The Many Worlds Theory

8.7

เขียนโดย basketcage

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.41 น.

  3 chapter
  0 วิจารณ์
  4,995 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 16.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) โลกคู่ขนาน1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
    1. โลกคู่ขนาน

     

    7โมงเช้า ของรุ่งอรุณวันจันทร์อันสดใส ชายคนหนึ่งยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะนั่งเล่นเกมส์จนโต้รุ่ง เขาเป็น คนหน้าตาธรรมดา มีผมยาวประบ่า หนวดเคราขึ้นหรอมแหรมเพราะไม่ได้โกนหนวดเครามาทั้งอาทิตย์ ใช่แล้วครับ ผู้ชายผู้นั้นคือผมเอง ผมชื่อมาร์ค อายุ 28 ปี เป็นคนนิสัยสบายๆ ง่ายๆ ผมเป็นพวกอาร์ทติส เป็นนักดนตรี อืม ผมเล่นที่ผับหรือร้านอาหารไหนน่ะเหรอ ไม่ครับ ความฝันผมไกลกว่านั้น ผมอยากมีผลงานเป็นของตัวเอง หรือ พูดง่ายๆว่าได้ออกเทปสักชุด ได้โชว์คอนเสิร์ตเฟสติวัลที่เขาใหญ่ ก็คงดีไม่น้อย วันๆผมทำอะไร ก็เนี่ย นั่งเล่นเกมส์บ้าง ออกไปนั่งเล่นที่ร้านเพื่อน บางทีก็จับกีตาร์มาแต่งเพลง แต่แต่งได้กี่เพลงเหรอ อืมมม ยังแต่งไม่สำเร็จสักเพลง แต่ผมว่าสักวันมันต้องสำเร็จแหละ แต่เห็นผมแบบนี้ผมก็มีเงินใช้ตลอดนะ แค่ไปเปิดหมวกตามสยาม ข้าวสาร หรือ สวนจตุจักร ก็ได้มาแล้ว ครั้งนึงก็ได้ตั้ง 2-3ร้อยแน่ะ บางวันได้ 500 เชียวนะ ทำเป็นเล่นไป ทุกวันนี้ผมเช่าบ้านอยู่แถวพระโขนง ผมเป็นคนเชียงใหม่ มาอยู่กรุงเทพเป็นสิบปีแล้ว ผมมีแม่อยู่ที่นั่น ส่วนพ่อผมเหรอตายไปนานแล้ว ตั้งแต่ผมยังแบเบาะ แม่ผมมีร้านขายเสื้อผ้าอยู่ที่ไนท์บาซาร์ แม่ผมส่งเงินมาให้เรื่อยแหละ แม่ผมขายดีนะ ได้กำไรวันหลายพันแน่ะ ผมเลยไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลยสักนิดเดียว ส่วนความรักน่ะเหรอ สมบูรณ์แบบมาก ผมมีแฟนเป็นคนสวยมากซึ่งใครเห็นเธอก็มองตาไม่กะพริบกันทุกคน แฟนผมเธอชื่อ นาตยา เธอเป็นลูกเสี้ยว ลูกเสี้ยวก็คือ เป็นลูกของลูกครึ่งอีกที ปู่ของนาตยาเป็นคนเยอรมัน แฟนผมเลยหน้าตาคมแบบปู่ ผมรักแฟนคนนี้มากเลยนะ เราคบกันมาตั้งแต่ปี 2 ผมเรียนราชภัฏ  ส่วนเธอเรียนบัญชีจุฬา นี่เธอเป็นนางฟ้าชัดๆ เธอมาคบกับผมได้ไงน่ะเหรอ ฮ่าๆๆ ก็ไม่อยากคุย คงเป็นเพราะเธอติดใจเสียงกีตาร์กับลุคเซอร์ๆของผมล่ะมั้ง เราคบกันปีนี้ก็ 10 ปีพอดี และ เราคบกันมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันนี่แหละ

    “แก๊ก”

    นาตยาเปิดประตูเข้ามา เธอมีผมยาวประบ่า ตาโต หน้าตาคมเหมือนฝรั่ง รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวสวยเปล่งประกายมาก เธออยู่ในชุดออฟฟิศ เป็นชุดยูนิฟอร์มของธนาคารแห่งหนึ่ง

    “มาร์ค นี่ มาร์คตื่นเช้า หรือยังไม่นอนกันแน่ ดูซิ หัวยุ่งเป็นรังนกเชียว”

    ผมเหลือบตาไปมองทีเธอนิดนึง แล้วก็เล่นเกมส์ต่อ

    “อืม ยังไม่ได้นอนเลยนาต เดี๋ยวมาร์คค่อยนอน ขอเล่นให้เลเวลอัพก่อน ถ้านาตออกไปหน้าปากซอยผ่านร้านสะดวกซื้อ นาตเติมเงินมือถือให้มาร์คหน่อยนะ”

    ผมหยิบกระเป๋าตังค์ที่วางอยู่บนโซฟา ควักธนบัตรใบละ 50 บาท ส่งไปให้เธอ นาตยารับเงิน ทำหน้ามุ่ย เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่  เธอปิดประตูใส่ผมดัง “ปัง” พักนี้เธอชอบวีน โมโหแบบไร้เหตุผล บางทีก็ชอบพูดเปรียบเทียบผมก็คนนู้นคนนี้ ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่ช่วงหลังเธอมักชวนผมทะเลาะเรื่อง “งาน” ทะเลาะว่าทำไมผมถึงไม่ทำงานทำการสักที  บางทีก็ชวนทะเลาะเรื่องแต่งงาน เธออยากจะแต่งงาน แต่ผมยังไม่พร้อม จะพร้อมได้ไง ก็ผมไม่มีเงินนี่ แต่ก็ช่างมันเถอะเรื่องนั้น ผมขอเล่นเกมส์ต่อสักพักละกัน เดี๋ยวเลเวลใกล้จะอัพแล้ว

    เวลาผ่านไปถึง 10 โมงกว่าๆ ร่างกายผมเริ่มไม่ไหว ตาผมจะปิดแล้ว ผมเลยเซฟเกมส์ ปิดโน๊ตบุ๊คแล้วก็เอาหัวซุกที่โซฟาแล้วก็หลับไป

    ผมเครื่องดับไปในทันที เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน ก็ไม่รู้ว่าเครื่องดับไปนานสักเท่าไหร่

    “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง”

    ผมได้ยินเสียงหมาข้างบ้านเห่า ผมค่อยๆลืมตา ยกแขนเอานาฬิกาขึ้นมาดู เวลาตอนนี้ก็ล่วงมาถึงเวลาบ่ายสามกว่าๆ ผมยันตัวลุกขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เดินเมาขี้ตาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน พอเอาน้ำรดหัว อืมม ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ นาตเลิกงาน5โมงครึ่ง มีเวลาเหลือ เดี๋ยวไปนั่งเล่นร้านไอ้ปุ้ย แล้วค่อยไปรับเธอตอนเลิกงานกีดี ผมแต่งตัวแบบง่ายๆ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์สามส่วน รองเท้าผ้าใบ แล้วคร่อมเวสป้าคู่ใจ ขี่ไปร้านสักของไอ้ปุ้ยเพื่อนผมที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก

    ผมจอดรถหน้าห้องแถวเล็กๆ แห่งนึงที่ติดอยู่ริมถนน ร้านนั้นเป็นร้านสักเล็กๆ หน้าร้านติดรูปลายสักต่างๆไว้เต็มบานกระจก เมื่อผลักประตูเข้าไปเห็นชายคนนึงร่างกายผอมสูง หน้าตาตี๋ๆ รอยสักเต็มตัวกำลังใช้เครื่องสักลายจี้ไปบนต้นแขนลูกค้าคนหนึ่งอยู่

    “เฮ้ย ไอ้ปุ้ย ลูกค้าวันนี้สักลายไรวะ”

    ไอ้ปุ้ยเพื่อนผมไม่หันหน้ามาตอบ มือง่วนอยู่ที่รอยสักของลูกค้า

    “ลายปลาคาร์ฟว่ะ งานแก้ด้วย แกว่าเป็นยังไงวะ”

    ผมชะโงกหน้าเข้ามาดู

    “เจ๋งว่ะ ลงเงาตรงครีบหน่อยนะ มันจะได้มิติมากๆเลย”

    “เออ ใช่ๆ เดี๋ยวฉันค่อยลงเงาตรงนั้น มาร์คแกมาพอดี แกช่วยหยิบขวดวาสลีนตรงนั้นให้ฉันหน่อย”

    ผมก็เดินไปหยิบวาสลีนมาให้มัน แล้วก็ช่วยเป็นลูกมือให้ไอ้ปุ้ยสักพักนึง

    “ปุ้ย ไอ้ปุ๋ยน้องแกอยู่ป่าววะ ทำไมไม่เห็นลงมาเป็นลูกมือ”

    “มันอยู่ข้างบนแน่ะ เห็นซ้อมกีตาร์อยู่น่ะ มันบอกว่าอยากแต่งเพลงสักเพลง”

    “แต่งเพลง แต่งเพลงให้ใคร น้องแกมีแฟนแล้วเหรอวะ”

     “ฉันจะไปรู้เหรอ อยากรู้ก็ไปถามมันเองสิวะ”

    ไอ้ปุ้ยตอบโดยที่ไม่ได้หันหน้ามาเช่นเดิม มือมันก็ยังง่วนอยู่ที่รอยสักลูกค้า ผมเลยผละจากมันตรงนั้น แล้วขึ้นบันไดไปที่บนชั้นสอง ผมได้ยินเสียงตีคอร์ดกีตาร์จากห้องทางฝั่งซ้ายของบันได ผมเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่หน้าห้อง เคาะสามทีเรียกยัยปุ๋ยน้องสาวของไอ้ปุ้ย

    “ปุ๋ย พี่มาร์คเอง”

    “ประตูไม่ได้ล็อค แต่ เดี๋ยวๆๆนะพี่ อย่าพึ่งเปิดเข้ามา ปุ๋ยโป๊อยู่”

    ผมได้ยินเสียงวิ่งดัง คึ่กๆคั่กๆมาจากข้างในห้อง ปุ๋ยเปิดประตูมาใส่เสื้อกล้ามตัวเล็ก เสื้อตัวนั้นทำให้หน้าอกหน้าใจของยัยปุ๋ยเด่นชัดขึ้นมา ดูแล้วขนาดไม่น่าต่ำกว่า 34 นิ้ว  มันไม่ใช่ธรรมดาเลยสำหรับเด็กอายุ17 ปุ๋ยใส่กางเกงสั้นจุ๊ดจู๋ เห็นขาขาวเนียน แต่สำหรับเขาแล้วที่เห็นยายปุ๋ยมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ ยังไงยายนี่ก็ยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่วันยังค่ำ

    “พี่มาร์ค เข้ามาสิ”

    ผมเดินเข้าไปนั่งบนที่นอน หยิบกีตาร์ที่วางอยู่ขึ้นมาเล่นเป็นเพลงเพลงนึง

    “เพลงอะไรน่ะ เพราะจัง”

    ผมยิ้มแล้วตอบเธอไปว่า

    “Don’t look back in anger  ของ โอเอซิส”

    “ปุ๋ยเคยได้ยินแต่ชื่อวง เพิ่งเคยฟังนี่แหละ”

    เธอยิ้มให้ผม แล้วขอกีตาร์ ผมเลยส่งไปให้น้องสาวคนสวยของเพื่อน

    “นี่เคยฟังเพลงนี้มั้ย”

    สาวน้อยเกลากีตาร์ทำนองเป็นเพลงรักเพลงหนึ่ง

    “ฉันฝันถึงเธอคนที่อยู่ไกลแสนไกล

    ช่างหวานละมุนอบอุ่นข้างในหัวใจ

                                    แต่อายไม่กล้าแม้จะบอกกับใคร

    จึงจูบผ่านสายลมให้พัดพาไป”

                    “นี่เพลงของออกัส ใช่มั้ย” ผมถาม

                    น้องปุ๋ยตอบพร้อมส่งยิ้มมา

                    “ใช่แล้ว”

                    “ไหนไอ้ปุ้ยบอกปุ๋ยกำลังแต่งเพลงอยู่ ไหนลองเล่นให้พี่ฟังหน่อยซิ”

                    สาวน้อยยกนิ้วชี้ขึ้นมายื่นมาแตะที่ริมฝีปากผม

                    “ไม่ได้ ความลับจ๊ะ”

                    “อ้าว ไม่เล่นให้พี่ฟังแล้วจะรู้ว่าเพราะได้ยังไง แต่งให้แฟนเหรอ”

                    “ไม่บอก”

                    “น่านะ เล่นให้พี่ฟังหน่อย”

                    “หนูเล่นให้พี่มาร์คฟังแน่ๆ แต่ไม่ใช่วันนี้ค่ะ”

                    “อะ งั้นตามใจ”

                    ผมขอกีตาร์น้องสาวคนสวยของเพื่อนมาอีกครั้ง เธอก็ส่งให้แต่โดยดี

                    “เรามาลองเล่นเพลงเมื่อกี้ใหม่นะ เมื่อกี๊นี้ F#m บอดนะ ปุ๋ยต้องใช้นิ้วชี้พาดกดเฟรตแบบนี้ เสียงมันจะไม่บอด ไหนลองซิ”

                    ผมซ้อมกีตาร์ให้น้องสาวเพื่อนเผลอแป๊บเดียว ดูเวลาอีกทีจะห้าโมงเย็นแล้ว ตายล่ะหวา ผมต้องไปรับนาต ผมเดินลงมาเห็นไอ้ปุ้ยยืนอยู่หน้าร้านอัดควันบุหรี่อยู่ ผมบอกกับมันสั้นๆว่า  “ฉันไปแล้วนะเว้ย ไปรับแฟน” มันก็ตอบกลับมาว่า “เออ” ผมสตาร์ทรถแล้วแว้นไปย่านสีลม วันนี้รถติดมาก ตายล่ะหว่าไปสายโดนนาตบ่นหูชาแน่ๆเลย ผมมาหาที่จอดรถใกล้ๆสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงผมเลิกแขนเสื้อดู 6โมงครึ่งแล้ว ผมเลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทร พอโทรไป

                    “สัญญาณที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ”

                    ผมร้อนรุ่มใจ แต่คิดในแง่ดี ป่านนี้เธองอนกลับไปเอง หรือ อาศัยรถยัยแนนเพื่อนซี้เธอกลับบ้านแล้วมั้ง

                    “ตึ่ด ตึ่ด”

                    เสียงจากมือถือ ส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า ข้อความส่งมาตอน บ่าย 2 เป็นข้อความของนาตยา ข้อความนั้นมีใจความว่า              

                    “วันนี้นาตกลับดึกนะ ไปงานวันเกิดยัยแนน ไปกับเพื่อนที่แบงค์ ไม่ต้องมารับนะ”

                    มีข้อความใหม่ข้อความเดียว แต่ก็ไม่มีข้อความเงินเข้า 50 บาท ที่ผมฝากเธอเติมเงินมือถือให้

                    อืม สงสัยนาตคงลืมเติมมั้ง แต่รู้ว่าเธอไปไหนแค่นี้ผมก็สบายใจขึ้นมาแล้วแหละ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น ผมค่อยๆแว้นเวสป้าคู่ใจกลับบ้าน กลับมาทอดไข่เจียวกิน แล้วจับกีตาร์แกะเพลงสักพักนึง ก็รู้สึกไม่มีอารมณ์แกะเพลงอะไร ผมเลยเปิดโน๊ตบุ๊คเล่นเกมส์ “แกรนด์ ทีฟ ออโต้” 

    และเมื่อใด ที่ผมอยู่ในโลกของเกมส์ ผมจะลืมทุกสิ่ง ไม่ว่าวันเวลา หรือ สิ่งใดๆก็ตาม

     

                    เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไร

    “แก๊ก กุกกัก กุกกัก”

    นาตกลับมาแล้ว เธอกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน เธอเข้ามา ถอดรองเท้า แล้วเปิดไฟ เธอเดินมาเห็นผมเล่นเกมส์ เธอก็บ่นผมอีกแล้ว

    “มาร์ค รู้มั้ยนี่กี่โมงแล้ว นี่มันตี3แล้วนะ นี่อย่าบอกนะว่าเล่นเกมส์ตั้งแต่วานซืน แล้วยังไม่ได้ไปไหนน่ะ”

    ผมทำเอาหูทวนลม ขี้เกียจทะเลาะ จริงๆผมน่าเป็นฝ่ายที่จะโวยมากกว่านะตี 3 เพิ่งกลับเนี่ย

    “แฟนกลับดึกๆดื่นๆเคยโทรถามมั้ยว่าจะกลับยังไง เป็นห่วงบ้างมั้ย”

    มาถึงก็วีนใส่เลย ผมวางจอยลง แล้วตอบกลับไป

    “มาร์ครู้ว่านาตไปงานเลี้ยงวันเกิดแนน มาร์คก็ไม่อยากรบกวน อยากให้สนุกกัน”

    “อยากให้นาตสนุก หรือ ลืมนาต”

    “เปล่า ไม่ได้ลืม”

    “ทุกที คนไปทำงานงกๆทุกวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่แฟนเล่นแต่เกมส์ ไม่ก็ขลุกอยู่กับกีตาร์ งานการไม่ทำ นาตจะฝากชีวิตไว้กับมาร์คได้ยังไง นาตทำงานแบงค์นะ มีสังคม จะบอกคนอื่นยังไง แฟนนั่งๆนอนๆอยู่บ้าน ตกงานยังงั้นหรือ”

    “นาตก็รู้มาร์คทำงานอะไร”

    เธอเบะปาก ยิ้มเยาะผม

    “ยังพูดอีกนะว่างาน ไปเป็นวนิพกขอทานเนี่ยนะ”

    “ไม่ใช่วณิพก เล่นดนตรีเปิดหมวกต่างหาก”

    “แล้วมันต่างกันตรงไหน” เธอแว๊ดใส่ผม

    “นาต นาตก็รู้ว่ามาร์คแต่งเพลงอยู่ จะออกผลงานไปเสนอค่ายเพลง หรือ ไม่ก็เป็นศิลปินอินดี้ ทำเอง ขายเอง”

    นาตยามองผมตาขวาง

    “แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ เห็นแต่งมาหลายปีแล้ว ไหนทำเสร็จออกมาสักเพลงรึยัง”

    “ก็มาร์คยังไม่มีแรงบันดาลใจ งานศิลปะมันเร่งได้ที่ไหนล่ะ มันต้องออกมาจากข้างใน”

    “มาร์ค นาตให้โอกาสมาร์คมาหลายปีแล้วนะ เห็นมาร์คชอบดนตรี นาตบอกให้ไปเล่นตามร้าน มาร์คก็ไม่ไป”

    “ก็ตามร้านให้มาร์คเล่นเพลงตลาดนี่นา มันไม่ใช่แนวมาร์ค นาตก็รู้ว่ามาร์คเล่นดนตรีแนวไหน”

    “ไอ้นู่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา แล้วเมื่อไหร่เราจะได้แต่งงานกัน

     “มาร์คไม่มีเงินขอนี่”

    “ไม่มีเงิน มาร์คก็ทำงานสิ งานอะไรก็ได้ งานออฟฟิศก็ได้ เรียนจบตรีมาก็เอาไปสมัครสิ”

    “มาร์คไม่ได้เดือดร้อนเงินทอง แม่ส่งให้มาร์คทุกเดือน เดือนละหมื่นสาม ค่าเช่าบ้านหารกับนาตคนละ2000 ค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ท 1000 มีเงินใช้หมื่นนึง มาร์คไม่ได้ไปไหน ได้เงินแค่นี้ก็อยู่สบายๆ เรื่องนี้นาตก็รู้นี่”

    “เหรอ คิดได้แค่นี้เหรอ แล้วรู้มั้ยว่านาตคิดยังไง จริงๆน่ะ ถึงมาร์คไปทำงานเล่นดนตรีตามร้านอาหาร นาตก็ไม่ได้ดีใจอะไรหรอกนะ เพราะงานน่ะ มันต้องเข้าออฟฟิศ 8 โมง เลิก 5 โมงเย็น มันถึงจะเรียกว่างาน แต่ถ้ามาร์คไปเล่นดนตรีตามร้านอาหารได้ นาตอนุโลมว่าให้เป็นงานก็ได้  แต่ไม่ใช่มานั่งๆนอนๆอยู่กับบ้านแบบนี้”

    “นาตอยากให้มาร์คทำนู่นทำนี่ เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ แล้วมาร์คเคยบอกให้นาตเปลี่ยนอะไรมั้ยล่ะ”

    “โอ้ยยยยย”

    นาตยาร้องขึ้นมาสุดเสียง

    “มาร์คอายุ28แล้วนะ ยังขอเงินแม่อยู่อีก นาตอยู่แบงค์มา 6 ปี เงินเดือนนาต 3 หมื่นแล้วนะ นาตไม่ได้ขอแม่ มีแต่ส่งให้แม่เดือนละหมื่น นาตเป็นผู้หญิงนะ มาร์คเป็นผู้ชาย”

     “มาร์คก็ไม่ได้ขอแม่สักหน่อย แม่ส่งเงินมาให้มาร์คทุกเดือนเอง”

    “ก็แม่เขาห่วงมาร์คไง ถ้าไม่ส่งเงินมา มาร์คจะกินอะไร ถามหน่อย จะกินอะไร”

    “โฮ้”

    ผมร้องออกมาอย่างหงุดหงิดใจ แล้วก็หยิบจอยขึ้นมา ใส่หูฟังแล้วเล่นเกมส์ต่อ นาตยาเห็นท่าทางผมแบบนั้นเลยยั๊วะจัด ปิดประตูใส่ผมดัง”โครม”

    เมื่อพายุอารมณ์ผ่านไป ผมก็จมสู่โลกของเกมส์ เล่นโต้รุ่งเหมือนเช่นเคย

    7 โมงเช้า นาตยาเปิดประตูออกมาจากห้องใส่ชุดไปทำงานเรียบร้อย เธอพูดกับผมเรียบๆว่า

    “วันนี้ไม่ต้องไปรับ เดี๋ยวกลับเอง จะรีบนอน เมนส์มา”

    ผมก็ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ว่า ที่เมื่อคืนวีน สงสัยเพราะเมนส์มา ผมก็นั่งเล่นเกมส์ต่อ

    เล่นเกมส์ไปสักพักนึง อยู่ๆก็รู้สึกผิดขึ้นมา ผมเลยปิดเกมส์ รู้สึกสติหลุดลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง อยู่ๆผมก็เปิดกูเกิลดูเว็บสมัครงาน มีงานหลายประเภท ผมยื่นใบสมัครร้านอาหารที่ต้องการนักดนตรี และ ยื่นใบสมัครงานออฟฟิศไปหลายแห่ง ด้วยจนเวลาเลยมาถึงเที่ยงกว่าๆ หนังตาผมเริ่มหนัก เนื่องจากอดนอนมาทั้งคืน ผมเลยทิ้งตัวลงโซฟาซุกหัวลงหมอน แล้วผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

    คึกๆๆๆๆๆๆ

    เสียงสั่นจากมือถือ มีสายเข้า ผมยันตัวขึ้นมาอย่างสลึมสลือ ในสายมีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามา

    “ฮัลโหล สวัสดีครับ”

    “สวัสดีค่ะ นั่นคุณ ทนงศักดิ์ ตั้งวัฒนา ใช่มั้ยคะ”

    “ใช่ครับ ผมทนงศักดิ์”

    “ดิฉันโทรมาจากจากบริษัท รอยัลฟู๊ด นะคะ ที่คุณกรอกใบสมัครไว้ทางอินเตอร์เน็ตตำแหน่งฝ่ายบุคคล คุณอายุ28 จบมาจากราชภัฏสวนสุนันทา เกรดเฉลี่ย 2.9 ประสบการณ์การทำงานไม่มี อืมมๆๆๆ แต่คุณเรียกเงินเดือนแค่ 6000 แค่นั้นเองหรือคะ”

    “ครับ ผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แค่ตอนนี้อยากได้งาน”

    “พูดตรงดีจังเลยนะคะ งั้นพรุ่งนี้ 9 โมงเช้า ดิฉันขอนัดสัมภาษณ์งาน บริษัทของเราอยู่ที่อโศก ตรงเวลาด้วยนะคะ”

    ผมวางสาย แล้วลุกขึ้นมาจากโซฟา ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ใจจริงผมไม่ได้อยากทำหรอกงานประจำน่ะ ก็ผมมันติสก์จัด มีโลกส่วนตัวสูง แต่เพื่อนาตยา ผมก็ต้องจำใจทำ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก ผมเดินโซเซเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน ดูเวลา อ้าว นี่ 4 โมงกว่าแล้วเหรอ วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว วันนี้นาตยาบอกว่าไม่ต้องไปรับ เอ๊ะ จะเป็นแผนอะไรอีกหรือเปล่า แต่ช่างเถอะ ถึงผมไม่ไปรับผมก็ไม่ผิดนี่ ก็เธอบอกเองว่าไม่ต้องไปรับ

    ผมเดินไปที่หน้าปากซอย ไปสั่งก๋วยเตี๋ยว กินเสร็จก็เดินกลับมาที่บ้าน นั่งที่โซฟาตัวเดิม หยิบกีตาร์ขึ้นมาแกะเพลงต่อ เมื่อได้จับกีตาร์ผมนึกถึงยัยปุ๋ย ป่านนี้ยัยนั่นจะแต่งเพลงไปถึงไหนแล้วนะ ผมนั่งเล่นกีตาร์จนตะวันตกดิน ผมยกแขนเอานาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ทุ่มครึ่งแล้วทำไมนาตยังไม่กลับอีก แม้เป็นห่วงนิดๆ แต่ก็คิดในแง่ดี เดี๋ยวเธอก็คงกลับมาเอง

     

    “คึ่กๆๆๆ” เสียงมือถือสั่น ผมจึงหยิบโทรศัพท์มารับสาย

    “มาร์ค นี่มาร์คไปไหนทำไมไม่มารับ”

    เสียงแว๊ดดังลั่นมาจากโทรศัพท์

    “ก็นาตบอกเองว่า ไม่ต้องให้มาร์คไปรับ นาตบอกจะกลับเอง”

    “อ๋อๆ แล้วไม่ห่วงกันเลยใช่ป่ะ นาตพูดไปอย่างนั้นเพราะจะดูว่ามาร์คเป็นห่วงนาตหรือเปล่า นี่ตกลงเรายังเป็นแฟนกันอยู่รึปล่าวยะ”

    “ก็ ก็ เป็นอยู่สิ แล้วนี่อยู่ไหน เดี๋ยวมาร์คจะรีบออกไปรับเลย”

    “ไม่ต้อง กลับมาถึงแล้ว อยู่หน้าบ้าน ออกมาเปิดประตูด้วย”

    ผมได้ยินเช่นนั้นเลยรีบลุกออกไปเปิดประตู

    ภาพที่เห็น มีรถ Porsche สีดำคันงามจอดที่หน้าบ้าน เธอมากับหนุ่มหล่อคนนึง แต่งตัวดูดีมีสกุล ผมไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นนายคนนี้มาก่อน

    “นาต นั่นใครน่ะ”

    นาตยายืนกอดอก พูดน้ำเสียงเชิดๆ

    “นี่คือคุณพีท เพื่อนของนาตที่เจอกันในเฟสบุ๊ค ที่นาตเคยเล่าให้มาร์คฟังไง”

    “เหรอ เล่าตอนไหน มาร์คไม่เห็นจำได้”

    “ก็จะไปจำได้ยังไงล่ะ ก็มาร์คนั่งเล่นแต่เกมส์ แต่เกมส์  ไม่เคยสนใจที่นาตพูดสักคำ โอ้ย เบื่อ”

    ผมยืนเกาหัวแคร่กๆ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงเพื่อนของนาตมาส่งที่บ้านก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องไปรับเอง ผมเลยหันไปคุยกับนายหนุ่มรถ Porsche ว่า

    “ขอบคุณนะครับ ที่พานาตมาส่ง ผมว่าจะไปรับอยู่พอดี”

    นาย Porsche ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ทีนึงก่อนขึ้นรถ แล้วสตาร์ทออกไป ผมเปิดประตูพานาตเข้าบ้าน นาตถอดรองเท้าใส่ตู้ ทำหน้ามุ่ย ก่อนเดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งที่โซฟา ผมเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

    “นาต ที่รักจ๋า กินข้าวหรือยัง”

    ผมพยายามเอาใจเธอ

    “กินมาแล้ว”

    ผมยิ้มแหยๆ

    “กินน้ำมั้ย เดี๋ยวมาร์คไปหยิบให้”

    “ไม่กิน ไปห่างๆเลยป่ะ คนกำลังหงุดหงิด”

    ผมเลยถอยออกมา แล้วบอกกับเธอว่า

    “นาต เมื่อตอนกลางวันมาร์คยื่นสมัครงานแล้วนะ มีบริษัทนึงโทรมาเรียกสัมภาษณ์งาน มาร์คจะทำงานแล้ว ถึงพรุ่งนี้ได้ หรือ ไม่ได้งานยังไง มาร์คตั้งใจที่จะทำงานแล้ว มาร์คตั้งใจทำเพื่อนาตนะ”

    อยู่ๆน้ำตาของนาตยาค่อยๆไหลมาคลอเบ้า เธอร้องไห้เงียบๆคนเดียวอยู่พักใหญ่ ก่อนเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วนุ่งกระโจมอกเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ อืม วันนี้ไม่ชวนทะเลาะแฮะ ผมรู้สึกว่าผมมาถูกทางแล้ว ความสัมพันธ์ของเรากำลังจะดีขึ้น วันนี้ผมไม่เล่นเกมส์ให้เธอเห็น เพราะไม่อยากทำอะไรให้มันแย่ลง ผมเลยหยิบกีตาร์ขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าห้องน้ำ แล้วเล่นเพลงๆนึงออกมา

    “ไม่ต้องรักฉันจนล้นฟ้า ไม่ต้องหาถ้อยคำหวานๆ อย่างที่เคยบอกกันก็ยังซึ้งอยู่ขอแค่รักคำเดียวเท่านั้น หมายถึงฉันคนเดียวเท่านี้ อยากจะฟังอีกทีว่าเธอรักฉันไม่ต้องรักเท่าฟ้า แต่ขอให้รักเท่าเดิม ไม่ต้องมีเพิ่มเติม แต่รักไม่น้อยลงไปไม่ต้องรักจนชั่วนิรันดร์ ตราบที่ฉันนั้นยังหายใจ

    ขอให้เหมือนเดิม

    ขอให้เหมือนเดิม”

    เธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็ยังยืนเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงให้เธอฟัง จากที่ทำหน้าเป็นหมีกินผึ้ง ก็กลายเป็นอมยิ้ม เธอผลักหน้าอกผมเบาๆ

    “บ้า ทำอะไรก็ไม่รู้”

    ผมเอื้อมไปคว้าเธอไว้ในอ้อมกอด ตาสองตาประสานกัน ผมค่อยๆโน้มตัวจูบที่ริมฝีปากเธออย่างหนักหน่วง ผมกระตุกผ้าขนหนูของเธอออกลงไปกองกับพื้น ผมเริ่มซุกไซร้ไปที่ซอกคอ แล้วมือขวาของผมคว้าไปที่หน้าอกของนาตยา ที่นุ่มนิ่มดั่งฟองน้ำติดสปริง นาตยาใช้มือซ้ายดันหน้าผมเบาๆ

    “ไม่ได้นะ วันนี้ติดไฟแดง”

    ผมคลายตัวเธอออกจากอ้อมกอด เธอก้มลงไปหยิบผ้าขนหนู แล้วนุ่งใส่เหมือนเดิม แล้วนาตยาเธอก็เดินเข้าห้องนอนไป ผมหยิบกีตาร์เดินไปที่โซฟา นั่งซ้อมมืออยู่สักพักหนึ่ง นาตยาเธอก็แง้มประตูโผล่หน้าเข้ามา

    “มาร์ค คืนนี้มานอนด้วยกันมั้ย”

    ผมหยักหน้าตอบรับ วางกีตาร์แล้วเข้าไปในห้องนอน ผมเขยิบเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่ นอนใกล้ๆกับเธอ ผมใช้มือเสยปอยผมของแฟนคนสวย เราอยู่ใกล้กันจนได้กลิ่นแชมพูจางๆของเส้นผมอันหอมละมุน ผมสรวมกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เธอไม่ขัดขืน ยอมให้ผมกอดอย่างว่าง่าย ผมเชยคางเธอขึ้นมาแล้วค่อยๆยื่นหน้าจะไปจูบเธอ เธอเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากผมเป็นลักษณะการห้าม แล้วอยู่ๆนาตยาเธอก็น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ขึ้นมา

    “นาตร้องไห้ทำไม เป็นอะไรหรือปล่าว”

    นาตยาส่ายศรีษะ ปากบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่น้ำตาไหลเอ่อนองแก้ม

    เธอเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดว่า

    “ไม่จูบ....แต่คืนนี้มาร์คช่วยกอดนาตอย่างนี้ทั้งคืนได้มั้ย”

    ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร แต่ผมกอดเธอจนเราเข้าสู่ห้วงนิทรากันทั้งสองคน

    ผมกอดเธออยู่ในท่านั้นทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า

     

    นาฬิกาตั้งปลุกดังตอน 6.10 ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ผมเขย่าตัวเรียกเธอให้ตื่นไปทำงาน เธอนอนทำท่าคุดคู้ มือกุมอยู่ที่ท้อง นาตยาเธอพูดกับผมว่า

    “วันนี้ปวดท้องเมนส์ นาตไม่ไปทำงานนะ มาร์คจะไปสมัครงานไม่ใช่เหรอ”

    ผมพยักหน้าตอบรับ

    “เอาน้ำร้อนมั้ย”

    “ไม่เป็นไร มาร์คไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวสาย”

    “อืม งั้นเดี๋ยวมาร์คกลับมาไปกินสุกี้กันนะ เดี๋ยวมาร์คเลี้ยงนาตเอง”

    เธอไม่ตอบอะไร

    ผมเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน เสร็จแล้วออกมาจากห้องน้ำ ผมเห็นนาตยาเอาเสื้อนักศึกษาตัวเก่าของผมกับกางเกงสแลคสีดำมาแขวนหน้ากระจก มันก็คือชุดนักศึกษานั่นแหละ เพราะผมมีแต่ชุดนี้ชุดเดียวที่สุภาพและดูเป็นทางการที่สุด เช้านี้เธอน่ารักมาก เธอแต่งตัวใส่กระดุมให้ผม เหมือนคู่ที่สวีทกันใหม่เลยๆ

    “ลืมอะไรหรือเปล่า”

    เธอถาม

    “วุฒิการศึกษา สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบสด.9 ครบทุกอย่าง”

    “งั้นมาร์คไปล่ะ”

    ผมใส่รองเท้า ยืนขึ้น กำลังก้าวเท้าออกจากบ้าน อยู่ๆนาตยาก็เดินเข้ากอดผมจากข้างหลัง เอาหน้าซบที่แผ่นหลังแล้วเธอก็สะอื้นร้องไห้ออกมา ผมหันหน้ามาจับที่ไหล่ แล้วยิ้มให้เธอ

    “นาตร้องไห้ทำไม มาร์คไปสัมภาษณ์งาน ไม่ได้ไปรบซักหน่อย”

    ผมเช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ

    “จ๊ะ ขอให้ได้งานนะ”

    พอผมเปิดประตูก้าวออกไป นาตยา ก็เดินไปนั่งที่โซฟา ร้องไห้สะอื้นเหมือนกับเด็ก ไม่รู้เหมือนกันว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ ถึงได้ร้องไห้ออกมาขนาดนั้น

     

    ผมแว้นเวสป้าคู่ใจออกไปผจญกับรถติดในกรุงเทพ โดยเข้าเส้นสุขุมวิท แล้วเลี้ยวไปเข้าอโศก ผมไปถึง บริษัท รอยัล ฟู๊ด ตอน 8.30 น. เข้าไปรอหน้าห้องสัมภาษณ์ มีคนมารอสัมภาษณ์อยู่ 7-8คน ผมมาเป็นคนสุดท้ายพอถึงเวลาฝ่ายบุคคลก็เรียกแต่ละคนเข้าไปสัมภาษณ์ ดูแต่ละคนหน้าอ่อนเหมือนเด็กจบใหม่ ท่าทางตื่นเต้นกันทุกคน แต่ผมไม่ตื่นเต้นสักนิดเดียว เพราะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

    “คุณ ทนงศักดิ์ ตั้งวัฒนา ค่ะ”

    “ครับผม”

    ผมเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์ผมเป็นผู้หญิงวัยกลางคนนึง ผมยกมือไหว้สวัสดี ก่อนที่ ฝ่ายบุคคลวัยกลางคนจะเริ่มถามคำถามผม

    “เชิญแนะนำตัวได้เลยค่ะ”

    “อืมๆ ก็ ตามที่กรอกประวัติไปนั่นแหละครับ คุณอ่านเองดูเลย”ผมผายมือไปที่แฟ้มประวัติ

    ไม่รู้ทำไมผมตอบไปแบบนั้น คำตอบผมทำให้เธอตกใจนิดนึงแต่เธอก็นิ่งๆไว้

    “ในนี้ไม่มีประวัติการทำงาน คุณไม่เคยทำงานเหรอคะ ความสามารถอะไรก็ไม่เขียน คุณมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง”

    ผมนั่งนิ่งๆมองตาเธอแล้วตอบกลับไปว่า

    “งานออฟฟิศแบบนี้ผมไม่เคยทำหรอกครับ ผมเป็นนักดนตรี เล่นเป็นแต่ดนตรี”

    “คุณเป็นนักดนตรี แต่มาสมัครงานเป็นHR เนี่ยนะ”

    “ก็ผมจบรัฐศาสตร์ แล้วถ้าผมเขียนไปว่าเล่นดนตรีเป็น มันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำ”

    เธอหัวเราะคิๆ

    “อืม ใช่มันก็ถูกของคุณ แล้วคุณเล่นดนตรีแนวไหนล่ะ”

    “ผมเล่นสากลเป็นหลัก ผมเล่นแนวอินดี้ร็อค อัลเทอเนทีฟยุค90s พวก โอเอซิส , เรดิโอเฮด , ยูทู”

    “โห เล่นยูทูด้วย วงสมัยดิฉันสาวๆเลยนะ”

    “ใช่ครับ แต่ตอนนี้ผมหันมาฝึกเล่นแนวบลูส์ กำลังฝึกอยู่”

    สาวใหญ่ยิ้มที่มุมปาก

    “ฉันนี่เห็นแบบนี้ ตอนสาวๆนี่เป็นชาวร็อคเลยนะ กันส์ แอนด์ โรส , เนอร์วาน่า , แมนิค สตรีท พีชเชอร์  รู้จักรายการไนท์สปอร์ตหรือปล่าว ดีเจ วาสนา วีระชาติพลี กับ หนังสือ บันเทิงคดี น่ะ ”

    “รู้จักครับ เคยได้ยินคนพูดถึง แต่ผมเด็กกว่านั้นมากเลยไม่ทัน ผมมาฟังสากลจริงๆตอนอายุ15 เลยปี 2000 มาแล้ว”

    “นั่นสินะ เพราะพี่เองก็อายุ38แล้ว พี่ขอเรียกตัวเองว่าพี่นะ เพราะพี่น่าแก่กว่าน้อง 10 ปีได้ เอาล่ะ เข้าเรื่อง ทำไมนักดนตรีอย่างน้อง ถึงอยากมาทำงานออฟฟิศล่ะ”

    “แฟนผมอยากให้ผมทำงานออฟฟิศ จะได้มีหน้ามีตา ผมไม่อยากทะเลาะกับแฟน ผมเลยมาสมัครงาน”

    สาววัยกลางคนยิ้ม

    “ตอบได้ตรงดี เอาล่ะ น้องชาย น้องโดนแฟนบังคับให้มาสมัครงานใช่มั้ย”

    “เอ่อ....ใช่....ครับ”

    เจอคำถามนี้ผมไปไม่เป็นเลย

    “งั้นพี่ขอแนะนำอะไรน้องหน่อยนะ แฟนน้องไม่ได้ชอบน้องในแบบที่ตัวน้องเป็นหรอก ถ้ามีโอกาส น้องจงหาคนที่ชอบในแบบตัวน้อง คนที่ไม่ต้องบอกให้น้องเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วน้องจะมีความสุข”

    ผมยิ้มแหะๆ แล้วตอบกลับไปว่า

    “ครับผม”

    “น้องเขียนมาว่า ขอเงินเดือน 6000 ในความรู้สึกพี่ ไม่รู้ว่าน้องประชดแฟน หรือยังไง แต่งานออฟฟิศเหนื่อยนะ และ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง น้องเป็นคนมีความสามารถ แต่ไม่ใช่ทางด้านมนุษย์ออฟฟิศหรอก พี่ว่าน้องน่าจะหาเงินได้มากกว่านี้นะ อย่างพี่เองชอบฟังเพลงก็จริง แต่เล่นดนตรีไม่เป็น ถ้าเล่นเป็นคงไม่มาทำงานให้เขาโขกสับอยู่อย่างนี้หรอก และ เนี่ย ดูสไตล์น้องสิ”

    “เอ่อ สไตล์ผม มันเป็นยังไงเหรอครับ”

    เธอหัวเราะ

    “ไม่มีใครมาสัมภาษณ์งาน โดยไม่โกนหนวดเครา ผมก็ยาว ถึงน้องจะรวบผมมาก็เถอะ แล้วนี่ใส่ชุดนักศึกษามาสัมภาษณ์งาน ทั้งที่อายุจะ 30 แล้ว น้องเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป นิสัยท่าทาง ไม่น่าจะใช่คนที่สนใจใคร หรือ ชอบฟังคำสั่งใคร อย่ามาทำงานออฟฟิศเลย เชื่อพี่”

    “สรุปว่า...”

    “น้องไม่ผ่านจ๊ะ น้องก็น่าจะรู้ดีว่าทำไมพี่ไม่ให้ผ่าน”

    “ครับ ผมเข้าใจ”

    ผมยิ้มให้พี่สาวฝ่ายบุคคล แล้วแซวกลับไปว่า

    “ปกติฝ่ายบุคคล จะปฏิเสธใคร จะบอกว่า ไว้จะติดต่อกลับไป ไม่ใช่เหรอครับ”

    “นั่นสินะ กับคนอื่นพี่ก็ทำไปก็ตามมารยาทล่ะนะ”

     

    ผมลาพี่สาวฝ่ายบุคคล ผมได้คุยกับแกแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ยกนาฬิกาขึ้นมาดูแป๊บเดียวเที่ยงแล้วเหรอเนี่ย ผมเดินออกมาหน้าบริษัท หยิบมือถือขึ้นมาโทรหานาต จะบอกว่ากำลังจะกลับแล้ว

    “สัญญาณที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

    เธอปิดเครื่อง แต่ก็ช่างเถอะ เธอน่าจะนอนปวดท้องอยู่แน่ๆเลย ผมค่อยๆขับรถกลับบ้าน ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงผมกลับมาถึง มายืนอยู่หน้าประตูบ้าน ผมเรียกให้เธอมาเปิดประตูให้หน่อย เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ สงสัยว่านอนหลับอยู่มั้ง ผมเลยไขกุญแจเข้าไปในบ้าน

     

    ผมเดินเข้ามาข้างในบ้าน บ้านอันที่เป็นรังรักของเรา ผมเข้าไปในบ้านจึงพบว่า นาตหายตัวไป

    ผมชักใจไม่ดีแล้ว แต่เดี๋ยวๆนะ ค่อยๆคิด เธออาจออกไปกินข้าว หรือ ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยก็ได้ ทนงศักดิ์นายค่อยๆคิดซิ มันเกิดอะไรขึ้น ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเธอโทรไปก็มีแต่สัญญาณตอบรับว่า “สัญญาณที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”ผมเดินไปดูในห้องนอนเธอ เสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า ข้าวของของเธออันตธานหายไปหมด ตอนนี้ความสับสนงุนงง และ ความไม่เข้าใจหลายอย่างได้ถาโถมเข้ามาในจิตใจผม เกิดอะไรขึ้น เธอไปไหน หรือว่าเธอจะทิ้งเราไปเฮ้ย ไม่หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนเรายังดีๆกันอยู่เลย อยู่ๆน้ำตาผมเริ่มเอ่อนองคลอเบ้าตา

    “ตึ๊งตึ่ง”

    มีเสียงสัญญาณข้อความเข้าในมือถือ เป็นข้อความของเธอนั่นเอง

    “มาร์ค นาตว่าเราควรห่างกันสักระยะนึงน่าจะดีนะ นาตอยากอยู่คนเดียวเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง ตอนนี้นาตมาอยู่กับเพื่อน ไม่ต้องห่วงนาตนะ”

     

    พอผมอ่านข้อความนั้น ก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา น้ำตาลูกผู้ชายได้รินไหลออกมาเต็มสองแก้ม ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยเปิดโน๊ตบุ๊คเข้าเฟสบุ๊ค เพื่อที่จะได้คุยกับเธอ แต่เธอดันบล็อกไอดีของผม พอโทรไปก็ปิดเครื่อง ผมว้าวุ่นใจอย่างมาก ไม่รู้จะไปไหน ยังไงดี ผมเลยออกจากบ้านแล้วขี่รถไปร้านสักของไอ้ปุ้ย

     

    ผมไปถึงร้านไอ้ปุ้ยจิตใจของผมสับสน ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอไปถึงร้านมันผม ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนตรงเก้าอี้แบบหมดอาลัยตายอยาก ซึ่งสองพี่น้อง กำลังนั่งดูรายกายทีวีอยู่ไอ้ปุ้ยมันเห็นผม จึงหันหน้ามาทักว่า

    “เป็นไรวะ หน้าตาไม่สเบย แฟนทิ้งเหรอ”

    ไอ้ปุ้ยนะไอ้ปุ้ย ทักอะไรไม่ทักได้ยินแบบนั้นผมถึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครผมจึงยื่นมือถือส่งไปให้มันดู ไอ้ปุ้ยรับมือถือมาจากผมแล้วได้อ่านข้อความนั้น

    “ชิบหายแล้ว ขอโทษว่ะเพื่อน ก็ฉันไม่รู้นี่หว่า”

    ผมเบะปาก แล้วปล่อยโฮออกมาดังๆ

    “นี่ ตาทึ่ม แหกปากร้องไห้ไม่อายผู้หญิงบ้างเลยหรือไง”

    ยัยปุ๋ยพูดออกมา

    “แกเงียบไปเลยป่ะปุ๋ย แกไม่มีวันเข้าใจหัวอกของพี่หรอก”

    “มานี่”

    ยายปุ๋ยจูงแขนผมดึงขึ้นบันได ไปที่ห้องของเธอ

    “เฮ้ย จะพามันไปไหน ยัยปุ๋ย”

    ไอ้ปุ้ยร้องออกมา

    “พี่ไม่ต้องยุ่งน่า”

    ไอ้ปุ้ยยืนเกาหัวแกรกๆ

    “ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่วะ”

     

    ผมเข้ามาในห้อง เดินไปนั่งบนลงบนเตียง ไอ้ปุ๋ยลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามผม

    “พี่มาร์คมันเกิดอะไรขึ้น”

    “ก็เมื่อเช้าพี่ไปสมัครงานใช่ป่ะ”

    “เดี๋ยวนะ พี่น่ะเหรอไปสมัครงาน”

    “เงียบน่ะ ยัยเบ๊อะ จะฟังมั้ย”

    ปุ๋ยทำหน้านิ่งๆแล้วถามต่อ

    “เล่าต่อ เล่าต่อ ปุ๋ยอยากฟัง”

    “พี่ตื่นเช้ามาจะไปสมัครงาน แล้วอยู่ๆนาตก็เข้ามากอดพี่แล้วร้องไห้ พี่ไปสมัครงานมาครึ่งวัน พอกลับมา เธอก็หายไปแล้ว ขนเสื้อผ้าข้าวของไปหมด  โทรไปก็ปิดเครื่อง เฟสบุ๊คก็บล็อคพี่ พี่ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี”

    ผมเงียบแล้วก้มหน้าไปอึดใจนึงก่อนพูดขึ้นมาว่า

    “อืมม แต่นาตเขาบอกว่าขอห่างกันสักพัก เดี๋ยวสักพักนึงเขาก็คงกลับมาเองมั้ง”

    น้องสาวเพื่อนคนสวยได้ยินดังนั้นจึงสวนมาว่า

    “พี่มาร์ค พี่นี่โครตจะทึ่มเลย”

    “ทำไม”

     “ผู้หญิงน่ะ เวลาบอกว่าขออยู่ห่างกันสักพัก แปลว่า ฉันไม่อยากอยู่กับแกแล้ว เบื่อแกแล้ว ไอ้คำว่าห่างกันสักพักของเขาเนี่ย คือ ห่างกันตลอดไป พี่แปลไม่ออกเลยเหรอ”

    ผมได้ยินเช่นนั้นผมถึงกับเบะปาก ปล่อยโฮออกมา

    “ใจเย็นๆสิ ร้องไห้เป็นเด็กไปได้ น่าสมเพสจริงๆ พี่อายเลดี้อย่างหนูมั่งมั้ยเนี่ย”

    “ไม่อาย”

    ผมตอบอย่างหน้าตาเฉย

    “มานี่”

    ยัยปุ๋ยเรียกผมให้มายืนใกล้ๆเธอ เธอหยิบแท๊บเล็ตขึ้นมา แล้ว เข้าเฟสบุ๊ค

    “พี่นาตบล็อคพี่มาร์คแต่ไม่ได้บล็อคหนู”

    “แล้วปุ๋ยแอดเป็นเพื่อนกับนาตด้วยเหรอ ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันก็อ่านเฟสเขาไม่ได้หรอกนะ”

    “แอดไว้สิ”

    “แอดไว้ทำไม”

    “ก็อยากแอดอะ แอดหน่อยไม่ได้เหรอไง คนรู้จักกัน”ปุ๋ยหันมามองหน้าผม

    พอปุ๋ยเปิดเข้าดูในเฟสบุ๊คของนาตยา รูปแรกที่ขึ้น เป็นรูปงานกินเลี้ยงวันเกิดน่าจะเป็นของยายแนน เอ๊ะเดี๋ยว นั่นมันไอ้หนุ่ม Porsche นี่นา มีติดมาเกือบทุกรูปเลย

    “นั่นใคร?”

    ยัยปุ๋ยถาม

    “ไอ้หนุ่ม ที่ขับ Porsche มาส่งนาตเมื่อวันก่อน รู้สึกจะชื่อ พีท นาตบอกว่าเป็นเพื่อน”

    “เพื่อน แฟนพี่บอกแค่นั้น พี่ก็เชื่อแล้วเหรอ”

    “ทำไมล่ะ เขาบอกว่า เขาคุยกันในเฟสบุ๊ค เขาเป็นเพื่อนกันจริงๆนะ”

    “พี่มาร์คเคยเข้าไปดูเฟสบุ๊คแฟนบ้างมั้ย”

    “ไม่อะ ขี้เกียจเล่น ขนาดเฟสบุ๊คตัวเองพี่ยังไม่ค่อยได้เล่นเลย”

    “ไม่เล่น งั้นพี่มาร์คก็คงโดนสวมเขามานานแล้วล่ะ”

    ยัยปุ๋ยเล่นพูดซะ ทำผมสะดุ้งเลย

    “มา มา งั้นเรามาดูย้อนหลังกัน”

    ยัยปุ๋ยน้องสาวคนสวยของเพื่อนเลื่อนหน้าจอลงมาอีก ก็เจอคำหยอดหวานหลายคำ เช่น

    “คุณนาตชอบเพลงของบี้เหรอครับ ไปคาราโอเกะกันมั้ยครับ เดี๋ยวร้องให้ฟัง”

    แล้วรูปลงวันที่เดียวกัน ก็เป็นรูปห้องคาราโอเกะ สองคนนั้นเขาไปร้องเพลงด้วยกัน

    “นาตฟังเพลงแบบนี้ด้วยหรือ”

    ผมพึมพำออกมา

    “อ้าว พี่เป็นแฟนกัน ไม่รู้เลยเหรอ”

    “ก็ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้สนใจเพลงป็อปเท่าไหร่ ยิ่งเพลงไทยด้วยแล้ว”

    ปุ๋ยหันมามองหน้าผมสักพัก ก่อนก้มหน้ากลับไปที่แท๊บเล็ตต่อ

    เลื่อนลงๆมาหลายรูป เห็นเขาซื้อของให้กัน ไปเที่ยวด้วยกัน มีรูปเยอะแยะมากมาย และ ดูแล้ว ไม่น่าจะเพิ่งเจอกัน น่าจะเจอกันมาระยะนึงแล้ว เพราะรูปย้อนหลังไป 2-3เดือน ก็ยังเห็นอยู่

    “เขาก็ไปเที่ยว กินข้าวดูหนังกันบ่อยเหมือนกันนี่ พี่นี่ไม่ระแคะระคายอะไรบ้างเลยเหรอ”

    “หึ ไม่เลย”

    “พี่นี่ทึ่มจริงๆเลย”

    ถูกของยัยปุ๋ย ผมนี่มันทึ่มจริงๆ

    “แบบ ช่วงหลังๆ เขากลับบ้านดึกบ่อยมั้ย หรือ หายไปไหนอะไรอย่างเงี้ย พี่ไม่สงสัยอะไรบ้างเลยเหรอ”

    “ก็นาตเขาบอกว่าติดงาน ทำงานดึก มีเคลียร์งานที่แบงค์”

    “แล้วพี่ก็เชื่อ?”

    “อืม ใช่ พี่เชื่อ”

    “เฮ้อ”

    ยัยปุ๋ยถอนหายใจออกมา

    “รู้มั้ย เขาลงรูปแบบนี้ เพื่อเป็นการประกาศบอกพี่มาร์คโดยตรงว่าเขามีคนใหม่แล้วนะ แต่พี่ก็ดันไม่สนใจ พี่มาร์คไม่เคยเข้าเฟสบุ๊คมาดูเลย”

    “อืมใช่ พี่ไม่เคยเข้าไปเลย”

    “แล้วเขาเคยพูดอะไรเกี่ยวกับนายคนนี้มั้ย”

    ผมใช้มือลูบที่เคราของตัวเอง

    “ก็เคยนะ เคยพูด2ครั้ง ว่ามีเพื่อนใหม่เจอกันในเฟสบุ๊ค เป็นหนุ่มหล่อ”

    “นั่นแหละ เขาพยายามบอกให้พี่รู้ ให้พี่เข้าไปเห็นรูปในเฟสบุ๊ค พี่จะได้ทะเลาะกับเขา ถ้าพี่ด่าเขารุนแรง หรือ ถ้าพี่ฟิวส์ขาด ก็แน่ล่ะ มันอาจเป็นไปได้ และ ถ้าพี่ลงไม้ลงมือไม่ว่าจะเบาแค่ไหน แค่พี่หยิบหมอนมาปาใส่เขาด้วยความโมโห ก็ใครจะไม่โมโหล่ะ แฟนเล่นชู้นี่ แต่แค่นั้นก็จะเข้าแผนเขาทันที ว่าพี่นั้นอารมณ์รุนแรง พี่ก็จะกลายเป็นผู้ร้าย ส่วนเขาจะบอกใครต่อใครเช่นเพื่อนเขาพ่อแม่เขาว่าพี่อารมณ์รุนแรง ทุกคนจะประณามพี่ ส่วนตัวเขาก็จะเป็นนางเอกสวยๆ และ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาจะได้เป็นข้ออ้างในการไปจากพี่ แต่พี่ก็บื๊อบื้อ ไม่ทำตามแผนเขา จนเขาต้องวางแผนหนีพี่ไปแบบนี้ ซึ่งเขารู้ตัวดีว่าลึกๆเขาทำผิดต่อพี่มาก เพราะถ้าพูดบอกเลิกไปว่า ฉันมีคนใหม่แล้วนะ ฉันจะไปแล้ว เขารู้ตัวดีว่าเขาจะกลายเป็นนางมารร้ายในทันที ซึ่งเขาไม่อยากเป็นเช่นนั้น”

    “มองโลกในแง่ร้ายไปมั้ย”

    “ไม่หรอก ผู้หญิงน่ะถ้าจะร้ายน่ะ ร้ายจนคาดไม่ถึงเลยล่ะ”

    “อืม มันเป็นเช่นนั้นเองหรือ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

    “เฮ้อ พี่นี่น้า ทึ่มจริง” ยัยปุ๋ยถอนใจออกมา

    แล้วอยู่ๆผมก็นึกอะไรอย่างนึงขึ้นได้

    “มีครั้งนึงนะ นาตบอกกับพี่ว่า ที่แบงค์จะพาพนักงานไปเที่ยวที่พัทยา ประมาณ 5 วัน และช่วงนั้นเธอก็หายไป”

    “เหรอ เมื่อไหร่” ยัยปุ๋ยทำตาโต

    “ประมาณกลางเดือนที่แล้ว”

    พอรู้ดังนั้น น้องสาวคนสวยของเพื่อนเลยเลื่อนแทปเล็ตลองไล่หาในไทม์ไลน์เรื่อยๆ จนเจอภาพชุดนึง

    “นี่ไง ไม่ได้ไปพัทยา แต่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน”

    ผมคว้าแท๊บเล็ทจากมือยัยปุ๋ยมาดู มีรูปสองคนนั้นไปเดินช็อบปิ้งแถวย่านชินจูกุ ไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิยาม่า ไปกินซูชิปลาโอโทโร่ ไปออนเซ็น และ ที่สำคัญ อยู่ในโรงแรมนอนห้องเดียวกันทุกคืน ผมเห็นภาพบาดใจอย่างนั้น ผมเบะปาก ปล่อยโฮมาอีกรอบนึง ยัยปุ๋ยทำตาดุ แล้วเอานิ้วปราม

    “กริ๊บ”

    “อึ๊กๆๆ” ผมอั้นน้ำตา

    “อย่าร้อง กริ๊บ”

    “อื๊กๆๆ”

    แล้วยัยปุ๋ยก็คว้าแท๊บเล็ตมา

    “ไม่ต้องดูแล้ว ดูทำไมให้ช้ำใจ เลิกร้องได้แล้ว”

    “ฉันเป็นเพื่อนของพี่แกนะปุ๋ย เอามา”

    “ไม่ให้”

    ยัยปุ๋ยชูแท๊บเล็ทไว้เหนือหัว

    “เอามาเดี๋ยวนี้”

    “ไม่ให้”

    “เอามา”

    ผมกระโดดคว้าแท๊บเล็ตอีท่าไหนก็ไม่รู้ ผมกับยัยปุ๋ยเลยเสียหลักล้มลง ซึ่งโดยทั่วไปเวลาที่คนเราเสียหลักล้มลง สัญชาติญาณเบื้องต้นของมนุษย์จะเปลี่ยนท่าเป็นเอามือยันพื้นโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าไปกระแทกกับพื้น

    “โครม”

    ผมล้มลง หลับตาปี๋ แต่ความรู้สึกที่มือนั้น มันไม่ใช่พื้น มันนุ่มๆหยุ่นๆเหมือนฟองน้ำ ผมลืมตาขึ้นมา สองมือของผมดันไปคว้าก้อนเนื้อ คัพ ซี ของน้องสาวเพื่อนเต็มเปา ยัยปุ๋ยหน้าแดง ผมก็ยัง เอ๋อๆ งงๆทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น

    “พี่มาร์ค”

    “ห๊า”

    “จะปล่อยมือได้ยัง”

    ผมรีบปล่อยมือแล้วลุกขึ้นทันที

    “ขะ ขอ โทษ ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ”

    ยัยปุ๋ยไม่พูดอะไร ยืนขึ้นมา แล้วทำเสียงเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “อืม แล้วพี่จะทำยังไงต่อล่ะ”

    ผมก้มหน้าลง

    “ก็ไม่รู้สิ”

    ผมเดินลงมาข้างล่าง เจอไอ้ปุ้ย ผมคุยกับมันสักพักนึง ก่อนผมลามันกลับ ผมขี่เวสป้าคู่ใจ ขี่รถไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าขี่ไปไหน ค่ำแล้วผมขี่มาไกลถึงสะพานพุทธ ผมจอดรถยืนอยู่ตรงราวสะพาน อยากกระโดดแม่น้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ไม่เอาดีกว่า อกหักแค่ไหนก็ไม่บ้าฆ่าตัวตายหรอก ผมเหม่อมองแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างล่างสะพานก็มีตลาดกลางคืนที่เพิ่งเริ่มตั้งของ ผมลงมาเดินอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีอารมณ์ดูของหรืออยากซื้ออะไรทั้งสิ้น มันเคว้งคว้างไปหมด ผมเดินขึ้นไปบนสะพานอีกรอบ มองแม่น้ำเจ้าพระยา ยืนเหม่อมองดูแม่น้ำยามค่ำคืน ปล่อยใจลอยไปจนถึงกี่โมงแล้วก็ไม่รู้ ผมอยากคุยกับนาตอีกสักครั้ง แต่เธอก็ปิดเครื่อง หรือ เธออาจเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วก็ได้ ตอนนี้ ผมอยากคุยกับใครสักคน ผมเลยโทรหาแม่

    “ตรู๊ด ตรู๊ด”

    แม่ผมรับสาย

    “ว่าไงลูก”

    ผมได้ยินเสียงแม่ ผมก็ปล่อยโฮมาอีกรอบ

    “นาตเขาทิ้งผมไปแล้วแม่”

    เสียงแม่ในโทรศัพท์เงียบไปสักพัก

    “ถ้าลูกไม่มีใคร แม่ยังอยู่นะลูก”

    ผมได้แต่ปล่อยโฮ น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน โดยแทบไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลย

    -------------------------------------------------------

    เวลาผ่านไป 9 วัน หรือ 10 วัน ไม่แน่ใจ ผมได้แต่หมกตัวอยู่กับบ้าน จมกับความคิดตัวเองอยู่คนเดียว ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร กินแต่มาม่า ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเล่นเกมส์ เล่นดนตรี หรือ ทำอะไรทั้งนั้น  ผมได้แต่นอนอยู่บนโซฟาวันแล้ววันเล่า

    “ ปังๆๆๆๆ”

    เสียงเคาะประตู ไม่น่าเป็นการเคาะ เสียงแบบนี้มันเป็นเสียงทุบประตูมากกว่า

    “พี่มาร์ค พี่มาร์คอยู่รึปล่าว”

    “ใครน่ะ”

    ผมถามออกไป

    “หนูเอง ปุ๋ย”

    ผมเดินไปเปิดประตู แง้มประตูโผล่หัวออกมา

    “มีอะไร”

    “เห็นหายไปหลายวันเลยเป็นห่วง นี่ปุ๋ยเข้าไปได้มั้ย”

    ผมแง้มประตู

    “เชิญ”

    น้องสาวคนสวยของเพื่อนเดินเข้ามาในบ้าน พอเธอก้าวเข้ามาก็พบแต่ถ้วยมาม่า จานที่ไม่ได้ล้าง ข้าวของรกรุงรังกระจัดกระจาย เสื้อผ้าที่ไม่ได้ซักเป็นพเนินเทินทึก ผมเดินโซซัดโซเซไปนอนบนโซฟา ฟุบหน้าลงหมอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ยัยปุ๋ยเลยเดินเข้ามาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น ผมเลยยันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา บนใบหน้าผมมีแต่คราบน้ำตา ทั้งคราบเก่าคราบใหม่ และยังมีคราบขี้ตา ขี้ไคล ขี้มูก อีกสารพัด สงสัยว่าน้ำท่า หัวเหอ ฟันเฟิน ไม่ได้แปรงมาร่วม10วัน

    “พี่มาร์ค พี่แม่งโครตน่าสมเพสเลยว่ะ ดูสภาพตัวเองซิ”

    เธอหันมองรอบๆบ้าน

    “เฮ้อ อยู่ได้ไงเนี่ย”

    ผมไม่สนใจที่ยัยปุ๋ยพูดทั้งนั้นทิ้งตัวนอนคว่ำฟุบหน้าลงหมอนเหมือนเดิม

    “มา เดี๋ยวหนูทำความสะอาดห้องให้”

    ผมตอบน้องสาวคนสวยของเพื่อนไปว่า

    “อยากทำอะไรก็เชิญ”

    ยัยปุ๋ย เปิดผ้าม่านออก ขนเสื้อผ้าไปซัก ล้างจาน ปัดกวาดเช็ดถู ผมยันตัวขึ้นมานั่งมองเธอทำความสะอาดบ้าน เพียงแค่ชม.กว่าๆ บ้านก็สะอาดเรียบร้อย

    “เสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วพี่จะได้นอน”

    ยายปุ๋ยเลยมายืนเท้าสะเอวจังก้าอยู่ข้างหน้าผม

    “จะซึมเศร้าไปถึงเมื่อไหร่ อายผู้หญิงบ้างมั้ยเนี่ย”

    “เรื่องของฉันน่า ยายบ๊องส์”

    ยัยปุ๋ยเดินมาที่โน๊ตบุ๊คของผม เสียบปลั๊ก แล้วเปิดเครื่องขึ้นมา

    “จะทำอะไร”

    “เฉยๆไว้”

    ยัยปุ๋ยเข้าไปใน Youtube แล้ว Search คำว่า dr.snake ผมเลยยันตัวลุกขึ้นมา แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆจอ

    “หือ dr.snake ด๊อกเตอร์ งู น่ะเหรอ จะให้พี่ดูงูทำไม”

    ยัยปุ๋ยหันมามองหน้าผม

    “ไม่ใช่ให้ดูงู ดูคลิปของ ดร.งู ต่างหาก”

    “ใครคือ ดร.งู”

    เธอเลื่อนมาเปิดคลิปนึง คนในคลิปนั้น เป็นชายใส่ชุดกาวด์สีขาว อายุประมาณ 40 กว่าปี หัวฟูๆยุ่งๆ ตาโปนเหมือนตาปลาทอง ดูลักษณะเหมือนพวกด๊อกเตอร์สติเฟื่องในหนังวิทยาศาสตร์ไม่มีผิด พอเปิดคลิปมาก็เป็นหน้า ดร.งูที่ว่าเนี่ยแหละ อยู่ในห้องแล็คเชอร์ห้องนึง มีแบ๊คกราวด์เป็นกระดานดำสีเขียวอยู่ด้านหลัง

    “คุณกำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่หรือไม่ อกหัก แฟนทิ้ง ตกงาน  มีหนี้สิน ล้มละลาย คุณอยากเปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้น หรือ ได้ของที่คุณรักกลับคืนมาบ้างมั้ย”

    ผมหันหน้าไปมองหน้ายายปุ๋ย

    “อะไรกันยัยปุ๋ย นี่แกเปิดขายตรงให้พี่ดูเร๊อะ”

    “เฉยๆน่ะพี่ อยู่นิ่งๆไว้ แล้วดูต่อ”

    “ผมชื่อดร.งู เป็นนักฟิสิกส์ และ นักจักรวาลวิทยา”

    “หืมมม” ผมร้องออกมา

    “ จักรวาลที่เรารู้จักมีต้นกำเนิดมาจากบิ๊กแบง ซึ่งกำเนิดเมื่อ15,000 ล้านปีที่แล้ว  ในจักรวาลมีดวงดาว แกแล๊คซี่ มากมายนับไม่ถ้วน อาจมีดวงดาวในจักรวาลนับล้านดวงที่มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา แต่ โอ้ แต่ผมไม่ได้จะมาพูดเรื่องนี้หรอกนะ”

    ผมพยายามตั้งใจฟัง

    “การเดินทางในอวกาศ แค่ในระบบสุริยะของเรา เทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันนั้น แค่ไปสุดขอบของระบบสุริยะยังต้องใช้เวลา50ปี และ ถ้าจะไประบบสุริยะถัดไปจากเราอาจต้องใช้เวลาเป็นพันปี ยกเว้นเราจะสร้างรูหนอนเพื่อย่นระยะทางไปสู่ระบบสุริยะ หรือ แกแลคซี่อื่นๆ ใช่แล้วผมกำลังพูดถึงรูหนอน แต่รูหนอนที่ว่านี้ไม่ใช่รูหนอนเพื่อเดินทางข้ามจักรวาลหรอกนะครับ”

    “เปิดอะไรให้พี่ดูเนี่ยยัยปุ๋ย”

    “เอาน่า ดูต่อ”

    ดร.งู เขียนภาพระบบสุริยะของเราบนกระดานดำ

    “ผมจะอธิบายให้ท่านผู้ชมเข้าใจนะครับ ดวงดาวสีน้ำเงินลำดับที่3จากดวงอาทิตย์ดวงนี้ นั่นก็คือเอิร์ท หรือ โลกของเรานั่นเอง คุณลองจินตนาการ แกแลคซี่ทางช้างเผือกคือกระดานแผ่นนี้ สมมุติว่า เราจะเดินทางไปดาวที่อยู่ขอบสุดของแกเลคซี่ดวงนี้”

    ดร.งู วาดจุดเล็กๆไปที่ขอบกระดานดำ

    “จากตรงนี้ไปตรงนี้ หรือ มันก็คือแกแลคซี่เดียวกัน หรือ เราจะออกไปแกแลคซี่อื่นก็ตาม มันก็ยังเป็น จักรวาลเดียวกัน หรือ กระดานดำแผ่นเดียวกันนั่นเอง”

    “เป็นยังไงพี่มาร์ค ชักน่าสนใจขึ้นมั้ย” น้องสาวคนสวยของเพื่อนถามมา

    “แล้วมันคืออะไรล่ะ พี่ยังไม่เข้าใจ ว่าปุ๋ยเอาคลิปนี้มาให้พี่ดูทำไม”

    “เอ้า ไม่เข้าใจงั้นดูต่อ”

    ในวีดีโอนั้น ดร.งู แกก็ได้สาธิตทฤษฏีของแกต่อ แกได้หยิบกระดาษมาปึกนึง ในภาพนั้นเป็นรูประบบสุริยะของเรา

    “นี่คือโลก ดวงดาวที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการดำรงชีวิต”

    ดร.งูชี้ไปดวงดาวดวงที่3 จากดวงอาทิตย์

    “กระดาษแต่ละแผ่นนี้ คือ แผ่นจักรวาล ซึ่งแต่ละจักรวาลนั้นวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละจักรวาลทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์เป็นเอกเทศและไม่เกี่ยวข้องกัน”

    แล้วดร.งูก็เดินมาที่กระดานดำ

    “ดังนั้น จากจุดนี้ไปจุดนี้ จากโลก ไปอีกฝั่งของแกแลคซี่ มนุษยชาติอาจจะต้องใช้ยานเดินทางขนาดใหญ่บรรทุกคนออกไปจำนวนมาก ให้เกิดและตายในยานจากรุ่นสู่รุ่น หรือ ใช้หุ่นยนต์เดินทางไป แล้วนำ DNA ของสิ่งมีชีวิตบนโลกไปโคลนตัวอ่อนที่ดาวดวงนั้น ซึ่งต้องใช้เวลานับแสนนับล้านปี แต่ถ้า...”

    ศาตราจารย์สติเฟื่องหันกลับมาที่กระดาษปึกนั้น

    “เราไม่ได้เดินทางไปไหน แต่ถ้าเราทำแบบนี้”

    ดร.งูหยิบที่เจาะกระดาษมา แล้วเจาะกระดาษตรงตำแหน่งของโลก เจาะทะลุลงไปบนกระดาษทุกแผ่น

    “เราก็จะได้อุโมงค์มิติ หรือ รูหนอนเพื่อที่จะไป โลกของเราในจักรวาลอื่นๆ อีกเป็นล้านจักรวาล

    ผมนั่งดูตาไม่กระพริบ

    “ใช่แล้วครับท่านผู้ชม ยังมีโลกใบนี้อยู่ในจักรวาลอื่นอีกนับล้าน ยังมีคุณอีกล้านคน มีผมอีกล้านคน และ มีแฟนคุณ มีพ่อแม่พี่น้องคุณ อยู่ในจักรวาลอื่นอีก ซึ่งแต่ละจักรวาลดำเนินตามเส้นทางเดียวกันเกือบทั้งหมด แต่จะมีจุดเปลี่ยนเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง และ จุดเปลี่ยนเล็กน้อยนั้น ก็ทำให้ชีวิตคุณในจักรวาลนั้นต่างออกไป เช่น ในโลกนี้คุณอาจมีหนี้สินท่วมตัว แต่โลกอื่นคุณอาจเป็นมหาเศรษฐี โลกใบนี้คุณอาจโดนแฟนทิ้ง ในโลกอื่นคุณอาจจะแต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ผมสามารถพาคุณไปได้ สนใจร่วมงานทางวิทยาศาสตร์กับผม ติดต่อที่เบอร์ 081-996-xxxx

    และ คลิปนั้นก็ตัดจบแต่เพียงเท่านี้ มาดูที่ยอดคนชมคลิป มีเพียง 452  view เท่านั้น และมีคอมเมนท์ข้างล่างคลิป ซึ่งคนที่เข้ามาดูนั้นจะเขียนวิจารณ์เป็นแนวขำขันซะส่วนใหญ่ เช่น

     

    “Captain Uganda - ตาแก่นี่ท่าจะบ้าว่ะ เดินทางไปจักรวาลอื่น อะไรของมัน”

    “ไอ้รั่วแมน – ได้เวลาฉีดยาแล้ว”

    “THOR PAMAI – เพ้อเจ้อว่ะ”

    “ฮัคเจ้าหลาย – ดร.งู นี่งูอะไรอะ งูเหลือมหรืองูเห่า”

     

    ผมหันกลับมาที่น้องสาวเพื่อน เห็นยัยปุ๋ยเอาปากกามาจดเบอร์โทรยิกๆ ผมเลยถาม

    “เฮ้ย ปุ๋ยจะทำอะไร”

    “อ้าว ก็จะโทรไปไง”

    “บ้า ไม่เอ๊า ดูตาดร.นี่สิ เต็มบาทซะที่ไหน”

    ยัยปุ๋ยยื่นหน้ามา

    “แล้วพี่มาร์คไม่อยากลองดูหรือไง บางทีโลกของเราในจักรวาลอื่นนั้น พี่เองอาจยังไม่เลิกกับพี่นาตก็ได้”

    “เหรอออ ดูแกไม่น่าจะเต็มนะ คนแบบเนี้ย ถ้าไม่เต็มก็ล้นเลยล่ะ”

    น้องสาวคนสวยของเพื่อนหัวเราะ คิๆ

    “พี่นี่ไม่รู้อะไร คนลักษณะแบบนี้แหละ อัจฉริยะของจริง”

    ผมทำหน้าตาแบบไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่

     

    อยู่ๆยัยปุ๋ยทำจมูกฟุตฟิตที่ตัวผม

    “แหวะ พี่นี่โครตเน่าเลย ตัวเหม็นจริงๆ

    อยู่ๆยัยปุ๋ยก็เอื้อมมือของเธอมาคว้ามือของผมไว้

    “ไป ไป อาบน้ำ เร็วๆ ดูซิไม่ได้อาบน้ำกี่วันแล้วเนี่ย”

    ยายปุ๋ยลากผมเข้าไปที่ห้องน้ำ แล้วตัวยัยปุ๋ยเองก็เดินตามเข้าไปด้วย

    “แล้วแกจะเดินตามพี่เข้ามาทำไม ออกไปเลย เร็ว ชิ้วๆ”

    ผมยกมือไล่น้องสาวเพื่อน ทำท่าไล่เหมือนไล่หมาไล่แมว แต่ยัยปุ๋ยไม่ยอมไปไหน เธอเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ

    “เดี๋ยวปุ๋ยอาบให้”

    “เฮ้ยบ้า อาบให้อะไร ฉันไม่ใช่เด็ก”

    “เร็ว ถอดเสื้อผ้าออกเร็ว”

    “บ้า ไม่เอา แกออกไปเลย ป่ะ “

    ผมใช้มือขวาผลักไหล่ยัยปุ๋ย แต่ยัยปุ๋ยก็ไม่ยอมไปไหน

    “อ้าว จะถอดไม่ถอด”

    ยัยปุ๋ยร้องออกมา ผมดูแล้วยัยนี่เอาจริงแน่ๆ เลยยอมๆไป เลยตามเลย

     “ถอดเสื้อออก เร็วๆ ยกแขนสูงๆ”

    ผมยกมือขึ้นสูงๆอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่

    ถอดกางเกงเร็ว

    “ต้องถอดด้วยเหรอ”

    “ถอดสิ ไม่ถอดจะอาบน้ำได้ยังไง”

    ผมถอดกางเกงยีนส์เน่าๆ ที่ใส่ซ้ำมาเป็นอาทิตย์ กางเกงที่ถอดออกมาแทบจะตั้งได้ ยื่นส่งให้กับเธอ

    “แหวะ สกปรกที่สุด ซกมกจริงๆเลยตานี่”

    “กางเกงในต้องถอดมะ”

    ผมยิ้มๆพูดไป

    “บ้า ไม่ต้องถอด ใครจะอยากดูของนายกัน”

    ยัยปุ๋ยเปิดฝักบัวแล้วราดน้ำไปบนตัวผม เธอหยิบขวดสบู่เหลวใส่มือขยี้จนเป็นฟองฟอด แล้ว บรรจงถูสบู่ จากแขน มาลำตัว ก้มลงมาถูขา มืออันอ่อนนุ่มของเด็กสาว ทำให้จิตใจกระเจิงไปไกล แต่พยายามฝืนเอาไว้เพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนรักผม

    “หันหลังมา”

    เธอบีบเนื้อครีมสบู่ลงบนมือแล้วบรรจงถูไปทั่วแผ่นหลัง เธออยู่ใกล้มาก จนลมหายใจของน้องปุ๋ยนั้นมารดอยู่บริเวณต้นคอผม  อยู่ๆความรู้สึกแบบนี้มันก็เกิดขึ้น ก็คือ ความรู้สึกของลูกผู้ชายมันแผ่ซ่านไปทั้งตัว

    “โอ้ว์ ไม่นะ ไม่”

    เจ้ามาร์คตัวน้อยอยู่ๆมันก็ขยายตัวขึ้นมา ผมพยายามขจัดความรู้สึกนั้นเสีย

    “หืม”

    เธอชะโงกหน้ามามองเจ้ามาร์คตัวน้อยจากด้านหลัง แล้วก็หัวเราะ ฮิฮิ อย่างชอบใจ

    “มีอารมณ์เหรอพี่”

    ผมหน้าแดง อายจนแทบจะพลิกแผ่นดินหนี

    “ใครจะมีอารมณ์กับเธอกัน ยัยเด็กกะโปโล”

    “เหรอ พี่ว่าหนูยังเป็นเด็กเหรอ” เธอยิ้มแบบมีเลศนัย

    ยัยปุ๋ย เจ้าน้องของเพื่อนตัวดี ดันคิดอะไรพิเรน เขยิบตัวเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม เขยิบเข้ามาประชิดที่ข้างหลังผม จนก้อนเนื้อหยุ่นๆสองก้อนนั้นเบียดลงมาชิดกับแผ่นหลัง

    ผมตกใจจนรีบขยับตัวหนี แล้วหันหน้าไปเอ็ด

    “เล่นอะไรยัยบ้านี่”

    “อ้าว ก็จะถูหลังให้ไง”

    “ถูหลังอะไรเอาหน้าอกชนมาเต็มเปาซะขนาดนั้น”

    “แล้วพี่ชอบป่ะล่ะ”

    “ใครมันจะไปชอบ เด็กน้อยอย่างเธอกัน”

    “ปากบอกไม่ชอบแต่นั่นน่ะ”

    เธอทำท่าบุ้ยปากไปทางเจ้ามาร์คน้อย ที่ผงาดจนแทบทะลุกางเกงในตัวจิ๋ว ผมอายหน้าแดงจนไม่รู้จะเอาหน้าไปแทรกไว้ที่ไหน

    “ยัยเด็กลามก”

    “อิอิ จริงๆแล้วพี่มาร์คเองก็ชอบไม่ใช่รึ วันก่อนพี่จับหน้าอกหนู กำจนเต็มสองมือจำไม่ได้แล้วหรือไง”

    “นั่นมันเป็นอุบัติเหตุต่างหากเล่า”

    “เหรอ ที่จริงตัวเองก็ชอบใช่มั้ยล่ะ ปุ๋ยเห็นนะ ในโน๊ตบุ๊คพี่ เก็บคลิปลับๆไว้เยอะเหมือนกันนี่นา เปิดให้ปุ๋ยดูมั่งสิ”

    “บ้า พอแล้ว จะขึ้นแล้ว”

    ผมเปิดฝักบัวแล้วล้างสบู่ออกให้หมด เช็ดตัว แล้วใส่ผ้าขนหนูเดินออกมาจากห้องน้ำ

ผมเขียนใส่wordไว้ ขี้เกียจมานั่งเคาะเว้นบรรทัดใหม่แฮะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา