Zodiac Fate I (ภาคเปิดตำนานสิบสองราศี)

9.8

เขียนโดย esther

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.

  10 ตอน
  5 วิจารณ์
  11.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Aros:เจตจำนงค์แห่งเปลวเพลิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ข้าเกิดมาจากสิ่งใด...

ข้าอยู่มานานเท่าใด...และต้องอยู่อีกนานเท่าใด...

ข้าต้องสูญเสียอีกเท่าใด...

ดินแดนของข้า...บ้านเกิดของข้า...

 

 



พวกพ้องของข้า...คนรักของข้า...

เมื่อไหร่ถึงจะสิ้นสุดเสียที...

สื่งใดก็ตาม...ที่มันไม่คงอยู่กับข้า...ก็ขอให้มัน

มอดไหม้ไปซะเถอะ


 

.

.

 

 

... ยามรัตติกาลในค่ำคืนเดือนมืดที่ท้องฟ้าไร้ซึ้งดวงจันทร์และเมฆหมอก
ยามนี้มิใช่แสงของดวงดาวที่ส่องสว่างให้แก่ ที่ราบสูง เมอต้าแต่กลับเป็นแสงจากคบเพลิงจากค่าย
กองทัพอสูรกาย กองกำพลที่8 ของลิวาธาน หนึ่งในหกขุนพลขอ
ลูซิเฟอร์ที่ทอดยาวตลอดแนวที่ราบ


เสียงคำรามของอสูรกาย ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอาวุธปะทะกันบนลานประลองซ้อมรบ
พื้นดินบริเวณรอบๆก็ต่างแห้งผาก สายลมพัดพาเอาฟุ้น และกลิ่นเนื้อเน่าจากซากสัตว์
ฟุ้งตลบอบอวนไปทั่ว ไม่มีสิ่งได้งอกงามได้ ณ ที่ราบสูงแห่งนี้

มุ่งตรงไปที่ทิศตะวันออกของค่าย ลอยสูงขึ้นไปเกือบเหนือเมฆบนป้อมพลธนู
ปรากฏร่างสูงใหญ่ ของยักษ์ตาเดียว สวมชุดเกราะสีแดง แบกขวานยักษ์ ยืนอย่างองอาจ
เขาคือ เซอเบีย สมุนเอกของลิวาธาน ยืนถือลูกแก้วรูนเพื่อติดต่อรายงานข้อมูลการทำสงครามครั้งนี้



"หลังจากที่ข้าให้นักรบเงาไปสำรวจพื้นที่ป่าคามาย ของชาวไวท์เอลฟ์
พบว่าดินแดนนี้เต็มไปด้วยพืชและธัญญาหาร

หากได้พิ้นที่นี้ไว้เป็นที่ครอบครองคงได้เสบียงศึกของหลายกองกำลังพล
ดังนั้นเมื่อฟ้าสาง ข้าเซอเบียจะเคลื่อนกำลังพลไปเพื่อบุกโจมตีป่า คามาย

ทำสงครามกับชาวไวท์เอลฟ์ หลังจากชนะศึกแล้ว
จะส่งเสบียงไปยังกองกำลังต่างๆ ขอให้ท่านอวยชัยให้ข้าด้วย"  



เมื่อกล่าวจบ เซอเบีย ได้ใช้เล็บจากนิ้วหัวแม่มือเขียนชื่อลิวาธาน ลงบนลูกแก้วรูนเพื่อส่งสาร
จากนั้นเดินลงจากป้อมปราการ   เดินทางกลับไปยังเต้นท์ของตนเพื่อผักผ่อน

แต่สำหรับเซอเบียแล้วคงไม่อาจหลับตานอนได้ หากยังไม่ได้ตรวจดูเอกสารแผนการรบของวันรุ่งขึ้น
หลังจากเข้ามาในที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็กวาดสายตาไปยังโต๊ะของเขา กลับไม่พบสิ่งใด
นอกจากแผนที่หนังสัตว์และเข็มทิศยังไม่ทันหันหลังกลับไปมอง
ม่านประตูเต้นท์ก็ได้ปิดลงอย่างรวดเร็ว
ปรากฏ ร่างของชายหนุ่มผมแดงสีเลือดนก นัยตาสีเหลืองอำพันราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้รูปร่างสันทัด ในชุดหนังสีดำ จ้องมองมาที่ตน ยิ้มมุมปากในลักษณะเชิงท้าทาย พร้อมกับชูเอกสารในมือแกว่งไปมา

"เอรอส?!! ทหา.."


เสียง ยังไม่ทันจบประโยคดี เพียงชั่วขณะที่กระพริบตาพบว่าใบมีดสังหารได้ล่ำข้ามาอยู่ในปากของตนไปแล้ว เกือบครึ่งจึงไม่สามารถ เอ่ยสื่งใดได้ แม้แต่ขยับริมฝีปากก็ช่างยากเย็นเต็มที

 
"ราเทล ราชาไวท์อลฟ์ผู้ปกครองป่า คามาย ได้จ้างวานข้าให้คอยจับตาดู
ทุกกองทัพที่เคลื่อนพลเข้าใกล้ป่า คามาย
และสังหารแม่ทัพที่คิดจะบุกเข้าโจมตี"
 


ม่านตายักษ์เปิดกว้างมือเท้าเย็นจัด เมื่อรู้ว่าความตายรอคอยอยู่เบื้องหน้า
ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกัดฟันขยับปาก จนใบมีดเชือนเนื้อจากริมฝีปากด้านข้าง

"
เอรอสข้าจะให้ค่าจ้างเป็นสิบเท่าของ ราเทล หากเจ้าไว้ชีวิตข้า"
เซอเบียยื้นข้อเสนอให้ เพื่อต่อรองชีวิตเอรอสได้ยินกระนั้นแล้วก็ยักคิ้วขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจ


"
ว้าว...ช่างน่าประทับใจที่เจ้ายังพูดได้ชัดถ้อยชัดคำขนาดนี้...มันก็น่าสนใจอยู่นะ
แต่เหตุที่ข้าบอกเจ้าเรื่องราเทลจ้างวานข้ามิใช่เพื่อให้เจ้ามาต่อรองกับข้า
แต่เพื่อให้เจ้าตายตาหลับก่อนเดินทางไปยมโลกต่างหากเล่า
"

ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แรงกดดันมหาศาส
พร้อมพลิกใบมีดขึ้นจ่อติดเพดานปากของเซอเบีย
ยักษ์ในตาเดียวได้ยินดังนั้นแล้วก็ถอนใจอย่างแผ่วเบาก่อนลืมตาขึ้นมามองเอรอสอย่างเคียดแค้น

"เอรอส...ข้ารึแปลกใจที่ผู้มีความสามารถเช่นเจ้า
กลับกระดิกหางเลียเท้าให้กับพวกชาวไวท์เอลฟ์"


 

หลังจากกล่าวจบ เพียงแค่พริบตาเดียวเซอเบียพบว่า
เอรอสได้ย้ายไปยืนอยู่ด้านหลังแต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือพื้นห้องนั้นเต็มไปด้วยเลือด
ที่พุ่งออกมาจากปากของตนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่เป็นภาษา
ร่างยักษ์ล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางพื้นห้อง ในความทรมาณนั้นเอง
เซอเบียเหลือบขึ้นไปมองด้านบน ภาพชายหนุ่มที่ยืนนิ่งสะบัดเลือดออกจากใบมีด สาดไปที่ม่านประตู ในมือข้างหนึ่งถือก้อนเนื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือด มันคือ 'ลิ้น' ของเขานั้นเอง

 

"เฮ้อ ข้าละเชื่อเจ้าเลย จะตายอยู่แล้วก็น่าจะพูดดีๆกับข้าหน่อยไม่ได้รึไง
เห็นแบบนี้ข้าน่ะ...อ่อนไหวง่ายนะรู้ไหม
"

ชายหนุ่มกล่าวในเชิงหยอกล้อพลางทิ้งก้อนเนื้อลงพื้น
เซ่อเบียกัดฟันแน่น แม้ปากยังคงเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาเป็นสา
ก็ยังคว้าขวานขึ้นมาจากด้านหลัง พุ้งเข้ามาพร้อมโจมตี
"ไม่เอาน่าไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย เผ่ายักษ์ยังไงก็อายุไขก็สั้นอยู่แล้ว
ตายก่อน
ซักสองสามร้อยจะเป็นไรไป"


เซ อเบียพุ่งเข้าใส่เอรอส ง้างขวานฟาดฟันโจมตีอย่างบ้าคลั่งเอรอสยังคงยืนนิ่งมอง ขวานที่ลอยขึ้นสูงเหนือหัว โดยไม่ขยับกายไปไหน เพียงเสี้ยววินาทีก่อนขวานลง

ศรีษะของยักษ์ตาเดียวถูกแยกออกจากร่างที่ยังคงเหวี่ยงขวานไปมา
เซ่อเบียมองอันร่างไร้วิญาณของตัวเองที่ยังคงกวัดแกว่งขวานต่อไปอย่างไร้จุดหมาย
ในตาของเข้าเริ่มพร่ามั่ว...และทุกอย่างค่อยๆมืดลง

เอรอส มองดูศรีษะที่ตกลงมากระทบพื้น ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
 

 

 
"อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร...นอกจากชาวเอลฟ์แล้วคง
ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่มีอายุไขยืนยาวอีกแล้ว

คง...ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่จะอยู่กับข้าได้ยาวนานไปกว่านี้อีกแล้ว
อายุไขแม้จะยืนยาวเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมี 'ความตาย'

ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน...ชีวิตที่ไร้ซึ่งความตาย"

 

ชายหนุ่มก้มตัวลงไป เก็บศรีษะของเซอเบียใส่ลงในถุงหนังสัตว์ เพื่อไปยืนยันภารกิจ
ที่ตนทำสำเร็จ
และหายตัวไปจากห้องนั้น

เหลือเพียงแต่ร่างอันไร้วิญญาณของเซอเบียไว้ในเต้นท์ที่เปื้อนไปด้วย...เลือด
.


..


...


พระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน สายลม แม่น้ำ ท้องฟ้าที่สดใสไร้เมฆ

ลงมองดูด้านล่างมีต้นไม้ใหญ่รวมกันอยู่หนาแน่น
จนแทบจะไม่มีแสงแดดส่องไปถึงพื้นดินเบื้องล่าง

เสียงสายน้ำไหล เสียงของสัตว์น้อยใหญ่ และกระซิบของภูตพราย
แว่วผ่านมาเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับป่าคามายมานาน ที่นี่ นับเป็นป่าแห่งหนึ่ง
ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารผู้คนเรียกป่าแห่งนี้ว่า คามาย รึ ป่าแห่งภูต

ที่ต้องเรียกเช่นนั้นเพราะป่าแห่งนี้ได้รับการปกป้อง
โดยภูตและชาวเอลฟ์ จึงทำให้ ปีศาจ เอวตาร อสูรกาย และมารร้าย
ไม่อาจเข้าไปได้อีกทั้งมักมีคนหายสาบสูญไปในป่ามากเกินจะนับไหว
กล่าวกันว่าภูตไป

 

ใน ส่วนทิศเหนือของป่าบริเวณ ทะเลสาบ คามาย เป็นแหล่งน้ำ พวกสัตว์ป่าและชาวเอฟล์มักจะมาร่วมกันอยู่ เสียงน้ำตก สายน้ำกระทบชั้นหินดังต่อเนื่องจากหลายทิศทางต่างก็ไหลมารวมกันอยู่ที่นี่ ณ บนต้นไม้สูงใหญ่ริมทะเลสาบ

พบชายหนุ่มผมแดงนอนเอกเขนก เอรอสนั้นเอง
เอรอสเหลือบสายตามองดูรอบๆสูดหายเอากลิ่นไอของธรรมชาติเอาไปเต็มปอด
เหลือบ ตามองขึ้นไปยังด้านบน เงาของต้นไม้ที่มีแสงส่องลงมาลางๆ เสียงนกร้อง ใบไม้ไหวและ สายน้ำไหล เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง เอรอสหลับตาลงอย่างช้าๆและเริ่มเข้าสู่หวงนิทรา

...

...

..
 

Aries เจ้าเป็น เจตจำนงแห่งไฟ เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่เข็มแข็ง
มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้างอีกทั้งยังเป็นผู้นำที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรง
กล้าสู้ปัญหายอมรับความกดดันได้ดี

ข้าปราถนาให้ดวงวิญญาณ
ของมนุษย์ที่กำเนิดผ่านในหมู่ดาวแกะทองคำ เป็นเช่นเจ้า


น้ำเสียงหญิงสาวที่อ่อนโยนและนุ่มนวล ในความที่รู้สึกคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

Aries ข้าอยากให้เจ้ารับฟังคนอื่นบ้างเพราะเจ้าน่ะเชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง
คบผู้ใดต้องดูให้ดีดี แถมอ่านคนก็ไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและยังชอบเอาชนะ
เจ้าต้องหัดใคร่ตรองให้ลึกซึ้ง ลดความก้าวร้าวในตัวไปเสียบ้าง


ทุกๆประโยคที่ได้ยิน ทุกๆประโยคที่บอกกล่าว ราวกับเคยผ่านหู มาแล้วหลายครั้ง
ข้า...ถูกสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น ทำร้ายจนเปราะบาง ความหวังที่เลือนลางลงทุกที
ขออธิษฐาน...ในกาลนิรันดร์  อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ ข้ารออยู่
ศรัทธาสักวันคงได้พบกัน...

จำข้าได้ไหม? เราต้องพลัดพรากกัน
 
หากข้ากับเจ้าส่วนทางกันในวันนั้น ยามที่สายตาเราได้จ้องกัน
โปรดกอดข้าด้วยอ้อมแขนนั้น อีกครั้งด้วยเถิด ...Aries
 
!!

เอ รอสลืมตาตื่นขึ้นยามเสียงลึกลับเงียบหายไปในความฝัน เขาใช้มือซ้ายลูบไปยังใบหน้าตนหลับตาแน่นในความรู้สึกที่ผิดเพี้ยน ความเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้ อึดอัดเจ็บแปลบที่หน้าอก ความฝันที่รู้สึกราวกับความจริงนี้ คืออะไร

"ฝันร้ายเหรอค่ะ ท่านเอรอส?"


ชาย หนุ่มหันหน้าไปยังที่มาของเสียงนั้น มาจากหญิงสาวชาวไวท์เอลฟ์ที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่เส้นผมและดวงตาของเธอ มีสีมรกตเขียวกลืนไปมวลไม้ สวมชุดขาวลากยาว
ชายกระโปรงประดับด้วยลูกไม้สีทองถือตะกร้าอาหารค่อยๆเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม

"เนล หน้าเจ้าทำข้าตกใจยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก"
เอรอสพูดเมินหน้าใส่หญิงสาวพร้อมเกาหัวด้วยท่าทางสะลึมสะลือ

"อะไรกัน ข้ารึอุสาห์ห่วงท่านทำอาหารมาให้ อีกทั้งยังนำมาส่งถึงที่ ขอบคุณซักคำรึก็ไม่มี"
หญิง สาวนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม คลี่ผ้าในตะกร้าออก กลิ่นขนมปังอบใหม่ พร้อมกลิ่นเนยและแฮมสด ฟุ้งออกมายั่วน้ำลายท้องที่ว่างเปล่าของเขายามบ่ายนี้

"ขะ..ข้า ตกใจในความงามของเจ้าต่างหากเล่า นับวันเจ้ายิ่งงามนัก ฮะฮะ"
เอ รอสรีบกล่าวตัดบทไปในเชิงแก้ตัว ชื่นชมหญิงสาวแต่ทว่าดวงตาของเขากลับส่งยิ้มหวานๆหยาดเยิ้มไปที่ตะกร้าอาหาร เนลเห็นดังนั้นแล้วจึงห่อผ้าเก็บตะกร้าไว้ด้านหลังตน จ้องไปที่ใบหน้าเอรอสท่าทีขึงขัง

"อะไรอีกละเนี่ย เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร ข้าถึงจะได้กินอาหารฝีมือหญิงงามละ เนล"
เอรอสเอียงคอเล็กน้อย ทำหน้าตาใสซื่อแอ๊บแบ๋วตาหวาน

"คิดเอาเองสิค่ะ"
หญิงสาวยังคงงอนเมินหน้าหนี ส่วนเอรอสยังคงไม่ละสายจากตะกร้าก่อนจะเหลือบตาขึ้นเหมือนคิดแผนการอะไรออกบางอย่าง

"อืม...เข้าใจแล้ว..เจ้าคงอยากให้ข้า..จูบเจ้าเป็นรางวัลสินะ"
เนลตกใจทันที ดวงตาเป็นประกายด้วยใบหน้าที่แดงฉาน

"บ้า!! ท่านสิ้นสติไปแล้วหรือไร"
คิ้วของเนลชนกันตาขวางในความโกรธเคือง ใบหน้าเธอยังคงมีสีแดงสด

"ถ้าไม่ยื้นปากมาให้ข้าจูบก็ส่งตะกร้ามาซะ ยัยหนู"
เอรอสลุกขึ้นนั้งด้วยท่าขัดสมาธิ ยิ้มมุมปากจ้องมองไปในตาหญิงสาว

เนลยื้นมือส่งตะกร้าให้โดยดีทั้งที่ใบหน้ายังแดงระเรือ จำต้องให้อย่างเสียไม่ได้
ทันทีที่ตะกร้าตกถึงมือ เอรอสคลีผ้าออกดวงตาเปล่งประกายแวววาวราวกับได้ทอง
ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีดี อาหารในตะกร้าก็หมดลงอย่างรวดเร็ว

"เฮ้อออ สุดยอดเลย อาหารรสเลิศจริงๆ"

เอรอสลากเสียงยาวเอนตัวลงนอนกลิ้งไปมา อิ่มเอมสุขไปด้วยรสสัมผัส
ก่อนจะสังเกตุสายของหญิงสาวที่จับจ้องมาที่ตนเนลที่นั่งพับเพียบตาขว้างด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

"เป็นอะไรไป มีอะไรรึเปล่าฮะ?ยัยหนู"

"คำก็ยัยหนู สองคำก็ยัยหนู ข้าอยู่มา 1265 ปีแล้วนะไม่ใช่เด็กๆแล้วนะท่าน"

เนลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นใจในความเป็นสาวของตน
ทำเอาเอรอส อดหัวเราะไม่ได้

"วะฮะฮะฮะ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เจ้าตอนเด็กๆข้าก็เห็นมาหมดแล้วทั้งนั้น"

"แล้วยังไงละค่ะ ดูยังไงอายุท่านก็น่าจะพอๆกับข้าแท้ๆ"

"ฮะฮะ เจ้าช่างเหมือนฟอลเล่ ย่าของเจ้าตอนอายุพอๆกับเจ้านางก็พูดประโยคนี้กับข้า"

คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าลงยกมือซ้ายของเธอมาแตะที่หน้าอก
เธอรู้ดีว่าย่าของเธอนั้นก็หลงรักเอรอส เช่นเดียวกับเธอในตอนนี้
เอรอส ยิ้มแบบยิงฟันและลุกขึ้นมาเอื้อมมือไปขยุ้มหัวหญิงสาวเบาๆ
ก่อนจะเดินไปนั่งแกว่งขาบนกิ่งไหม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบ

มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระรอก
เนลมองไปที่แผ่นหลังของเอรอส ที่นั่งนิ่งเหม่อมองไปที่ทะเลสาบ
ในใจของเนลเต็มเปี่ยมด้วยคำถามมากมายและคิดว่านี่อาจเป็นโอกาศดีที่จะพูดออกมา
 
"ท่านเอรอส ท่านเคยคิดจะมีครอบครัวไหมค่ะ"

"อาจฟังดูแปลกแต่ต้องบอกว่า ไม่! ข้าไม่เคยคิด"
เอรอสตอบรวดเร็วด้วยความมั่นใจ

ท่านอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยมาอย่างนั้นเหรอค่ะ ท่านไม่เคยจะปักใจรักผู้ใดมั้งเลยหรือไร"

"เคยสิ และข้าก็เลิกคิดเรื่องนี้ไปนานแล้ว"

"นานเท่าใด?"

แม้จะผิดหวังในทุกคำตอบ แต่ก็ยังอยากรู้ความจริง

"นานมากมาก...นานจนตัวข้าเองก็ลืมไปแล้ว"

"ชีวิตของเราชาวเอลฟ์เป็นหมื่นๆปียังไม่พออีกหรือไร"
หญิงสาวถามด้วยในตาที่ขุ่นเคือง

"กี่ร้อยพันหมื่นแสนล้านปีก็ไม่พอสำหรับข้า...ถ้ามันไม่ใช่ความเป็น...นิรันดิ์"

"แบบนี้ท่านจะมีความสุขเหรอค่ะ"
คำถามนี้ทำเอาชายหนุ่มนั่งเงียบไปซักพักก่อนจะหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

"ไม่ต้องห่วงข้าหรอกเนล แป๊ปเดียวเดี๋ยวเจ้าก็กลายเป็นยัยแก่หนังเหี่ยวแล้ว
ส่วนข้าก็ยังเป็นหนุ่มรุ่นเอ๊าะๆแบบนี้แหละ 555"


 
ปึด!!

เสียงเส้นอะไรบ้างอย่างขาดผึงในสติของเนล
ระหว่างที่เอรอสนั่งหัวเราะอยู่เพลินๆ ก็ถูกตะกร้าซัดไปเต็มๆที่ใบหน้า
รุนแรงจนถึงขั้นรางของเขาร่วงลงมากระแทกพื้นดินเบื้องล่าง

"ทำอะไรของหล่อนน่ะหา! มันเจ็บนะยัยบ้า!!"


ประโยคแรกที่เอรอสพูดหลังจากตั้งสติได้

"เอรอสคนบ้า ข้าเกลียดท่าน!!"

พูด จบเนลก็สะบัดชายกระโปรงตนขึ้นมา จากนั้นร่างของเธอหายไปกับหมู่มวลไม้และสายลมที่พัดผ่านเอรอส ลุกขึ้นนั่งและใช้มือทั้งสองลูบที่ใบหน้าของตนที่ถูกตะกร้าชนอย่างจังจนขึ้น เป็นลาย
กวาดสายตามองตะกร้าที่ว่างเปล่าถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปยังริมทะเลสาบ
ในความเงียบมีเพียงเสียงสายลมดวงตาสีเหลืองอำพัน ก้มลงมองเงาตนบนพื้นน้ำ

"มีใครบ้างที่อยากใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวไปตลอดกาล
..มีใครบ้างไม่อยากสร้างครอบครัว"


เอรอส มองดูเงาตัวเอง ที่สั้นไหวสะท้อนบนพื้นน้ำอย่างเงียบๆ

"...ข้ามีลูกไม่ได้"
 
"นั้นเพราะท่านเป็นเทพ มีกายเนื้อที่ไร้ซึ้งอายุไขและความตาย
การดำรงเผ่าพันธุ์จึงไม่จำเป็นสำหรับท่าน"


เสียงลึกลับที่พูดแทรกขึ้นดังก้องกังวานไปรอบๆบริเวณ ทำเอาสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันแตกตื่น สายลมพัดโหมกระหน่ำ
น้ำบริเวณทะเลสาบสั่นสะเทือนกระเพือมเป็นคลื่น


"จะเป็นใครก็ช่างรีบโผล่หัวออกมาซะทีเถอะ..
ข้าพร้อมแล้ว!!"



เสียงตะโกนอันหนักแน่นของเอรอสดังขึ้น มือทั้งสองคว้ามีดสั้นจากเข็มขัดอย่างรวดเร็ว
ใจกลางทะเลสาบปรากฏกายของหญิงสาวในชุดสีขาวยาว
นัยต์ตาเป็นประกายใสเช่นเดียวกับสีท้องฟ้า
เรือนร่างและเส้นผมที่ส่องสว่างราวกับผลแอ๊ปเปิ้ลทองคำ
สยายปีกทั้งหกออกเป็นวงกว้างพร้อม ลอยอยู่เหนือน้ำ จ้องสายตามองมาที่ตน...
เอรอสตื่นตลึงถึงขั้นก้าวขาไม่ออก

"...นี่ข้ายังไม่ตื่นดีอีกเหรอเนี่ย"

หญิงลึกลับก้มใบหน้าลงอย่างช้าๆก่อนจ้องมองไปที่เอรอส
ค่อยๆเดินจากใจกลางทะเลสาบมาทีละก้าว ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าชายหนุ่ม


"จงฟัง ข้าคือกาบริเอล หนึ่งในเจ็ดเทพพิทักษ์บนสวรรค์...
ข้าได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดผนึกอาญาสวรรค์เทพทั้ง12ราศีออก
เพื่อยุติกลียุค และแหวนจักรราศีได้บอกข้าว่า บัดนี้ เจตจำนงแห่งเพลิง Aries(ราศีเมษ)
แห่งหมู่ดาวแกะทองคำ ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว"




ชายหนุ่มยังคงตื่นตะลึงกับเหตุที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีอำพันจดจ้องนางฟ้าอย่างไม่ละสายตากลืนน้ำลายดังเฮือกก่อนจะเริ่มเอ่ย



"หะ...ว่าไงนะ"
 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา