โลกใบสุดท้าย

-

เขียนโดย xoxo

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.

  10 บท
  1 วิจารณ์
  11.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) แบล็คฮอว์ค ดาวน์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)

บทที่ 10

แบล็คฮอว์ค ดาวน์

 

            ในความเป็นจริงความพยายามของกาญที่จะหาหนทางเข้าไปหาแม่ของเขานั้นมันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่ หากแต่ว่ากาญไม่เห็นการฆาตกรรมหมู่ที่เกิดขึ้น อยู่เบื้องหน้าเสียก่อนป่านนี้กาญคงอยู่กับแม่ของเขาไปตั้งนานแล้ว แต่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม เขาทำไม่ได้เลยที่จะเดินเลี่ยงความตายออกไปเฉยๆโดยไม่สนใจใยดีเพราะว่าพวกเขาไม่ใช่ญาติมิตรของกาญ

            แม้กาญจะสามารถหยุดยั้งความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอีกหลายชีวิตได้แต่มันกับกลายเป็นว่าเขาเอ็งที่จะต้องมารับการตามล่าจากกองกำลังทหารที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะทั้งทางบกและทางอากาศ

            “พรึบ!ๆๆๆ...” เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังแว่วใกล้เข้ามา ในขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลโดยการกระโดดข้ามตึกไปเรื่อยๆ กาญหยุดลงหันหลังกลับไปดูเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ และก็ถึงกับตาโตเมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ไม่ต่ำกว่าห้าลำกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา แต่ละลำติดอาวุธหนักไว้พร้อมสำหรับการปฏิบัติการโจมตีเต็มที่

            “แม่เจ้า!...นี่มันจะเตรียมไปทำสงครามที่ไหน....ขนอาวุธมาซะเพียบ” กาญรำพึงออกมาเบาๆ

            “บ.ก.เสือดำ...จากอินทรีวัน....บ.ก.เสือดำจากอินทรีวัน...เปลี่ยน...” เสียงวิทยุสื่อสารของผู้บัญชาการกองร้อยเสือดำดังขึ้น

            “เสือดำเปลี่ยน...” ผู้กองฤทธียกวิทยุฯตอบกลับไป

            “พบเห็นเป้าหมายเป็นชายชุดดำ...กำลังมุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลจุฬาฯ...เปลี่ยน” นักบินบนเฮลิคอปเตอร์แบล๊คฮอว์คตอบกลับ

            “เจอตัวมันแล้วจ่า” ผู้กองฤทธีหันมาหาจ่ากองร้อยก่อนจะตอบวิทยุกลับไป

            “ทำลายเป้าหมาย...ขอย้ำทำลายเป้าหมาย...เปลี่ยน...”

            “รับทราบ...ทำลายเป้าหมายเป็นชายชุดดำบนยอดตึก...ทำลายเป้าหมายเป็นชายชุดดำบนยอดตึก...เปลี่ยน” สิ้นเสียงตอบกลับจากนักบินแบล็คฮ็อว์ค ผู้กองฤทธีหรี่ตาลงและกัดกรามแน่นมองขึ้นไปบนยอดตึก

            “มันจะสักเท่าไร...ไอ้พวกก่อการร้าย” เสียงผู้กองฤทธีเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน

และบัดนี้กาญได้พัฒนาตัวเองจากชายชุดดำกลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อสิ้นเสียงคำสั่งจากผู้บัญชาการกองร้อยเสือดำ เครื่องแบล็คฮ็อว์คก็เริ่มปฏิบัติการโดยการเปิดฉาก

ยิงจรวดเข้าใส่เป้าหมายเป็นการนำร่องทันที กาญเห็นลูกจรวดหลุดออกมาจากแบล็คฮ็อว์คและพุ่งตรงมาที่เขา

            “เฮ้ย!...เอาจริงหรือวะ” กาญตะโกนพร้อมกับหันหลังวิ่งสุดชีวิต และก้าวกระโดดข้ามตึกไปพร้อมๆกับลูกจรวดที่พุ่งลงมาบนยอดตึกนั้น

            “ตูม!” เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเปลวเพลิงลุกท่วมไล่หลังกาญมาติดๆ และด้วยแรงระเบิดทำเอากาญร่วงลงบนยอดตึกอีกฟากไม่เป็นท่า กาญกลิ้งม้วนตัวเข้าหาที่หลบ ในขณะที่แบล็คฮ็อว์คบินผ่านข้ามหัวเขาไปท่ามกลางเปลวเพลิงและควันไฟที่ลุกท่วม

            “เป้าหมายถูกทำลาย...เป้าหมายถูกทำลาย...เปลี่ยน...” เสียงวิทยุสื่อสารของดังขึ้น เมื่อผู้กองฤทธีได้ยินถึงกับยกมือขวาขึ้นกำแน่นและทำสีหน้าสะใจ ก่อนจะวิทยุฯกลับไป

            “ส่งทหารราบ...เข้าเคลียร์พื้นที่....ส่งทหารราบเข้าเคลียร์พื้นที่...ผู้ก่อการร้ายไม่ได้มีคนเดียว...ย้ำผู้ก่อการร้ายไม่ได้มีคนเดียว...เปลี่ยน...”

            “รับทราบ” และเมื่อคำสั่งปฏิบัติการเป็นอย่างนั้น แบล็คฮอว์ค ก็ลำเลียงพลเป็นหน่วยรบพิเศษลงภาคพื้นดิน ในขณะที่กาญกำลังวุ่นอยู่กับการผลิตอาวุธไม่นานเขาก็พร้อม

            “หวังว่าจะไม่มีใครตายนะ” กาญพูดขึ้นพร้อมกับมองมาที่ลูกธนูติดประทัดยักษ์

เมื่อเห็นว่าแบล็คฮอว์ค ลำหนึ่งกำลังลำเลียงพลลงสู่พื้นดิน กาญจุดไฟที่ฉนวนประทัดยักษ์ที่ผูกมัดไว้กับก้านลูกธนู เล็งและยิงออกไป

            “ฟิ้ว!”

            “เพล๊ง!” ด้วยความแรงของลูกธนูกระจกแบล็คฮอว์คยังไม่สามารถต้านทานได้ มันแตกกระจายและลูกธนูก็ทะลุเข้าไปภายในที่นั่งนักบิน

            “เฮ้ย!” สิ้นเสียงร้องประทัดยักษ์ก็ทำงาน

            “ตูม!” นักบินเสียการควบคุมเครื่องหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะค่อยๆหล่นลงกับพื้น

            “ครึ้ม!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว นักบินและหน่วยรบพิเศษได้รับบาดเจ็บกันระนาวแต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ตามที่กาญคิดไว้ แต่แบล็คฮอว์คราคาหลายร้อยล้านต้องมาจบลงด้วยประทัดยักษ์ราคาไม่ถึงยี่สิบบาท

            “บ.ก...บ.ก...จากอินทรีย์ทรู...บ.ก...จากอินทรีย์ทรู...เปลี่ยน..”

“รับทราบอินทรีย์ทรู...เปลี่ยน...”

“อินทรีย์วันตก...อินทรีย์วันตก...เปลี่ยน...” เสียงวิทยุสื่อสารของผู้กองฤทธี ดังขึ้นทำเอาผู้กองฤทธีโกรธจนมือสั่น

            “ไอ้พวกบ้า” ผู้กองฤทธี ตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล ก่อนจะวิทยุกลับไป

            “รับทราบ...ส่งกำลังเสริมเข้าไปอีก...ย้ำส่งกำลังเสริมเข้าไปอีก...และยิงทุกอย่างที่ขวางหน้า...ย้ำยิงทุกอย่างที่ขวางหน้า” ผู้กองฤทธีออกคำสั่งด้วยความเดือดดาล

            “รับทราบ” และยังไม่ทันที่เครื่องแบล็คฮอว์ค นามอินทรีย์ทรูจะเคลื่อนตัวออกไปไหนหลังจากส่งกำพลลงภาคพื้นดิน เสียงระเบิด

            “ตูม!” ก็ดังสนั่นอีกครั้งและเป้าหมายของกาญครั้งนี้คือใบพัดด้านหลังเครื่อง มันเป็นเหตุให้ใบพัดควบคุมเครื่องกระเด็นปลิวค้วางไปปักลงพื้นถนนหน่วยรบพิเศษพากันกระโดดหลบกันจ้าระหวั่นและเครื่องแบล็คฮ็อว์คก็เสียการควบคุม

            “บ.ก...บ.ก...เราโดนโจมตี...ย้ำเราโดนโจมตี...เครื่องกำลังจะตก...” สิ้นเสียงนักบินก็มีเสียงดังโครมใหญ่ออกมาจากวิทยุสื่อสารที่ผู้กองฤทธีถือเอาไว้

            “บัดซบ!...จ่าวิทยุขอยานเกราะและรถถังเข้ามาด่วน” ผู้กองฤทธีออกอาการบ้าสงครามขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเครื่องแบล็คฮ็อว์คโดนยิงตกถึงสองลำ

            “ครับผม” จ่าตะโกนรับคำสั่งดังลั่นและไม่นานนักยานเกราะเคลื่อนที่เร็วก็แล่นเข้ามารับผู้กองฤทธีและจ่ากองร้อยฯส่วนพลทหารที่บาดเจ็บเล็กน้อยก็พากันขึ้นรถเกราะและรถถังที่แล่นเข้ามารับเช่นกัน กองร้อยเสือดำกำลังรวบรวมไพร่พลเข้าทำการรบอีกครั้ง

            “ไหนจ่าบอกว่ามันมีไม่ต่ำกว่าสิบคนไง” ผู้กองฤทธีหันมาทำตาเขียวใส่จ่ากองร้อยในขณะที่ยานหุ้มเกราะเคลื่อนออกไป

            “ขอโทษครับผู้กองฯผมอาจจะประเมินผิด” จ่ากองร้อยทำเสียงอ่อยๆ

            “ถ้ามันทำได้ขนาดนี้...ต้องเรียกว่ากองกำลังแล้วผู้ก่อการร้ายแล้วละจ่า” สายตาผู้กองฤทธีดูมุ่งมั่นและเชื่อในสิ่งที่เขาพูด

เสียงไชโยโห่ร้องของหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯและบรรดาคนในรถเมื่อได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารของหน่วยรายงานมาว่าเครื่องแบล็คฮ๊อว์คของทหารตกไปสองลำแล้วเนื่องมาจากชายชุดดำที่ใช้ธนูเป็นอาวุธในการต่อสู้ส่งผลให้ทหารบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

            “สุดยอด...สุดยอด...พี่รู้สึกเหมือนได้แก้แค้นอย่างไรบอกไม่ถูกว่ะเร” หนุ่ยเจ้าหน้ามูลนิธิฯกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีความสุข

            “ครับพี่ว่าแต่ชายชุดดำที่ว่านี้เป็นพวกไหนกันเหรอ” เรเอ่ยถามด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

            “ก็คงเป็นพวกทหารที่เหลืออดกับการกระทำของทหารที่อยู่ฝ่ายรัฐประหารน่ะสิ...จึงออกมาสู้อย่างนี้...แหมถ้าเป็นไปได้พี่อยากไปร่วมรบกับพวกเขาจริง...ให้ตายสิ”

            “แล้วทำไมพวกชายชุดดำถ้าเป็นทหารจริงอย่างที่พี่ว่าทำไมไม่ใช้ปืนหรืออาวุธหนักอย่างอื่นล่ะพี่” เรทำหน้างงๆ

            “อันนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...มันอาจเป็นยุทธวิธีของเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯยักไหล่น้อยๆ

และเมื่อสถานการณ์ที่กาญเผชิญอยู่กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หน่วยทหารหลายหน่วยละจากภารกิจตามล่าผู้ชุมนุมชั่วคราวต่างมุ่งหน้าตามล่ากองกำลังผู้ก่อการร้าย ซึ่งกองกำลังที่ว่านั้นมีกาญเพียงคนเดียว ทหารที่กระจายกำลังกันออกตามล่าตามภาคพื้นดินต่างพากันเข้าตรวจค้นตามตึกรามบ้านช่องต่างๆแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของผู้ก่อการร้าย

ทหารที่เข้าไปในแต่ละตึกกว่าจะขึ้นไปบนดาดฟ้ากาญก็กระโดดไปตึกอื่นแล้ว จึงคว้าน้ำเหลวกลับมาทุกครั้ง และเมื่อแบล็คฮอว์คขึ้นบินอีกครั้ง

            “บ.ก...เสือดำ...จากอินทรีย์ทรี....บ.ก...เสือดำจากอินทรีย์ทรี...พบชายชุดดำแล้ว...ย้ำพบชายชุดดำแล้ว...เปลี่ยน...”

            “รับทราบ...ขอพิกัดและจำนวนผู้ชายชุดดำ...ย้ำขอพิกัดและจำนวนชายชุดดำ...เปลี่ยน...” ผู้กองฤทธีเอ่ยถามที่ตั้งและจำนวนผู้ก่อการร้ายทันที

            “พิกัด ที่สามนาฬิกาบนดาดฟ้าตึกกำลังมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลจุฬาฯ...จำนวนหนึ่งนาย...

ย้ำพิกัดสามนาฬิกาบนดาดฟ้าตึกมุ่งหน้าโรงพยาบาลจุฬาฯ...จำนวนหนึ่งนาย...เปลี่ยน...” เมื่อสิ้นเสียงวิทยุสื่อสาร ผู้กองฤทธีถึงกับขมวดคิ้วหันมามองจ่ากองร้อยด้วยความสงสัยก่อนจะวิทยุกลับไป

            “ยืนยันจำนวนอีกครั้ง...ย้ำยืนยันจำนวนอีกครั้ง...เปลี่ยน...”

            “ยืนยัน...จำนวนหนึ่งนาย...เปลี่ยน...” ผู้กองฤทธีทำหน้างงๆ ไม่อยากเชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน

“พวกมันคงจะหลบซ่อนอยู่ก็ได้ครับผู้กองฯ...” จ่าฯเอ่ยขึ้น ผู้กองฤทธีพยักหน้ารับก่อนจะวิทยุกลับ

            “ทำลายเป้าหมาย...ย้ำทำลายเป้าหมาย...เปลี่ยน...”

            “รับทราบ...ทำลายเป้าหมาย...เปลี่ยน...” สิ้นเสียงคำสั่งอินทรีย์ทรีก็ปฏิบัติการโดยการสาดกระสุนปืนกล เอ็มหกสิบดี ขนาด เจ็ดจุดหกสอง มิลลิเมตร ที่ติดอยู่กับประตูทั้งสองข้าง เข้าใส่เป้าหมาย

            “พรึด!ๆๆๆๆ...” เสียงปืนกลเอ็มหกสิบดี รัวเข้าใส่กาญจากทางด้านหลัง ปลอกกระสุนหล่นกราวลงมาราวกับห่าฝนนั่นหมายความว่าหัวกระสุนนับหลายร้อยลูกก็พุ่งเข้าใส่กาญเช่นกัน

            “แม่เจ้าโว้ย!” กาญตะโกนออกไปพร้อมกับการเร่งสปีดสุดแรงเกิดเมื่อเห็นลูกกระสุนพุ่งเจาะพื้นเป็นสองแนวคู่ขนานใกล้เข้ามา และเมื่อสุดขอบดาดฟ้าก็เป็นอีกครั้งที่กาญต้องกระโดดไปอีกตึกที่อยู่ด้านหน้า

            “ย๊ากกกก...” มันทำให้กาญรอดพ้นจากคมกระสุนเอ็มหกสิบดีไปอย่างหวุดหวิด ท่ามกลางสายตาสองนักบินที่บินตามหลังกาญมาได้เห็นถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะบินเลยกาญไป

            “เฮ้ย!...มันทำได้ยังไงวะ” สองนักบินเอ่ยขึ้นแทบพร้อมกันและหันมามองหน้ากันอย่าง งงๆ

            “บ.ก..เสือดำ...จากอินทรีย์ทรี...เปลี่ยน...”

            “เสือดำ..เปลี่ยน...”

            “เป้าหมายเคลื่อนที่โดยการกระโดดข้ามตึก...เปลี่ยน...ย้ำเป้าหมายเคลื่อนที่โดยการกระโดดข้ามตึก...ยังไม่สามารถทำลายเป้าหมายได้...เปลี่ยน...” ผู้กองฤทธีออกอาการงุนงงอีกครั้งเมื่อได้ฟังวิทยุสื่อสาร

            “มันจะเป็นไปได้อย่างไรจ่า...กระโดดข้ามตึก” ผู้กองฤทธีหันมามองจ่ากองร้อยในขณะที่จ่าฯก็ส่ายหัวอย่าง งงๆ เช่นกัน

            “อินทรีย์โฟร์...จากกองร้อยเสือดำ...อินทรีย์โฟร์จากกองร้อยเสือดำ...เปลี่ยน...” ผู้กองฤทธีวิทยุฯขอกำลังสนับสนุนทางอากาศจากอินทรีย์โฟร์ทันทีเมื่อเห็นว่ายังไม่สามารถจัดการกับกองกำลังชายชุดดำได้

            “อินทรีย์โฟร์...เปลี่ยน...”

            “ขอกำลังสนับสนุนอินทรีย์ทรีเข้าโอบล้อมผู้ก่อการร้ายที่สามนาฬิกา...เปลี่ยน...”

            “รับทราบ...อินทรีย์โฟร์กำลังจะเข้าสนับสนุนอินทรีย์ทรีที่สามนาฬิกา...เปลี่ยน..” และจะเกิดอะไรขึ้นเมือแบล็คฮอว์คที่ติดอาวุธเต็มลำกำลังเข้าประกบกาญทั้งด้านหน้าและด้านหลังจากคำสั่งของผู้กองฤทธี

รถมูลนิธิฯที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยบัดนี้ต้องจอดนิ่งบนท้องถนนอีกครั้งเมื่อเครื่องแบล็คฮอว์ค

ของกองทัพอากาศตกลงมาขวางเต็มกลางถนนไม่มีรถคันไหนที่จะสามารถขับผ่านออกไปได้ คนขับรถพยายามหาทางออกจากสมรภูมิกลางใจเมืองอย่างรนรานบ้างก็เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ บ้างก็ย้อนศรวกกลับทางเดิมทำให้การจราจรเริ่มวุ่นวายอีกครั้ง

รถมูลนิธิฯที่เรนั่งมาก็มีสภาพไม่แตกต่างจากคันอื่นสักเท่าไหร่ เมื่อคนขับกำลังหาทางออกจากเส้นทางสมรภูมิฯก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบๆซอยหนึ่ง แต่มันก็ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นเมื่อเข้าไปไม่ถึงสิบเมตรรถของพวกเขาก็ต้องติดแง่กอยู่ตรงนั้นเอง

“เอาไงต่อพี่” เรเอ่ยถามหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯทันทีที่รถหยุด หนุ่ยไม่ตอบได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะลงจากรถวิ่งไปที่มุมตึกและชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอกส่วนคนป่วยที่มากับรถบ้างคนพอเดินได้ก็พากันลงจากรถและหาหนทางเดินไปต่อกันเอง

ในรถบัดนี้เหลือเพียงเรกับป้าจันทร์ฉายที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ ในเวลานี้เรเองก็สับสนจนบอกไม่ถูกเขาเหลือบมองดูเกจ์วัดอ็อกซิเจนก็พบว่ามันยังมีปริมาณมากพออยู่ แต่ในขณะนี้เขากลับพาป้าจันทร์ฉายมาติดอยู่ในซอกตึกซึ่งไม่รู้ว่าจะออกไปได้อย่างไรและก็ยังไม่รู้ว่าอ๊อกซิเจนจะหมดเมื่อไหร่ เรนั่งเอามือทั้งสองข้างกุมขมับตัวเองพร้อมกับรำพึงออกมาเบาๆ

“กาญ...ไปอยู่ที่ไหนวะ” เรต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังกระหึ่มเขามองออกไปด้านนอกก็เห็นหนุ่ยเจ้าหน้ามูลนิธิฯกำลังจดจ้องอะไรบางอย่างอยู่บนยอดตึกฝั่งตรงกันข้าม เรผุดลุกขึ้นและลงจากรถเข้าไปขอร่วมดูเหตุการณ์กับหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯทันทีในขณะที่คนขับรถก็เดินเข้ามาสมทบ

“ดูอะไรอยู่หรือพี่” เรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนุ่ยกำลังจ้องอะไรบางอย่างอยู่ตาไม่กระพริบ

“ดูนั่นสิ...เฮลิคอปเตอร์สองลำนั่นกำลังจะเล่นงานชายชุดดำบนยอดตึก”หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯพูดออกมาพร้อมกับชี้มือให้เรดู และภาพที่เรเห็นก็คือ แบล็คฮอว์คสองลำกำลังเคลื่อนที่เข้าหาชายชุดดำทั้งซ้ายและขวา

“ตายแน่!”คนขับรถมูลนิธิเอ่ยขึ้นเบาๆด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง

“ใช่ชายชุดดำที่ใช้ธนูยิงพวกทหารหรือเปล่าครับ” เรเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ไม่รู้สิ...แต่พี่คิดว่าใช่นะดูที่มือเขาสิ” หนุ่ยพูดจบก็ชี้มือให้เรดูในมือของชายชุดดำที่ยังคงถือคันธนูไว้

           ในขณะนี้กาญไม่มีโอกาสจะกระโดดนี้ไปทางไหนได้อีกแล้ว เขาอยู่ระหว่างเครื่องบินสองลำที่กำลังเตรียมปล่อยกระสุนเอ็มหกสิบดีเข้าใส่ทั้งสองด้านและไม่มีทางที่เป้าหมายในการโจมตีครั้งนี้จะหนีออกไปทางไหนได้ แบล็คฮอว์คสองลำเข้ามาจ่อเหมือนหยั่งเชิงดูว่ากาญจะมีน้ำยาอะไรมาต่อกรกับพวกเขาอีก ในเมื่อในมือกาญตอนนี้เหลือเพียงลูกธนูเปล่าๆเพียงแค่สองลูกเท่านั้น

แต่กาญก็ยังขึ้นสายรั้งคันธนูและยิงไปยังเครื่องแบล็คฮอร์คทางซ้ายหนึ่งลูกและทางขวาอีกหนึ่งลูกแต่การยิงครั้งนี้มันไม่สามารถสร้างความกระทบกระเทือนให้เครื่องทั้งสองได้เลย

“หึหึหึ...ดูไอ้นั่นมันทำสิ...มันคิดว่าลูกธนูนั่นจะยิงเครื่องแบล็คฮอว์คตกได้หรือไงวะ....น่าสมเพชจริงๆว่ะ” พูดจบนักบินบนเครื่องก็กดปุ่มยิงปืนเอ็มหกสิบดีออกมาพร้อมกันทั้งสองลำทันที

            “พรึดๆๆๆๆ...” กาญทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งตัวลงมาจากตึกสูงกว่าสามสิบชั้นเพื่อหลบกระสุนปืนกลที่พุ่งเข้าอย่างกับห่าฝนท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ต่างแอบมองดูอย่างลุ้นระทึกให้เขารอดจากเหตุการณ์นี้รวมทั้งเรด้วย แต่การกระโดดของกาญในครั้งนี้มันไม่ได้ตกลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างที่ทุกคนพากันหวาดเสียวแต่อย่างใด เพราะกาญเห็นระเบียงที่ยื่นออกมานอกตัวตึก และที่นั่นจึงเป็นที่ลงของเขาก่อนที่กาญจะกระโดดพรวดหายเข้าไปด้านในตัวตึกนั่นเอง

            “เฮ้ย!...ไอ้นี่มันร้ายจริงๆ” เสียงนักบินนายหนึ่งเอ่ยขึ้นในขณะที่บังคับเครื่องหมุนไปด้านข้างตึกพร้อมกันทั้งสองลำ และการระดมยิงเอ็มหกสิบดีปืนกลติดเครื่องแบล็คฮอว์คก็เกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย      

“พรึดๆๆๆๆ...” กระสุนปืนกลพุ่งเข้าทุกทิศทุกทางภายในชั้นตึกนั้นมันทำลายทุกสิ่ง     ทุกอย่างที่ขวางหน้าราบเป็นหน้ากองกระจกทุกบานแตกละเอียดยากนักที่สิ่งมีชีวิตข้างในจะรอดไปได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้กาญพลาดท่าเสียทีได้ง่ายๆ กาญหมอบติดกับพื้นเป็นแนวราบกระสุนปืนกลจึงรอดตัวเขาไปทั้งหมด กาญลุกขึ้นและวิ่งอีกครั้งดูเหมือนเขาจะจงใจให้นักบินทำอะไรสักอย่าง นอกเหนือจากการยิงปืนกลเอ็มหกสิบดี

“ ตายอยากจริงๆ...ไอ้หมอนี่มันมีดีอะไรวะ”นักบินคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นกาญออกวิ่งอีกครั้ง

“มา...งั้นลองมิสไซส์...สักลูกเป็นไง” พูดจบนักบินแบล็คฮอว์คก็กดปุ่มปล่อยจรวดมิสไซส์ทันที

“ตี้ด...ๆๆๆๆ” เสียงสัญญาณดังขึ้นหลังจากกดปุ่มปล่อยมิสไซส์อออกไป วงจรของจรวดมิสไซส์ถูกจุดให้ทำงานแล้ว แต่ทว่าลูกจรวดมิสไซส์กลับไม่พุ่งออกไปจากแท่นยิงสู่เป้าหมายเนื่องจากการขัดข้องอะไรบางอย่าง

“วี้ด!” เสียงลูกจรวดมิสไซส์ทำงานแต่ไม่ออกจากแท่นยิงที่ติดไว้ใต้เครื่อง เนื่องจากว่ามีอะไรบางอย่างขัดเอาไว้ซึ่งมันก็คือ ลูกธนู ของกาญที่ตั้งใจยิงเข้ามาขัดไว้ให้การทำงานของลูกจรวดเกิดการขัดข้อง นักบินทั้งสองมองหน้ากันและรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่างพากันเปิดประตูกระโดดออกจากเครื่องโดยไม่ต้องถามอะไรกันอีก นักบินกระตุกร่มชูชีพให้กางออกและร่อนลงสู่พื้น และเมื่อถึงเวลาที่จรวดมิสไซส์ต้องทำงานก็ไม่สร้างความผิดหวังให้กับกาญ

“ตูม!” เสียงระเบิดจากจรวดมิสไซส์ดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ และไม่ถึงอึดใจเครื่องแบล็คฮอว์คอีกลำก็มีอาการเช่นเดียวกันเมื่อนักบินกดปุ่มยิงจรวดมิสไซส์ออกจากแท่นยิง

“ตูม!” บัดนี้เครื่องแบล็คฮอว์คสองลำกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมากำลังร่วงหล่นลงมาสู่พื้นล่างท่ามกลางสายตาของผู้คนที่แอบมองดูอยู่ พวกเขาต่างพากันแสดงอาการดีใจแต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังแม้แต่คนเดียว เนื่องจากว่ากลัวทหารที่อยู่ในละแวกนั้นจะได้ยิน

“ อึ้ย!....สะใจ...สะใจ...สะใจ....สุดยอดๆ” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยออกมาเบาๆแม้อยากตะโกนออกมาสุดเสียงก็ตาม พร้อมกับกำมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างสะใจ ส่วนเรเองยังคงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความทึ่งในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น

แต่ในขณะนี้มีสายตาหนึ่งประดุจดังเสือร้ายที่กำลังก้าวลงมาจากยานหุ้มเกราะมองดูซากเครื่องแบล็คฮอว์คสองลำที่ไฟกำลังลุกท่วมอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับแหงนมองขึ้นไปบนตึก

            “มันอยู่บนนั้น..ระดมกำลังทั้งหมดขึ้นไปลากคอมันลงมา” สิ้นเสียงคำสั่งผู้กองฤทธี บรรดาทหารและหน่วยรบพิเศษ ก็ต่างพากันกรูเข้าไปในตึกนั้นทันที

            “จ่าวิทยุขอกำลังเสริมทางอากาศ...ควบคุมดาดฟ้าไว้ด้วย...อย่าให้มันหนีไปได้อีก”

            “ครับผม” สิ้นเสียงคำสั่งผู้กองฤทธีจ่ากองร้อยปฏิบัติตามคำสั่งทันที ไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ ก็ลำเลียงพลมาส่งบนดาดฟ้าตึกในขณะที่กาญเองบัดนี้เขากำลังดึงมือนักบินนายหนึ่งไม่ให้ตกลงไปสู่พื้นเบื้องล่าง เนื่องจากว่าร่มชูชีพของนักบินนายนั้นไม่ทำงาน และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กาญกระโดดเข้าคว้ามือนักบินคนนี้ไว้ได้ทันท่วงที

            “ย๊ากกกก...” กาญออกแรงเต็มที่เพื่อจะเหวี่ยงร่างของนักบินคนนั้นให้เข้าไปอยู่บนระเบียงตึกอีกชั้นถัดจากที่เขาอยู่และกาญก็ทำสำเร็จเมื่อนักบินคนนั้นไปยืนอยู่บนระเบียงด้วยความปลอดภัย เหตุการณ์นี้มันสร้างความประหลาดใจและงุนงงให้กับนักบินแบล็คฮอว์คนายนี้เป็นอย่างมาก ทั้งที่เขาเป็นผู้คิดจะทำร้ายกาญอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อมีโอกาสกาญกลับเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้เสียอย่างนั้น เขาจึงอดที่จะเอ่ยคำนี้ไม่ได้

            “ขอบคุณ ที่ช่วยชีวิตผม” เสียงนั้นดังออกไป กาญพยักหน้ารับในคราบของชายชุดดำที่สวมไอ้โม่งอยู่ ส่วนนักบินที่เหลือก็ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้าบ้างตามป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บ้าง

บัดนี้ความลำบากตกอยู่กับกาญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วเมื่อตอนนี้ทั้งตึกเต็มไปด้วยทหารนับร้อยทั้งดาดฟ้าและเบื้องล่าง อาวุธที่เคยใช้ก็เหลือแต่คันธนูเปล่ากับเสื้อเกราะที่พรุนไปทั้งตัว อย่างเดียวทีกาญทำได้คือหนี แต่จะหนีไปทางไหนล่ะ ในเมื่อไม่มีทางให้เขาไปได้แม้แต่ทางเดียว

            “เดี๋ยว..นาย...นายคนนั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากระเบียงชั้นล่างถัดจากกาญไปหนึ่งชั้นซึ่งเสียงนั่นคือเสียงของนักบินที่กาญช่วยชีวิตไว้นั่นเอง

            “ครับ” กาญตอบกลับไป ซึ่งขณะนี้นักบินนายนั้นกำลังถอดกระเป๋าร่มชูชีพที่ติดอยู่ด้านหลังเขาออก พร้อมกับยื่นให้กาญ

            “บางที..นายอาจต้องการมัน” นักบินคนนั้นเอ่ยขึ้น

            “มันใช้ไม่ได้แล้วนี่ครับ” กาญตอบกลับไป

            “ยังเหลือร่มฉุกเฉินอยู่...ดึงเชือกเส้นสีแดงนี่...บางทีนายกระโดดร่มลงไป..พวกภาคพื้นดินอาจคิดว่านายเป็นนักบินก็ได้นะ” กาญพยักหน้าพร้อมกับรับกระเป๋าร่มชูชีพนั้นมาอย่างเข้าใจในความหมายของเขา

            “ขอบคุณครับ” กาญสวมกระเป๋าร่มชูชีพใบนั้นเข้าด้านหลัง

            “ถ้านายจะกระโดดลงไปอย่าลืมถอดหมวกไหมพรหมออกก่อนนะ...นายต้องถอดคราบชายชุดดำออก...เข้าใจนะ” กาญพยักหน้ารับอีกครั้ง

            “นายไม่เหมือนพวกก่อการร้ายเลย”

           “ครับ” กาญตอบพร้อมกับถอดหมวกไหมพรหมสีดำออกและหันมาทางนักบินอีกครั้ง

            “ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายครับ...ผมจะไปหาแม่ผมครับ” พูดจบกาญก็วิ่งเต็มกำลังกระโดดออกจากตึกนั้นให้ไกลที่สุดและกระตุกร่มชูชีพสำรองออกกางทันที

            “พรึบ!” เสียงร่มกลางพร้อมกับการลอยคว้างไปตามกระแสลม

            “ฮึ้ย!...นั่นมันยังเด็กอยู่เลยนี่หว่า” เสียงนักบินรำพึงออกมาและแสดงสีน่าตกใจ และนี่ก็เป็นการกระโดดร่มครั้งแรกของกาญซึ่งแน่นอนว่าเขาบังคับร่มไม่เป็น ร่มชูชีพมันพากาญมาลงบนกลางถนนท่ามกลางความเงียบของสรรพสิ่งรอบข้าง มีเพียงควันไฟสีดำที่ยังลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วไปสายลมพัดเอาร่มชูชีพลอยไปหลังจากที่กาญปลดมันออกจากตัว กาญหันรีหันขวางสักพักสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเรซึ่งยืนอยู่อ้าปากค้างด้วยอาการตกใจเมื่อพบว่าชายคนที่กระโดดร่มลงมา คือ กาญ เพื่อนรักของเขา

            “กาญ!” เรรำพึงออกมาพร้อมกับเดินก้าวออกมา ในขณะที่กาญก็กำลังจะวิ่งไปหาเร

            “เร!” และเมื่อกาญกำลังจะก้าวเท้าออกวิ่ง

            “ปัง!..ปัง!...ปัง!....ๆๆๆๆ” เสียงปืนดังขึ้นหลายนัดหลังเปลวควันสีดำ ร่างของกาญสะดุ้งตามแรงกระสุนปืนที่พุ่งเข้าใส่ แอ่นซ้ายแอ่นขวาเซถลาไม่เป็นท่า และไม่มีทางที่กาญจะกระโดดหลบไปทางไหนได้อีกเมื่อทหารพากันถือปืนประทับบ่าเดินผ่าเปลวควันสีดำเข้ามา และเสียงปืนเอ็มสิบหกก็รัวขึ้นทุกทิศทุกทางจุดหมายคือร่างของกาญที่อยู่กลางถนน

            “พรึด!ๆๆๆๆ...” กาญโดนกระสุนเอ็มสิบหกพุ่งเข้าใส่แอ่นหน้าแอ่นหลังเซซ้ายเซขวาและเมื่อสิ้นเสียงปืนร่างของกาญก็ทรุดฮวบและค่อยๆหงายหลังลงกับพื้นถนน

แม้กระสุนปืนนานาชนิดจะไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายของกาญได้ แต่แรงปะทะของกระสุนแต่ละนัดมันทำให้กาญบอบช้ำภายในเป็นอย่างมากจนร่างกายไม่สามารถต้านทานกับแรงปะทะอันรุนแรงนับร้อยครั้งได้

และในที่สุดหัวใจของกาญก็เริ่มแผ่วเบาจนหยุดทำงานลงในที่สุด เลือดสดๆจำนวนมากไหลออกทั้งทางปากจมูกและหูนองพื้นไหลเป็นทางยาว ร่างของกาญกระตุกอยู่สักพักก่อนจะแน่นิ่งไป

สายตาที่แสดงความตกใจและดีใจที่เห็นเพื่อนรักของเร บัดนี้มันกลายเป็นสายตาของคนที่เสียใจและตกใจสุดขีด

“...กะ...” เรพยายามตะโกนและจะวิ่งออกมาแต่ก็โดนหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ กับพลขับสองคนช่วยกันล็อคตัวและอุดปากเรเอาไว้

“อย่าส่งเสียง...เร...เดี๋ยวก็ตายกันหมดนี่หรอก” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่แข็งกร้าวในขณะที่น้ำตาของหนุ่ยก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกันเมื่อรู้ว่าชายชุดดำที่เขากำลังชื่นชมอยู่ต้องเสียชีวิตลงตรงหน้า ด้วยฝีมือของพวกทหารโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้

“รอให้พวกมันไปก่อนแล้วค่อยไปหาเพื่อนเอง...เข้าใจใช่ไหมเร” หนุ่ยพูดจบเรก็พยักหน้ารับ คลายอาการลงบ้างทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา หนุ่ยจึงเอามือออกจากปากเร

และคนที่ลั่นไกปืนใส่กาญคนแรกนั่นก็คือผู้กองฤทธีซึ่งขณะนี้เดินย่างสามขุมเข้ามาดูกาญที่นอนสิ้นลมอยู่

            “คิดว่าจะตบตาทหารนักรบอย่างกูได้อย่างนั้นสินะ...หึหึหึ” ผู้กองฤทธีใช้เท้าเขี่ยร่างของกาญอย่างเย้ยหยัน แต่ก็ต้องพบกับความแปลกใจว่าทำไมไม่มีเลือดออกจากลำตัวเลยทั้งที่โดนยิงนับร้อยนัดเสื้อผ้ารวมถึงเสื้อเกราะเป็นรูพรุนเต็มไปด้วยคมกระสุนปืนแต่ไม่มีส่วนใดที่โดนเจาะเข้าไป นอกจากรอยช้ำเป็นจุดๆเต็มตัวไปหมด มีเพียงเลือดจากปากและจมูกที่ยังไหลออกมาอยู่เท่านั้น ขณะนี้พวกทหารต่างพากันมาถือปืนยืนล้อมร่างสิ้นลมของกาญไว้

            “มันตายแล้วครับ...ผู้กองฯ”จ่ากองร้อยเอ่ยขึ้นหลังจากเข้าสำรวจร่างกายและชีพจรของกาญ ผู้กองฤทธีนั่งลงข้างๆร่างสิ้นลมหายใจของกาญ

            “จับได้เพิ่มอีกไหมจ่า” ผู้กองฤทธีเอ่ยขึ้น

            “ยังครับผู้กองฯ...อาจจะมีนายคนนี้เพียงคนเดียวครับ” จ่ากองร้อยตอบกลับไป

            “จะเป็นไปได้อย่างไร...ไอ้นี่คนเดียว...ทำแบล็คฮอว์คร่วงไปสี่ลำ...ทหารบาดเจ็บเป็นร้อยนาย”

            “ดูท่า...ไอ้หมอนี่มันคงหนังเหนียวครับ...ลูกกระสุนยิงมันไม่เข้าสักนัด....แต่ที่มันตายเพราะว่าอาการช้ำในครับ...ผู้กองฯ...” ผู้กองฤทธีพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยขึ้น

            “คงจะจริงอย่างที่จ่าว่า...กระสุนไม่ระคายผิวมันเลย” ผู้กองฤทธีสำรวจร่างกายกาญก่อนจะล้วงไปที่คอและดึงสร้อยพระออกมาแบดู

            “คงเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นี้” พูดจบผู้กองฤทธีก็เก็บพระของกาญใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองก่อนจะออกคำสั่ง

            “เฮ้ย..เอาศพมันไป” สิ้นเสียงผู้กองฤทธีก็เดินออกไป แต่ก่อนที่จะทำการเคลื่อนย้ายร่างของกาญ

บัดนี้ทหารกองร้อยเสือดำนั้นโดนโอบล้อมด้วยฝูงชนจำนวนมากที่ออกมาจากมุมตึกต่างๆ โดยมีทั้งผู้หญิงคนแก่และเด็กบรรดาแม่ลูกที่กาญช่วยชีวิตเอาไว้ ทุกคนต่างเดินดาหน้าเข้ามาอย่างช้าๆ นัยน์ตาของแต่ละคนดูช่างเย็นชาและแฝงไปด้วยความแค้น ไม่มีผู้ใดที่แสดงอาการหวาดกลัวพวกทหารเพียงสักคนเดียวแม้แต่เด็กตัวน้อยๆ

            “เฮ้ยจ่า..ปล่อยให้ไอ้พวกนี้เข้ามาได้ยังไง...ทำไมไม่ยิงขู่ไล่มันไป” ผู้กองฤทธีเอ่ยขึ้น

            “ยิงไม่ได้แล้วครับผู้กองฯ...มีคำสั่งทางวิทยุฯมายกเลิกภารกิจกองร้อยเสือดำ...และห้ามทหารทุกนายยิงจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งครับผม” ผู้กองฤทธีถึงกับหน้าชาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “ทำไมวะ” ผู้กองฤทธีตะโกนลั่น

            “ทางผู้ใหญ่ไม่พอใจการปฎิบัติการของกองร้อยเสือดำที่ทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก...เห็นวิทยุรายงานมาอย่างนั้น...ครับผู้กองฯ...และมีคำสั่งให้เรากลับกองบัญชาการเดี๋ยวนี้เลยครับผม” จ่ากองร้อยรายงานต่อ

            “บัดซบ!” ผู้กองฤทธีสบถออกมาก่อนจะหันไปมองฝูงชนรอบๆ

            “แล้วไอ้คนพวกนี้มันต้องการอะไรจ่า...ถึงมายืนขวางทางปืนอยู่อย่างนี้ พวกมันไม่กลัวตายกันหรืออย่างไร” ผู้กองฤทธีเอ่ยถามจ่ากองร้อยแต่ยังไม่ทันที่จ่ากองร้อยจะตอบเสียงของผู้หญิงอุ้มเด็กอ่อนคนหนึ่งก็ดังขึ้น

            “เราต้องการร่างของวีรบุรุษ...คนนั้น...” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมาด้วยสุ้มเสียงที่แข็งกร้าว และเสียงนี้ก็ดังกระหึ่มขึ้นพร้อมๆกัน

            “เราต้องการร่างของวีรบุรุษ...คนนั้น...ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงของฝูงชนดังกระหึ่มขึ้นจนผู้กองฤทธีต้องยกมือทั้งสองขึ้นปรามฝูงชน

            “เอาล่ะๆ...พวกคุณเข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว...วีรบุรุษที่ไหนกัน...ไอ้คนนี้มันเป็นผู้ก่อการร้าย...ผมนี่ต่างหากผมจัดการมันได้พวกคุณถึงได้รอดพ้นจากอันตรายนี่ไง” พอผู้กองฤทธีพูดจบเสียงโห่ร้องแสดงอาการไม่พอใจก็ดังกระหึ่มขึ้น

            “โห่...ฮู....” แถมอีกหลายต่อหลายคนยังถ่มน้ำลายลงพื้นเป็นการเหยียดหยัน ผู้กองฤทธีและบรรดาทหารเห็นท่าไม่สู้ดีจึงพากันเดินเลี่ยงออกมาและขึ้นรถยานเกราะออกไปทันที

ไม่มีใครรู้ว่าเรมาถึงร่างของกาญตั้งแต่เมื่อไหร่แต่บัดนี้เขาคุกเข่าลงข้างร่างของกาญน้ำตาแห่งความเสียใจไหลนองเต็มใบหน้า

            “โธ่..เพื่อน..ไม่น่าเลย”เรพูดออกมาทั้งน้ำตา และทุกคนที่ยืนล้อมอยู่ต่างก็พากันร้องไห้เสียใจกับการจากไปของกาญวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ และต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นไว้อาลัยกับการจากไปของกาญ

            “ไม่มีที่ยืนให้กับคนดีในสังคมนี้จริงๆ” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นเบาๆ

 

            และในอีกมิติหนึ่งดาบสผู้ซึ่งฝากความหวังไว้กับกาญหรือสุริยะกาญ กำลังนั่งเพ่งจ้องตาเขม็งมองมาที่ร่างของกาญที่กระตุกแอ่นไปแอ่นมาจากแรงกระสุนปืนและเลือดที่ไหลออกมาจากปากและจมูก จนในที่สุดร่างกายของโดยเฉพาะอวัยวะภายในก็บอบช้ำเกินกว่าที่จะทนไหวอวัยวะต่างๆจึงหยุดทำงานลง ดาบสหลับตาลงอย่างช้าๆ

            “ข้าช่วยเจ้าข้ามภพไม่ได้จริงๆสุริยะกาญ...เกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราก็ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้เสียด้วยสิ...นอกเสียจากว่าจะเกิดปาฏิหาริย์...ถ้าข้ามคืนนี้ไปเจ้ายังไม่ฟื้นขึ้นมา...เห็นที...” ดาบสรำพึงออกมาก่อนจะถอนหายใจยาวๆในขณะที่ร่างกายของกาญตอนนี้ค่อยเรือนรางอ่อนแสงลงไปทุกขณะ

            “กลับมานะสุริยะกาญ อย่าทำให้พวกเราต้องสิ้นหวัง” ดาบสพูดด้วยสุ้มเสียงอันแหบแห้งก่อนจะนั่งหลับตาภาวนาต่อ

.................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา