Kiss me Kill me [YURI]

6.0

เขียนโดย Nekoyu

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.52 น.

  7 chapter
  0 วิจารณ์
  11.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 03.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) 02 Innocence side

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                                              ............................................................................................................
 
 
                ห้าสาวมานั่งรวมกลุ่มกันหน้าเตาเนื้อย่างที่ร้านหมูกระทะใกล้มหาวิทยาลัย    ฟาอยากจะปฏิเสธออกไปแทบตายเพราะกำลังคุมน้ำหนักอยู่แต่พอเด็กในพื้นที่อย่างมินตรากับทิพยาดาโฆษณาความอร่อยมากๆเข้าเลยจำใจมาอย่างเสียไม่ได้    ตอนแรกก็ทานไปพอเป็นพิธี    แต่เมื่อได้ลิ้มรสเนื้อหมูสุดนุ่มที่หมักด้วยสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านก็เริ่มวางตะเกียบไม่ลง
 
                อร่อยอ่ะ!  พรุ่งนี้ค่อยเริ่มลดใหม่ละกัน
                เลยกินไปยิ้มไป
 
                บรรยากาศบนโต๊ะมีการพูดคุยกันบ้างเพื่อทำความรู้จักกัน   นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่มองสาวแว่นหนาตามแบบฉบับหนอนหนังสือพูดน้อยเน้นกิน    ถัดมาก็เจอทิพยาดาที่พยายามขัดคอสาวหน้าขาวเด้งที่พูดพล่ามเรื่องผู้ชายโชว์ว่าตัวเองนั้นสวยเลือกได้    และสายตาที่มองจ้องมาจากมินตราที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน 
 
                อึดอัด   หงุดหงิด   น่ารำคาญ  เมื่อไรจะกินกันเสร็จซักทีจะได้รีบกลับ  เบื่อจะตายอยู่แล้ว!
                พอเจ้าตัวอารมณ์บูดต่อให้เป็นหมูย่างอร่อยแซ่บเวอร์ก็หมดอารมณ์กินขึ้นมาได้เหมือนกัน
 
                “อ่าวจานว่างนิ  ฟาเอาอะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ”
  ทิพยาดาถามเมื่อเห็นจานของคนข้างๆว่างเว้นจากเนื้อย่าง
 
 
 
                “ไม่ล่ะ ฟาอิ่มแล้ว”  
สาวหน้าหวานยิ้มตอบ
 
 
                “อะไรอ่ะกินนิดเดียวเองอิ่มแล้วเหรอ  จะไดเอทไปทำไมแค่นี้ฟาก็น่ารักอยู่แล้ว ”
                  มินตรายิ้มเจ้าเล่ห์เพราะนั่งมองเป็นอาหารตาอยู่นาน
 
 
                แน่ใจว่าคิดแค่นั้น!?  นั่งจ้องจนแทบจะทะลุแล้วเนี่ยนะ  โรคจิต!
                “ฟาไม่ได้ไดเอทน๊า  อิ่มแล้วจริงๆ”  
                พอได้เห็นรอยยิ้มใสๆทำเอาคนชมเคลิ้มยิ้มไม่หุบ
               
               
                “น่ารักแบบนี้คงโดนจีบบ่อยอ่ะดิ”  
                ว่าแล้วก็ตีสนิทเข้าให้  อีกฝ่ายเป็นถึงหลานอธิการอยู่ๆไปเดี๋ยวได้มีดราม่ามาให้เสพอื้อซ่าสมใจยากแน่ๆ
 
                “ทำไม?  จะทำตัวเป็นไม้กันหมาให้เค้ารึไงยะ?”  
                สาวหมวยรู้จักนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของเพื่อนซี้ดีเลยพูดดักทางเข้าให้
 
                “อะไรป้า  ไม่มีใครชมว่าน่ารักเลยอิจฉาล่ะดิ”  
 
 
                “ใครป้าแก! เดี๋ยวถ่ายรูปฟาแล้วแท็กหาแกดีกว่าพี่จูนของแกจะได้เห็นด้วย ดีมะ”  
                 พูดไม่พูดเปล่าคุณเธอเล่นหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าจริงๆ
 
 
                “ปะ...เอ้ยเจ้ ก็น่ารัก น่ารักแบบหมวยๆไง เนอะๆ ”
                 เจ้าตัวดีเปลี่ยนท่าทีมาชื่นชมเพื่อนซี้ยกใหญ่ อันตัวเธอก็ใช่ว่าจะหน้าตาดีอะไรนักติดจะห้าวเหมือนทอมซะมากกว่า ยังดีที่อุส่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าได้  ขืนให้สาวหมวยแท็กรูปคนน่ารักขนาดนี้ไว้เป็นภัยต่อความมั่นคงในรักแน่ๆ   ก็นะน่ารักขนาดนี้มีผู้ชายที่ไหนบ้างที่จะไม่สน
 
                “ท่าทางสนิทกันดีนะ  ทิพกับมินจบที่เดียวกันมาเหรอ”  
                ใบหน้าหวานเผยยิ้มแต่หรี่ตามอง   ขนาดเธอเพิ่งรู้จักสองคนนี้ยังพอจะดูออกเลยว่ามินตราเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านตัวยง  ส่วนทิพยาดาก็พวกขี้อิจฉาสร้างภาพตัวแม่
 
                “เจอหน้ากันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว  เบื่อหน้ามันจะตายอยู่เนี่ยมหาลัยยังจะตามมาอีก”
 
 
                “แหม่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไมเลือกที่นี่”
                มินตราเบ้หน้า
 
                 “สนิทกันดีออก  ฟาก็อยากมีเพื่อนแบบนี้บ้างจัง”
                ก็พูดไปงั้นแหละ  คบไว้ซักสองสามคนไว้พอมีกลุ่มทำรายงานก็พอ  ยิ่งมีเพื่อนมากยิ่งเรื่องเยอะ!
 
                “เอาเหอะน่ารักๆอย่างฟา ไอ้มินมันรีบสนิทด้วยอยู่แล้ว” 
                สาวหมวยแขวะใส่
 
 
                “โหยพอเลยเลิก..เลิก   เดี่ยวดราม่า”  
                สาวห้าวยกมือยอมความอย่างว่าง่าย
 
 
                “เอ้อ...คนหัวแดงๆห้องเดียวกับเราชื่ออะไรนะ  ที่เป็นลูกครึ่งน่ะ  ใช่ชื่อมิ้นท์รึเปล่า”
                คนนั่งเงียบไม่ค่อยคุยพูดโพลงออกมาทำเอารอบโต๊ะแทบสำลักน้ำกันเป็นแถว  
 
                “โอ้ยนึกถึงยัยหยิ่งแล้วกินไม่ลง  คนบ้าอะไรหยิ่งเกิ้น”
                สาวหน้าเด้งทำหน้ายี้
 
                “ทำไมเหรอแจม?”
                ผิดกับมินตราที่รีบถามด้วยความยากรู้อยากเห็น  จะว่าไปสาวหัวแดงคนนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้หลานอธิการ  คุณหนูลูกครึ่งบ้านรวยนิสัยแรงตัวแม่แถมยังดึงดูดดราม่าง่ายอีก
 
                “ก็”
 แจมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นสีสด
“อาทิตย์ก่อนเราไปดูหนังมาน่ะเจอเค้าไปกับผู้หญิงนั่งถัดเราไปไม่กี่ที่เอง   ตอนรับน้องก็ว่าคุ้นๆอยู่หรอกพอมองดีๆเลยมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกัน”
 
 
                “แล้วไงต่อ”
                สาวห้าวทำหน้าเซ็งอุส่าลุ้น
 
                “ไม่รู้สิ  แต่เราเห็นเค้าจูบกันด้วยอ่ะ  เป็นอย่างว่าๆแหงๆ”
                จบประโยคเด็ดทำเอาหลายคนทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่มินตราดันยิ้มกริ่ม 
 
 
                “ยิ้มน่ะชอบเหรอ”
                เลยโดนทิพยาดาจิกใส่ด้วยความหมั่นไส้
 
                “ตลกตายล่ะเจ้...”
                  
                สาวหน้าหวานนั่งมองภาพสองสาวเถียงกันไปมาพลางใช้ความคิด    ที่จริงนิสัยอย่างยัยหัวแดงก็ไม่น่าคบเป็นเพื่อนอยู่แล้ว  พอนึกถึงตอนที่โดนว่าใส่ก็พาลให้อารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ   
ทำไมแอ๊บแล้วมันผิดตรงไหน!  ทำยังกับคนอื่นไม่แอ๊บงั้นแหละ  มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่รึไง  
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน   ทีตัวเองเหอะทำเป็นออกตัวแรง  อยากดังก็บอก!  ยัยวิปริตเอ้ย!
เลยส่ายหน้าไปมาน้อยๆสะบัดความคิดไร้สาระออกไป    ก็แค่คนคนเดียวจะเก็บมาคิดให้วุ่นวายใจทำไม   เพียง แต่มันยังคาใจที่โดนยัยนั่นมองตัวตนที่แท้จริงออก      ดวงตากลมโตมองสบเข้ากับหนุ่มเสื้อช๊อปสีน้ำตาลโต๊ะตรงข้ามที่แจกยิ้มให้เธอเลยยิ้มตอบแล้วเสสายตาไปทางอื่นก็เจอสาวสวยโต๊ะเยื้องๆกันส่งยิ้มมาถึงจะรู้สึกแปลกใจที่โดนผู้หญิงด้วยกันยิ้มหวานปานจะทอดสะพานให้แต่ก็ยิ้มตอบ    ก็รู้ตัวมานานแล้วล่ะนะว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ยิ้มทั้งชายและหญิงก็หันมองหมด  เพราะน่ารักยิ้มง่ายคุยเก่ง   มันเป็นคุณสมบัติที่ใครๆก็อยากเข้าใกล้   มีแต่คนห้อมล้อม  เป็นจุดเด่น 
                แต่....แค่ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น   ที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น
                 
 
                “ท่าทางฟาจะอิ่มจริงๆแล้วมั้ง”
                เสียงทิพยาดาดังขัดความคิดให้ใบหน้าหวานปรายตามอง
 
 
                “อื้ม...แต่นั่งอยู่กันก่อนก็ได้นะ  ฟาไม่รีบหรอก” 
                เธอบอกแล้วยิ้มน่ารักให้คนรอบโต๊ะ
               
 
                ....................................................................................................................
 
 
 
                สาวผมสีเพลิงในชุดเสื้อยืดแขนยาวพอดีตัวที่ชายยาวคลุมทับกางเกงขาสั้นแต่งชายขาดตามแฟชั่น  รอบๆนั้นมีชายร่างกำยำในชุดสูทสีดำทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านหลัง      ปลายนิ้วจับอุปกรณ์เมาส์เลื่อนหน้าเอกสารในจอLAPTOPให้นัยน์ตาสีเทาไล่อ่านข้อมูล   ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มพร้อมกับกดคำสั่งส่งไฟล์เอกสารที่สนใจเข้ามาเก็บไว้ในมือถือเครื่องจิ๋ว  
 
                เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้ใบหน้าสวยต้องละจากจอคอมพิวเตอร์
               
                “เชิญ”
                เสียงเรียบบอกเป็นเชิงอนุญาตให้สาววัยกลางคนเดินเข้ามาภายในห้อง 
 
                “มาสเตอร์ค่ะ  อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ”   
               
 
 
                “ค่ะ”  
                คุณหนูของบ้านตอบรับเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันมามองกลุ่มชายชุดดำที่ยังยืนอยู่ที่เดิม 
 
                “I checked it already everything OK.”   (ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ) 
                เธอบอกก่อนจะลุกจากโซฟาหนังตัวใหญ่แล้วเดินตามหญิงวัยกลางคนออกไป
 
....................................................................................................................
 
 
.....ปลายเท้าก้าวย่างผ่านทางเดินหินขัดไปสู่ห้องอาหาร  มือนั้นยกขึ้นลูบผนังปูนเปลือยที่ประดับรูปของชายสูงวัยผมแดงในชุดนักสำรวจโบราณสถานกับทีมงานใส่กรอบสีทองเรียงรายเล่นระดับไว้หลายรูป    หลังจากที่บิดาตัดสินใจออกไปทำงานด้านการสำรวจอย่างเต็มตัวพอได้ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อนเธอก็ไม่เคยได้พบหน้าเขาอีกเลย   
สาวผมแดงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในชุดสูทสุภาพที่โค้งต้อนรับเล็กน้อย
 
“เชิญด้านในครับมาสเตอร์”  
เขาคือพ่อบ้านที่มีหน้าที่ดูแลคนงานกว่าหลายสิบชีวิตในคฤหาสน์แห่งนี้   รวมไปถึงการดูแลและอำนวยความสะดวกต่างๆให้คุณหนูของบ้านด้วย
 
ภายในห้องโทนสีอ่อนขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ยุโรปมีโต๊ะไม้ฉลุรายคลาสสิกตัวยาวประกอบด้วยเก้าอี้ไม้สุดหรูเข้าชุดสี่ตัว   ด้านบนมีโคมไฟคริสตัลระย้าส่องแสงสะท้อนวาบวับ  มีณชญานั่งลงมองอาหารที่เสริฟไว้บนตะเรียบร้อยแล้ว  สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทยส่งกลิ่นหอมกรุ่น  ถัดมาเป็นซีซาร์สลัด  และมีซุปมะเขืออยู่ใกล้กัน ตบท้ายด้วยนมสดแก้วโตกับน้ำแร่ไว้ให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร
 “เมนูอาหารเย็นวันนี้  จานหลักเป็น Steak Dory with garlic sauce(สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทย)  Tomato Soup  (ซุปมะเขือเทศ)และ Caesar Salad (สลัดซีซาร์) ครับ  ส่วนของหวานTiramisu(ทีรามิสุ) จะนำมาเสริฟให้ทีหลังครับ”
คนครัวร่างใหญ่รายงานรายการอาหารประจำวัน
 
“วันนี้ขอไม่รับของหวานก็แล้วกันนะคะ”
         
         “ครับ”
        เขาพยักหน้ารับทราบแล้วเดินออกไปปล่อยให้ผู้เป็นนายได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหาร
 
        ตั้งแต่จำความได้เธอก็เติบโตอยู่ที่อังกฤษแทบจะไม่ค่อยได้เจอกับพ่อแม่เท่าไรนัก   จนเมื่ออายุครบ16ก็ได้พบท่านทั้งสองและได้เดินทางกลับมาอยู่ที่เมืองไทยอันเป็นบ้านเกิดของแม่    แม้จะพูดคุยกันดีแต่ลึกๆบิดามารดาดูเหินห่างไม่เหมือนคนรักกัน   บิดาชาวอังกฤษเป็นคนจัดการเรื่องสถานศึกษาให้รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนมารดาชาวไทยนั้นจะส่งตารางอาหารมาให้คนครัวทุกเดือนรวมทั้งส่งของทุกอย่างที่คิดว่าเธอชอบมาให้เสมอ   เรียกได้ว่ามีทุกอย่างให้ยกเว้นเวลา   แต่สายสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกต่างจากคนทั่วไปไม่ได้ทำให้ลูกสาวเพียงคนเดียวรู้สึกเสียใจเลย    เพราะเข้าใจถึงความรักที่ได้จากผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอย่างดี
 
 
 
                .........หลังมื้อค่ำผ่านไป  มีณชญาใช้เวลาอยู่กับสมุดบันทึกที่รุ่นพี่ให้ทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนในเอก    นิ้วเรียวพลิกหน้ากระดาษอ่านข้อมูลไปเรื่อยจนมาถึงหน้าของกุลธิดา   ไชยบรรจง   แต่มือถือเครื่องเล็กส่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนให้ต้องเอื้อมมือไปกดรับ
 
                “สวัสดีค่ะ”
               
                ไม่มีเสียงตอบรับเพราะคนปลายสายจดจ่ออยู่การเช็คความถูกต้องของเบอร์โทรในสมุด
 
                “สวัสดีค่ะ...ต้องการขอสายใครคะ?”
                ถามกลับมาอีกครั้ง    
 
                ฝ่ายสาวหน้าหวานยังปิดปากเงียบ  ตอนแรกก็ตั้งใจจะโทรมาสร้างความสนิทสนมด้วยแต่พอได้ยินเสียงเรียบกรอกมาตามสายก็เริ่มลังเลขึ้นมา   
 
 
                ถึงได้เห็นเบอร์ของสายเข้าไม่กี่วินาทีแต่นัยน์ตาสีเทามองดูข้อมูลจนรู้ตัวจริงของสายปริศนาที่จงใจโทรมาป่วนประสาทกันเล่น
               
                “ถ้าไม่มีธุระอะไร....คงต้องวางแล้วนะคะ”
               
                 
                “ดะ...เดี๋ยวนี่ฟาเองนะ”
                 เสียงใสระล่ำระลัก
               
                “ฟา?  ฟาไหน?”  
                จงใจตอบไปแบบไม่รู้เรื่องทั้งที่ในมือยังมีข้อมูลของกุลธิดาอยู่
 
 
               
                ...ยัยนี่ไม่ได้จดรายชื่อเพื่อนที่พวกพี่ให้ทำรึไงเนี่ยถึงไม่รู้จักเรา!  คนบ้าอะไรขี้เกียจเกิ้น...    
                “ฟา  กุลธิดาอ่ะ”   
                เจ้าของชื่อหน้ามุ้ยแต่ยังบอกเสียงหวาน
 
 
                “อ๋อ”  สาวสวยยกมือขึ้นแล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ  “คนที่ชอบแอ๊บแหลน่ะเหรอ”
 
                เจอคำพูดแรงแบบหมัดตรงน็อคปลายคางทำเอาคนฟังอยากจะขว้างมือทิ้งลงถังขยะไปเลย     
 
                มันจะมากไปแล้วนะ!
                กุลธิดาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา....สงสัยงานนี้จะหาทางจัดการกับคนนิสัยแรงแบบนี้ให้ได้ซะแล้ว!
 
                                ....................................................................................................................
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา