The Revenge ความแค้นที่หอมหวาน

9.2

เขียนโดย MeTang

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.06 น.

  36 ตอน
  10 วิจารณ์
  37.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 15.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) ตอนที่ 32

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               คลื่นน้ำตารื้นเป็นริ้วอยู่ที่ดวงตาอันโศกเศร้าของปอนด์ ทำให้เขามองภาพร่างของริวกิที่แน่นิ่งไปได้เลือนลางลงทุกที เขาพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนี้ ความฝันที่เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับมันอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้โหดร้ายเกินกว่าที่จิตใจอันอ่อนประสบการณ์ของเขาจะรับได้ ร่างกายที่เคยเข้มแข็งเริ่มอ่อนกำลังและหมดสิ้นความรู้สึกลามไปจนถึงหัวใจ สมองหนักอึ้งมีแต่เสียงอื้ออึงอยู่ภายใน จนปอนด์ไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆได้อีกต่อไป เขาคงจะทรุดตัวลงไปกับพื้นแล้ว หากไม่ได้เส้นเชือกหนารั้งทั้งตัวเขาไว้อยู่

                ปอนด์หลับตาก้มหน้าลงเพราะเริ่มทำใจยากกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เขาปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลลงสู่พื้นปูนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น มันยากที่จะอธิบายถึงความสูญเสียนี้ได้ มีเพียงคนที่เคยสิ้นหวังอย่างสุดกำลังแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าใจเขาได้

                “ว่าไง” ซินดี้ลูบไล้ไปตามแก้มที่อวบอิ่มของปอนด์เบาๆ “รู้สึกเหมือนหัวใจหลุดลอยไปเลยใช่มั้ย”

                ความเงียบคือสิ่งที่ปอนด์หาคำตอบให้ได้ดีที่สุด เขาอยากจะบีบคอซินดี้ให้สิ้นลมลงไปต่อหน้า แต่เขาจะทำได้อย่างไรล่ะ เพราะแม้แต่ริวกิคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจยังพลาดพลั้งให้กับแม่มดเจ้าเล่ห์อย่างซินดี้ได้

                “เธอควรจะขอบคุณฉันนะ ที่ได้สอนให้นายรู้จักสิ่งสำคัญในชีวิต”

                “คนอย่างคุณไม่มีค่าพอสำหรับคำขอบคุณ”

                “เอาเถอะนะ นายจะเข้าใจมันเองสักวันหนึ่ง” ซินดี้หัวเราะลั่น “ชีวิตก็เหมือนเกมนั่นแหละ คนเราก็ต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตเพื่อขับเคลื่อนตัวเองให้ก้าวสู่ความสำเร็จทั้งนั้น ถ้าเราไม่มีเป้าหมายอะไรเลย ชีวิตก็คงน่าเบื่อไม่ต่างกับขอนไม้ที่ลอยอยู่กลางทะเล รอวันจมหาย… ไม่ก็ผุพังไปตามกาลเวลา”

                “สิ่งที่ควรจะเป็นแรงผลักดันให้กับชีวิตคนเรามันควรจะเป็นความฝัน ไม่ใช่ความแค้น 

“นั่นเป็นสิ่งที่คนอ่อนแอคิด” ซินดี้ยิ้มด้วยเพราะรู้สึกขันไปกับความไร้เดียงสาของปอนด์ “เธอมันยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจปอนด์ ความฝันมันก็เป็นแค่เศษประกายเล็กๆในชีวิตที่ส่องสว่างได้ไม่นานก็วูบดับ ไม่เหมือนกับความแค้นที่เป็นเชื้อไฟให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าแค้นใครสักคนมากๆ เราก็จะยิ่งมีพลังเพื่อจะเอาชนะคนนั้นๆได้อย่างเหลือเชื่อ”

                “แม้ไฟแห่งความแค้นมันจะร้อนแรงมากกว่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่คุมได้ยากกว่าเช่นกัน มันไม่เพียงแต่จะเผาคนรอบข้างโดยไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรูแล้ว สักวันหนึ่งมันจะกลับไปเผาตัวของคุณเองให้มอดไหม้ตามกันไป”

                “ฉันไม่สนว่ามันจะเผาใครให้วอดวาย ฉันต้องให้คนที่ฉันเกลียดสูญเสียให้มากที่สุด นี่แหละคือความสุขของฉัน”

                “ถ้าอย่างนั้นก็อีกไม่นานหรอกครับ มันจะถึงเวลาที่คุณจะต้องสลายหายไปเหมือนคนที่คุณกระทำกับเขา” ปอนด์จ้องหน้าซินดี้ด้วยความเคียดแค้น “สุดท้ายตำรวจก็จะต้องรู้เรื่องแผนการชั่วช้าของคุณ ในที่สุดคุณก็จะถูกจัดการไปตามกระบวนการความยุติธรรม”

                “อะไรคือความยุติธรรมสำหรับเธอล่ะ พวกผู้ชายในเครื่องแบบสีกากีเหรอ… น่าขำ” ซินดี้หัวเราะ “ความยุติธรรมไม่ได้อยู่ที่ว่าใครทำอะไร แต่มันอยู่ที่ว่าจะใช้กับใครต่างหาก คนอย่างฉันสามารถสร้างความถูกต้องให้กับตัวเองได้เสมอแหละนะ”

                “ผมจนปัญญาจะเข้าใจตัวคุณ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพยายามรู้เหตุผลที่ไร้สาระของคุณ” ปอนด์หมดแรงที่จะต่อล้อต่อเถียงกับซินดี้ พื้นที่ในหัวใจของเขาทั้งหมดอัดแน่นไปด้วยความเสียใจจนไม่เหลือความรู้สึกใด สำหรับปอนด์แล้วแม้กระทั่งคำกร่นด่าที่หยาบคาย ก็คงไม่สามารถสะกิดหัวใจของซินดี้ให้เป็นแผลได้

                “ฉันก็ไม่ได้ขอร้องให้เธอเข้าใจอะไร เหตุผลของฉันมันอาจจะดูไร้สาระ แต่รู้อะไรมั้ย… นี่คือชีวิตของฉัน ฉันพอใจจะทำอะไรฉันก็ทำ ฉันไม่ชอบเอาเหตุผลของคนอื่นมาทำให้ชีวิตตัวเองเป็นทุกข์”

                “พอแล้ว” ปอนด์บอกกับตัวเอง ไม่มีอะไรจะต้องพูดกับผู้หญิงคนนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะต่อให้พูดอะไรไปคนอย่างซินดี้ก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร คนที่เหนื่อยจะเป็นตัวเขามากกว่า ปอนด์ได้แต่ทอดสายตาไปยังร่างของริวกิที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ความปวดร้ายเจ็บแปลบขึ้นมาจากตรงกลางหัวใจในทันที พื้นที่เย็นเฉียบนั่นอาจจะทำให้ริวกิหนาวก็ได้ ปอนด์อยากจะโอบกอดริวกิไว้เหมือนตอนที่เขาไม่สบาย ในตอนที่ริวกิใช้ร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองระบายไข้ของปอนด์ เขาอยากจะทำแบบนั้นให้ริวกิรู้สึกอบอุ่นบ้าง แต่นี่คงเป็นไปไม่ได้

                “ริวกิ” ปอนด์ได้แต่ก้มหน้าเพื่อปล่อยให้หัวใจกลั่นน้ำตาออกมาจากความเจ็บปวดอีกครั้ง

                “เก็บแรงไว้ก่วงตัวเองบ้างก็ดีนะคะหนู” ซินดี้ลูบหัวปอนด์เบาๆ “ไว้ฉันจัดการเรื่องริวกิให้เรียบร้อยเมื่อไหร่ เธอก็ค่อยตามไปบอกรักริวกิในที่ชอบ… ที่ชอบแล้วกันนะ”

                “เชิญเถอะครับ! คุณอยากจะทำอะไรกับผมก็ทำเลย แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่า ชีวิตนี้คุณไม่มีทางมีความสุขอย่างแน่นอน”

                “เหมือนฉันจะได้ยินเสียงหมาขี้แพ้เห่าอยู่แถวนี้… เธอได้ยินหรือเปล่าปอนด์” ซินดี้ขำอย่างตั้งใจ

                “ผมยอมรับครับว่าในชีวิตของผมไม่เคยเกลียดใครเท่าคุณ แต่ผมจะไม่มีทางทำอะไรแบบที่คุณทำหรอกครับ เพราะแค่สิ่งที่คุณทำมันก็ทำร้ายตัวคุณเองมากพอแล้ว” ปอนด์ส่งสายตาแห่งความชิงชังออกไป “เอาจริงๆนะครับ ผมว่าคุณน่าสงสารมากกว่า ที่ปล่อยให้ชีวิตจมปลักอยู่กับเรื่องความแค้น จนไม่สามารถค้นพบความสุขที่สดใสอย่างแท้จริงในชีวิตได้”

                “ขอโทษนะ… แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะรู้สึกอะไรดีกับคำพูดของเธอ” ซินดี้หัวเราะ “สำนึกผิดเหรอ หรือเสียใจดี”

                ความรู้สึกหลากหลายอัดอั้นอยู่ในหัวใจของปอนด์จนแทบจะระเบิด ตัวเขาสั่นกระตุกไปทั่วด้วยความโมโห ปอนด์โกรธตัวเองที่ไม่สามารถหยุดอาการปากดีของซินดี้ได้

                “เอาล่ะ… ไว้ฉันเสร็จเรื่องแล้วค่อยมาคุยกับเธอต่อแล้วกันนะ คุยกับเธอแล้วสนุกดี รู้สึกเหมือนคุยกับพวก… ผู้พิการทางสมอง”

                ซินดี้รู้สึกหรรษากับการยั่วโมโหปอนด์และการได้แก้แค้นริวกิ เธอหัวเราะอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่ผู้หญิงโรคจิตคนหนึ่งจะมีได้ ซินดี้มองไปยังร่างแข็งทื่อของริวกิด้วยแววตาที่ภูมิใจ

“ต่อไปฉันคงต้องหาเหยื่อรายใหม่เพื่อเติมเชื้อไฟให้ชีวิตแล้วสินะ” ซินดี้เดินตรงไปยังริวกิที่ไม่เคลื่อนไหวมานานหลายนาที เธอจัดการวางเท้าไปบนหลังของริวกิ ก่อนจะกระดกปลายเท้าขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ

                “มันจะมากเกินไปแล้วนะครับ” ปอนด์ตะโกนสุดเสียง “แม้แต่ตอนนี้… ตอนที่เขาไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว คุณก็ยังไม่ให้ความเคารพต่อริวกิเลย ขอเถอะครับ… เอาเท้าของคุณออกเถอะครับ”

                “เธอไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับฉัน”

                “ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จะทำอะไรก็ทำเลยสิครับ จะสั่งให้มือปืนทั้งหมดที่นี่ยิงผมก็จัดการเลยสิครับ ผมเองก็เริ่มเบื่อเต็มทนแล้ว” น้ำตาของปอนด์เริ่มพรั่งพรูจากใจออกมาอีกครั้ง

                “มือปืนเหรอ? มือปืนอะไร? นี่เธอพูดเรื่องอะไร?” ซินดี้ตีหน้าใสซื่อ

                “ก็… ก็มือปืนที่คุณจ้างมาทั้งหมด…” ปอนด์อ้ำอึ้ง

                “ตายแล้วปอนด์ เธอเชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอ” ซินดี้พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา “ฉันแค่เล่าให้ทุกคนรู้สึกขำๆก็เท่านั้นเอง”

                “อะไรนะ?”

                “เอาแบบสั้นๆง่ายๆโดยที่ฉันไม่ต้องทวนซ้ำนะ… ดูปากที่ซินดี้นะคะ” ซินดี้ชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากของตัวเอง “ที่นี่ไม่มีมือปืนค่ะ อีกครั้งนะคะ… ที่นี่ไม่มีมือปืนค่ะ ก็แค่นิทานหลอกเด็กหน้าโง่เองค่ะ”

                ซินดี้หัวเราะตอกย้ำในชัยชนะของตัวเองก่อนจะยกขาออกจากตัวของริวกิ เธอนั่งค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวของริวกิ อะไรสักอย่างที่จะเป็นหลักฐานที่จะบ่งชี้ว่าเธอคือคนร้าย ไม่แน่ว่าบางทีริวกิอาจจะพกเครื่องดักฟังไว้ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งซินดี้ต้องมั่นใจว่าตัวเองจะปลอดภัย เธอต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปพร้อมกัน

                “เจ้าบ้านี่นอกจากตัวใหญ่แล้วยังตัวหนักอีกนะ” ซินดี้ออกแรงยกตัวริวกิให้หงายขึ้นเมื่อการค้นกระเป๋ากางเกงข้างหลังของริวกิเสร็จสิ้น การถือปืนอยู่ในมือข้างหนึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเกะกะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ยอมวางอาวุธไว้ให้ไกลจากตัว

                ร่างของริวกิถูกพลิกให้หงายขึ้นอย่างยากลำบาก และเมื่อซินดี้ทอดสายตาลงไปยังใบหน้าของผู้ชายคนนี้ นั่นทำให้เธอถึงกับผงะจนแทบจะลมลงไปกองกับพื้น สายตาที่จ้องมองกลับยังซินดี้และหน้าอกที่กระเพื่อมอยู่เบาๆ เป็นสัญญาณให้เธอรู้ได้ทันทีว่า… ริวกิยังไม่ตาย

                “หมดเวลาของเธอแล้ว” ริวกิรวบมือของซินดี้เอาไว้ทั้งสองข้าง

                “ร… ริวกิ นี่นาย… ป… เป็นไม่ได้” ซินดี้อ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน “ก็ฉันเห็นกับตาว่าฉันยิ่งตรงไปที่อกข้างซ้ายของนาย”

                “ใช่” ริวกิรีบพลิกตัวตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาดึงร่างของซินดี้ให้เสียหลักจนลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้น ริวกิใช้หัวเข่าข้างขวากดไปที่หลังของซินดี้ไม่ให้เธอบุกขึ้นได้ และใช้ฝ่ามือที่ใหญ่โตล็อคข้อมือของเธอไว้ข้างหลัง ยิ่งซินดี้พยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่ แรงกดจากหัวของริวกิก็ยิ่งย้ำลงไปหนักขึ้นเท่านั้น

                ความเจ็บปวดจากการถูกหักข้อมือทำให้ซินดี้ต้องยอมปล่อยปืนในมือให้หล่นลงพื้นทันที แต่นั่นคงไม่สาสมกับความรู้สึกในใจที่ร้อนเป็นไฟของริวกิ… เขายังไม่หยุดสร้างความเจ็บปวดให้คู่อาฆาต ริวกิดึงแขนทั้งสองข้างของซินดี้ไปข้างหลังโดยใช้หัวเข่าดันตัวเธอเอาไว้ การทรมารนี้ทำให้ซินดี้รู้สึกราวกับว่ากระดูกที่หัวไหล่แทบจะหลุดออก เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกัดฟันเก็บความรู้สึกนั้นอย่างทะนงตน

                “ฉันไม่อยากทำอะไรเธอรุนแรงหรอกนะ คนอื่นจะมองว่าฉันรังแกผู้หญิงเสียเปล่าๆ” ริวกิก้มลงไปหยิบปืนของซินดี้ที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมา

                “ริวกิ” ปอนด์ตะโกนอย่างสุดเสียงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นมา “ผมนึกว่าคุณ… คุณ…”

                น้ำตาของปอนด์หล่นร่วงลงมาเป็นสายอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ หัวใจที่เกือบจะแห้งเหี่ยวโรยรากลับฟื้นขึ้นมาชุ่มฉ่ำได้อีกครั้ง เพียงแค่ได้ลมหายใจของริวกิรดลงไป ปอนด์รู้สึกโล่งใจจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้มากพอ เขาได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

                “ตกใจมากเลยสินะ” ริวกิยิ้มให้กับปอนด์ “ฉันขอโทษ… เลิกร้องได้แล้วเด็กขี้แย”

                “ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณเป็นอะไรตรงไหนหรือเปล่าครับ ผมเห็นคุณโดนยิง…” ปอนด์ถามจนเกือบจะลืมหายใจ

                “ฉันสวมเสื้อเกราะกันกระสุนไว้”

                “ว่าไงนะ” ซินดี้ร้องลั่น

                “เธอได้ยินถูกแล้วซินดี้ ฉันใช่เสื้อเพราะกันกระสุนมา” ริวกิยังคงล็อคข้อมือของซินดี้ไว้แน่น “ฉันก็ต้องขอบคุณเธอนะที่ยิงฉันเข้าที่ลำตัว ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็อาจจะแย่เหมือนกัน”

                “แก…” ซินดี้กัดฟันอย่างโกรธแค้น

                “อีกเรื่องที่ฉันต้องขอบคุณเธอ… ถ้าเธอไม่เฉลยข้อสงสัยเรื่องมือปืนปลอมที่เธอแต่งขึ้นมา ฉันก็คงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ลงไปกับเธอหรอก”

                ริวกิกระชากร่างของซินดี้ให้ลุกขึ้น เขารวบข้อมือเล็กๆของเธอไว้ข้างหลังอย่างแน่นหนา ส่วนอีกของมือริวกิก็กำปืนไว้แน่นเพื่อป้องกันความผิดพลาด เขาค่อยๆลากร่างของซินดี้ให้เข้าใกล้ปอนด์มากขึ้น และคนที่จะต้องผูกติดกับเสาเหล็กแทนปอนด์ก็คือผู้หญิงคนนี้

                “ความจริงฉันโกรธเธอมากนะ ฉันแค้นเธอจนแทบอยากจะฉีกเนื้อเธอออกเป็นชิ้นๆ แต่เพราะใครบางคนในที่นี้ก็สอนให้ฉันรู้จักอภัย”

                “น้ำเน่า” ซินดี้พูดอย่างหงุดหงิด “นายจะบอกว่าความดีของแฟนนายทำให้นายเปลี่ยนจากปีศาจร้ายกลายเป็นคนดีอย่างนั้นน่ะสินะ”

                “เปล่า… คนที่สอนฉันให้รู้จักการให้อภัยก็คือเธอ” ริวกิพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เธอเป็นคนสอนให้ฉันรู้ว่าชีวิตที่อยู่บนความเจ็บแค้นมันน่าหดหู่แค่ไหน นอกจากมันจะดูไร้ค่าในสายตาคนอื่นแล้ว มันยังไม่สร้างอะไรดีๆให้กับตัวเองอีกด้วย ฉันไม่อยากให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันต้องน่าเวทนาเหมือนกับเธอ”

                “อย่าทำเป็นพูดให้ตัวเองดูเลอค่าไปหน่อยเลยริวกิ ทั้งๆที่ชีวิตของนายมันก็ไม่ได้แตกต่างจากชีวิตของฉันเท่าไหร่ นายมันก็เป็นแค่หนูสกปรกในธุรกิจโสโครก ลองหันไปดูรอบตัวนายดูสิว่านอกจากเงินสกปรกๆของนาย ชีวิตนายจะเหลืออะไรบ้าง เพื่อนสักคนนายก็ไม่มี มิตรภาพที่จริงใจนายก็ไม่เคยได้ พ่อนายก็เห็นนายเป็นแค่เครื่องมือทำมาหากิน ส่วนแม่กับพี่ของนายก็คงทนเห็นสภาพทุเรศๆของนายไม่ไหว ถึงต้องชิงตายตัดหน้าไปก่อนยังไงล่ะ”

                “เกินไปแล้ว” ปอนด์ตะโกน “นอกจากจิตใจจะสกปรกแล้ว ปากคุณยังสกปรกมากกว่ากับเท้าของหมาที่คุ้ยเศษขยะกินเสียอีก คนอย่างคุณต่างหากที่ชีวิตไม่มีใคร มีแต่ความแค้นที่อยู่กับตัวคุณตลอดเวลา”

                “แค่เธอได้กับริวกิไปไม่กี่ครั้ง มันไม่ได้แปลว่าเธอจะรู้ดีเรื่องริวกิไปหมดทุกอย่างหรอกนะ” ซินดี้หัวเราะเยาะ

                “มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าจะรู้จักกันมานานแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ว่าคุณใช้อะไรมองคนอื่น ถ้าคุณใช้ใจมองคุณจะพบความจริง แต่ถ้าคุณใช้อคติตัดสิน สิ่งที่คุณเจอก็คือความสกปรกในใจของตัวเอง” ปอนด์จ้องใบหน้าของซินดี้ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม “ริวกิแม้จะไม่ค่อยมีมิตรภาพที่ยั่งยืน แต่เขาก็ยังมีเจสันอยู่เป็นเพื่อนตายที่คอยดูแลตลอดเวลา”

                “เจสันน่ะเหรอเพื่อนตาย มันก็เป็นแค่ขี้ข้าที่เขาจ้างมันมาให้ตายแทนริวกิเท่านั้นแหละ”

                “แต่อย่างน้อยที่สุด” ปอนด์เบาเสียงลงมานิดหน่อย “อย่างน้อยที่สุดริวกิก็ยังมีผมที่จริงใจกับเขา”

                “น่าขำ” ซินดี้หัวเราะลั่นในความไร้เดียงสาของปอนด์ “อะไรในตัวของริวกิที่ทำให้เธอหลงใหลได้ปลื้มล่ะ เงินหรือว่าขนาดที่เร้าใจ”

                “คุณ…” ปอนด์ยอมแพ้ต่อความทนทานของซินดี้ คนอย่างเธอคงจะไม่มีอะไรทำให้เธอรู้สึกสำนึกอะไรได้แล้ว

                “หยุดเสียทีเถอะซินดี้” ปอนด์บีบข้อมือของซินดี้แรงขึ้น “เธอหยุดดูถูกคนอื่นได้แล้ว เธอไม่พอใจอะไรก็ควรจะลงที่ฉันคนเดียวตั้งแต่แรก”

                “น่าสมเพชที่พวกสวะออกมาปกป้องกันเอง”

                “ฉันจะหมดความอดทนจนความเป็นสุภาพบุรุษในตัวของฉันมันเริ่มจะหมดลงแล้วนะ”

                “นายยังเหลือความเป็นลูกผู้ชายอีกเหรอริวกิ ได้กันเองกับผู้ชายแบบนั้นมันน่าขายหน้ากว่าการโดนด่าว่าเป็นหน้าตัวเมียเสียอีก” ซินดี้หัวเราะชอบใจที่ได้เสียงริวกิหายใจด้วยความโกรธ “เป็นฉันคงกลั้นใจตายไปแล้วถ้ารู้ว่าตัวเองจะไปรักไปชอบเพศเดียวกัน”

                เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นเพื่อเป็นการระเบิดโทสะ ตามมาด้วยเลือดที่ต้นขาข้างขวาของซินดี้ไหลเยิ้มออกมาเป็นสาย เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระสุนฝังลงไปยังท่อนขาเรียวงาม ริวกิกำปืนในมือไว้แน่นด้วยความตกใจ ปืนในมือเขายังไม่ได้ปลดล็อคด้วยซ้ำ แล้วแผลที่ต้นขาของซินดี้เป็นฝีมือของใครกันล่ะ?

                “จะด่าว่าผมหน้าตัวเมียก้ได้นะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าของทั้งสามคน

                “เจสัน” ริวกิและปอนด์ร้องลั่นออกมาพร้อมกัน

                “คุณคงรู้ว่าท่านริวกิไม่กล้าทำร้ายผู้หญิงสินะครับ แต่สำหรับผมแล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าผมทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้านาย”

                “ทำไมแกไม่ชวนเจ้านายของแกใส่กระโปรงออกมาเดินด้วยกันทั้งคู่เลยล่ะ”

                เจสันเหนี่ยวไกอีกครั้งไปที่พื้นซึ่งห่างจากปลายเท้าของซินดี้เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น เธอชะงักงันด้วยความตกใจไปครู่ก่อนที่หยาดเหงื่อจะไหลพรากไม่ต่างจากเลือดที่ต้นขา ใบหน้าที่เคยฉายแววความมั่นใจซีดเผือดลงจนสังเกตได้ อาจเพราะซินดี้คลุกคลีกับพวกริวกิมานานจนรู้ได้ว่าตัวเองกำลังจะเจอของจริง

                “ผมไม่ได้ขู่ครับ หวังว่าคุณคงเข้าใจ” เจสันตะโกนก้อง “มันจบแล้วครับยอมแพ้เถอะครับ”

                เสียงฝีเท้ากระทบพื้นปูนจากรองเท้าหายคู่ดังก้องไปทั่วทั้งโกดังร้าง ไม่นานนักตำรวจหลายสิบนายก็วิ่งกรูเข้ามาเรียงแถวกันอย่างแน่นขนัด สิ่งที่ซินดี้เผชิญอยู่เบื้องหน้านั้นไม่ใช่เพียงแต่เป็นกระบอกปืนนับสิบที่เล็งเข้ามา แต่เป็นความจริงที่ยากจะยอมรับว่าแผนการที่เธอวางไว้พลาด

                “แกหลอกฉันริวกิ แกบอกตำรวจ ฉันน่าจะฆ่าเจ้าเด็กนี่ไปตั้งแต่แรก”

                “เปล่าเลยซินดี้เธอน่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้บอกตำรวจ เพราะทุกคำพูดของฉันในห้องทำงาน เธอเองก็คงได้ยินผ่านเครื่องดักฟังที่เธอแอบติดไว้ใต้โต๊ะทำงานของฉัน แล้วลูกน้องที่คอยสะกดรอยฉันมาจากออฟฟิศก็คงรายงานความเคลื่อนไหวของฉันทุกฝีก้าวให้เธออยู่แล้วนี่”

                “คุณริวกิเห็นเครื่องดักฟังใต้โต๊ะทำงานมานานแล้ว แต่ที่ยังไม่เอาออกเพราะท่านอยากจะล่อให้คนร้ายแสดงตัวออกมา”

                “ส่วนรถที่ฉันสั่งให้เจสันไปเอากุญแจมาให้ เป็นรถนิรภัยส่วนตัวของฉัน นอกจากมันจะมีกระจกกันกระสุนและทำมาจากวัสดุชั้นเยี่ยมแล้ว มันยังติดสัญญาณ GPS สามารถบอกพิกัดตำแหน่งของฉันเข้าไปยังมือถือของเจสันได้”

                “อีกอย่างหลังจากท่านริวกิออกจากออฟฟิศได้ไม่นาน ตำรวจก็โทรมาบอกผมว่าป้องศักดิ์ยอมรับสารภาพความผิดทั้งหมด และให้การซัดทอดมาถึงคุณพร้อมหลักฐานที่คุณเป็นเจ้าของบ้านที่ใช้กักขังหน่วงเหนี่ยวคุณปอนด์ในคราวก่อนอีกด้วย”

                “ไอ้ป้องศักดิ์… ไอ้ริวกิ” ซินดี้ตะโกนอย่างเจ็บแค้น

                “เป็นอย่างไรล่ะ การถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจน่ะ ฉันโดนจนชินแล้ว” ริวกิเยาะเย้ย “ลากคอเธอไปสอบปากคำต่อได้เลยครับคุณตำรวจ”

                “แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอกริวกิ” ซินดี้ดิ้นพล่าน

                ตำรวจสองนายเข้ามารวบตัวซินดี้ไปอย่างรวดเร็ว เธอพยามขัดขวางการจับกุม แต่ด้วยแผลที่เจสันมอบไว้ให้ที่ต้นขาทำให้เธอไม่สามารถบังคับตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ซินดี้มองใบหน้าริวกิอย่างโกรธเกลียด สำหรับเธอแล้วเรื่องทั้งหมดมันต้องไม่ใช่แบบนี้ คนที่ชนะในเกมนี้ต้องเป็นเธอไม่ใช่ริวกิ

                “มันไม่จบแค่นี้แน่ริวกิ อย่าลืมนะว่าคนที่จ้องจะเล่นงานแกมันไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว ฉันอาจจะพลาดท่าแกในคราวนี้ แต่คราวหน้าคนที่เสียใจที่สุดจะต้องเป็นแก ระวังตัวไว้ให้ดีๆเถอะ”

                “เหมือนผมจะได้ยินหมาขี้แพ้ที่ไหนเห่าอยู่แถวนี้นะ… คุณได้ยินมั้ยครับคุณซินดี้” ปอนด์ตะโกนไล่หลังซินดี้ไป

                “แก… ไอ้เด็กบ้า ปากดีไปเหอะ สักวันหนึ่งพวกแกสองคนจะต้องเสียใจ แกด้วยไอ้เจสัน พวกแกทั้งหมดเลย… พวกแกจะต้องไม่ตายดีคอยดูเถอะ” ซินดี้ตะโกนสาปส่ง

                ทั้งสามคนเฝ้ามองร่างของซินดี้จนกระทั่งหายวับไปกับตำรวจ แม้กระทั่งในตอนสุดท้ายพลังแห่งความอาฆาตแค้นของซินดี้ก็ไม่มีน้อยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้น เธอนำเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตของตัวเองอยู่ต่อในวันข้างหน้า และจุดมุ่งหมายสำหรับผู้หญิงอย่างซินดี้ก็คือ เธอจะมีชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ ก็เพื่อการล้างแค้นเท่านั้น

                “ท่านริวกิเป็นอะไรมากหือเปล่าครับ”

                “ไม่… ปอนด์ล่ะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ริวกิเดินไปพยายามแก้มัดเชือกให้ปอนด์

                “ข้างนอกมีรถพยาบาลอยู่ด้วยนะครับ ผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว”

                “ฉันไม่เป็นไรริวกิ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

                ค่ำคืนที่สุดแสนจะโหดร้ายผ่านไปอีกหนึ่งคืน แต่บนความโชคร้ายก็ถือเป็นประสบการณ์สอนชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ปอนด์คิดเช่นนั้นกับตัวเอง อย่างน้อยซินดี้ก็สอนให้เขารู้คำตอบในหัวใจที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึกข้างใน รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการและไม่อยากสูญเสียคือใคร เช่นเดียวกันกับริวกิที่แม้จะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาก็ได้เรียนรู้ว่าปอนด์ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เขาคิด ริวกิรู้สึกติดค้างปอนด์อยู่ในความรู้สึก แม้ปอนด์จะให้อภัยกับเขาสักกี่ครั้งก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองกับสิ่งไม่ดีที่เขาก่อไว้ตั้งแต่ต้น

                จิตใจที่อบอุ่นของปอนด์ละลายหยาดน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจของริวกิจนเกือบหมดสิ้น ริวกิเริ่มรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นอยู่ภายในร่างกายอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันฟื้นกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ปอนด์คือความแปลกใหม่ในชีวิตที่ริวกิค้นพบ และเขาไม่อยากจะสูญเสียปอนด์ไปให้คนอื่น

                จากการช่วยเหลือของเจสันและตำรวจ ปอนด์และริวกิได้รับการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ตำรวจขอเสื้อเกราะที่มีกระสุนฝังอยู่ของริวกิเพื่อใช้เป็นหลักฐาน และขอนัดวันเวลาสำหรับการสอบปากคำเพิ่มเติม ริวกิกำชับว่าให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างยุติธรรมที่สุด และต้องไม่มีข่าวเล็ดลอดออกไป

                “คืนนี้นายอยากให้ฉันดูแลมั้ย” ริวกิถามปอนด์ในขณะที่ประคองเขาไว้ในอ้อมแขน

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ริวกิก็โดนมาไม่น้อยเลย ผมดูแลตัวเองได้” ปอนด์ยิ้มให้อย่างสบายใจ “อีกอย่างพรุ่งนี้ผมมีเรียนด้วย ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วผมไม่อยากทำตัวมีปัญหา”

                “แต่ฉัน… อยากให้นายอยู่ด้วยกันคืนนี้” ริวกิวางริมฝีปากอย่างแผ่วเบาลงไปที่หน้าผากของปอนด์ ความอบอุ่นแผ่ขยายวงกว้างจากอีกคนไปสู่อีกคนอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไม่ส่งนายที่มหาวิทยาลัยเอง”

                “คุณจะไม่ปลอดภัยนะครับริวกิ”

                “ถ้าฉันจะตาย ก็ขอให้ใบหน้านายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นบนโลกใบนี้”

                “ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไปหรอกครับ ผมคงอยู่ไม่ได้ถ้าต้องทนเห็นคุณเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาอีก”

                “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็อยู่กับฉันสิ ไม่อย่างนั้นฉันคงขาดใจตายขึ้นมาจริงๆก็ได้”

                ปอนด์ยิ้มให้อย่างเก้อเขิน เขารู้ว่าริวกิไม่มีทางเป็นอะไรไปเพียงเพราะเขาปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่เมื่อเจอสายตาหยาดเยิ้มที่ส่งผ่านเข้าไปยังใจกลางความรู้สึกปอนด์มันแทบจะทำให้เขาทนไม่ไหว ริวกิไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่ใช่คนโรแมนติกที่จะพูดจาอะไรแบบนี้ หรือว่านี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงของริวกิ

                “ครับ… ผมจะอยู่กับริว” ปอนด์ประกบริมฝีปากที่เรียวบางลงไปยังริมฝีปากที่เนียนนุ่มอมชมพูของริวกิ เพื่อเป็นการรับปาก “แต่พรุ่งนี้ต้องไปส่งผมให้ทันคาบเรียนตอนเช้านะครับ คืนนี้เราอาจจะต้องรีบนอน”

                “ฉันรับปากว่าจะไปส่งนายให้ทันคาบเรียน แต่ไม่รับปากว่าคืนนี้เราจะได้นอนเร็ว”

                “ถ้าอย่างนั้น… ผมก็แล้วแต่ริวกิเลยครับ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา