The twins Hunter of London

9.3

เขียนโดย Huntessell

วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.25 น.

  4 chapter
  2 วิจารณ์
  6,214 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Damian & Arthur

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

 

 

 

 

 

 

 

ปี 1886 กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ.

 

เสียงกระดิ่งกระทบบานประตูเรียกความสนใจของชายแก่ให้หันไปมอง ผู้มาเยือนหุบร่มในมือแล้วแขวนมันเข้ากับราวที่ติดอยู่บนผนังก่อนจะสะบัดเสื้อโค้ทสองสามทีเพื่อนไล่หยดน้ำ ชายแก่ร่างท้วมจึงเอ่ยทักขึ้น

"ว่าไงทิม เพิ่งเลิกงานหรือ" ชายแก่ถามขณะเก็บเงินที่นับอยู่เมื่อครู่เข้าลิ้นชัก
"ครับแฮรี่พอดีพรุ่งนี้ที่ร้านจะจัดงานวันเกิดให้ลูกชายของท่านวุฒิสมาชิกผมก็เลยต้องอยู่ดูความเรียบร้อย พอเสร็จงานฝนก็ดันมาตกซะได้แย่จริงๆ" ชายแก่ได้ยินเช่นนั้นจึงส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งไปให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน ทิมกล่าวขอบคุณแล้วรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดหน้าไม่นานนักชายแก่เจ้าของร้านก็เดินกลับมาพร้อมห่อของในมือ
"เธอนี่ให้ความสำคัญกับเด็กๆดีจริงนะ เอ้านี่ของที่เธอสั่ง" แฮรี่พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทิมไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้นก่อนจะรับห่อของมาจากแฮรี่และจ่ายเงินให้เขา จังหวะเดียวกับที่หันไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนชั้นทางด้านซ้ายมือ
"นั่นข่าววันนี้หรอครับ"
"อ๋อใช่แล้ว" แฮรี่เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาก่อนจะอ่านพาดหัวข่าว
"พบศพคนโดนตัดหัวอีกศพนึงแล้ว คราวนี้ถูกทิ้งอยู่ใต้สะพานแหน่ะ"
"คนที่ทำเรื่องนี้โหดเหี้ยมจริงๆฆ่าคนทั้งคนซ้ำยังตัดหัวอีก" ชายแก่ถอนหายใจก่อนจะสอดหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงไปในห่อของสีน้ำตาลที่ทิมถืออยู่
"ฉันแถมให้แล้วกันนะ เธอเองก็กลับบ้านระวังๆด้วยล่ะ"
"ขอบคุณครับ คุณเองก็ด้วยนะ" ทิมลอบกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง

 

 

สิบห้านาทีต่อมาทิมอยู่บนถนนในตรอกฝนยังคงเทลงมาไม่หยุดเขาใช้มือขวาอุ้มห่อของไว้ในมือขณะที่มือข้างซ้ายถือร่มกำบังน้ำฝน การเดินในตรอกยากขึ้นมากทีเดียวเมื่อไม่มีไฟฟ้าเมืองแถบนี้คงกำลังไฟดับเขาคาดการณ์จากหน้าต่างของร้านค้าต่างๆที่เพิ่งเดินผ่านมาปิดไฟมือสนิทอาคารบ้านเรือนไม่มีแสงไฟแม้แต่หลังเดียว เขาค่อยๆก้าวอย่างมั่นคงผ่านแอ่งน้ำบนถนนจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียง เสียง?
เสียงเหมือนฝีเท้าหนักๆลากผ่านพื้นหินที่เฉอะแฉะทิมรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัวและหนาวเย็นอย่างประหลาดที่ต้นคอ
เขาลังเลอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปมอง ไม่มีอะไรนอกจากความมืดและแสงสลัวของดวงจันทร์ที่อาบกระทบพื้นถนน ถึงฝนจะตกหนักขึ้นกว่าเมื่อครู่แต่ทิมได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนักๆของตัวเองเท่านั้นเขาหันมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจอุณหภูมิร่างกายไม่คงที่อย่างประหลาด ชั่ววินาทีนั้นเองหางตาของเขาจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้เขาสะท้านไปทั้งกายขนทุกเส้นบนร่างตั้งเกรียว ทิมพยายามทำใจกล้าหันไปมองจุดที่หางตาจับความเคลื่อนไหวได้เมื่อครู่ เขาจ้องไปที่ซอกตึกมืดๆซึ่งอยู่เยื้องออกไปแค่ไม่กี่เมตร แล้วเขาก็เห็น

 

เงาร่างสีดำถือใบมีดยาวกว่าหนึ่งฟุตกำลังจ้องมาที่เขา

 

 

ดวงตาของทิมเบิกกว้างอะดีนารีนในร่างกายสูบฉีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเขาทิ้งร่มและห่อข้าวของในมือลงแล้วหันหลังออกตัววิ่งไปสู่ความมืดเบื้องหน้า ได้ยินเสียงฝีเท้านิรนามตามมาจากด้านหลังเขาไม่หันกลับไปมองเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากก่อนจะโดนชะไปด้วยน้ำฝนเย็นๆที่สาดกระเซ็นเข้าใบหน้า เขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอย่างชำนาญทาง วิ่งตัดผ่านซอยมืดๆหลายซอยหวังว่าคนที่ไล่ตามเขาอยู่จะตามมาไม่ทันและคลาดกับเขาในตรอกสักแห่งหนึ่ง เขาเริ่มมีความหวังขึ้นเมื่อเห็นแสงไฟจากเสาไฟที่เรียงรายอยู่ริมแม่น้ำเทมส์

วิ่งผ่านตรอกตรงนี้ก็ถึงแล้ว เขาคิด กำลังใจค่อยๆเพิ่มมากขึ้นระหว่างที่วิ่งไประยะทางของเขากับแม่น้ำเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองร่างสูงภายใต้เสื้อโค้ทก็กระโดดลงมาดักหน้าเขาจนสะดุดกึก

ผู้มาเยือนส่งยิ้มมาให้ก่อนจะใช้มือที่สวมถุงมือหนังอยู่ขึ้นมากระชับหมวกทรงสูงสีดำที่ตัดกับเส้นผมสีขาวของตนเองให้แน่นขึ้น

"ทิโมธี คาวส์ หรือ ทิม ทำงานเต็มเวลาที่ภัตราคารในย่านกลางเมือง ไม่มีพี่น้องหรือภรรยา ผมพูดถูกมั๊ย?"
ชายหนุ่มผมขาวในเสื้อโค้ทยาวสีดำเอ่ยถามเสียงทะเล้นบนใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางเดินเข้าไปหาทิมอีกหนึ่งก้าว ทำให้เขารีบถอยหลังหนีมาทันทีดวงตาที่เริ่มแดงก่ำมองผู้มาเยือนอย่างระแวดระวังก่อนจะรวบรวมสติตอบกลับไป
"ชะ..ใช่ ผมเอง คุณตามผมมาทำไม" ทิมถามเสียงสั่น
"เอ๋ ตามงั้นหรือนั่นไม่ใช่ผมนะผมยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว" ทิมสับสนกับสิ่งที่ได้ยินเขาพยายามมองหาว่าชายตรงหน้าพกอาวุธที่เขาเห็นในตรอกมืดๆนั่นหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี
"สรุป คุณคือ ทิโมธี คาวส์ ถูกต้องนะครับ" ทิมไม่ได้ตอบ
"ผมจะถือว่าใช่แล้วกันถ้าอย่างนั้น.."
"ถ้าอย่างนั้นช่วยยืนอยู่นิ่งๆให้ฉันตัดหัวแกที" เสี้ยววินาทีนั้นอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทิม

ชายในเสื้อโค้ทกับหมวกทรงสูงอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เคร้ง! เสียงวัตถุมีคมกระทบกับพื้นถนนจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณผู้มาเยือนรายใหม่ยกมีดขึ้นก่อนจะสบตาชายผมขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า

"ทำไมไม่จับมัน อาร์เธอร์" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบนัยต์ตาสีดำทมิฬมอง'อาร์เธอร์'อย่างคาดโทษ
"แหม อย่ามองฉันแบบนั้นสิ'เดเมียน'อีกอย่างนายต่างหากที่ส่งเสียงจนเขาไหวตัวทันน่ะ แล้วก็นะ..เขายังไม่ได้ออกไปจากตรอกนี้สักหน่อย.." สิ้นสุดคำนั้นด้วยความไวทีเหลือเชื่ออาร์เธอร์ก็คว้ามีดจากมือของเดเมียนแล้วขว้างมันออกไปปักอยู่กับผนังด้านหลัง ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนชวนพิศวงก็ดังขึ้น

เสียงร้องที่ฟังยังไงก็ไม่ใช่เสียงมนุษย์ แล้วบางสิ่งก็ร่วงลงมากระทบกับแอ่งน้ำบนพื้นถนน'บางสิ่ง'นอนแน่นิ่งอยู่ตรงจุดที่มันร่วงลงมายังได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆดังมาจากร่างนั้น
ชายหนุ่มผมขาวหรือ อาร์เธอร์ ก้าวเท้าเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่นั้นพร้อมกับรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า

"ว่าไงทิม หรือจะเรียกให้ถูกKelpie(ม้าน้ำปีศาจ)" ทันใดร่างที่นอนอยู่นั้นก็กระโจนเข้าหาอาร์เธอร์อย่างรวดเร็ว เร็วจนมองไม่ทันแต่ก่อนที่มันจะถึงตัวเขาอาร์เธอร์ก็ใช้มือซ้ายจับหัวของมันไว้แล้วกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงจนได้ยินเสียงหินร้าวพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน
"จู่โจมใส่กันตรงๆแบบนี้ไม่เป็นการกระทำที่โง่ไปหน่อยหรือครับ" อาร์เธอร์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหันไปมองเดเมียนที่ยืนอยู่ด้านหลังพลางพยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณให้เดินมาตรงนี้
"เอาล่ะครับทีนี้มาเริ่มกันเลยเถอะเนอะ..จงเผยตัวตน" สิ้นสุดคำนั้นเขาก็เริ่มท่องบางอย่างออกมาเป็นภาษาโบราณที่ไม่อาจเข้าใจได้ มือข้างซ้ายยังคงกดอยู่ที่หัวของสิ่งที่เคยเป็นทิม และทุกครั้งที่อาร์เธอร์ออกเสียงในทุกๆประโยคสิ่งที่เคยเป็นทิมก็จะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลังจากจบประโยคสุดท้ายอาร์เธอร์ก็ปล่อยมือแล้วละออกมายืนข้างคู่หู

"Kelpie(ม้าน้ำปีศาจ)มักอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำหรือห้วยหนอง มีนิสัยดุร้ายอาหารโปรดคือ'เด็ก' "

อาร์เธอร์กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจพลางพูดถึงปีศาจตรงหน้าอย่างสนุกสนานเหมือนกำลังท่องหนังสือ ขณะที่คนข้างๆมองสถาณการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะเริ่มพูดขึ้นบ้าง

"แกมีความผิดฐานหลบหนีขึ้นมาก่อความวุ่นวายบนโลกและสังหารมนุษย์ แกจะยอมลงนรกไปดีๆหรือเปล่า"

"พวกแก..ไอ้พวกนักล่าเวรตะไล!"

เจ้าปีศาจคำรามใส่พวกเขาอีกครั้งก่อนที่ร่างของทิมจะค่อยๆเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เคยเป็นมือค่อยๆกลายเป็นกลีบเท้าดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและลึกโหลผิวหนังเริ่มมีเมือกลื่นๆไหลย้อยและเปลี่ยนเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง เจ้าสิ่งนั้นบิดตัวไปมาดูทุรนทุราย มันเงยหน้าขึ้นแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดส่วนที่เคยเป็นจมูกและปากยื่นยาวออกมาอย่างไม่สมบูรณ์ดูบิดเบี้ยวผิดรูปตอนนี้มันดูเหมือนม้าพิการที่ยืนสองขา
แล้วดวงตาแดงก่ำนั้นก็หันมามองที่อาร์เธอร์และเดเมียน

"คงจะอยากเล่นแบบยากสินะ" อาร์เธอร์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ
"รีบฆ่ามันให้จบๆไปเถอะ" เดเมียนไม่รอฟังคู่หูเขาพุ่งตัวออกไปหาปีศาจตรงหน้าอย่างว่องไวเงื้อมีดขึ้นหมายฟันคอให้ขาดสะบั้นในครั้งเดียว ทันใดนั้นมันก็ม้วนตัวแล้วใช้กีบเท้าถีบเข้าที่ท้องของเขาอย่างจังจนลอยถลาไปหลายเมตร
อาร์เธอร์จุ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะล้วงไปด้านหลังเสื้อโค้ทของตัวเองแล้วหยิบขวานออกมา
"ทำไมถึงไม่ทำตามแผนทุกทีเลยนายนี่" พูดจบเขาก็พุ่งตัวเข้าหาเจ้าสิ่งนั้นบ้างมันรีบหันหลังเตรียมวิ่งหนีทันทีแต่อาร์เธอร์นั้นว่องไวยิ่งกว่าเขาเหวี่ยงขวานออกไปโดนเข้าที่ขามันอย่างจังหยดเลือดไหลนองเต็มพื้น เจ้าปีศาจร้องอย่างเจ็บก่อนจะทรุดเข่าลงกับพื้นถนน

อาร์เธอร์ยกยิ้มอย่างพอใจอีกครั้งกระโจนเข้าไปล็อกแขนของมันไว้แล้วกดลงกับพื้นในท่าคุกเข่า มันร้องเจ็บปวดพยายามดิ้นหนีหากแต่ไม่เป็นผล

"ถีบเก่งนักนะไอ้เวรนี่" เสียงเดเมียนเอ่ยขึ้นจากด้านหลังเขาเดินถือมีดสปาต้ายาวหนึ่งฟุตคู่ใจมาด้วย เส้นผมสีดำเปียกน้ำฝนลู่ลงมาข้างใบหน้าเรียวนัยต์ตาสีดำทมิฬมองปีศาจตรงหน้าอย่างเลือดเย็นเขาหยุดลงข้างๆตัวมันซึ่งมีอาร์เธอร์นั่งทับอยู่แล้วใช้สองมือเงื้อมีดขึ้นจนด้านคมของมันสะท้อนรับกับรัศมีของดวงจันทร์

"อยู่นิ่งๆล่ะ ฉันจะได้ตัดคอแกออกมาสวยๆ ทัณฑ์สวรรค์!"

 

จบคำนั้นมีดก็สับลงที่ท้ายทอยของปีศาจจนหัวของมันหลุดกระเด็น

 

 

 

 ___________________________________________

 

"เสื้อฉันเลอะหมดเลย" อาร์เธอร์ทำเสียงตัดพ้อขณะทั้งคู่เดินอยู่ริมแม่น้ำเทมส์
"ช่างนายสิ" เดเมียนไม่สนใจคำตัดพ้อของคู่หูก่อนจะล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ทเพื่อที่จะหยิบบุหรี่มาจุดสูบ
"นายต้องซักให้ฉันด้วยนะ" อาร์เธอร์ยังคงทำเสียงทะเล้นเหมือนเดิมโดยไม่สนว่าคนที่อยู่ข้างๆหงุดหงิดกับคำพูดของเขาขนาดไหน
"แวะที่บาร์กันมั๊ยฉันยังไม่อยากกลับบ้าน" เดเมียนไม่ตอบอะไรแต่เขาเดาได้ว่านี่คือคำตอบตกลง
"งั้นไปที่เดิมแล้วกัน.." ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีอาร์เธอร์ก็ได้ยินเสียงปีกตีลมอยู่ด้านหลังเขาจึงหันไปมองให้แน่ใจแล้วก็เห็นตามสิ่งที่คาด นกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบลงมาอย่างปราดเปรียวแล้วปล่อยจดหมายฉบับหนึ่งไว้ที่พื้นด้านหน้าพวกเขาแล้วมันก็บินหายไปกับท้องฟ้ายามราตรี

ทั้งคู่ก้มมองซองจดหมายสีครีมประทับด้วยครั่งสีแดงบนพื้นก่อนอาร์เธอร์จะเอ่ยขึ้น

 

"น้องชายฉันว่าเราคงไม่ได้ไปบาร์กันแล้วล่ะ"

 

 

To be continued.

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา