The Many Worlds Theory

8.7

เขียนโดย basketcage

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.41 น.

  3 chapter
  0 วิจารณ์
  4,991 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 16.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สตีฟ จ๊อบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

  1. สตีฟ จ็อบ

            ผมกอดเธอไปสักพักแล้วหอมแก้มเธออย่างหนักหน่วงด้วยความคิดถึงอย่างยิ่งยวด

“อย่าน่ามาร์ค ดึกแล้วนะ นอนดีกว่า”

ผมจึงดึงผ้าห่มออกโยนไปที่ปลายเตียง ก้มลงจูบเธอไปทั้งคอใบหน้า เธอก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร นาตยาจึงลืมตาขึ้นมา

“คึกอะไรกลางดึกล่ะ ฮืม ที่รัก”

“ก็คิดถึงไง”

“เห็นหน้ากันทุกวัน ยังจะคิดถึงอะไรอีกล่ะ”

ผมเลิกเสื้อเธอขึ้น เพราะเธอชอบใส่ชุดนอนแบบโนบรา เมื่อเปิดมาก็พบกับปทุมถันอันสวยงามได้รูป ผมจึงก้มลงไปดูดเลียปลายปทุมถันนั้นเหมือนอย่างกับเด็กน้อยที่ยังไม่ได้หย่านม เธอลืมตาขึ้นมามองที่หน้าผม

“ไปหยิบถุงยางมาก่อน วางอยู่บนหัวเตียง”

ผมไปหยิบถุงยางที่วางอยู่บนหัวเตียง แล้วผมก็ทำการกินตับเธอไปสองทีด้วยความคิดถึงสุดที่รักของผมอย่างยิ่งยวด แล้วผมก็หลับไปอย่างหมดแรงข้าวต้ม ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอน 10 โมงเช้า ผมก็ยังเห็นเธอนอนอยู่ข้างๆ วันนี้วันจันทร์นี่นา เธอไม่ได้ไปทำงานหรอกเหรอเนี่ย ผมจึงเขย่าแขนปลุกเธอ

“นาต นาต วันนี้หยุด หรือว่านาตไม่ไปทำงาน”

เธอยังหลับตาก้มหน้าซุกหมอน นอนอยู่เช่นนั้น

“งาน วันนี้เราเข้าสามทุ่มไม่ใช่เหรอ”

“ห๊า งานอะไรเข้าสามทุ่ม”

นาตยาเธอเปลี่ยนท่ามาเป็นนอนหงาย แล้วลืมตามองมาที่ผม

“ก็นาตเป็นนักร้องนำวงมาร์คไง มาร์คกับปุ้ยเป็นคนตั้งวงขึ้นมาเองนี่ มาเล่นมุกอะไรแต่เช้าเนี่ย”

“แล้วมาร์คเล่นที่ร้านไหน”

“ก็ร้าน สนู๊ปปี้ ตรงรัชดาไง แหม ทำเป็นมึน เมื่อคืนปุ๊นเนื้อกับไอ้ปุ้ยมารึปล่าวเนี่ย”

ผมมองไปรอบๆตัว ควานหาสมาร์ทโฟนของผม ซึ่งน่าจะวางไว้ข้างๆเตียงนี่นา

“นาต นาตเห็นมือถือมาร์คมั้ย”

อยู่แถวนั้นแหละ ลองหาดูสิ

“ผมเจอโทรศัพท์เครื่องนึง นี่มันโทรศัพท์ขาวดำรุ่นโบราณมาก มีเกมส์งูให้เล่นด้วย เป็นโทรศัพท์รุ่นตำนาน ที่สามารถปาหัวหมาให้แตกได้”

“โทรศัพท์แม่ของนาตเหรอเครื่องนี้”

นาตยาหันมาดู

“ก็ของมาร์คไง โนเกีย 3310 รุ่นใหม่เลยนะ มาร์คเพิ่งซื้อมานี่”

“ห๊า มาร์คเนี่ยนะซื้อมา แล้วไอโฟนมาร์คไปไหน”

“ไอโฟน?”

“ก็แอปเปิลไง”

“อ๋อ แอปเปิ๊ล อยู่ในตู้เย็นน่ะ ไหนเมื่อวานบอกไม่กิน”

ผมนิ่งไปครู่นึง เอ๊ะ นี่ตาดร.งูพาเรามาโลกคู่ขนาน หรือ โลกอดีตเนี่ย ผมเลยยิงคำถามนาตไปชุดนึง

“นาตปีนี้ปีอะไร พศ. หรือ คศ.ก็ได้”

นาตยามองหน้าผม ทำหน้า งงๆ

“ก็ปี 2558 หรือ 2015 ยังไง”

“ห๊า จริงดิ”

“เดี๋ยวๆนะ ใครเป็นนายกของไทย และ ใครเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา”

“ก็ ทักษิณ เป็นนายกไง ส่วนอเมริกา ก็จอร์จ ดับเบิลยู บุช”

“เดี๋ยวนะ ทักษิณ เป็นนายก แล้ว แล้ว เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. เขาไม่ทะเลาะกันตายหรอกเหรอ”

“อะไรน่ะ เสื้อเหลือง?เสื้อแดง? เสื้อมาร์คมีทั้งเหลืองทั้งแดงนั่นแหละ นาตรีดให้แล้วอยู่ในตู้นู่นแน่ะ เอ แต่เช้านี้มาร์คพูดอะไรแปลกๆ นาตงงไปหมดแล้วนะ”

นี่มันอะไรกันหว่า งงมากๆ ผมเดินออกไปตรงห้องรับแขก นั่งบนโซฟา หันไปมองรอบๆ โน๊ตบุ๊ค ก็ไม่มี แล้วจะเข้าเฟสบุ๊ค ยังไง นี่เราหลงยุค หรือ ยุคมันหลงกันแน่ ผมไม่รู้จะถามใคร ใช่ๆ ยัยปุ๋ยไง ยัยนั่นก็ต้องตื่นมาแล้วเจอเหมือนเราเช่นกัน ต้องโทรหายัยปุ๋ย ดีไม่ดี ยัยนั่นอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้

“โทรไปเบอร์ 085-xxxxxxx ของยัยปุ๋ย ไม่ติด ไม่มีเลขหมายที่คุณเรียก”

เอายังไงดีหว่า ผมจึงนึกขึ้นได้ เบอร์บ้านไอ้ปุ้ยไง ผมเลยโทรไปที่บ้านมัน

“ตรู๊ด ตรู๊ด ” ผมได้ยินเสียงไอ้ปุ้ยรับสาย

“ฮัลโหล ผมปุ้ยพูดครับ”

“เฮ้ย ปุ้ย ฉันเองมาร์ค ไอ้ปุ๋ยน้องแกอยู่ไหมวะ”

“อืม ฉันเห็นมันออกไปแต่เช้าแล้วว่ะ บอกว่าจะไป”เซ็นเตอร์พ้อยส์” โทรเข้า พีซีที ของมันสิ”

“ห๊า อะไรนะ พีซีที?”

“ใช่ๆ มันพึ่งไปขอพีซีทีมาเมื่อวันก่อนเอง เอ้า แกจดนะ เบอร์ 02-xxx-xxxx”

ผมฟังแล้วจดยิกๆไว้ที่มือ

“โอเค จดแล้ว”

“ไอ้มาร์คบ่ายนี้มีซ้อม มาด้วยล่ะ”

“เออๆ โอเค”

พอวางสายผมก็โทรไปเบอร์นั้นทันที

“ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด“

“ฮัลโหลพี่มาร์ค”

“แกอยู่ไหนเนี่ยยัยปุ๋ย”

“หนูอยู่ที่สยามกับ ด๊อก  คือ มันมีเรื่องแปลกๆ คือ ที่จักรวาลที่เรามาอยู่นี้ เหมือนเวลามันย้อนกลับไปซักสิบปียังงั้นแหละ”

“นั่นสิ พี่ก็งงๆอยู่เหมือนกัน ว่าพี่ย้อนเวลามาหรือเปล่า เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวพี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

“พี่มาร์ค สัญญาณ PCT มันไม่ค่อยจะมีนะ ถ้ามาถึงแล้วโทรไม่ติดพี่โทรเข้าเพจหนูก็ได้”

“เพจ หมายถึงเพจเจอร์น่ะเหรอ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ตั้งแต่หนูเกิดมาหนูยังไม่เคยได้ใช้เลย เกิดมาก็เจอมือถือแล้ว รู้สึกตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้”

“นั่นสินะ”

“นี่เบอร์เพจหนู พี่มาร์คโทรไปที่ 1144 เรียก 56213”

“โอเค 1144 เรียก 56213 นะ งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

“โอเคพี่ งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

ผมอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนหลังตู้เย็น ก่อนออกจากบ้าน ผมเปิดประตูไปบอกกับนาตที่กำลังนอนอยู่ว่า

“นาต มาร์คไปข้างนอกแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมาตอนเย็นๆนะ”

ผมออกจากประตูบ้านไป และ ผมก็ดีใจมากที่เวสป้าคันเดิมของผมยังอยู่

“ยังอยู่ดีนะลูก พ่อนึกว่าที่โลกนี้ เอ็งจะกลายเป็นเวฟไปซะแล้ว”

ผมแว้นออกมาจากซอย วิ่งมาเส้นคลองเตย ทุกอย่างก็ยังคล้ายๆกับโลกในจักรวาลเก่าอยู่หลายอย่าง แต่สิ่งที่เห็นแปลกไปบ้าง เช่น รถเมล์เล็กสีเขียว สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินตรงสวนลุมพินียังไม่สร้าง ผมขับมาเรื่อยๆจนถึงแยกอังรีย์ดูนังค์ เอ๊ะ ด้านขวา สยามพารากอนมีผ้าใบสีเขียวคลุม ยังสร้างไม่เสร็จ ด้านซ้าย อ๊ะ นี่มันโรงหนังสยามนี่ โรงหนังยังอยู่อีกหรือ ความรู้สึกผมเหมือนย้อนอดีตกลับไปสัก 10 -15 ปียังไงก็ไม่รู้ ผมหาที่จอดรถแถวๆโรงหนังสกาล่า แล้วหยิบ โนเกีย 3310 สุดล้ำสมัย มือถือที่เล่นเกมส์งูได้ โทรออกไปหายัยปุ๋ย แต่สัญญาณเจ้ากรรมก็ดันไม่มี ผมเลยนึกถึงเบอร์เพจเจอร์ที่ยัยปุ๋ยให้ไว้

“เอาวะ โทรไป 1144 ก็ได้”

ผมเลยกดเบอร์ 1144 แล้วโทรออก

“ตรู๊ด ตรู๊ด” ฉึบ สวัสดีค่ะ นี่คือ แพ็คลิงค์ 1144 ดิฉัน อารยา เป็นผู้รับสายค่ะ”

“ครับผม เรียก 56213 ครับ”

“ค่ะ ขอทราบข้อความค่ะ”

“ปุ๋ย พี่มาถึงสยามแล้ว โทรเข้าเครื่องด่วน”

สาวแพ็คลิงค์ก็พิมพ์ข้อความ แก๊กๆๆ ไปตามนั้น

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการแพ็คลิงค์นะคะ ขอบคุณค่ะ” แล้วผมก็วางสายไป

สักพักยัยปุ๋ยก็โทรมา

“ตรู๊ดๆๆ” ฉึบ

“โห พี่มาร์ค หนูโครตตื่นเต้นเลยอะ”

“ทำไมยัยปุ๋ย”

“หนูได้ใช้เพจเจอร์เป็นครั้งแรก รู้สึกว่ามันสุดยอดมาก”

“ตื่นเต้นขนาดนั้นเชียวเรอะ”

“ก็แน่สิ หนูรู้สึกว่าแม่งโครตเรโทรเลยอะพี่ นี่ถ้าเอากลับไปโลกนู่นได้ พกไปไหนคงโครตฮิปสเตอร์น่าดู”

“ว่าแต่แกอยู่ที่ไหนยัยปุ๋ย”

“ลานน้ำพุ เซ็นเตอร์พ้อยส์อะพี่”

“ลานน้ำพุ?”

“ใช่พี่ ลายน้ำพุยังอยู่ ยังไม่ได้โดนทุบ โรงหนังสยามก็ยังอยู่นะพี่ หนูผ่านมาเห็นอยู่”

“ใช่ๆ พี่ก็เห็นเช่นกัน”

“พี่รีบมาเหอะพี่ พีซีที โทรเข้ามือถือมันนาทีละ 3 บาท แพงโครตๆ”

ผมเดินไปลานน้ำพุเซ็นเตอร์พอยส์ ได้ยินเสียงเปิดเพลงของ บริทนี่ย์ สเปียร์ ฮิท เบบี้ วัน มอร์ ไทม์ ดีเจบอกว่าเพลงดังของวันนี้ ผมคิดในใจกับกับถามเดิมว่า นี่เราอยู่ปีพศ.อะไรกันแน่เนี่ย ปี2015จริงๆเหรอ ผมเดินไปถึงลานน้ำพุเซ็นเตอร์พ้อยส์ มันได้บรรยากาศสมัยอดีตย้อนกลับมาทันที

“พี่มาร์ค”

ยัยปุ๋ยมาแล้ว สิ่งที่ผมเห็น ยัยนี่แต่งตัวแปลกออกไปจากทุกที

“ยัยปุ๋ย แกแต่งตัวอะไรของแกเนี่ย”

“อ้าว ก็สายเดี่ยว รองเท้าส้นตึกยังไง พี่เดินมาถึงนี่ไม่สังเกตมั่งเลยเหรอ สาวๆที่นี่ใครๆก็ใส่ สายเดี่ยว เกาะอก ส้นตึก ส่วนผู้ชายก็แต่งตัวเสื้อเชิ๊ตลายสก็อตตัวใหญ่ๆ แบบนั้นไง”

ผมกวาดสายตาไปดูรอบๆ เออ ใช่จริงด้วย ไม่ทันได้สังเกตเรื่องการแต่งตัว ทุกคนแต่งตัวเหมือนกับว่าย้อนยุคไปกันหมด สาวๆ สายเดี่ยว เกาะอก นุ่งสั้นๆหมดเลย นักเรียนหญิงจะทาปากแดงๆ มีกิ๊ฟหนีบผม ส่วน ผู้ชายทุกคนไว้ผมแสกกลางแบบ เต๋า มอส หรือ เดอะ มอฟแฟตต์ บ้างก็ ใส่เยลข้างหน้าทำหัวตั้งๆ ซึ่งปี 2015 ในจักรวาลที่เราจากมา ไม่มีใครเขาทำกันแล้วทรงผมแบบนี้ นี่มันเหมือนเราอยู่ในช่วงปลายๆ 90s หรือ ต้นปี 2000s ประมาณนั้นเลยแฮะ

“แล้วแกล่ะ จะแต่งตามเขาทำไม แต่งแบบนี้มันโป๊ไปนะ ปกติแกแต่งสไตล์เกาหลีไม่ใช่เหรอ”

ผมถามแล้วก็ติเธอไปพร้อมๆกัน

“ก็ในตู้เสื้อผ้าหนูมีแต่ชุดแบบนี้นี่นา หนูก็เลยต้องแต่งออกมา”

“ทำไมเสื้อผ้า ในตู้เสื้อผ้าพี่ก็ยังเหมือนเดิม”

“ก็พี่แต่งตัวแบบนี้มากี่สิบปีแล้วล่ะ”

“เออ ก็จริงอย่างที่แกว่านั่นแหละนะ”

ผมหันซ้ายหันขวา ตามองหา ดร.งู สติเฟื่อง

“แล้วด๊อกล่ะ เขาหายไปไหน”

“เขาขอแยกไปร้านหนังสือ บอกว่าจะหาข้อมูล ที่เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์”

“ห๊า เวิร์ลเทรดเหรอ”

“ใช่พี่ ยังเป็น เวิร์ดเทรด อยู่”

“โอเค งั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ เผื่อด๊อกแกจะมีคำอธิบายกับเหตุการณ์ที่โลกมันย้อนอดีตแบบนี้ได้”

ผมกับยัยปุ๋ยเดินย้อนกลับไปขึ้นรถผมที่จอดอยู่ตรงสกาล่า ผมขี่รถเลี้ยวออกมานิดนึงก็ไปถึงเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์แล้ว ผมหาที่จอด แล้วเดินขึ้นไปบนห้าง ผมให้ยัยปุ๋ยโทรไป เพราะปุ๋ยมีเบอร์โทรของ ดร.งู

“แกบอกว่ายังไงบ้าง”

“แกบอกว่าอยู่ที่ฟู๊ดคอร์ท ให้พวกเราขึ้นไปหา”

ผมกับยัยปุ๋ยเลยรีบพากันขึ้นไป พอไปถึงฟู๊ดคอร์ทก็เจอกับดร.งู กับกองหนังสือสูงตั้งหนึ่ง

“โห ด๊อกเตอร์ ซื้อมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“ก็แน่สิ ฉันอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกในจักรวาลนี้”

ดร.ตาปลาทองยิ้ม แล้วยื่นหนังสือเล่มนึงให้ดู เล่มนั้นเป็นหนังสือดนตรี หน้าปกหนังสือเล่มนั้น เป็นรูปถ่ายของคนสามคน สองคนเป็นสมาชิกของสี่เต่าทอง เดอะ บีทเทิ่ล อีกหนึ่งคนก็คือ เจ้าพ่อแห่งวงการไอที อดีตผู้บริหารของบริษัทแอ๊ปเปิล สตีฟ จ็อบ”

“เธอดูคนๆนี้ ที่ถ่ายรูปกับ จอห์น เลนน่อน กับ พอล แม๊คคาร์ธนีย์ สิ”

                ดร.งู ชี้ลงไปบนปกหนังสือเล่มนั้น

“ก็สตีฟ จ๊อบ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ไง ดูปี คศ.บนรูปถ่ายนั่นสิ”

“ปี 1992”

ผมเงยหน้าขึ้น แล้วมองเข้าไปในตาปลาทองของดร.สติเฟื่อง

“ใช่แล้ว เป็นอย่างที่เธอคิด จอห์น เลนน่อน ยังไม่ตาย”

ดร.งูกล่าวออกมา

“ความจริงเขาต้องโดนยิงตายเมื่อ วันที่ 2 ธันวาคม ปี 1980 นี่นา”

ผมพูดออกไป

“แล้วรู้มั้ยทำไมเค้ายังไม่ตาย”

“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”

ดร.งูใช้มือพลิกกระดาษเปลี่ยนไปอีกหน้านึง

“เธอดูรูปนี้สิ และดูวันที่”

รูปนั้นเป็นรูปจอห์น เลนน่อน กำลังเล่นเปียโนอยู่ ซึ่งข้างๆเขา คนที่กำลังโซโล่กีตาร์อยู่ก็คือ สตีฟ จ็อบ”

ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าดร.งู

“อ๊ะ เธออย่ามองหน้าฉันแบบนั้นสิ อ่านคำบรรยายใต้ภาพซะก่อน”

ผมก้มลงไปอ่านคำบรรยายใต้ภาพนั้น

“คอนเสิร์ตสุดแสนยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นที่โตเกียวโดม ของคณะ เลนน่อน แอนด์ จ็อบ แบนด์  2 ธันวาคม ปี 1980”

ผมเงยหน้าขึ้นมองดร.งู อีกครั้ง

“งั้นแปลว่า วันที่ 2 ธันวาคม ปี 1980 จอห์น เลนน่อน เขาเล่นคอนเสิร์ตอยู่ที่ญี่ปุ่น เลยไม่โดนยิง เมื่อเขาไม่โดนยิง เขาก็เลยไม่ตาย”

“ใช่แล้ว เธอเอาหนังสือมานี่ ฉันจะให้ดูอะไรอีก”

แกก้มเปิดๆไปที่หน้านึง ในหนังสือหน้านั้นเป็นภาพของ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ แห่ง วงควีน และ ข้างใต้ภาพนั้นเขียนไว้ว่า ค่ำคืนในคอนเสิร์ตของวงควีน ครบรอบ 45 ปี ที่จัดขึ้นที่เวมบลีย์ สุดยิ่งใหญ่ อลังการ

“ห๊า เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ก็ยังไม่ตายเหรอ”

เธอลองอ่านบรรทัดนี้สิ คำสัมภาษณ์หนังสือของ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ดร.งู ชี้นิ้วลงมาให้ผมอ่าน

“ช่วงปี 1980 เอช ไอ วี ระบาดหนักในกลุ่มพวกชอบรักร่วมเพศ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักโรคนี้เท่าไหร่ วันนึง สตีฟ จ็อบ เดินเข้ามาหาผมที่หลังเวทีแล้วบอกกับผมว่า เฮ้ย เอ็งน่ะ ถ้าจะเซ็กซ์กับใคร ต้องใส่คอนดอมด้วย มันป้องกันเอดส์ได้นะเว้ย หลังจากนั้นมาผมมีเซ็กซ์กับใครก็ตาม เลยใส่คอนดอมมาตลอด ซึ่งการใส่คอนดอมในยุค80sเป็นอะไรที่แปลก ผมต้องขอบคุณ สตีฟ จ๊อบ มากๆ ถ้าเขาไม่มาพูดกับผมในหลังเวทีวันนั้น วันนี้ผมอาจจะติดเอดส์ตายไปแล้วก็ได้”

ผมเอามือเชยปลายคางทำหน้าครุ่นคิด

“สตีฟ จ็อบ แกเป็นนักดนตรี และ ทำให้ จอห์น เลนน่อน กับ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ยังมีชีวิตอยู่”

ดร.งู แกคุ้ยในกองหนังสือ หยิบหนังสือมาเล่มนึง วางไว้ตรงที่หน้าผม

“เล่มนี้ไง ประวัติชีวิตของเขา”

ผมรับหนังสือเล่มนั้นมาเปิดอ่านดูด้วยความสนใจ หลายๆอย่างนั้น ก็เหมือนอย่างที่เคยผมรู้มาบ้าง เช่น แกเป็นพวกชีวจิต  ชอบนั่งสมาธิ ฝึกโยคะ นับถือนิกายเชน อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาให้มาเป็นนักดนตรีชื่อดัง เพราะเขาได้ไปรู้จักกับ อีริค แคล็ปตัน แห่งวงครีม แล้วแคล็ปตันก็ดันถูกใจเด็กหนุ่ม อายุแค่ 15 ปี ที่ชื่อว่า สตีฟ จ็อบ มาก เพราะ สำเนียงกีตาร์ของเขา ทำให้เทพกีตาร์ ฉายา สโลว์ แฮนด์ ยังต้องตะลึง แคล็ปตัน เลยดึงจ็อบเข้าร่วมวง Derek And Dominios ตอนปี70s ทั้งที่เขาอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น ไม่นานนัก Derek And Dominios ก็แตกวงไป และ ในปี 1973 ตอนที่เขาอายุได้ 18 ปี เขาก็ฟอร์มวงขึ้นมาโดยใช้ชื่อวงว่า The Jobs ซึ่งดังเปรี้ยงปร้างมากในยุคนั้น และ เพราะเอกลักษณ์โดดเด่นของสตีฟ จ็อบ ทำให้ The Jobs กลายเป็นวงร็อค แอนด์ โรล อันดับต้นๆของโลก แต่แล้วไม่นาน สมาชิกในวงก็แตกคอกันทำให้ The Jobs แยกวงกันไปในปี 1975  ซึ่งณ.เวลานั้น สี่เต่าทองก็แตกวงเช่นกัน จอห์น เลนน่อน ก็ให้ความสนใจในตัวของ สตีฟ จ็อบ  เพราะมีแนวทางในการต่อต้านสงครามเหมือนกัน เลยชวน สตีฟ จ็อบ มาออกอัลบัม เป็นดูโอ้แบนด์ ชื่อ วงว่า เลนน่อน แอนด์ จ็อบ แบนด์ ออกอัลบัมมาสองชุด คือ ในปี 1978 และ 1982 ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกวงสาเหตุเพราะ โยโกะ โอโนะ ก้าวก่ายเรื่องของวงมากเกินไป หลังจากนั้นมา จ๊อบ ก็ออกอัลบัมมาอีก 3 ชุด คือในปี 1985 ,1989 และ ปี 1993 และ ในปี 2001 สตีฟ จ็อบ ก็ได้รับเกียรติอันสูงสุดอยู่ในหอคอยเกียรติยศ ของ ร็อค แอนด์ โรล ฮอลล์ ออฟ เฟรม

“สรุปว่า สตีฟ จ็อบ กลายเป็นนักดนตรี แหม ผมชักอยากฟังขึ้นมาแล้วสิ”

ดร.งูทำตาโต แล้วพูดออกมา

“เธอรีบอ่านไป ข้ามไปช็อตนึง เปิดไปหน้า 44 ซิ”

ผมเปิดหนังสือไปหน้า 44 หน้านั้นเป็นรูป สตีฟ จ็อบ กำลังนั่งสมาธิแบบลัทธิเชน และ คนข้างๆนั้นก็คือ เคิร์ท โคเบน ภาพนั้นระบุว่า “จ็อบ กับ โคเบน  ฝึกทำสมาธิอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในอินเดีย ปี 1994”

“ห๊า พี่เคิร์ทก็ยังไม่ตายเหรอ”

“ใช่”

ยัยปุ๋ยได้ยินว่า เคิร์ท โคเบน ก็รีบยื่นหน้ามาดูด้วย ซึ่งข้อความในหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ว่า

“ผมได้พบกับเคิร์ท ตอนปี 1993 เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มาก แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ซึมเศร้า และ มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย วันนึงขณะที่ทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกัน เขามาพูดกับผมว่า เขาอยากตาย ผมเลยพาเขาไปที่อินเดีย ไปฝึกปฏิบัติสมาธิ และ ฝึกโยคะ ช่วงที่เขาได้ฝึกปฏิบัติสมาธิ เคิร์ทก็ไปพบกับพระภิกษุพุทธรูปหนึ่งที่อินเดียนั่นเอง หลังจากนั้นโคเบนเลยเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ปี 1995 เขาได้เดินทางมาที่ประเทศไทยบวชอยู่ที่วัดป่าแห่งนึงในจังหวัดอุดรธานี โคเบนบวชอยู่3ปี ก่อนที่จะสึก แล้วกลับมาทำงานเพลงอีกครั้งที่อเมริกา”

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ แล้วพูดกับตัวเองว่า

“จอห์น เลนน่อน , เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ และ เคิร์ท โคเบน ไม่ตาย สตีฟ จ็อบ เขาเป็นพระเจ้าจริงๆ อืมม แล้วตัวเขาล่ะ ยังอยู่มั้ย”

“เขายังอยู่ แข็งแรงดี ไม่ได้เป็นมะเร็ง” ดร.งู เอ่ยออกมา

ผมนิ่งไปพักใหญ่ๆ เพื่อใช้ความคิด

“ผมพอจะเข้าใจอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้ว โลกในจักรวาลนี้  สตีฟ จ็อบ กลายเป็นนักดนตรี เมื่อเค้าเป็นนักดนตรีก็เลยไม่มีแอปเปิ๊ลนั่นเอง มิน่าล่ะ เมื่อเช้าผมถามถึงแอปเปิล แฟนผมกลับบอกว่าแอปเปิลอยู่ในตู้เย็น”

ดร.ตาปลาทอง ยิ้มออกมา ก่อนอธิบายให้ฟังว่า

“ใช่แล้ว เมื่อไม่มี แอ๊ปเปิล วินโดว์ของไมโครซอฟฟ์เลยถือกำเนิดช้าไป 10-15 ปี เพราะอย่างที่รู้กันว่า บิล เกตต์ สร้างวินโดว์มาจากการต่อยอดเครื่องแม็คอินทอชของแอปเปิล ถึงจะพัฒนาไปช้ากว่าเวลาปกติยังไง แต่ซักวัน บิล เกตต์ ก็ต้องสร้างวินโดว์สำเร็จขึ้นมาได้อยู่ดี ซึ่ง ปีปัจจุบันในตอนนี้ก็คือ ปี 2015 แต่วินโดว์ 2015 ของจักรวาลนี้ ไม่ต่างอะไรกับวินโดว์ 2000 ในจักรวาลของเรา และการที่สตีฟ จ็อบ กลายเป็นนักดนตรีนั้น ทำให้เทคโนโลยีของทั้งโลกในจักรวาลแห่งนี้ ช้าลง 13-15ปี เลยทีเดียว ดังนั้น กว่าจะถึงยุคโซเชียลมีเดีย ที่มี เฟซบุ๊ค สมาร์ทโฟน มีWifi มี3g คงอีก10 หรือ 15 ปี ข้างหน้านู่นเลยแน่ะ”

ผมนึกอะไรขึ้นมาได้อย่าง เลยหันหน้าไปคุยกับยัยปุ๋ย

“ไม่มีเฟสบุ๊ค งั้นก็แปลว่า?”

“แปลว่าอะไรล่ะพี่มาร์ค?”

“นาตกับนายปอร์เช่คงไม่เจอกันในอีก 10-15 ปี”

“แล้ว?” ยัยปุ๋ยทำหน้างงๆ

“ก็คิดดูสิ ตอนนี้นาตอายุ28 อีก 10 ปีก็ 38 และ ถ้าอีก15 ปีก็43 แล้ว ถ้าพี่ใช้เวลาช่วงสิบปีนี้ขอเธอแต่งงาน เมื่อแต่งงานไปแล้วต่อให้ใครเข้ามามันก็ไม่สำคัญ และ ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ได้แต่งงานกัน ตอนอายุ 38 เธอคงไม่คิดจะหาแฟนใหม่แล้วล่ะ หรือ ไม่แน่พี่กับนาตก็มีลูกไปแล้ว”

ยัยตัวแสบทำหน้าใคร่ครวญ

“โอเค ปุ๋ยเก็ทแล้ว”

ดร.งูได้ยินเช่นนั้น เลยหัวเราะร่วน

“ฮ่าๆๆๆ มันก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้นะไอ้หนู เมื่อเทคโนโลยีมันช้าลง ชีวิตคนมันก็ช้าลง ประวัติศาสตร์มันก็ย่อมจะช้าลงไปด้วย”

“ใช่ค่ะ หนูเดินลงมาจากห้องเมื่อเช้า ยังเห็นพี่ชายหนูฟังเทปคาสเซ็ทอยู่เลย” ยัยปุ๋ยกล่าวออกมา

“แปลว่า แค่การเปลี่ยนแปลงของคนๆเดียวนั้น ทำให้ประวัติศาสตร์โลกเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ”

ดร.งูแกนิ่งไปชั่วครู่

“ก็ไม่หรอก มันขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความสำคัญกับโลกขนาดไหน แต่ที่โลกมันเปลี่ยนไปมาก ก็เพราะเขาคนนั้นดันเป็น สตีฟ จ็อบ โลกมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ มันต้องมีสักจักรวาลนึงที่ตัวเธออาจจะตายไปแล้ว หรือ จักรวาลที่เธอไม่ได้เกิดมา แต่ถึงจะมีก็เถอะนะ ฉันว่าโลกก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่หรอกมั้ง ฮ่าๆๆ”

ดร.งู หัวเราะร่วน

“นี่ด๊อกกำลังหลอกด่าผม ว่าไม่มีประโยชน์กับโลกยังงั้นสินะ”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วนี่หิวกันหรือยัง ตรงสยามมีร้านโรตีบอย น่าจะมาเพิ่งเปิดขายวันแรก ฉันเห็นคนต่อแถวกันเยอะ กินมั้ยฉันเลี้ยง”

“ไม่เอาหรอกครับ น้ำตาลเยอะ เลี่ยนด้วย”

“โรตีบอยเหรอ!!!”

ยัยปุ๋ยทำเสียงใส

“หนูอยากกินนะ เคยกินตอนเด็ก ชอบมากเลย เสียดายที่ตอนนี้เลิกขายไปแล้ว”

ผมจึงบอกสองคนนั้นว่า

“โอเค งั้นฉันกลับก่อนนะ ฉันปล่อยแฟนฉันอยู่ที่บ้านคนเดียว และ  คืนนี้ฉันต้องไปเล่นดนตรีที่ร้านด้วย”

“ห๊า พี่มาร์คมีงานทำด้วย”

ผมหันทำหน้าตื่นเต้น

“ก็ใช่สิ พี่ทำงานแล้ว ชิ ยัยนี่ ดูถูก”

“ฮ่าๆๆๆ”

ยัยปุ๋ยหัวเราะดังลั่น

“โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะยัยตัวแสบ , ไว้ผมค่อยโทรไปนะครับ ด๊อก”

ดร.ตาปลาทองหันมายิ้ม

“ไว้เจอกันไอ้น้องชาย”

ผมเลยลาทั้งสองคนตรงนั้น แล้วขี่รถกลับบ้าน ยกนาฬิกาขึ้นมาดูขณะนี้บ่าย 2 โมงแล้ว ผมขี่รถออกเส้นเดิม เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านของผม พอถึงบ้านเจอนาตยาแฟนผมก็บอกว่า

“เมื่อกี้นี้ปุ้ยโทรมาบอกให้มาร์คออกไปซ้อม”

“เหรอ ซ้อมที่ไหนล่ะ”

“ที่บ้านไอ้ปุ้ยแหละ มาร์คไปซ้อมเถอะ ไม่ต้องรอนาต”

ผมพยักหน้ารับ

“อ้าว ทำไมนาตไม่ไปล่ะ นาตเป็นนักร้องไม่ใช่เหรอ”

นาตยาส่ายหัว

“ร้องเพลงซ้ำๆทุกวัน นาตจำเนื้อร้องขึ้นใจหมดแล้ว เย็นนี้มาร์คไม่ต้องมารับนาตก็ได้นะ เดี๋ยวนาตไปเองได้ แล้วมาร์คเองก็ไม่ต้องรีบไปก็ได้นะ ซ้อมเยอะๆจะได้แน่นๆ วันนี้วงเล่น 3 ทุ่ม”

ผมพยักหน้า

“อืม งั้น มาร์คไปซ้อมก่อนนะ”

ผมกำลังก้าวขาออกจากบ้าน นาตยาก็เข้ามากอดจากข้างหลัง แล้วเธอก็เอาใบหน้ามาซบกับแผ่นหลังของผม ผมตกใจ ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนฟิล์มฉายหนังม้วนเก่าไม่มีผิด ผมหันหลังกลับมาจับไหล่เธอไว้ ใบหน้าเธอไม่มีรอยน้ำตาอะไร ผมจ้องดูหน้าเธอ

“มีอะไรเหรอมาร์ค”

“ก็นาตกอดมาร์คจากข้างหลัง”

นาตยาทำหน้าสงสัย

“อ้าว ก็แฟนจะออกไปซ้อมดนตรี คนเป็นแฟนกันจะกอดกันไม่ได้หรือไง”

เธอยิ้มแล้วพูดออกมา

“แล้ว มาร์คเป็นอะไรหรือปล่าว ทำท่าแปลกๆ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ผมปล่อยมือจากไหล่เธอ หันหลังกลับ แล้วก้าวเท้าออกจากบ้าน ผมขึ้นไปคร่อมเบาะของเวสป้า ระหว่างใส่หมวกกันน็อค ผมก็คิดถึงภาพนั้น ภาพที่นาตยาซบที่ด้านหลัง ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านไปสัมภาษณ์งาน เอ๊ะ แต่นี่ก็ไม่ร้องไห้นี่นา คราวก่อนร้องไห้ทั้งตอนกลางคืน และตอนที่เราจะออกจากบ้าน อืม แต่ตามทฤษฏีที่ด๊อกบอก เวลาในจักรวาลนี้ช้ากว่าจักรวาลเรา 13-15 ปี ตอนนี้ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีเฟสบุ๊ค เอ๊ะ หรือว่าเจอกันใน MSN แต่ตอนนี้มันมี MSN หรือยังหว่า แต่ Pirch ก็น่าจะมีแล้วนี่นา อืม คิดดูดีๆ บ้านเราตอนนี้ก็ไม่มีแม้แต่คอม เราคงคิดมากไปมั้งเรา มันอาจแค่ความบังเอิญ ผมสตาร์ทเครื่อง แล้วไล่ความคิดพวกนั้นออกไปจากหัวซะ ชักฟุ้งซ่านใหญ่แล้ว

ผมขี่รถไปจอดที่บ้านไอ้ปุ้ย อ้าว ไอ้ปุ้ยไม่ได้เป็นช่างสักหรอกหรือ ข้างหน้าบ้านเป็นห้องกระจกทึบๆ เดินเข้าไปในบ้าน มี กลอง เบส กีตาร์ อิเล็กโทน ครบ ผมหันไปเห็นไอ้เดฟกำลังง่วนกับการตั้งเสียงกลองของมันอยู่ ไอ้เดฟนั้นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปี เรียนม.ปลายมาด้วยกันที่เชียงใหม่ ซึ่งผมกับเดฟนั้นเป็นนักดนตรีของโรงเรียน มันเป็นคนตีกลองได้สุดยอดมาก ลีลารัวสองกระเดื่องยังกะ โจอี้ จอร์ดิสัน ผมไม่ได้ข่าวคราวมันมาเป็นสิบปีแล้ว

“เฮ้ย เดฟ ดีใจจังว่ะ ไม่เจอกันตั้งนาน”

ไอ้เดฟมองหน้าผม

“ไม่เจอเชี่ยอะไร เจอหน้ากันทุกวันจนเอียนแล้ว ที่แกเมารึเปล่าเนี่ย”

“เปล่า ไม่ได้เมา”

ส่วนไอ้ปุ้ยกำลังก้มหน้าตั้งสายเบสของมันอยู่นั้น ก็เงยหน้าขึ้นมาถามผมว่า

“แกไม่ได้อยู่กับไอ้ปุ๋ยเหรอ เนี่ยมันหายไปทั้งวันยังไม่กลับเลย”

ผมคิดในใจ ป่านนี้สงสัยไปกินโรตีบอยจนอ้วนไปแล้วมั้ง

“มันคงไปเดินเล่นกับเพื่อนมันนั่นแหละ”

“เฮ้อ เดี๋ยวนี้มันแต่งตัวล่อแหลมขึ้นทุกวัน มันคงแต่งตัวตามวง ไทรอัมพ์ คิงดอม เนี่ย แล้วนมมันเล็กๆซะที่ไหน ใส่สายเดี่ยวทีแทบล้นทะลักออกมา”

เออ จริงๆด้วยแฮะ ผมคิดในใจอีกเหมือนกัน

“ฉันเห็นเวลาแกเห็นสาวๆใส่สายเดี่ยว แกก็มองตาไม่กะพริบเหมือนกันนี่หว่าไอ้ปุ้ย”

ไอ้เดฟแซวมา

“ฉันชอบมองคนอื่นเว้ย แต่ฉันไม่ชอบให้ใครมามองนมน้องของฉัน”

เราสามคนหัวเราะมาดังลั่น ป่านนี้เจ้าตัวคงจาม ฮัดเช่ย อยู่ที่ไหนสักแห่งล่ะมั้ง

“เอาล่ะ จะเล่นเพลงอะไรบ้างคืนนี้”

ไอ้ปุ้ยยื่นเพลย์ลิสต์มาให้ดู

“ใจสั่งมา ,ก่อน ,Smell Like Teen Spirit, Zombie, ยาม , ประเทือง,Creep ,Kiss Me , Torn ,ง่ายเกินไป ,ใจนักเลง , Sweet Child O Mine …….”

อืม เพลงยุค 90s หมดเลย ยังไม่มี  ลินกิน พาร์ค ยังไม่มี บิ๊กแอส , บอดีสแลม ผมจึงนึกอะไรดีๆออกแล้ว

“เฮ้ย เดฟ ปุ้ย ฉันแต่งเพลงใหม่มาได้ว่ะ ฉันแต่งเนื้อเป็นภาษาอังกฤษเลยนะเว้ย”

ทั้งสองคนบอกบอก “เหรอๆ ไหน แกเล่นให้พวกเราฟังหน่อยซิ”

“เพลงนี้มีแค่ 4 คอร์ดเองว่ะ ซ้อมแป๊บเดียว ไม่ยากหรอก ก็เล่นคืนนี้ได้เลย นี่นะ ก็เริ่มจาก Em , D แล้วมา Am วนแบบนี้ทั้งเพลง”

ผมเลยเล่นเพลงนั้นให้ เดฟ กับ ปุ้ย ฟัง พอเล่นจบไอ้ปุ้ยก็บอกกับผมว่า

“เฮ้ย แกแต่งเองเหรอวะ คอร์ดมันไม่ยากก็จริง แต่ ซาวน์มันล้ำ ติดหูชะมัดเลยว่ะ”

“ใช่ๆ เราเล่นเพลงนี้ส่งไปประกวดที่ ”ฮ็อทเวฟ” หรือ “แฟท” ได้เลยนะเนี่ย” ไอ้เดฟเสริมมา

ก็แน่ล่ะสิ เพลงนี้มันโครตดังในจักรวาลของเรานี่หว่า คนฟังในยูทูปทั่วโลกเป็นร้อยล้านวิว

“โอเค งั้นเรามาเริ่มซ้อมเพลงนี้กัน”

พวกเราซ้อมกันมาจนถึง 6 โมงกว่าๆ แล้วยัยปุ๋ยตัวแสบก็กลับมาถึงบ้าน พอยัยตัวแสบก้าวเข้าในบ้าน ไอ้ปุ้ยก็ว่าน้องของมันทันที

“ปุ๋ย แกทำไมกลับบ้านเย็น ไปไหนมา”

ไอ้ปุ้ยว่ายัยน้องสาวตัวแสบ

“ไปสยาม ไม่เชื่อถามพี่มาร์คดู” ยัยตัวแสบบุ้ยปากมาทางผม

“หืมม” ผมพูดออกมาสั้นๆ และ ก็ยังยืนงงๆอยู่

“พี่มาร์คหนูขอคุยด้วยหน่อย เดี๋ยวนี้”

ผมวางกีตาร์ลง แล้วยัยปุ๋ยก็คว้ามือผมออกมาหน้าบ้าน

“เฮ้ย พวกแกแป๊บนะ”

ผมหันหน้ามาพูดกับพวกมันสองคน ไอ้เดฟ กับ ไอ้ปุ้ย มองไล่หลังมองตาปริบๆ พอออกไปนอกบ้านพ้นจากการได้ยินของคนอื่น ยัยปุ๋ยเลยค่อยพูดออกมา

“เมื่อกี้ หนูกับด๊อกไปอินเตอร์เน็ทคาเฟ่มา”

“แล้ว”

“ก็หนูไป Seach ดูประวัติศาสตร์หลายๆอย่าง ตอนนี้  อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น”

“อาเบะ? อาเบะ...ยาราไนก้า?”

“พี่เนี่ยน้า นอกจากเรื่องดนตรีแล้วรู้เรื่องอะไรอีกบ้างเนี่ย”

“แกจะด่าว่าฉันโง่ล่ะสิ”

“หนูไม่ได้พูดนะ พี่พูดเอง”

“เอ๊ะ ยัยนี่ วอนซะแล้ว”

ยัยตัวแสบเลยบอกมาว่า

“ชินโสะ อาเบะ เป็นนายกของญี่ปุ่น ที่จักรวาลนี้ และ ที่จักรวาลเรา ในปี 2015 ด้วย เข้าใจอะไรมาบ้างรึยัง”

ผมเอามือเชยปลายคางแล้วคิดตาม

“พี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ”

ยัยปุ๋ยทำปากจิ๊จ๊ะ รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ

“ก็เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในจักรวาลนี้ช้ากว่าจักรวาลของเราก็จริง  แต่เหตุการณ์บางอย่างมันก็ตรงกับจักรวาลของเรายังไงล่ะ”

“แล้วยังไงล่ะ?”

“พี่นี่สติวปิ๊ดจริงๆ”

“อ๊ะ ยัยนี่ ได้ทีเอาใหญ่”

“ขากลับหนูเห็นรูปนึงตรงป้ายรถเมล์ เป็นรูปวงเกิร์ลเจนเนอเรชั่น”

“เกิร์ลเจนเนอเรชั่น?”

“ใช่แล้ว”

ผมเอามือจับปลายคาง ทำหน้าครุ่นคิด

“อืมม เกาหลีเพิ่งมาดังในไทยไม่เกิน 10 ปีเองนี่นา”

ยัยปุ๋ยจึงบอกมาว่า

“ใช่แล้วพี่มาร์ค ถ้านี่เป็นยุค90sจริง ในไทยจะไม่มีใครรู้จักวงเกาหลีเลยสักวง”

“อะห๊า”

ผมเริ่มเข้าใจที่ยายตัวแสบพูดแล้ว

“ด๊อกแกหาข้อมูลหลายอย่างมาให้ปุ๋ยดู มีหลายเหตุการณ์ที่ตรงกัน เช่น กำแพงเบอร์ลินล่มสลายปี 1989 , วันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์โดนก่อการร้าย ปี 2004 เกิดสึนามิใหญ่ที่ไทย ด๊อกบอกกับหนูว่าบางอย่างมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเหมือนจักรวาลของเราทุกอย่างไม่ช้าก็เร็ว คือ มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ผมเริ่มใจแป้วนิดๆ ภาพเมื่อตอนบ่ายที่นาตเข้ากอดและซบแผ่นหลังผม หวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง แต่ก็พูดปลอบใจตัวเองไปว่า

“ไม่หรอกน่า ปุ๋ย ด๊อกแกก็เห็นอยู่ว่าแกออกล้นๆเกินๆ ไม่ต้องไปเชื่อตาด๊อกแกให้มากนักหรอก”

ยัยปุ๋ยยืนบุ้ยปาก

“อืม ก็แล้วแต่พี่มาร์คเถอะ หนูมาบอกตามที่หนูได้รู้มาก็เท่านั้นเอง”

“โอเค เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวพี่เข้าไปซ้อมต่อละกัน”

ผมกับยัยปุ๋ยก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อซ้อมต่อ จนเวลาก็ล่วงตาถึงตอน 2 ทุ่ม เรา 3 คนก็เก็บข้าวของ ออกเดินทางไปเล่นที่ร้านสนู๊ปปี้ ผับใหญ่ที่สุดในย่านรัชดา

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา