[YAOI] Lessons Of Loves รักเร้นลับ ฉบับคุณครู

9.8

เขียนโดย ดลณกร

วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 13.39 น.

  16 Lesson
  28 วิจารณ์
  19.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557 18.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) 013th บาปในใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 


Lesson 013th บาปในใจ

 

ผมถูกลากตัวปลิวเข้ามาในรถยนต์หรูคันนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยอาการเข่นเขี้ยวของเจ้าของรถที่ตอนนี้บ่งบอกเลยว่า กำลังไม่พอใจใครซักคนในวงสนทนา หลังประตูรถปิดลงเรานั่งกันอยู่ในรถที่สตาร์ทเครื่องเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ และตอนนี้มันดังกว่าเสียงหายใจของเรา 2 คน

“กูลืมอะไรไว้ในรถมึงวะอ้น” แล้วก็เป็นผมที่ทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้ก่อน แต่อ้นกลับมองหน้าผมแล้วย้อนถามผม

“พี่ปิดเครื่องทำไม”

“กูถามว่ากูลืมอะไร มึงอย่ามานอกเรื่อง” ผมไม่รู้ว่าจะตอบมันอย่างไร ที่ผมทำได้ก็แค่ทำเป็นหงุดหงิดใส่มัน

“ความรู้สึกของผม”  ผมงงครับ ว่ามันหมายความว่ายังไงกับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรขึ้น มึงช่วยอธิบายให้กูเข้าใจง่ายกว่านี้ได้ไหม?

“พี่สนิทกับครูอิส...จนลืมผม”  ผมยังคงมองหน้ามันด้วยความสงสัยในสิ่งที่มันกำลังจะพูด

“ช่วงปิดเทอมคงอยู่ด้วยกันเพลิน ถึงกับปิดมือถือไม่ให้ใครโทรหา ถึงว่า พอเจอพี่ 2 คนอีกที ถึงดูสนิทกันเกิน”  ถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกหน้าตึงๆ ละ ไม่ใช่เพราะอาย แต่เพราะผมโกรธมัน

“อ้น ... มึงฟังกูนะ ถ้ามึงเข้าใจว่าผู้ชายคนไหนที่เข้ามาในชีวิตกูแล้วกูจะชอบหมด หรือรู้สึกดีด้วยหมด ถ้ากูรู้อีกครั้งว่ามึงคิดได้แค่นี้ มึงกับกูไม่ต้องคุยกัน เพราะกูไม่ใช่คนมักง่ายแบบนั้น!”  ผมหงุดหงิดแล้วหันหลังจากมันเตรียมเปิดประตูรถออกเพื่อกลับบ้านพัก แต่อ้นก็กดล็อกจากฝั่งคนขับ เชี่ยอ้น นี่มึงจะทำร้ายกูป่ะเนี่ย กูไม่รู้จะหนีทางไหนนะมึง

“ผมขอโทษครับพี่”  มันกดหน้าลงต่ำ ส่งเสียงทุ้มๆ ออกมาพร้อมควานมือมากุมมือของผมไว้

“มึงอย่ามาดราม่า ปล่อยมือกูเลย ถ้าไม่มีอะไรก็ไปส่งกู” 

“พี่หนีผมทำไม...”  เจ้าของเสียงนั้นยังหลบตาลงต่ำและถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ผมว่าบางทีการที่เราคุยกันตรงๆ มันก็คงเป็นทางออกที่ดีกว่าจะหลบหน้ากันไปมาแล้วสุดท้ายเราก็จะไม่เข้าใจอะไรกันเลย

“อ้นฟังนะ” ผมขยับตัวหันหน้าเข้าหามันเพื่อบ่งบอกว่า กูตั้งใจพูด มึงก็ต้องตั้งใจฟัง และที่สำคัญ กูไม่ขำ

“กูรู้สึกผิดว่ะ ตั้งแต่รู้ว่ามึงบอกเลิกก้อยในวันที่เจอกูที่เมก้า ความจริงกูควรจะต้องดีใจหรือเปล่าวะ ที่มึงบอกกับกูแบบนี้ แต่ในหัวกูแม่งบอกว่า กูผิด กูไม่ควรปล่อยให้อะไรๆ มันดำเนินไปแบบนี้ มึงกับกูโตขนาดนี้แล้ว มีสำนึก รู้ถูก รู้ผิด แล้วมึงคิดว่า กูควรดีใจหรอวะ ที่มึงทำร้ายใครอีกคน เพื่อมาหากู”  ผมร่ายยาวขณะที่มองหน้ามันแล้วพบว่ามันนั่งฟังอย่างตั้งใจ

“แล้ววันนั้น ก้อยส่งไลน์มาหามึง กูก็รู้ แต่มึงก็เลือกจะไม่ไปตามนัด กูเองถึงจะเคารพการตัดสินใจของมึงขนาดไหน แต่ถ้าการตัดสินใจนี้มันทำร้ายใคร กูก็ไม่ควรอยู่เป็นตัวแปรหรือเปล่าวะ ... กูเข้ามาผิดเวลาหรือเปล่าวะ?” 

“พี่นัท ผมกับก้อย ไม่ว่าจะวันไหนมันก็ต้องจบแบบนี้แหละพี่ ยิ่งฝืน ยิ่งทน คนที่เจ็บมากขึ้น ก็คือก้อย เลิกกันวันนี้ จบแค่นี้มันก็ดีกว่าก้อยจะมาทุ่มเทอะไรให้ผมมากมายกว่านี้ และถ้ามันจะผิดมันก็เป็นผมเองที่ผิด ที่ตัดสินใจโง่ๆ ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้กับพี่และก้อย” ผมสะอึกกับคำพูดของมันที่ฟังยังไงผมก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย

“พี่รู้ไหมครับ ตั้งแต่ช่วงที่พี่กลับบ้าน ช่วงที่ผมติดต่อพี่ไม่ได้ ผมโคตรไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ ผมไปดูที่บ้านพักพี่ ก็ไม่เคยเจอ ผมคิดว่าจะไปหาพี่อีกครั้งในช่วงเตรียมการก่อนเปิดเรียน แล้วก็มาเจอพี่ที่นี่” มันเว้นเสียงเล็กน้อยแล้วมองหน้าผม “เจอพี่กับครูอิส”..... ความเงียบปกคลุมเราทั้ง 2 อีกครั้ง มันเงียบขนาดได้ยินเสียงหัวใจของผมและอ้นเต้นในอก ผมควรต้องทำอะไรเพื่อให้คำตอบมันชัดเจนเสียที เพื่อไถ่บาปที่ผมก่อให้มันเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

“อ้น...คืนนี้มึงว่างไหม” อ้นพยักหน้าแทนคำตอบแบบงงๆ

“มึงพากูไปไหนก็ได้ ที่ที่มีแค่มึงกับกู”

----------------------------------------------

เพียงครู่เดียว รถอ้นก็มาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่จริงผมควรเรียกว่าอพาร์ทเมนท์ดีกว่า เพราะมันมีห้องต่างๆ เรียงรายอยู่บนสิ่งปลูกสร้าง 3 ชั้น ผมเองก็ขี้เกียจถามมันว่านี่คือที่ไหน เพราะปากก็บอกมันไปแล้วนี่นา ว่าแล้วแต่มันจะพาผมไปไหน ผมลงรถเดินตามมันมาหยุดที่ประตูของมุขอาคารฝั่งซ้ายหน้าตึกใหญ่โตที่แบ่งโซนชัดเจนจากห้องถัดไปที่เป็นส่วนของ อพาร์ทเมนท์ เบื้องหน้าของผมตอนนี้พบประตูไม้บานใหญ่ที่แกะสลักลวดลายประณีตบรรจงบ่งบอกถึงราคาของมัน อ้นหยิบกุญแจขึ้นมาไขภายใต้แสงสลัว ระหว่างนั้นทำให้ผมมีเวลาพอจะสำรวจที่นี่เล็กน้อย แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดตรงป้ายเหนือประตูที่อ้นกำลังไขว่า “บ้านรายรัตน์”

“เชี่ยอ้น...มึงพากูมาบ้านมึงทำไมเนี่ย เดี๋ยวพ่อแม่มึงตื่นมาก็โดนด่าหรอก” ผมถอยหลังกรูดออกไปยืนหลบที่หลังของอ้นเพราะกลัวว่าพ่อแม่อ้นจะมองเห็นหน้าของผมจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้มุมใดมุมหนึ่งของหน้าบ้าน

“ดึกป่านนี้ พ่อแม่ผมหลับไปแล้วพี่” อ้นตอบพร้อมยิ้มโลกสว่างแบบเคย แล้วผมก็ถูกมันลากขึ้นไปบนห้องนอนของมันบนชั้น 3

ห้องของอ้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่ก็ดูสะอาดตา เตียงนอนนุ่มขนาดใหญ่ของอ้นก็ช่างน่านอนที่สุดโดยเฉพาะในยามวิกาลที่ผมแสนจะอิ่มจนแทบจำศีลแบบนี้ เรา 2 คนเตรียมตัวอาบน้ำเพราะรู้สึกเหนียวตัว หัวก็เหม็นจากสงครามหมูกระทะ ผมอาบก่อนเพราะอ้นขอไปเตรียมเสื้อผ้าให้ผมใส่ หลังอาบน้ำผมเองเลยต้องอาศัยอยู่ในชุดนอนของอ้น และช่วงที่รออ้นอาบน้ำ ผมจึงทำหน้าที่ผู้มาเยือนที่ดี เดินสำรวจห้องนอนอ้นพบรูปถ่ายของอ้นมากมายใส่กรอบแปะไว้ที่ผนังห้อง แต่จากการสังเกตทุกรูปอ้นจะทำหน้านิ่งๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก ...แต่หล่อชิบหาย (ไอ้นี่) จนเมื่อต่อมเผือกของผมหยุดทำงาน ผมจึงเดินมาเลื่อนประตูกระจกของมันออกเพื่อไปยังระเบียงห้องที่มีดอกราตรีส่งกลิ่นหอมกระจายยามเมื่อลมแห่งคืนค่ำย่ำผ่านและพัดพากลิ่นหอมนั้นเข้ามาบนระเบียงชั้น 3 ของห้องนอนอ้นด้วย

“ผมดีใจนะ ที่พี่ไม่คิดอะไรแล้ว” อ้นเดินตามมาสมทบเงียบๆ ผมในขณะที่ผมยืนรับลมมองพระจันทร์ที่วันนี้เต็มดวงสวยกระจ่างเต็มท้องฟ้า

“กูต้องคิดอะไรวะ” ผมตอบโดยที่ไม่รู้ว่าเวลานี้ผมคิดอะไร เพราะในหัวของผมเองมันช่างว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด

“ไม่ต้องคิดอะไรแล้วพี่ ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ต้องหยิบทุกเรื่องมาคิดแบบนี้ดีแล้ว ผมอยากเห็นพี่สบายใจ” อ้นเดินมากอดผมแล้วจูบหน้าผากผมอย่างแผ่วเบาแทนคำพูดเป็นพัน และมันก็แปลกจริงๆ ที่จูบจากริมฝีปากอุ่นๆ ของอ้นกลับมอบความรู้สึกผ่อนคลายให้ผมอย่างน่าประหลาด

“พี่มั่นใจหรือยังครับ ว่าพี่ไม่ใช่คนที่มาผิดเวลา และผมก็เลือกจะเปิดเผยทุกอย่างกับพี่” คำพูดของอ้นเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ให้ผมรู้อะไรบางอย่าง เพราะอ้นที่ผมรู้จักก่อนนี้ คือ อ้นที่รักความเป็นส่วนตัวและไม่ชอบที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวใดๆ แก่คนอื่นที่เขาไม่ไว้ใจทั้งสิ้น เพราะขนาดผมเองที่ตามสืบเรื่องมันมาหลายเดือนยังแทบไม่รู้อะไรเลย จนอ้นปรากฏตัวและบังเอิญได้คุยกันนั่นแหละ และนี่ละมั้งที่อ้นอยากจะสื่อว่า อ้นเลือกจะเปิดเผยกับผม เปิดเผยแม้กระทั่งภายในห้องนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวนี้กับผม อ้นกอดผมแน่นนานเนิ่นและด้วยกอดนี้ แม้จะมีลมหนาวแรกของช่วงปลายเดือนตุลาคมพัดผ่านมาให้เย็นเพียงใด แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน

“กอดแน่นเกินไปละมึง กลัวกูหายหรอ” อ้นพยักหน้าหงึกหงักขณะหลับตาแล้วกอดผมแน่น

“ผมคิดถึงพี่ที่สุดอ่ะ ผมมาโทรหาพี่ตรงนี้ทุกคืน แล้วก็โทรไม่ติดซักคืน หึหึ” มันหัวเราะเบาๆ ด้วยคำพูดที่คล้ายจะล้อผม แต่คำพูดนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ทำให้ผมรู้แล้วว่า อ้นไม่ได้หายไปไหน

 

อ้นก็คิดถึงผมเช่นเดียวกับที่ผมคิดถึงอ้น

 

“ง่วงแล้วว่ะ ไปนอนเหอะ” แต่ป่วยการที่จะดีใจ ผมพูดตัดบท แล้วแกะมือของมันออกเพราะรู้สึกว่า ถ้าขืนผมได้ยิน ได้ฟังอะไรจากมันมากไปกว่านี้ อาจเป็นผมเองที่ใจอ่อน และยอมให้อารมณ์ที่เกิดจากใจที่ขาดมโนสำนึกของผมก่อเรื่องอีก

เราสองคนล้มตัวลงบนที่นอนแล้วสบตากัน อ้นเอียงตัวมาเพื่อกอดผมไว้ในอ้อมกอดของอ้นอีกครั้ง หน้าของผมซบกับแผงอกอุ่นของอ้น แผงอกของผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ผมจะยอมคุ้นเคย

“คืนนี้...กูขอได้ไหมอ้น” อ้นดันหน้าผมออกจากแผงอกมันแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนมองหน้าผมด้วยแววตาสงสัย

“...ขอให้มึงแค่กอดกูแน่นๆ แค่กอดกูให้แน่นที่สุดเท่าที่หัวใจของมึงอยากกอดได้ไหมวะ” ผมพูดได้แค่นี้ด้วยเสียงแหบพร่า เพราะรู้สึกเหมือนก้อนความรู้สึกมันกระจุกแน่นอยู่ที่อก อ้นก้มจูบที่ปลายจมูกของผมด้วยสัมผัสอ่อนโยนในความรู้สึกแตกต่างกันระหว่างผมกับอ้น แล้วกอดรัดตัวผมแน่นด้วยอ้อมกอดจากแขนแกร่งคู่นั้นที่ผมร้องขอ ผมซุกตัวลงไปในอ้อมกอดอุ่นของอ้นเหมือนเดิมเพื่อฟังเสียงเต้นของหัวใจที่ผมคุ้นเคย เพื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของลมหายใจที่แผ่วเบา และเพื่อสัมผัสถึงไออุ่นของแผงอกนี้เหมือนเคยอีกครั้ง....

 

 

ไออุ่นนี้ที่เป็นเพียงของผมคนเดียวในคืนนี้ ... คืนสุดท้าย

 

 

 

 

To be continue

 

ขอบคุณที่อ่านและติดตามครับ เห้ออออออ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา