พันแสงราตรี

9.9

เขียนโดย กุลภัสสร์

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.17 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  6,229 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ ๒ - "หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง 1"

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 

 
บทที่ 2
 
 “หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง”
 
 

 
 
 
                ‘เมืองต้นไม้ เป็นเมืองหลวงของเผ่าเอลฟ์แสงที่สูงศักดิ์ ซึ่งสาเหตุที่เรียกพวกเขาว่า ‘เอลฟ์แสง’ นั่นก็เพราะว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีเชื้อสายของเทพปะปนอยู่ด้วยนั่นเอง เป็นเมืองที่มีสีเขียวขจีของแมกไม้หลายชนิด บ้างก็พบเห็นได้ทั่วไป บ้างก็มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น เช่น เมฆารัศมี ซึ่งเป็นพืชเถาไม้เลื้อยที่มีดอกเหมือนก้อนเมฆ (สีเขียวอ่อน) มีสรรพคุณรักษาอาการเจ็บปวดภายนอกเล็กน้อยได้ชะงัด เป็นต้น
 
 
                แน่นอนว่าเอลฟ์ไม่ได้มีเพียงแค่เผ่าเทพที่สูงศักดิ์เท่านั้น
 
 
                แต่นั่นเป็นเรื่องในภายภาคหน้า…’
 
 
                “หาว”
 
 
                กึก
 
 
               คำบรรยายชะงัก
 
 
               สาเหตุนั้นมาจาก…
 
 
               “อะไร ก็มันน่าเบื่อนี่”
 
 
               ทุกคน…ยกเว้นจิ้งจอกไฟพากันกลอกตาอย่างละเหี่ยใจ 
 
 
               หมาป่าทมิฬ ‘พูด’ คำว่า ‘หาว’ ออกมาเสียงดัง แถมยังทำท่าทางยียวนกวนส้นเท้าเหมือนไม่แคร์สื่อทั้งที่เหล่าเอลฟ์ทั้งหนุ่มและวัยฉกรรจ์ต่างก็พร้อมใจกันหันขวับมามองจ้องที่ตนราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างพร้อมเพรียง
 
 
               จะไม่ให้จ้องเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันขัดจังหวะการบรรยายเป็นรอบที่สามแล้ว!
 
 
               “อย่าสนใจข้าเลย บรรยายต่อเหอะ” เจ้าตัวพูดพึมพำพร้อมกับหลับตาลง
 
 
               นอน
 
 
                จิ้งจอกไฟเหลือบมองอาการของ ‘ลูกศิษย์’ คนล่าสุดของตนเองอย่างเบื่อหน่าย แม้ว่าภายนอก ใบหน้าของเอลฟ์หนุ่มจะยังคงงดงาม…แต่นิ่งเหมือนรูปสลักเช่นเดิม ทว่าภายในใจของเขากลับมีคำถามอยู่หนึ่งคำถามลอยว่อนไปทั่วจิต
 
 
                ‘ใครเป็นคนปล่อยให้มันผ่านเข้าหน่วยมาได้เนี่ย…’   
 
 
                “หมอนี่ต้องตายก่อนได้พ้นวันแรกแน่ๆ” คำทำนายและน้ำเสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกให้สายตาของจิ้งจอกไฟต้องหันไปมองนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้กับผู้มาใหม่ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่เป็นเชิงทักทาย
 
 
                “เป็นไงบ้าง จิ้งจอกไฟ หลับสบายดีไหม”
 
 
                แกล้งถามกันหรือ?
 
 
                จิ้งจอกไฟตั้งคำถามในใจที่ไม่น่าจะได้คำตอบภายในเร็ววันขึ้นมาอีกข้อ ก่อนจะปัดข้อสงสัยนี้ทิ้งไปเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหล่อนยังคงไม่รู้ถึงเรื่องที่เขามี ‘ศิษย์’ เป็นเจ้าเด็กกวนโอ๊ยนั่น
 
 
                “เงือกวารี…”
 
 
                หล่อนยิ้มรับเสียงเรียกชื่อ 
 
 
                ‘เงือกวารี’ เป็นเอลฟ์สาวที่งาม…งามมาก เกือบจะงามเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเลยก็เป็นได้
 
 
                ด้วยเส้นผมสีบลอนด์ทองยาวสยายจนถึงกลางหลัง ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่งามหมดจด นัยน์ตาเรียวงามสีฟ้าค่อนไปทางน้ำเงินนั้นฉายให้เห็นถึงความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในแบบของผู้หญิง ริมฝีปากสีอ่อนนั้นมักจะเหยียดเป็นเส้นตรงเสมอเพราะเธออยากจะรักษาภาพลักษณ์ ‘ความเป็นผู้หญิงแกร่ง’ เอาไว้ 
 
 
                ใช่แล้ว จิ้งจอกไฟยอมรับเลยจริงๆ หากบวกกับทรวดทรงที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับ ‘แนวหน้า’ ก็การันตีได้เลยว่า เมื่อไหร่ที่หล่อนตัดสินใจที่จะไปเดินเล่นอยู่ในจตุจักรกลางเมืองล่ะก็…เมื่อนั้นพวกเขาคงจะได้หัวปั่นเพราะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นมาแน่ๆ
 
                ‘ชิงนาง’ น่ะสิ!
 
 
                หากเป็นปกติ เพราะความใกล้ชิดและความสนิทสนมอย่างมากมายที่ทั้งเขาและเธอมี บางทีเขาอาจจะเผลอหลงไปในความงามของหล่อนด้วยเช่นเดียวกัน
 
 
                แต่โชคดีที่มีอย่างอื่นมาขั้นกลางระหว่างพวกเขาไว้
 
 
                เงือกวารีเห็นท่าทางเงียบจนน่าอึดอัดของจิ้งจอกไฟแล้วจึงตัดสินใจหาเรื่องคุย
 
 
                “เห็นว่า ‘มังกรคลั่ง’ให้เจ้ารับลูกศิษย์ไปหนึ่งคนไม่ใช่หรือ? เก่งไหม? น่ารักรึเปล่า? ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”   
 
 
                ไร้ซึ่งคำตอบจากคนพูดน้อย เงือกวารีเกือบจะเบ้หน้าใส่แล้ว หากว่าจิ้งจอกไฟไม่ตัดสินใจที่จะชี้มือไปทางเจ้าเด็กป่วน ‘หมาป่าทมิฬคนใหม่’ ด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนในสายตาของหล่อนว่า ‘ข้าไม่พอใจมากที่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเจ้าหมาบ้าน้ำลายยืดนั่น’
 
 
                เงือกวารีกระพริบตาปริบๆ มองตามช้าๆ ก่อนที่หล่อนจะทำตาโตจนน่าขัน แล้วโพล่งออกมาอย่างสุดแสนจะตกใจว่า “หา! ตัวป่วนตนนั้นเป็นลูกศิษย์เจ้าหรือ?”
 
 
                “…” จิ้งจอกไฟพยักหน้า
 
 
                คนถามถึงกับต้องนิ่งใส่เพราะไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรดี อยากจะหัวเราะ…ก็กลัวจะโดนฆ่าหมกป่า แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
 
 
                คนที่ดูใจร้อน กับ น้ำแข็งพันปีเนี่ยนะ 
 
 
                บางทีเธอก็สงสัยว่านี่เป็นตลกร้ายตามฉบับของ ‘มังกรคลั่ง’ คนนั้นใช่ไหม?
 
 
                จิ้งจอกไฟชักสีหน้านิดหนึ่งจนแทบจะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้เมื่อเอลฟ์ที่เกือบที่จะเป็นเพื่อนของเขาดันปล่อยหัวเราะออกมาพรืดใหญ่อย่างไม่มีความเกรงใจ 
 
 
                นี่ตกลงคิดจะซ้ำเติมกันจริงๆสินะ
 
 
                “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะใสๆที่ดังก้องไปทั่วทำให้การบรรยายต้องหยุดลงอีกครั้ง ทุกสายตา รวมถึงสายตาของหมาป่าทมิฬต่างก็หันมามองเจ้าของเสียงกันพรึ่บพรั่บโดยไม่ได้นัดหมายแต่อย่างใด  
 
                ‘สวย’
 
 
               ถ้าความคิดมีเสียง หลายๆคนคงต้องสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันเป็นแน่
 
 
               และเมื่อสายตาของพวกเขามองเลยจากคนสวยไปยังก้อนน้ำแข็งที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก สายตาเคลิบเคลิ้มก็เปลี่ยนเป็นสายตาที่ร้องตะโกน ‘โอ๊ย มันอีกแล้ว!’ อย่างสุดจะทน
 
 
               เห็นเงือกวารีที่ไหน มันก็ต้องอยู่ที่นั่นทุกที!
 
 
               ทำไมไม่เป็นพวกเขาวะที่ได้สนิทกับเธอเนี่ย!
 
                หางตาของจิ้งจอกไฟมองเห็นปฏิกิริยาของทุกคนดี และออกจะรู้สึก ‘รำคาญ’ เมื่อได้ยินเสียง ‘ชิ’‘เชอะ’ ที่ดังต่อกันเป็นแถวๆ นัยน์ตาสีโกเมนหรี่ลงมองพรรคพวกที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘เกลียดขี้หน้า’ เขา
 
 
                “พวกนั้นท่าจะว่างมาก” เงือกวารีที่คงจะรับรู้ถึงสายตาร้อนแรงของเหล่าชายหนุ่มที่จ้องมองมาเหมือนกันพึมพำเสียงเมื่อย ท่าทางไม่ค่อยพอใจของเธอเกือบจะทำให้จิ้งจอกไฟรู้สึกถึงความขัน
 
 
                แต่ก็นะ แค่เกือบเท่านั้น
 
 
                “ไม่ทำงานรึไง ถึงได้ใส่ชุดเนื้อผ้าน้อยอย่างนี้” เอลฟ์หนุ่มส่งเสียงถาม ในเสียงมีรอยตำหนิ ซึ่งปกติถ้าเป็นคนอื่นคงจะได้ของขวัญเป็นมะเหงกจากคนสวยสักทีสองทีไปแล้วสำหรับการเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไร้มารยาทที่สุด แต่เพราะเป็น ‘จิ้งจอกไฟ’ คนนี้ เงือกวารีถึงไม่ได้ถือสาอะไร หล่อนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงอ่อน
 
 
                “ข้าไม่ค่อยสบายเท่าไร ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน…”
 
 
                จิ้งจอกไฟกวาดตามองร่างงามของเอลฟ์สาวช้าๆราวกับตรวจเช็คว่าไม่สบายตรงไหน ก่อนจะพึมพำเมื่อพบว่าหล่อนยังคงดูสบายดีทุกประการ
 
 
                “ไม่สบาย?” คำพูดเหมือนทวนทำให้เงือกวารีต้องกลั้นยิ้ม ก่อนจะกระเซ้าเสียงร่าเริงว่า
 
 
                “นี่เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
 
 
                สายตาที่ส่งมาเป็นเชิง ‘เจ้าจะบ้ารึไง’ ตามแบบฉบับของจิ้งจอกไฟที่แสนเย็นชาทำให้เงือกวารีถึงกับทำหน้าโศก ก่อนจะรีบแก้ตัวหน้าตายเมื่อได้สติ “ข้าแค่อยากจะบอกว่าถ้าเจ้าเป็นห่วงข้า ข้าจะดีใจมากเลยนะต่างหาก ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเจ้าสักหน่อย”
 
 
                “จิ้งจอกไฟเขายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลยสักคำไม่ใช่หรือ เงือกวารี”
 
 
                ความนุ่มนวลแม้จะทุ้มต่ำของน้ำเสียงทำให้เอลฟ์หนุ่มเลิกคิ้ว หันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง
 
 
               “มังกรคลั่ง” เขากล่าวทักอย่างเย็นชา นัยน์ตาสีโกเมนนั้นแม้จะดูนิ่งแต่เจ้าของนาม ‘มังกรคลั่ง’ กลับรู้ว่าภายใต้ความเฉยของเจ้าตัวนั้นมีความรู้สึกไม่พอใจมากๆของเขาจิ้งจอกไฟซ่อนอยู่ ท่าทางเขานึกขึ้นได้ว่าใครเป็นคนที่ส่งเด็กนรกจอมหาเรื่องนั่นมาอยู่ในทีม
 
 
                “สายัณสวัสดิ์ จิ้งจอกไฟ” 
 
                มังกรคลั่ง กล่าวหลังจากพยักหน้าเป็นเชิงทักทายกลับ ทำให้เส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลังเต้นไหวตามสายลมที่พัดมาอย่างได้จังหวะ แม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มแหยประดับอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังคงความน่าเกรงขามอยู่เช่นเดิม นัยน์ตาสีเดียวกันกับจิ้งจอกไฟเองมองไปรอบตัวอย่างละเลิ่กละลั่กเพื่อบอกให้คนกำลังโกรธอยู่รู้ว่า เขาพร้อมที่จะหนีตลอดเวลาหากสถานการณ์เริ่มเลวร้าย
 
 
                ถึงตอนนี้จิ้งจอกไฟก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
 
 
                หากไม่บอก ใครจะไปเชื่อว่าคนๆนี้แหละ ‘หัวหน้าคนปัจจุบันของอัคคีพิฆาต’!
 
 

 
-จบ บทที่ ๒-
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา