอมหวาน

9.2

เขียนโดย MeTang

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.06 น.

  36 ตอน
  10 วิจารณ์
  37.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 15.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ตอนที่ 26

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               คืนที่ดึกสงัดถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็นของคืนนี้ กำลังจะระอุไปด้วยเพลิงแค้นของคนทั้งคู่ ระหว่างป้องศักดิ์ผู้ชายที่มีความเคียดแค้นเป็นเดิมพันสุดท้ายในชีวิต เขาพร้อมจะเผาผลาญทุกคนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงสู่ความสำเร็จ กับอีกฝั่งคือริวกิชายหนุ่มผู้มีพลังแห่งความชิงชัง เขามีจิตวิญญาณแห่งการปกป้องและพร้อมจะแลกทุกอย่างในชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งที่เขารัก

                “แกจำฉันได้อีกเหรอ” ป้องศักดิ์ถามด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

                “กากเดนที่ไร้ความสามารถอย่างแกอันที่จริงฉันก็เกือบลืมไปแล้ว”

                “ก็ดี” ป้องศักดิ์หัวเราะในลำคอ “เรามาระลึกความหลังกันหน่อยมั้ย”

                “ไม่จำเป็น ฉันไม่มีเวลาว่างมากพอจะมาฟังคำพูดจากปากเน่าๆของแก”

                “ทำไมล่ะ กลัวปากเน่าๆของฉันจะพ่นเรื่องเหม็นโฉ่ของแกออกมาเหรอ”

                “ฉันกลัวว่าถ้ายิ่งแกพูดออกมา คนที่เป็นฝ่ายเสียจะเป็นแกมากกว่า”

                “ใช่ฉันเป็นฝ่ายเสียหาย เป็นฝ่ายที่ถูกแกลอบกัดมาโดยตลอด หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่ฉันให้อภัยคนเลวๆอย่างแก”

                “แกคิดว่าถ้าแกพูดว่าให้อภัยฉัน ฉันจะสนใจเหรอ” ริวกิหัวเราะ “ฉันไม่สนใจคำพูดที่ไร้ค่าจากขยะโสโครกอย่างแกหรอก หัดรู้ตัวเสียบ้าง”

                “ปากดีนักนะแก”

                “นอกจากจะปากดี ฉันยังมีอะไรหลายอย่างที่ดีกว่าคนอย่างแกเยอะ”

                “อะไรล่ะที่มีดีกว่าคนอย่างฉัน อำนาจเหรอ หรือเงินทอง หึ… คนอย่างแกคงใช้เงินซื้อความเป็นคนจากคนอื่นสินะ ไอ้หมาลอบกัด”

                “แกจะพูดอะไรก็รีบๆพูด ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”

                “มันถึงเวลาที่แกจะต้องชดใช้เรื่องทุกอย่างที่แกก่อคืนให้ฉัน”

                “ฉันไม่มีอะไรต้องคืนให้แก”

                “เรื่องที่แกใช้อำนาจขู่ บก. ให้ไล่ฉันออก แกทำลายชีวิตฉันด้วยวิธีสกปรก”

                “แกคิดอย่างนั้นเหรอ” ริวกิหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมแกไม่ลองคิดดูให้ดีล่ะ ว่าที่ชีวิตของแกต้องตกต่ำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะใครกันแน่”

                “ก็เพราะแกยังไงล่ะ ไอ้คนสารเลว” ป้องศักดิ์ตะโกนลั่น

                “ไม่เลย” ริวกิยิ้มอย่างผู้มีชัย “ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกทำลายตัวเองทั้งนั้น”

                “หมายความว่าไง”

                “สงสัยฉันต้องเตือนความจำแกบ้าง” ริวกิยิ้มมุมปาก “แกลงข่าวแบล็คเมลล์ฉันนั่นมันไม่ผิด แต่สิ่งที่คนโง่อย่างแกทำแล้วไม่น่าให้อภัย คือการที่แกตัดต่อรูปเพื่อทำลายชื่อเสียงของฉัน นั่นเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ คนอย่างแกนอกจากจะไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพการงานแล้ว ยังเป็นคนน่ารังเกียจอีกด้วย”

                “ก… แก” ป้องศักดิ์หน้าถอดสีแทบจะในทันที

                “แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ”

                “ใช่ฉันทำ แล้วทำไม… เรื่องแค่นี้ถึงขั้นต้องบีบบังคับให้ บก. ไล่ฉันออกจากงานเหรอ นักข่าวที่มีอนาคตไกล ทำงานด้วยความตั้งใจมาตลอด สมควรได้รับการตอบแทนที่เกินควรอย่างนี้เหรอ ฉันว่ามันเกินไปหน่อยมั้งริวกิ”

                “เรื่องไล่แกออกฉันไม่ได้เป็นคนบีบบังคับให้ บก. เป็นคนทำ”

                “ว… ว่าไงนะ”

                “บก. ของแกเป็นคนยื่นข้อเสนอเรื่องการไล่แกออกเพื่อเป็นการชดเชยความผิดแลกเปลี่ยนกับการที่ฉันจะไม่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกยังไงล่ะ”

                “ไม่จริง บก. รักฉันและเชื่อมั่นในตัวฉัน ท่านวางใจฉันในทุกเรื่อง ท่านไม่มีทางหักหลังฉันแบบนั้นเด็ดขาด แกอย่ามาใส่ร้ายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดเลย ฉันไม่มีทาวเชื่อคนปลิ้นปล้อนอย่างแกหรอก”

                “ก็เพราะเขารักแกยังไงล่ะ เขาถึงไม่อยากให้ฉันฟ้องแก”

                “แกโกหก คนตีสองหน้าอย่างแกก็ใช้เงินสร้างเรื่องได้ทุกอย่างแหละน่า”

                “คนโง่ยังมีวันฉลาด แต่ถ้าดักดานอย่างแกต่อให้คนทั้งโลกมาพูดแบบเดียวกันแกก็ไม่มีวันเชื่ออยู่ดี” ริวกิเปล่งเสียงที่แฝงไปด้วยพลังอำนาจออกไป “ยอมรับความจริงและปล่อยคนของฉันเสียเถอะ แล้วฉันจะยอมไม่เอาเรื่องแกอีกสักครั้ง เพื่อหวังว่าในอนาคตแกจะกลับตัวกลับใจใช้ความสามารถที่แกมีอยู่ สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นบ้าง”

                “อย่ามาทำเป็นพูดจาให้ตัวเองดูดีหน่อยเลย ทำไมฉันต้องเชื่อแกด้วย”

                “ไหนๆแกก็รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว แกก็ควรตาสว่างและใช้ชีวิตที่เหลือของแกสำนึกความผิดของตัวเองจนกว่าจะตายดีกว่านะ”

                “คนที่ควรจะใช้ชีวิตอยู่กับความเสียใจมันต้องเป็นแก ไม่ใช่ฉัน” ป้องศักดิ์หยิบมีดพกออกมา

                “ที่ฉันพูดมันไม่ใช่คำขอร้องแต่มันเป็นคำสั่ง” ริวกิตวาด “ฉันเตือนแกแล้วนะ”

                “ฉันก็ไม่ได้ขู่เพราะฉันเอาจริง” ป้องศักดิ์จิกหัวปอนด์ที่นอนซมอยู่ที่มุมห้องให้ตัวยืนตรง ก่อนจะใช้มีดสั้นจี้ไปที่คอหอย

                เจสันที่ยืนอยู่ข้างหลังริวกิมาโดยตลอดเมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบถลาเข้าไปหวังจะช่วยปอนด์ แต่ก็โดนริวกิยกแขนขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณห้ามเสียก่อน

                “ไม่ต้องเจสันเรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ริวกิล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูท “ฉันอยากจบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

                ริวกิยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่ป้องศักดิ์อย่างใจเย็น ในเมื่อการเจรจาล้มเหลวมันก็คงต้องใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อปิดฉากความแค้นที่เกาะกินหัวใจมาหลายปีนี้เสียที

                “แกน่าจะรู้นะว่าฉันเอาจริง” ริวกิปลดล็อคไกปืน

                “แกก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างฉันก็เอาจริง” ป้องศักดิ์เลื่อนมีดให้ใกล้คอของปอนด์ยิ่งขึ้น มันใกล้จนปอนด์รู้สึกได้แสบเล็กๆที่บริเวณคอ

                “แล้วแกคิดว่าปืนฉันกับมีดแกอะไรมันจะเร็วกว่ากันล่ะ รีบๆปล่อยคนของฉันมาก่อนที่ฉันจะปิดโอกาสครั้งสุดท้ายของแก”

                “ดูท่าแกคงจะรักไอ้หนูนี่มากสินะ ถึงขั้นต้องออกโรงปกป้องมันด้วยตัวเอง”

                “ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกเอาเวลาไปดูแลชีวิตโสมมของแกให้ดีขึ้นน่าจะเหมาะกว่านะ”

                “ชีวิตฉันมันก็ดีกว่าความวิปริตของแก ทำไมเหรอ… ผู้หญิงบนโลกนี้ไม่มีใครถูกใจแกสักคนแล้วหรืออย่างไร แกถึงต้องคว้าผู้ชายมาทำเมีย”

                “หยุดดูถูกคนอื่นได้แล้ว” ริวกิพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

                “แกไปคุ้ยมาจากซ่องไหนล่ะ” ป้องศักดิ์หัวเราะอย่างสะใจ

                “แกไม่มีสิทธิ์ไปว่าเด็กคนนั้น ในขณะที่ตัวแกก็ไม่ได้มีดีไปกว่าคนอื่นเลย”

                “สงสัยจะรักกันจริงสินะ” ป้องศักดิ์พยุงตัวปอนด์ขึ้น เขาใช้ปอนด์เป็นเกราะกำบังกระสุนจากริวกิ “น่าขำ… เจ้าพ่อไนต์คลับที่ชีวิตสมบูรณ์แบบ กลับเป็นพวกผิดเพศน่ารังเกียจเหมือนพวกหนอนชอนไชซากศพ”

                จบคำเย้ยหยันจากป้องศักดิ์เสียงลั่นไกปืนก็ดังขึ้นในแทบจะทันที กระสุนพุ่งตรงไปฝังยังกำแพงที่ไม่ห่างจากหัวของป้องศักดิ์เท่าไหร่ มันสร้างความตกใจให้ทุกคนในห้องนี้ยกเว้นริวกิ เพราะเขาเป็นคนมอบกระสุนสังหารนี้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ด้วยตัวเอง

                “ฉันแค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของของฉัน” ริวกิพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “กระสุนหน้ามันจะฝังอยู่ที่หัวแกแทนฝาผนังนั่นแน่ เพราะฉันเริ่มเบื่อกับการเล่นเกมที่น่าเบื่อนี้แล้ว”

                ป้องศักดิ์เริ่มมีเหงื่อซึมรอบตัว ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้าอย่างเป็นทางการกับริวกิ เขาประมาทการเดินเกมรุกของริวกิมากเกินไป ป้องศักดิ์ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเจอศัตรูเจ้าเล่ห์อย่างริวกิที่โผล่มาก่อนแผนจะเริ่ม นั่นทำให้เขาเริ่มกลัวคนอย่างริวกิเป็นครั้งแรก

                “ก… ก็ได้ ฉันจะยอมปล่อยตัว แต่แกต้องวางปืนก่อน”

                “ฉันให้สิทธิ์แกพูดใหม่ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายได้เปรียบ และข้อต่อรองของแกมันฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูสำหรับฉัน”

                “ฉันจะปล่อยตัวไอ้เด็กนี่ก็ได้ แต่ฉันจะเชื่อใจแกได้อย่างไรว่าแกจะปล่อยฉันไปจริงๆ”

                “ฉันคือริวกิ ฉันเป็นพูดคำไหนคำนั้น”

                “ถ้าอย่างนั้นเจสันแกไปยืนตรงนั้น” ป้องศักดิ์ชี้ไปยังมุมห้องฝั่งตรงข้ามกับเขาที่มีเตียงขวางไว้

                ริวกิหันหลังไปพยักหน้าให้กับเจสันที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขา เพื่อเป็นการตอบรับคำสั่งของป้องศักดิ์ สำหรับริวกิแล้วไม่ว่าป้องศักดิ์จะเหลือแผนอะไรอยู่ในใจ เขาก็ไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญมันเพื่อเอาสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนมา และเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าป้องศักดิ์จะมาไม้ไหน เขาก็สามารถอ่านเกมเหล่านั้นได้ออกหมด

                ป้องศักดิ์ยอมทิ้งมีดในมือลงบนพื้นทันที เมื่อเห็นเจสันยอมเดินไปยังจุดที่เขาคิดว่ามันปลอดภัยที่สุดสำหรับการหลบหนีของเขา

                “ถึงคราวแกแล้วริวกิ แกต้องวางปืนในมือแล้วเขี่ยมันเข้าไปใต้เตียง” ป้องศักดิ์สั่ง โดยมีริวกิก็คอยทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข “ถอดเสื้อสูทออกด้วย ฉันต้องแน่ใจก่อนว่าแกจะไม่มีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่”

                “แกนี่มันเรื่องเยอะพอๆกับความเลวเลยนะ” ริวกิถอดเสื้อสูททิ้งลงบนพื้น

                “เอากุญแจรถออกมา แล้วโยนทิ้งไปที่ข้างหลังของแก”

                “ไม่ให้ฉันขับไปส่งด้วยเลยล่ะ” ริวกิล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกง และโยนออกจากห้องนอน

                “ฉันไม่ตลก” ป้องศักดิ์เริ่มเดินหน้าอย่างช้าๆโดยมีปอนด์เป็นตัวประกันอยู่ข้างหน้า ในขณะที่ริวกิก็ค่อยๆก้ก้าวถอยหลังทีละก้าว ตามจังหวะการเดินของป้องศักดิ์อย่างช้าๆ

                ป้องศักดิ์รีบปิดประตูห้องนอนทันทีเมื่อออกมาถึงทางเดิน ทิ้งให้เจสันยืนคนเดียวอยู่ในห้องนั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ริวกิรู้สึกตกใจ เพราะลำพังแค่ตัวเขาคนเดียวก็จัดการคนอย่างป้องศักดิ์ได้สบายอยู่แล้ว

                “จะทำอะไรก็รีบๆเข้า ฉันไม่มีเวลาว่างมายืนดูแกเล่นละครทั้งคืนหรอกนะ” ริวกิเริ่มโมโห

                “ฉันต้องแน่ใจก่อนว่าฉันจะปลอดภัยและหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยที่ไม่โดนแกลอบกัด” ป้องศักดิ์ก้มตัวลงเก็บกุญแจรถบนพื้น ที่ริวกิโยนทิ้งตามคำสั่งของเขา

                แม้จังหวะเหล่านี้จะเอื้ออำนวยให้การหลบหนีของปอนด์สะดวกขึ้น แต่แค่การยืนทรงตัวให้ได้อยู่หลายนาทีสำหรับปอนด์ในตอนนี้ ก็นับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่สุดแล้ว เขาแทบจะจำไม่ได้ว่าใครพูดอะไรบ้าง เพราะอาการปวดหัวตัวร้อนจากพิษไข้ทำให้เขาเริ่มเบลอไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เด่นชัดที่สุดของปอนด์ คือใบหน้าของริวกิที่ฉายแววความมุ่งมั่นออกมา แค่นี้แหละที่ปอนด์ต้องการ

                ทั้งสองฝั่งยังคงหยั่งเชิงกันจนถึงบริเวณห้องรับแขกของบ้าน ที่ห้องนี้มีประตูทางออกอยู่ใกล้ๆ สภาพของปอนด์ในตอนนี้เริ่มอ่อนแรงและทรงตัวแทบไม่ไหวจนริวกิสังเกตเห็นได้ ในขณะเดียวกันป้องศักดิ์เองก็เริ่มเหนื่อยกับการต้องประคับประคองร่างของปอนด์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ มันเป็นเวลาที่ทุกคนจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อจบปัญหาที่ยืดเยื้อนี่เสียที

                “ฉันไม่เข้าใจว่าแกจะเสียแรงซื้อเวลาทั้งหมดนี่ทำไม ประตูก็อยู่ตรงหน้าแก กุญแจรถก็อยู่ในมือแก ทำไมแกไม่เดินออกจากบ้านหลังนี้ไปให้มันจบๆเสียที” ริวกิเริ่มเบื่อกับเหตุการณ์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น

                “ก็ดี” ป้องศักดิ์ตอบกลับ “ฉันก็ไม่อยากกกกอดแฟนแกไปนานกว่านี้หรอก… ขยะแขยง”

                ป้องศักดิ์คลายมือที่ล็อคตัวปอนด์ออก เพื่อเตรียมตัวพุ่งหนีไปยังทางออกของบ้านที่ประตูเปิดอ้าทิ้งไว้ เขาผลักตัวปอนด์เบาๆเพื่อให้ปอนด์ถลาเข้าหาตัวของริวกิ

                “ร… ริวกิ” ปอนด์เซไปข้างหน้า โดยมีริวกิอ้าแขนรอรับอยู่ อีกไม่ไกล… เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นที่เขาจะได้สัมผัสริวกิอีกครั้ง มันช่างเป็นเวลาที่แสนเนิ่นนานสำหรับปอนด

                ดวงตาปอนด์หรี่เล็กลงในขณะที่เขาเริ่มควบคุมทิศทางการเดินของตัวเองไม่ได้ เขาส่ายเอียงตัวเล็กน้อยๆจนทำให้ริวกิเห็นแผนเจ้าเล่ห์ของป้องศักดิ์ เสี้ยววินาทีแรกที่ริวกิเห็นคือป้องศักดิ์กำลังล้วงมีดสั้นที่เขาแอบไว้ในกระเป๋ากางเกงอีกข้างออกมา มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ และริวกิจะไม่ยอมให้ปอนด์ตกเป็นอันตรายมากไปกว่านี้อีกแล้ว

                ภาพทุกอย่างราวกับเคลื่อนไหวช้าลง ในขณะที่ป้องศักดิ์หันปลายมีดแหลมพุ่งตรงไปทางปอนด์ แม้มีดนั้นจะเป็นมีดพกขนาดเล็ก  แต่ริวกิคาดว่าหากมันถูกฝังลึกลงไปยังจุดสำคัญของปอนด์ที่ร่างกายอ่อนแออยู่ตอนนี้ นั่นอาจทำให้เขาสูญเสียปอนด์ไปตลอดกาล

                “ปอนด์” ริวกิตะโกนลั่น คว้ามือของปอนด์และกระชากร่างที่อ่อนแอนั้นเข้ามาโอบกอด ก่อนจะเหวี่ยงตัวเพื่อใช้ร่างของตัวเองเป็นเกราะกำบังอันตรายให้ปอนด์

                ใบมีดขนาดเล็กและแหลมคมทิ่มแทงทะลุผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวไปอย่างง่ายดาย ด้วยความคมนั้นมันกรีดลึกลงไปยังเนื้อหนังที่ต้นแขนขวาของริวกิ เลือดสีแดงเริ่มทะลักออกมาตามรอยแยกของผิวหนัง ริวกิผู้ถูกฝึกมาให้รับมือกับความเจ็บปวดเป็นอย่างดี แทบไม่มีอาการสะทกสะท้านกับบาดแผลที่เกิดขึ้น แม้เลือดของเขาจะเริ่มไหลย้อยหยดลงตามพื้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม แต่ริวกิก็ยังพยายามปกป้องเด็กหนุ่มน้อยๆในอ้อมกอดไว้ไม่คลาย

                ป้องศักดิ์ดึงใบมีดออกจากรอยปริของเนื้อที่ชุ่มเลือดของริวกิ คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มไปทั่วทั้งใบมีดยาวเกือบห้าเซ็นติเมตรนั้น ไม่อาจทำให้ป้องศักดิ์พอใจและหยุดการกระทำลงได้ เขาพยายามแทงลงไปอีกครั้ง แม้คนที่โดนแทงจะไม่ใช่ปอนด์ตามที่เขาตั้งใจไว้ แต่การได้ฝากรอยแผลลึกๆไว้ที่ร่างกายของริวกิมันกลับทำให้เขารู้สึกดียิ่งกว่า แต่ดูเหมือนว่าการฝากรอยแผลซ้ำไปที่ริวกิมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

                ริวกิคลายอ้อมกอดที่รักแน่นออก ก่อนจะหันหลังกลับไปคว้าข้อมือที่ถือมีดของป้องศักดิ์ เขาจับข้อมือนั้นแน่นไว้ด้วยความแค้นจนกระดูกของป้องศักดิ์แทบจะแหลกคามือของริวกิ

                “ฉันคงไม่ให้สิทธิ์ปล่อยแกไปแล้วล่ะ” ริวกิหักข้อมือชายหนุ่มที่กำแน่นอยู่ มันสร้างความเจ็บปวดให้ป้องศักดิ์อย่างรุนแรงจนอาวุธในมือเขาหล่นลงไปที่พื้น

                “อ๊าก” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาจาปากของป้องศักดิ์ แต่นั่นก็เทียบกับเสียงที่เคยร้องขอจากปอนด์ไม่ได้

                “หนวกหู” ริวกิตวาดพร้อมซัดหมัดเข้าไปยังท้องของป้องศักดิ์เข้าอย่างแรง จนทำให้ร่างของป้องศักดิ์ทรุดลงไปขุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของริวกิ

                ริวกิใช้เท้าขวายันไปที่หัวไหล่ข้างซ้ายของป้องศักดิ์เพื่อไม่ให้ล้มลงไปข้างหน้า เขามองร่างที่ก้มอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่อาฆาต

                “แกทำให้ฉันต้องกลายร่างเป็นปีศาจ” ริวกิใช้มือข้างที่อาบเลือดของเขาจิกไปยังคอเสื้อของป้องศักดิ์ และยกตัวเขาให้ลอยขึ้นมา ก่อนจะเริ่มส่งหมัดเข้าที่ท้องและใบหน้าอีกหลายหมัด

                พลังหมัดที่รุนแรงของริวกิรัวเข้าไปยังหลายที่ของป้องศักดิ์หลายครั้งจนสลบคามือ ริวกิทิ้งร่างที่หมดสติลงไปกองกับพื้น อารมณ์ที่รุนแรงของริวกิเริ่มคลายลง เขามองไปยังร่างของป้องศักดิ์อย่างไม่รู้สึกเสียใจ ริวกิคิดแค่ว่า… นี่คือสิ่งที่เจ้าหมอนั่นควรจะได้รับแล้ว

                หลังจากเหตุการณ์การลงโทษป้องศักดิ์จบลง เจสันจึงค่อยวิ่งหน้าตาตื่นตามมาสมทบ เขาตรงไปมัดมือของป้องศักดิ์อย่างรู้ ตรงกันข้ามกับปอนด์ที่ยืนตกใจอยู่ข้างหลังริวกิ ปอนด์ไม่เคยเห็นริวกิที่ทำร้ายร่างกายคนได้อย่างเลือดเย็นขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ปอนด์รับได้

                “โทรบอกตำรวจท้องถิ่นให้เขามาเอาตัวเจ้านี่ไป” ริวกิสั่งการ “แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยว อย่าลืมพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองด้วยนะ เล่นงานมันให้ถึงที่สุดและเงียบเชียบที่สุด”

                “ครับ” เจสันยื่นกุญแจรถที่ตกอยู่ใกล้ๆให้ริวกิ ก่อนจะโค้งตัวรับคำสั่ง

                “ถ้าตำรวจจะสอบปากคำให้ติดต่อมาที่ฉัน”

                “ริวกิ… เลือดนาย” ปอนด์ทักขึ้นเมื่อเห็นแขนเสื้อของริวกิโชกไปด้วยของเหลวสีแดง

                “นายไม่ต้องมัวแต่หัวคนอื่นหรอก” ริวกิเดินเข้าไปประคองตัวปอนด์ “นาย… ตัวร้อน”

                “ฉันไม่เป็นไร แต่แขนของนาย”

                “เงียบเถอะก่อนที่ฉันจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้”

                แม้จะโดนตวาดใส่ แต่ปอนด์กลับรู้สึกว่ามันเป็นการตวาดที่น่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ การจะทำให้ริวกิผู้เย็นชากลายเป็นคนอ่อนโยนมันคงไม่สามารถทำได้เร็วเท่าความคิด แต่สำหรับปอนด์แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วล่ะ

                “ขอบคุณนะ” ปอนด์กล่าวในขณะที่ริวกิกำลังประคับประคองร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเองอยู่

                “ฉันแค่มาเอาของที่เป็นของฉันคืน” ริวกิพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่ามาทำหน้าระริกระรี้ได้ใจไปหน่อยเลย”

                ปอนด์เผลอยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกดีแบบแปลกๆ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ดีๆทำไมถึงใจชื้นขึ้นมาได้ มันอาจจะเป็นพลังบางอย่างที่ริวกิส่งมา และปอนด์ก็ได้รับมันมาทั้งหมด

                “ฉันได้ยินนายเรียกชื่อฉันด้วย นายลองเรียกใหม่ดูอีกครั้งสิ… ฉันชอบ” ปอนด์อ้อนด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

                “น่ารำคาญจริงๆ ฉันบอกให้หุบปาก” น้ำเสียงของริวกิเรียบง่าย “ปอนด์”

                ทั้งคู่พยุงร่างกายที่บาดเจ็บของกันและกันไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้าน หากแม้ว่าตอนนี้ปอนด์จะต้องเป็นอะไรไป เขาก็ไม่คิดเสียดายเลย เพราะนี่คือความสุขที่สุดเท่าที่เขาจะเคยมีแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา