โลกใบสุดท้าย

-

เขียนโดย xoxo

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.

  10 บท
  1 วิจารณ์
  11.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) กองร้อยเสือดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)

บทที่ 9

กองร้อยเสือดำ

ขณะที่กาญเริ่มเข้าไปใกล้โรงพยาบาลจุฬาฯมากเท่าไหร่ เขาก็เริ่มมองเห็นกลุ่มทหารที่กำลังเดินดาหน้ากระชับวงล้อมกลุ่มผู้ชุมนุมฯเข้าไปเรื่อยๆ โดยที่แต่ละคนในมือไม่ว่างจากอาวุธเลยสักคนเดียว ทุกคนใช้ปืนเอ็มสิบหกปะทับบ่าเล็งและยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมฯเป็นว่าเล่น และสิ่งที่ผู้ชุมนุมฯผู้ชายบางส่วนตอบโต้กลับมาคือหนังสติ๊กบรรจุประทัดยักษ์ ระเบิดเพลิงหรือระเบิดขวด และบั้งไฟขนาดเล็กที่พวกเขาพอจะหามาได้

แต่อาวุธของผู้ชุมนุมฯไม่สามารถทำอันตรายกองกำลังทหารได้มากไปกว่าบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากทหารทุกคนจะสวมชุดเกราะทั้งโล่กำบังทั้งหมวกเหล็ก จึงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ และยิ่งผู้ชุมนุมฯตอบโต้ก็ดูเหมือนจะเพิ่มความโหดร้ายให้กับเหล่าทหารพวกนั้น และทุกครั้งที่ทหารยิงปืนออกไปจะเล็งหรือไม่เล็งก็ตามจะต้องมีผู้ชุมนุมฯบาดเจ็บบ้างตายบ้างยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไรยิ่งทำให้กาญหัวใจเต้นสั่นไม่เป็นจังหวะ สายตาของเขาเพ่งมองและคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะช่วยผู้ชุมนุมฯเหล่านั้นได้อย่างไร

            “... เราต้องหาทางหยุดทหารป่าเถื่อนพวกนี้ให้ได้...ไม่อย่างนั้นตายกันหมดแน่...”   กาญคิดได้ดังนั้นก็เริ่มปฏิบัติการทันที

 

            ในขณะนี้เรรู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเขากำลังหาทางเข้ามาในเมืองหลวงให้ได้แต่ทว่าไม่ว่ารถเมล์รถแท็กซี่หรือแม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่มีใครยินดีที่จะเข้ามาส่งเขาสักรายเดียว แม้เขาพยายามจะให้เงินค่าจ้างมากกว่าหลายเท่าก็ตาม จนกระทั่งเขาหันไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่หลายคันและเขียนประกาศว่า “ขาย” เรเดินเข้าไปดูทันทีเขารูปคลำรถช็อปเปอร์และรถมอเตอร์ไซค์หรูๆอยู่หลายคัน เรเห็นป้ายราคาที่ติดอยู่อยู่เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ไม่นานนัก เรก็ควบมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองหลังจากที่เขาจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้านเรียบร้อยแล้ว

“ รถหรือเศษเหล็กเนี่ย...เจ็ดร้อยบาท...แพงโคตรๆ...จะไปถึงไหม...จะไปถึงไหม...เอ้าสู้ๆหน่อยอีแก่...ไอ้คันหรูๆก็แพงซะแตะไม่ได้เลย” เรบ่นไปพร้อมกับบิดคันเร่งมอเตอร์ไซเต็มที่

            “แต็ก...แต่กๆๆๆๆ....” เสียงเครื่องยนต์ทำงานเต็มที่ตามการบิดที่สายคันเร่งแต่มันยังไม่ร้อนแรงเท่ากับใจของเขาในเวลานี้และสิ่งที่ตามไปติดๆคือควันสีขาวจำนวนมากที่พ่นออกมาจากรถตลบอบอวลไปทั่ว

ในขณะที่กาญเริ่มหมอบต่ำเมื่อเข้าใกล้กลุ่มทหารจากทางด้านหลัง สายตาดังเสือที่จ้องเข้าตะครุบเหยื่อ เขาจะทำอย่างไรไม่ให้ทหารรู้ว่าลูกธนูพุ่งออกมาจากทางไหน คำถามต่างๆเริ่มเกิดขึ้นมากมายแต่ก็ไม่มีเวลาให้กาญมาหาคำตอบอีกแล้วเมื่อพลทหารนายหนึ่งเริ่มเหนี่ยวไกใส่ผู้คนอีกครั้ง และลูกธนูของกาญก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงทันที

“ฟิ้ว!” มันพุ่งปักทะลุเข้ามือขวาที่ใช้เหนี่ยวไกปืนพอดี

“อ๊าก!...” พลทหารนายนั้นถึงกับทิ้งปืนเอ็มสิบหกลงพื้นยกมือที่มีลูกธนูปักอยู่ขึ้นดู และโหยร้องด้วยความเจ็บปวด

“ผมถูกยิง!” ทหารทุกคนหันมาตามเสียงร้องตะโกนนั้น และพากันเข้ามาดูอาการของพลทหารนายนั้น

            “เฮ้ย!...ใครเอาธนูมายิงมันวะ” นายทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น

“ไม่ทราบครับผู้กองฯ...น่าจะเป็นพวกชุมนุมฯที่หลบซ่อนตัวอยู่แถวนี้ครับ” เสียงพลทหารนายหนึ่งตอบกลับไป และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น พลทหารนายหนึ่งกำลังจะเหนี่ยวไกปืนใส่ผู้ชุมนุมฯ อีกครั้ง

“ฉึก!” ยังไม่ทันที่พลทหารนายนั้นจะได้เหนี่ยวไกลูกธนูก็พุงปักเข้าที่หัวไหล่ทะลุหลังทำเอาพลทหารนายนั้นถึงกับล้มคว่ำนอนดิ้นไม่เป็นท่า

“อ๊าก!...ผมถูกยิง...ครับจ่า...” เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือลั่นอีกหนึ่งรายตามมา

“เฮ้ย!..ใครวะ..”จ่ากองร้อยตะโกนลั่นออกไปขณะที่ประทับปืนเอ็มสิบหกส่ายไปมารอบๆตัวทุกทิศทาง

“ใครมันกล้าดีมาล้อเล่นกับกองร้อยเสือดำของกูวะ” ผู้กองฤทธีผู้บังคับบัญชากองร้อยเสือดำเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล และไม่กี่วินาทีต่อมารายที่สามที่สี่และห้าก็ตามมาติดๆ ซึ่งแต่ละคนที่โดนยิงจะเป็นคนที่กำลังจะเหนี่ยวไกแทบทั้งสิ้นและบาดแผลที่โดนก็ไม่ได้ทำให้พลทหารเหล่านั้นถึงกับความตายแต่อย่างใด ถ้าไม่โดนที่ข้อมือก็ที่หัวไหล่แต่จากพิษบาดแผลก็ไม่มีผู้ใดสามารถเหนี่ยวไกปืนออกมาได้อีก และมันก็ได้ผลตามที่กาญคิด กองร้อยเสือดำที่เข้าสลายการชุมนุมฯเปลี่ยนเป้าหมายจากที่ไล่ต้อนยิงผู้ชุมนุมฯเป็นการกระจายกำลังออกตามหามือธนูทันที

“ผู้หมู่วิทยุเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับคนเจ็บด่วน” ผู้กองฤทธีผู้บัญชาการกองร้อยเสือดำออกคำสั่ง

“ครับผม”ผู้หมู่พลสื่อสารดำเนินการตามที่ผู้กองฤทธีสั่ง

“ที่เหลือกระจายกำลังออกตามล่าตัวไอ้คนยิงธนูมาให้ได้...ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย...กูอยากจะดูหน้ามัน” ผู้กองฤทธีออกคำสั่งเด็ดขาด

“ครับผม” บรรดาพลทหารจึงกระจายกำลังออกตามล่ามือธนูทันที

ภายในโรงพยาบาลจุฬาฯบัดนี้ได้เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นแล้วเมื่อทหารได้ไล่ต้อนผู้ชุมนุมฯเข้าไปภายใน และไม่นานก็เกิดไฟดับขึ้นในโรงพยาบาลทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างหนักหน่วง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงสั่งอพยพผู้ป่วยเป็นการด่วน

และก็เป็นกับจังหวะที่กองร้อยเสือดำที่เข้ามาสลายการชุมนุมฯบัดนี้ทหารหยุดยิงพวกชุมนุมฯเป้าหมายใหม่ในตอนนี้คือไล่ล่ามือธนู จึงเปรียบเสมือนเป็นการเปิดทางให้กับรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกได้ และไม่นานนักรถพยาบาลและรถของมูลนิธิฯต่างๆก็เริ่มทยอยกันเปิดไซเรนมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลจุฬาฯ ปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

ขณะที่เรกำลังบึ่งมอเตอร์ไซค์ฮ่างไปตามถนนก็เห็นรถมูลนิธิฯเปิดไซเรนไล่หลังมาติดๆเขาต้องหยุดรถมอเตอร์ไซค์เข้าข้างทางเพื่อให้รถมูลนิธิฯผ่านไปก่อน

“จะพากันไปล้างป่าช้ารึไงวะ...ชักแถวยาวเชียว...เอ...รึว่าจะเข้าไปรับผู้บาดเจ็บในเมือง” ความคิดแวบหนึ่งของเขาเกิดขึ้น เมื่อเรคิดได้อย่างนั้นเขาก็ทิ้งมอเตอร์ไซค์ลงและตัวเขาเองก็แกล้งนอนแอ่งแม้งอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์นั้นจัดฉากประหนึ่งเหมือนคนประสบอุบัติเหตุ ไม่นานนักก็ได้ผลอย่างที่เขาคิด รถมูลนิธิฯคันหนึ่งรถจอดลงทันทีที่เห็นเรนอนแอ่งแม้งอยู่

“เฮ้ย!...ดูก่อนนะ...คนเมาหรือคนบ้า” เสียงเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนายหนึ่งซึ่งเป็นพลขับตะโกนลงมาจากรถ ส่วนเรเองยังแกล้งนอนนิ่งอยู่แม้อยากจะลุกขึ้นมาเถียงจะแย่

“ไม่รู้สิพี่...สงสัยรถจะล้ม” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนายหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าสำรวจบาดแผลและดูอาการของเร

“แต่เอ...ไม่เห็นมีบาดแผลอะไรเลยนี่” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นเมื่อสำรวจร่างกายเรจนมั่นใจแล้ว

“มันหายใจหรือเปล่าวะ...” พลขับรถมูลนิธิฯตะโกนถามออกมาทั้งที่ยังนั่งอยู่ที่หน้ารถ

เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯตรวจหาสัญญาณชีพและลองเอามืออังที่จมูกของเร ก่อนจะตอบกลับไป

            “ยังไม่ตายพี่...ยังหายใจอยู่” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯจับใบหน้าเรและเขย่าเบาๆ

            “ไอ้น้อง ไอ้น้อง...ตื่นตื่น” แต่เรก็ยังคงแกล้งนอนสลบอยู่ต่อไป

“หรือว่ามันหลับวะ”เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯจึงตัดสินใจตบหน้าเร เพื่อหวังจะให้เขาตื่นขึ้นมา

“เพลี้ย!..เพลี้ย!...” เสียงตบหน้าดังฉาดใหญ่สองครั้ง ทำเอาหน้าเรแดงเป็นรอยมือและเจ็บจนน้ำตาไหลแต่ก็ต้องนอนนิ่งๆเข้าไว้ก่อน

“สลบยังไงวะน้ำตาไหลได้ด้วย...เฮ้ย ตื่น...ตื่น...” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พยายามส่งเสียงเรียกให้เรตื่นขึ้นมา แต่เรก็ยังนอนนิ่งภายในใจก็คิดว่า

“...ตบทำไมวะ..ตูสลบอยู่...เมื่อไหร่จะยกตูขึ้นรถเสียที...โอย...เจ็บฉิบ...”

“ไม่ตื่นกูไปล่ะนะ” พูดจบเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯก็ลุกขึ้นปล่อยให้เรนอนอยู่ข้างถนนอย่างนั้นเพราะเขารู้แล้วว่าเรไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านอนหลับอยู่

“ไปกันเถิดพี่มันไม่เป็นอะไรหรอกสงสัยจะเมาหลับปล่อยมันไว้ที่นี่แหละ...เสียเวลาจริงๆ...ไอ้ขี้เมาพวกนี้” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปขึ้นรถ และเมื่อเรเห็นว่าแผนการนั่งรถฟรีของเขามันไม่ได้ผลเขาจึงลุกผุดขึ้นและรีบตะโกนออกไป

“เดี๋ยว...เดี๋ยวพี่...” เรลุกขึ้นพร้อมกับเอามือถูไปที่หน้าไปมาอย่างเจ็บปวด

“อ้าว!..ไอ้นี่..มึงเป็นไรวะถึงมานอนเล่นอยู่ตรงนี้...เมาหรือเปล่า” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยถาม เรไม่ตอบคำถามแต่ถามสวนกลับทันที

“มงเมาที่ไหนล่ะพี่...ผมขอไปด้วยได้ป่าว” เรทำหน้าตาน่าสงสาร มองมาที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิอย่างอ้อนวอน

“อ่อ...อยากไปด้วยเลยแกล้งทำเป็นนอนตายว่างั้น...แหม...มึงนี่วอนจริงๆ”

“นึกว่าจะอุ้มเค้าขึ้นรถนะสิ” เรตอบเขินๆ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯส่ายหน้าน้อยๆอย่างอ่อนใจก่อนจะเอ่ยขึ้น

“จะเข้าไปทำไมวะ...มันอันตรายนะข้างในเขายิงกันหูดับตับไหม้อย่างนั้น...เดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆหรอก...” เรเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯพูดจบ แต่ก็ยังไม่วายที่จะเอ่ยถามต่อ

“แล้วพี่จะไปไหนเหรอครับ”

“พี่จะรีบไปเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ...ตอนนี้ไฟฟ้าดับต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกมารักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น” คำตอบของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเหมือนจะโดนใจเรอย่างแรงเมื่อเส้นทางที่เขาจะไปตรงกับจุดมุ่งหมายของเรพอดี

“ผมขอเข้าไปช่วยพวกพี่ได้ป่าว” เรทำหน้าซื่อๆ

“อยากเป็นคนดีมีน้ำใจช่วยเหลือสังคมว่างั้น” เรพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มแป้นออกมา

“แล้วก็เสือกไม่บอกเสียตั้งแต่แรก...ไป...ไปขึ้นรถ...กำลังหาคนยกคนป่วยพอดี...”

“ครับ...ขอบคุณครับพี่”พูดจบเจ้าหน้ามูลนิธิฯก็นำเรขึ้นท้ายรถทันที

“เอ้า...นี่เสื้อมูลนิธิฯใส่ซะ...เผื่อจะได้ไม่โดนยิง” เรขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯพูดอย่างนั้น พร้อมกับยื่นมือไปรับเสื้อมูลนิธิฯมาสวมทับเสื้อยืดของตัวเอง

“ขอบคุณครับ...แต่มีเผื่อด้วยหรือครับ” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบๆ พร้อมกับพลขับที่เคลื่อนรถออกตัวไปอย่างรวดเร็วจนเรเซตามเรกระชากของตัวรถ

“เอ่อ...พี่ครับ” เรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสายตาของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนายนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอยู่

“ว่าไง” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนายนั้นตอบห้วนๆ

“เมื่อกี้พี่เอาเท้าข้างไหนสะกิดใบหน้าผมหรือครับ” เรลูบหน้าตัวเองไปมา

“ทำไมวะ...จะเอาเรื่องหรือไง” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยอย่างไม่พอใจที่เรถามอย่างนั้น

“ปะเปล่าครับพี่...แค่รู้สึกว่าใบหน้าของผมจะบอบช้ำ...แค่นั้นครับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ” เรตอบเสียงอ่อยๆ อย่างเกรงๆ

“มือโว้ย...หรือจะลองอีกที” เจ้าหน้ามูลนิธิฯรายนี้ออกจะดูอารมณ์เกี้ยวกราดไม่รู้ว่าโมโหใครมาแต่ไหน

“มะไม่ละครับ..ขอบคุณ...”

“ขี้ไม่ออกหรือไงวะ...ขี้หงุดหงิดฉิบ!...โดนตบฟรีเลยตู” เรรำพึงออกมาเบาๆ ในขณะที่รถแล่นต่อไปด้วยความเร็วสูงตามด้วยเสียงไซเรนบนหลังคารถ

 

เวลานี้กาญก็หมอบซุ่มอยู่บนยอดตึกรอจังหวะโจมตีเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่เขาง้างสายคันธนูก็ไม่เคยพลาดเป้า และบัดนี้มีพลทหารบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยธนูหลายสิบราย จนผู้กองฯผู้บัญชาการกองร้อยฯออกอาการเดือดดาลอย่างที่สุด ไม่กี่อึดใจต่อมาหลังจากที่กาญกำลังยิงลูกธนูเข้าใส่พลทหารนายหนึ่งก็เป็นจังหวะที่พลทหารนายนั้นหันมาเห็นกาญเข้าพอดี

            “ฉึก!” ลูกธนูพุ่งเข้าใส่ที่ไหล่ขวาของพลทหารนายนั้นก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

            “อ๊าก!...มันอยู่บนนั้น” พลทหารตะโกนออกมาพร้อมกับชี้มือไปบนยอดตึกที่กาญอยู่ ซุ่มอยู่โดยไม่ต้องรอคำสั่งยิงจากใคร พอเหล่าทหารรู้ที่มาของลูกธนูก็ระดมยิงใส่จุดที่กาญหลบซ่อนอยู่อย่างไม่ยั้งมือ

            “พรึบ!ๆๆๆ” เสียงปืนกลเอ็มสิบหกรัวเข้าใส่ชนิดที่นับกระบอกไม่ถูก และยังตามด้วยเอ็มเจ็ดสิบเก้า

            “ตูม!ๆ ๆ ๆ” อีกหลายลูกจนตึกนั้นแทบจะพังถล่มลงมา กาญหมอบติดกับพื้นและพยายามคลานออกมาจากจุดเดิมก่อนจะออกวิ่งอย่างรวดเร็วและกระโดดข้ามไปอีกตึกหนึ่งโดยที่พวกทหารไม่มีใครทันเห็น

            “ตุ๊บ!” กาญกลิ้งม้วนหน้าไปปะทะกับอะไรบางอย่างที่ขวางอยู่เบื้องหน้า และสิ่งที่เขาพบก็คือร่างที่สิ้นลมหายใจของบรรดาผู้ชุมนุมฯเกือบสิบคนนอนตายกันกลาดเกลื่อนจากฤทธิ์ของกระสุนปืนความเร็วสูง กาญตกใจกับสิ่งที่พบเห็นแต่ก็ได้แค่เพียงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น

            “คนไทยด้วยกันทั้งนั้นไม่น่าทำกันขนาดนี้เลย” กาญรำพึงออกมาเบา ก่อนจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง

            “นี่มัน ปะทัดยักษ์...แกลอนน้ำมัน...ระเบิดขวด...ระเบิดปิงปอง...เพียบเลย...นี่คงเป็นอาวุธของพวกเขาสินะ” กาญหยิบอาวุธของผู้ชุมนุมฯขึ้นมาดูและสูดหายใจเข้าย่างแรงๆเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้

            “ขอลองเอาไปใช้บ้างนะ...อย่างน้อยอาจจะพอหยุดทหารบ้าเลือดพวกนี้ได้บ้าง...ขออนุญาตนะครับพวกพี่ๆ” กาญพูดกับร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่ และรีบรวบรวมสิ่งของที่จำเป็นใส่เป้สะพายหลังของผู้ชุมนุมฯรายหนึ่ง ในขณะที่กองร้อยเสือดำกับลังปฏิบัติการยิงถล่มอยู่นั้น

            “เฮ้ยหยุด...พอได้แล้ว” ผู้กองฤทธีตะโกนสั่งเมื่อเห็นว่ายิงถล่มเข้าใส่อยู่สักพักใหญ่แล้วและคิดว่าไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตบนนั้นรอดไปได้

“ยิงถล่มขนาดนี้ถ้ามันรอดไปได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วครับผู้กองฯ” จ่ากองร้อยฯเอ่ยขึ้นอย่างสะใจ

“อย่าเพิ่งประมาทไปจ่า...ส่งคนขึ้นไปลากตัวมาสิจ่า”

“ครับผู้กองฯ” และยังไม่ทันที่จ่ากองร้อยฯจะพาพลทหารขึ้นไปบนตึก สายตาของเขาก็เห็นอะไรบางอย่างลอยออกมาจากตึกด้วยสัญชาตญาณนักรบจ่ากองร้อยรู้ได้ทันทีเลยว่าสิ่งที่ลอยมานั้นคืออันตราย

“ผู้กองฯหลบเร็ว” สิ้นเสียงตะโกนของจ่าฯผู้กองฤทธีก็ต้องเซถลาเข้าไปนอนอยู่หลังแท่นแบริเออร์ด้วยแรงปะทะของจ่ากองร้อยที่พุ่งชาร์จเข้ามา และสิ่งที่ลอยมานั้นก็คือแกลอนน้ำมันที่กาญขว้างออกมานั่นเอง

“เล่นดอกไม้ไฟกันหน่อยนะนายทหาร...โหดกันเหลือเกินนี่” พูดจบกาญก็จุดไปที่ฉนวนประทัดยักษ์ที่ผูกไว้กับลูกธนูก่อนจะยิงเข้าใส่แกลอนน้ำมันที่ขว้างออกไป

“ฟิ้ว!” เมื่อลูกธนูโดนเป้าหมายประทัดยักษ์ที่ติดไปด้วยก็ทำงานทันที

            “ตูม!” เสียงระเบิดดังสนั่นกลางอากาศเปลวเพลิงลุกท่วมไปทั่วอาณาบริเวณ และไม่กี่อึดใจน้ำมันแกลอนที่สองและสามก็ตามมา

“ตูม!”

“ตูม!” ไม่มีพื้นที่ใดที่ทหารยืนอยู่รอดพ้นจากเปลวเพลิงไปได้ บรรดาทหารกองร้อยเสือดำบัดนี้กลายเป็นกองร้อยเสือย่างไปเสียแล้วเมื่อบรรดาทหารกล้าทั้งหลายโดนเปลวเพลิงเผาไหม้ตามเสื้อผ้า ต่างพากันกลิ้งม้วนตัวเองกับพื้นเพื่อดับไฟ และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถมูลนิธิฯที่เรนั่งมากำลังแล่นผ่านจุดเกิดเหตุพอดี

            “นั่นเขาเล่นอะไรกัน...นะพี่” เรเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกไฟขนาดใหญ่กลางอากาศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯมองตามที่เรชี้ ก็เห็นพวกทหารนอนดิ้นม้วนไปม้วนมากับพื้นเพื่อดับไฟที่ติดกับเสื้อผ้า

            “เฮ้ย!..ดูนั่น..ไอ้พวกทหารแมร่งโดนเข้ามั่งแล้ว...ฮ่าๆๆๆ ใครทำวะขอกราบงามๆสักทีเถิด...แมร่งยิงอยู่ได้นี่กูเก็บศพจะไม่ไหวแล้ว...สะใจจริงๆเว้ยเฮ้ย” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯพูดขึ้นอย่างสะใจ

            “เออ...แล้วไม่ลงไปช่วยเขา..เหรอครับ” เรเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย

            “ช่วยทำป๊ะอะไรล่ะมีแต่จะช่วยซ้ำสิไม่ว่า...เดี๋ยวมันก็เรียกเฮลิคอปเตอร์มารับแล้ว...มันไม่ขึ้นรถมูลนิธิฯของพวกเราหรอกเสียศักดิ์ศรีชายชาติทหารหมด...เรารีบไปช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่โรงพยาบาลดีกว่า” เจ้าหน้าที่มูลนิธิพูดจบก็ชะเง้อมองพวกทหารด้วยความสะใจ เรมองดูกริยาและคำพูดของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯตาไม่กระพริบ

            “แหม...เสียดาย...ไฟลวกแค่นี้พวกมันไม่ตายหรอก...อยากให้มันลองตายกันดูบ้าง...จะได้รู้เสียทีว่าเวลาต้องสูญเสียมันเป็นยังไง” พูดจบเจ้าหน้ามูลนิธิก็กัดกรามแน่น เรสังเกตเห็นอาการของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯที่แสดงความเครียดแค้นทหารออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“...หรือนี่คือสาเหตุ...ที่ทำให้พี่คนนี้...อารมณ์แปรปรวน...เจ้าอารมณ์อย่างนี้วะ...” เรแอบคิดอยู่ในใจและมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่าง งงๆ กับภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เห็น

            “นี่มันเกิดอะไรขึ้น...ประเทศเราเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...กาญ...นายจะเป็นอย่างไรบ้างวะเพื่อน...หวังว่าคงจะได้เจอกันที่โรงพยาบาลจุฬาฯนะ” เรรำพึงออกมาเบาๆด้วยสายตาที่แฝงความกังวลโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนของเขากำลังโลดโผนท้าความตายอยู่บนยอดตึกที่เขาเพิ่งผ่านไปนั้นเอง

            “เฮ้ย...ไอ้น้อง”เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูผ่อนคลายลงบ้างหลังผ่านเหตุการณ์ที่พวกทหารโดนโจมตี

            “ครับพี่”เรเลิกคิ้วขึ้น

            “เมื่อกี้พี่ขอโทษนะ...พอดีเห็นหน้าน้องแล้วมันตาลายนึกถึงพวกทหารที่กำลังยิงประชาชนขึ้นมาพอดี...เลยพลั้งมือตบแรงไปหน่อย” พูดจบเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯก็เอื้อมมือมาจับไหล่เรบีบเบาๆ

            “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

            “ไม่เป็นไรครับ...แต่อย่าตาลายบ่อยนะครับ” เรยิ้มออกมาน้อยๆเละเริ่มเข้าใจเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนายนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

            “เออๆ” เจ้าหน้ามูลนิธิฯยิ้มออกมาน้อยๆ

            “เอ่อ..พี่ครับ...แล้วทำไมพี่ถึงโกรธแค้นพวกทหารนั่นนัก” เรเอ่ยถาม เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯหันมามองหน้าเรด้วยสายตาอันดุดันกัดกรามน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

            “ไอ้พวกทหารมันยิงเพื่อนพี่ไปสามคน ระหว่างที่กำลังเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บจากการที่พวกมันเข้าสลายการชุมนุมฯนั่นแหละ และมันก็ทำให้เพื่อนพี่ตายทั้งสามคน” พูดจบเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯก็กัดกรามแน่นอีกครั้ง เรได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจในหัวอกของชายผู้นี้

และในระหว่างนั้นเสียงวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯก็ดังขึ้นใจความปรากฏว่าหน่วยทหารกองร้อยเสือดำต้องแตกพ่ายเมื่อโดนลูกธนูของชายชุดดำเข้าทำร้ายบาดเจ็บหลายรายและยังมีทหารจำนวนมากถูกไฟลวกบาดเจ็บทั้งกองร้อยฯ เสียงของวิทยุสื่อสารนั้นทำเอาเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯตะโกนเสียงดังลั่นรถ

            “ยะหู้!...สุดยอด...สุดยอด...แก้คืนมันบ้างแล้วเว้ยเฮ้ย” เรได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับประหนึ่งเป็นความสำเร็จอะไรสักอย่าง

            “แหม...ใครกันวะใช้ธนูยิงทหาร...ช่างกล้าจริงๆ...เจอจะกราบสักที...เอาธนูไปสู้กับเอ็มสิบหก...สุดยอดว่ะ” เจ้าหน้ามูลนิธิฯเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม

            “โรบินฮูดป่าว...พี่” เรเอ่ยขึ้น

            “เออว่ะ...ฮ่าๆๆๆ...” เสียงหัวเราะของเจ้าหน้ามูลนิธิฯยังคงดังต่อไปอย่างสะใจ

 

            ในเวลานี้จ่าฯและผู้กองฯต่างพากันดับไฟที่แขนขากันจ้าระหวั่น และเมื่อทุกอย่างเริ่มสงบลง ทหารกองร้อยเสือดำพากันนอนกลิ้งอยู่บนพื้นถนนเกลื่อนกลาดร้องโอดโอยด้วยพิษลูกไฟระเบิด

            “ฮืม...จ่า...” ผู้กองฤทธีผู้บัญชาการกองร้อยเสือดำส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับกัดกรามแน่น

            “ครับผู้กองฯ”

            “มันผู้ใดมันบังอาจมาทำลายกองร้อยเสือดำที่เกรียงไกรของผม...มันต้องตายสถานเดียว” ผู้กองฯฉายแววตาอาฆาตออกมาเต็มที่ จ่ากองร้อยเห็นแววตาแสดงความอาฆาตออกมาอย่างนั้นถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเพราะรู้ว่าผู้ที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของผู้กองฤทธีนี้ทุกรายจะจบลงด้วยสภาพอย่างไร

            “จ่า...รองประเมินดูสิว่าพวกมันน่าจะมีกันสักกี่คน” ผู้กองฤทธีเอ่ยขึ้นสายตายังคงจับจ้องอยู่บนยอดตึกอย่างไม่ลดละ

            “ไม่น่าจะต่ำกว่าสิบคนครับผู้กองฯ” จ่ากองร้อยตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ผู้กองฤทธีพยักหน้ารับ

            “อือ..ผมก็ว่าอย่างนั้น...วิทยุเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับคนเจ็บ...และขอกำลังเสริมทั้งทางบกและอากาศ...ด่วน!”

“ครับผู้กองฯ”จ่ากองร้อยฯรับคำสั่งและปฏิบัติตามทันที

“เราคงเจอกับกองกำลังชายชุดดำเข้าให้แล้ว” ผู้กองฤทธีผู้บัญชาการกองร้อยเสือดำเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนยอดตึกอีกครั้ง

เมื่อกาญเห็นว่าเขาหยุดกองร้อยเสือดำได้สำเร็จแล้วจึงพยายามหาทางมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลจุฬาฯต่อไป

 

            ไม่นานนักรถพยาบาลและรถมูลนิธิฯจากหน่วยงานต่างๆ ก็ผ่าฝูงชนเข้าไปภายในโรงพยาบาลจุฬาฯ และเมื่อรถจอดสนิททุกคนต่างทำหน้าที่กันอย่างรีบเร่งรวมทั้งเร

            “ไปไอ้น้อง...หยิบเปลตามพี่มา” เจ้าหน้ามูลนิธิฯเอ่ยขึ้นพร้อมกับลงจากรถนำเรเข้าไปในโรงพยาบาล

            “ครับ...เดี๋ยวพี่...พี่ชื่ออะไรครับ” เรเอ่ยถามในขณะที่วิ่งถือเปลตามเข้าไป

            “หนุ่ย...แล้วเอ็งล่ะ”

            “เร...ครับพี่หนุ่ย” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯยิ้มที่มุมปาก

            “ไปเร...เราไปทำงานกัน” เรพยักหน้ารับ

            “ครับ”

            และเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปได้ไม่นานความโกลาหลก็เริ่มขึ้นภายในโรงพยาบาล ทั้งพยาบาลทั้งหมอ รวมถึงคนไข้ต่างเดินวกวนไปมาอย่างจ้าระหวั่นท่ามกลางแสงไฟสลัวจากไฟฉุกเฉินที่ยังคงส่องสว่างอยู่เท่านั้น

            “เออ..พี่หนุ่ย” เรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนุ่ยยืนลังเลอยู่ว่าจะไปทางไหน

            “ว่าไง เร” หนุ่ยตอบกลับมาแต่สายตาก็ยังคงมองหาทางที่จะเข้าไปอยู่ตลอดเวลา

            “พี่หนุ่ยจะรับคนป่วยรายไหนที่ไหนก่อนครับ”

            “ยังไม่รู้เลยแล้วแต่ทางพยาบาลจะจัดไว้ให้...โน่นเราต้องไปถามนางพยาบาลที่ประชาสัมพันธ์ก่อนว่าจะเคลื่อนย้ายคนไหนก่อน” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯชี้มือไปทางประชาสัมพันธ์

            “เอ่อ..พี่หนุ่ย...ไปดูแม่ผมก่อนได้ไหมครับ” เรเอ่ยขึ้นหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯถึงกับหันกลับมาทันที

            “อ่อ..ที่มานี่จะมาหาแม่อย่างนั้นหรือ” เรพยักรับอย่างซื่อๆทันทีที่โดนถามอย่างนั้น

            “ครับ..ผมจะมาหาแม่” เรจำต้องเรียกป้าจันทร์ฉายซึ่งเป็นแม่ของกาญว่าแม่เพื่อเพิ่มน้ำหนักเหตุผลในการเข้ามาครั้งนี้

            “อือ..กตัญญูดีนี่..ไปงั้นเราไปช่วยแม่เอ็งก่อนเลยแล้วกันคนป่วยเหมือนกันนี่...ว่าแต่ว่าอยู่ตึกไหนล่ะ” เรยิ้มออกเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยปากออกมาอย่างนั้น

“...คุ้มกับที่โดนตบ..” เรแอบนึกอยู่ในใจก่อนจะตอบกลับมาก่อนจะตอบออกมา

“ไม่รู้เหมือนกันครับ...แม่ผมอาการหนักเพิ่งย้ายเข้ามา...เมื่อคืน” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯขมวดคิ้วเข้าหากัน

“งั้นแม่เอ็งเป็นอะไรมา” หนุ่ยจึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่

“โดนยิงครับ” เรตอบสั้นๆ

“หือ!..โดนยิง...” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯถึงกับแสดงอาการตกใจออกมาเมื่อได้ยินที่เรพูดแต่ก็ไม่เอ่ยถามอะไรต่อเนื่องจากกลัวว่าจะไม่เหมาะกับเวลาในตอนนี้

“ไปพี่พอจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน” พูดจบหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯก็เดินจ้ำอ้าวนำหน้าเรเข้าไปภายในตัวตึก หลังจากที่หนุ่ยเดินพาเรผ่าฝูงชนที่เดินกันสับสน อลหม่านมาได้สักพักใหญ่ก็มาหยุดที่หน้าห้องแห่งหนึ่งซึ่งเขียนหน้าห้องว่า

            “ห้องฉุกเฉิน” เรรำพึงออกมาเบาๆ

            “พี่เชื่อว่าแม่ของน้องยังต้องอยู่ในห้องนี้แน่ๆถ้าย้ายเข้ามาเมื่อคืน” หนุ่ยตอบอย่างมั่นใจ เรพยักหน้ารับอย่างมั่นใจเช่นกัน

“ครับ” ก่อนจะพากันเดินผลักประตูเปิดห้องเข้าไป และทั้งสองก็ต้องพบกับความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งเมื่อบรรดาญาติผู้ป่วยต่างต้องการย้ายคนไข้ของตัวเองออกไปจากที่นี่ แต่ก็สุดที่จะทำได้เนื่องจากคนไข้บางคนต้องให้ออกซิเจนให้ยาให้น้ำเกลือและการเคลื่อนจึงต้องดำเนินการย้ายจากทางโรงพยาบาลเท่านั้นจึงต้องรอคิว เรมุ่งตรงเข้าหานางพยาบาลที่กำลังยืนหมุนไปหมุนมาอยู่

            “คุณพยาบาลครับ”

“มีอะไรหนู” นางพยาบาลหันหน้ามาตอบ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเพราะความร้อนและความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ” เรทำท่าอ้ำอึ้ง

“จะถามอะไรก็รีบถามมาเร็ว..ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ” นางพยาบาลมีท่าทีร้อนรนทันทีที่เห็นเร ยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น

“ครับครับคนไข้ที่ถูกยิงชื่อนางจันทร์ฉาย ธรรมศักดิ์ อยู่เตียงไหนครับ” นางพยาบาลทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น

            “อ๋อ...อยู่เตียงโน้นแน่ะหนู” พูดจบนางพยาบาลก็เดินจากไปทันที และไม่สนใจว่าเรจะทำอะไรต่อไป

            “ครับ” โดยยังไม่ทันที่เรจะเอ่ยคำขอบคุณนางพยาบาลก็เดินหายลับเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว เรและหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเดินตรงเข้าไปตามคำบอกของนางพาบาลก็พบแม่ของกาญนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงโดยมีสายออกซิเจนและสายน้ำเกลือห้อยอยู่ระโยงรยางค์

            “นี่หรือแม่ของเอ็ง” หนุ่ยเอ่ยถามทันทีที่เห็นเรยืนนิ่งๆมองดูแม่ของกาญอยู่บนเตียง

            “ครับพี่” เรตอบสั้นๆ

            “ดูอาการไม่ค่อยดีเลยนะ” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้น หลังจากที่ดูอาการป้าจันทร์ฉายได้สักพัก ส่วนเรก็พยายามมองหากาญอยู่รอบๆอย่างไม่ลดละ

            “เฮ้ย..มองหาใครวะ?”

            “เปล่าครับพี่..พอดีผมนัดเพื่อนไว้ให้มาช่วยกันที่นี่ครับ”

            “แล้วอยู่ไหนล่ะ” เรส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ

“พี่ว่ารีบย้ายแม่ของเอ็งก่อนดีกว่า ดูอาการไม่ค่อยดี และก็ดูนั่นสิ อ็อกซิเจนเหลือต่ำลงไปทุกทีแล้ว”

            “จริงหรือพี่” เรออกอาการตกใจเมื่อหนุ่ยพูดออกมาอย่างนั้น

            “เออสิวะ...จะโกหกเอ็งให้ได้อะไรขึ้นมา...เอ็งจะเอายังไงจะย้ายหรือไม่ย้าย” เรทำตาโตและพยักหน้ารับอย่างลนลาน

            “ยะย้ายครับพี่...แล้วทางโรงพยาบาลไม่ว่าอะไรหรือครับ”

            “ถ้าเอ็งจะรอทางโรงพยาบาล...อ็อกซิเจนหมดแน่...ในรถมูลนิธิฯมีถังออกซิเจนสำรองอยู่...มันน่าจะพอใช้ก่อนถึงโรงพยาบาลแห่งใหม่”

            “ครับ...ครับ...ไปเลยครับพี่หนุ่ย” เรตัดสินใจเคลื่อนย้ายป้าจันทร์ฉายโดนไม่รอกาญ เนื่องจากว่าอ๊อกซิเจนกำลังจะหมด การเคลื่อนย้ายป้าจันทร์ฉายเป็นไปด้วยดีเพราะไม่มีใครมาให้ความสนใจและอีกอย่างทั้งสองใส่ชุดมูลนิธิฯ และไม่นานทั้งสองก็เคลื่อนย้ายป้าจันทร์ฉายแม่ของกาญมาไว้ในรถมูลนิธิฯซึ่งบัดนี้มีคนป่วยบางคนมานั่งรออยู่บ้างแล้ว

            “ชิดในหน่อยครับ ชิดในหน่อย...” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเอ่ยขึ้นขณะนำเตียงป้าจันทร์ฉายขึ้นรถและต่อสายอ๊อกซิเจนให้ทันที

“เอาล่ะ...ทีนี้ก็เรียบร้อย” หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิเอ่ยขึ้น

“ขอบคุณมากครับพี่หนุ่ย” เรยกมือไหว้หนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯทันทีที่เสียบสายอ็อกซิเจนเสร็จ

“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว” หนุ่ยยิ้มรับการไหว้ของเร และเมื่อคนและรถพร้อมแล้วหนุ่ยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯจึงตะโกนบอกพลขับให้ออกรถได้

            “ไปเลยลูกพี่...คนเต็มแล้ว...”สิ้นเสียงของหนุ่ย รถมูลนิธิฯก็เร่งเครื่องออกโดยที่เรยังสอด ส่ายสายตามองหากาญอยู่อย่างไม่ลดละจนกระทั่งรถออก

            “กาญ...นี่นายหายหัวไปไหนวะ...นายไม่เคยเหลวไหลนี่” เรรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะถอนหายใจยาวๆ

“...เดี๋ยวเอาแม่นายไปไว้ในที่ปลอดภัยก่อนแล้วกัน หวังว่านายคงไม่เป็นอะไรนะ...นี่ถ้ามีโทรศัพท์ก็คงดี...นี่คงเป็นเหตุผลที่กาญให้เงินเรามาซื้อสินะ....” เรคิดอยู่ในใจสายตาก็มองมาที่ป้าจันทร์ฉายแม่ของกาญอย่างห่วงใย

...................................................................................

 

ใครอยากอ่านต่อขอเสียง และแรงใจโหวตให้หน่อยคับ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา