ตัวผมกับโลกต่างมิติทีไม่ได้อยากจะไปเลยสักนิด

-

เขียนโดย nightmare91

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.21 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  8,500 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 17.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) การเริ่มต้นที่เริ่มมาจากความตาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

จากคนเขียน : อ่านเเล้ว ช่วยเเนะนำ หรือคอมเม้นด้วยนะครับ

                  เราจะได้รู้ว่าควรปรับปรุงยังไง หรือ ว่ามันสนุกหรือไม่ จะได้มีกำลังใจเขียน หรือยังไงอะไรต่อไป   ขอบคุณครับ

 

**********************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 บทนำ จุดเริ่มต้นที่เริ่มจากความตาย

 

            “ก็อย่างที่พูดไป เธอนะตายไปแล้วนะ”

            “อา”

 

            ผมพยักหน้ารับคำพูดนั่นง่ายๆ

            ก็คนมันตายไปแล้วจะให้ทำยังไงได้ล่ะ ?

 

            ความรู้สึกเจ็บจากบาดแผลตอนที่กำลังจะตายไม่ใช่เรื่องโกหกที่จะทำให้ผมปฏิเสธว่า เรื่องนั้นคือความฝันนี่นะ   เบื้องหน้าของผมตอนนี้มีเด็กสาวผมสีเหลืองอ่อนและเธอก็มีดวงตาสีฟ้าสดใสราวกับสีของน้ำทะเล   ร่างกายที่ดูบอบบางแต่ก็ดูเข้มแข็ง  กับหน้าอกที่นูนออกมาจนเป็นจุดเด่นที่ทำให้เธอน่าจดจำ   พร้อมกับชุดสีขาวหุ้มไปด้วยเกราะ ที่ทำมาจากโลหะชั้นดียิ่งทำให้ตัวของเธอนั้นน่าจดจำยิ่งขึ้นไปอีกและที่สำคัญที่หากได้เห็นแล้วไม่มีทางที่จะลืมได้ลง

นั่นคือ...

            ปีกสีขาวบริสุทธิ์ที่งอกออกมาจากกลางหลังของเธอ

            จากมุมมองของผมเธอคงจะเป็นนางฟ้า   หรือไม่ก็เทพธิดาที่มีหน้าที่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนที่เพิ่งจะตาย   และเมื่อละสายตาออกมาจากตัวเธอ มองบรรยากาศรอบๆตัว

ก็จะพบว่า…

            ผมและตัวเธอกำลังยืนอยู่ใน ทะเลก้อยเมฆที่ไกลออกไป จนสุดตา

            “อืม...อ๊ะ...เจอแล้วๆ”

            เทพธิดา (เอาเป็นว่าผมขอเรียกเธอแบบนี้ก็แล้วกัน) ก้มตัวหยิบสมุดบันทึกเล่มหนา ออกมาจากตู้ลิ้นชักที่อยู่ข้างตัวของเธอ   และหลังจากที่หยิบมันออกมาเธอก็เปิดมันออกและค่อยๆบรรจงอ่านข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ในสมุดบันทึกอย่างสนใจ

 

            “ไม่คิดเลยนะว่า คนแบบเธอจะต้องมาตายเพราะเรื่องอะไรแบบนั้น”

            เทพธิดาอ่านบันทึกแล้วก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา...

            ในสมุดบันทึกเล่มนั่นคงจะเขียนเรื่องราวของตัวผมเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ผมเกิดมา จนกระทั้งตายจากไปสินะ   และทันทีที่เทพธิดาอ่านสมุดบันทึกเล่มหนาลงในไม่กี่นาทีเธอก็ปิดมันลงซึ่งมันก่อให้เกิดเสียงของหน้ากระดาษกระทบกันดัง “ปับ”

 

            “ต้องมาตายเพราะเรื่องแบบนั้นเนี่ย   น่าตลกจังเนอะ”

            “ฉันเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะต้องมาตายเพราะเรื่องแบบนั้น”

            หลังจากที่โดนเธอพูดจี้ที่ใจเล็กๆ เข้า   ผมจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ติดตลกเทพธิดาที่เห็นผมทำแบบนั้นและเข้าใจความหมายจึงยิ้มเล็กๆกลับมาให้

 

 

 

            ----------------ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้

            ผมนั้นทำอาชีพเป็นคนเก็บกวาดขยะของสังคม   โดยทุกๆ วันผมจะต้องคอยเก็บกวาดขยะ ตามคำสั่งขององค์กรๆ หนึ่งที่ตัวของผมสังกัดอยู่ โดยเบื้องบนจะเป็นคนลงความเห็นว่าขยะชิ้นไหนสมควรถูกกำจัดทิ้งไปจากโลก   และเมื่อคำสั่งมาถึงผมก็แค่ไปทำหน้าที่ของตัวเองและทำให้ขยะชิ้นนั้นให้หายไป…

            และก่อนหน้านี้เองก็เช่นกัน…

            ...

            “091 !! ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เป้าหมายกำลังไปทางนาย...จัดการให้เรียบร้อยล่ะ”

            "รับทราบครับ ‘เจ๊ใหญ่’ "

     "เดี๋ยวเถอะ เวลางานอย่าเรียกว่าเจ๊ใหญ่สิย่ะ!!"

          เมื่อสิ้นเสียง ‘เจ๊ใหญ่ ’ หรือหัวหน้าทีมของผม เรียกรหัสประจำตัวผมและออกคำสั่งจบ

   ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมใส่ชุดสูทสีดำ  ได้วิ่งหนีบางสิ่งมาทางนี้แทบจะทันที

โดยที่ในมือของเขานั่นได้ถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่มาด้วย   ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาในซอยขนาดเล็กที่อยู่บริเวณชานเมืองที่ไม่ค่อยจะมีคนอาศัยอยู่มากนัก

 

            "บ้าเอ๊ย พวกมันเป็นใครวะ ? ชั้นไปทำอะไรให้พวกมัน มันถึงต้องมาตามเล่นงานชั้นแบบนี้ บัดซบ"

            ชายร่างท้วมที่ผมยืนมองอยู่ห่างๆ ตะเบ็งเสียงด่าทอออกมาก่อนที่ตัวของเขาจะวิ่งมาถึงทางตันและล้มลงอยู่ข้างๆ กับกองขยะ   เพราะความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ต้องออกแรงวิ่งสุดชีวิตเสียงหอบ เสียงลมหายใจ และความถี่ในการเต้นของหัวใจบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการออกแรงวิ่ง   ความกลัว ความกังวล เริ่มที่จะผุดขึ้นมาในความคิดของเขาซึ่งมันทำให้เขาเริ่มสับสน สายตาดูลุกลี้ลุกลน และเริ่มหวาดระแวงรอบข้าง   จนท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสติ ของตัวเองให้คิดวิเคราะห์อะไรได้อีกแล้ว...

            และในขณะนั่นเอง...

            เด็กหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีแดงราวกับเปลวเพลิง ซึ่งใส่ชุดสีดำเช่นเดียวกับสีผมของตนก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าหาชายร่างท้วม ไปในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับเขานั้นเป็นสายลมแห่งความตายที่กำลังจะกระชากชีวิตคนลงสู่อเวจี

 

            "พวกแกเป็นใครวะ !? ต้องการอะไรจากชั้นกันแน่ ?? เงินเรอะ  !? ถ้าเป็นเงินละก็อยากได้ก็เอาไปเลยขอแค่ไว้ชีวิตชั้น ขอร้องละ... "

            ชายร่างท้วมเหงื่อออกท้วมใบหน้า พูดพลางเปิดกระเป๋าที่ตนถือ ออกและหยิบเงินก้อนข้างใน นั้น โยนออกมา

กลุ่มก้อน ธนบัตร ถูกโปรยออกมาเกลื่อนพื้นถนน

            "น่าทุเรศชะมัดเลยว่ะ.."

            เด็กหนุ่มพูดออกมา ก่อนที่จะ พุ่งเข้าใส่ชายร่างท้วมอย่างรวดเร็ว

            "ไม่นะ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามานะว๊อย บอกว่าอย่าเข้าม๊า !!!"

            ชายคนนั้นเห็นท่าไม่ดี จึงส่งเสียงร้องประหลาดออกมา พร้อมทั้งพยายาตะเกียกตะกาย กำแพงที่เป็นทางตันที่อยู่ทางด้านหลัง...

           แต่ทว่ามันก็เปล่าประโยชน์

            ไม่กี่วินาที ต่อมา คมมีดสีเงิน ก็วิ่งตัดอากาศผ่านลำคอของชายคนนั้น   เลือดพุ่งกระจายออกมาจากร่างที่ไร้หัว ไปในอากาศ   เปรอะเปื้อนไปตาม กำแพง ผนังและพื้น

            ผมสะบัดดาบสั้นแรงๆ 1 ครั้งเพื่อเป็นการไล่เลือดที่ติดอยู่ออกก่อนจะเก็บมันไป

 และหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง และกดโทรออกไปยัง เบอร์ ที่รับสายล่าสุด

            "ภารกิจเสร็จสิ้น จะกลับที่พักแล้วครับ"

            ผมพูดแค่นั้นก่อนที่จะกดวางสาย และเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า...

 

            ท่ามกลางค่ำคืนที่มีเสียงแมลงร้องและแสงจันทร์อ่อนๆของ คืนเดือนแรมพร้อมกับแสงไฟสลัวๆจากบ้านเรือนยามค่ำคืน...

            -ชายคนหนึ่งได้จบชีวิตลงโดยที่ไม่มี คนรู้และ ไม่มีใครใส่ใจ-

            -มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลยสำหรับโลกใบนี้-

            -โลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความแตกแยกในสังคม-

“ไอ้หนู เพื่อที่จะมีชีวิตรอด แกต้องทำทุกสิ่ง เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้ แม้ว่าจะต้องฆ่าคนอื่นเพื่อตัวเองก็ตาม”

                       -นี่คือคำพูดที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆ จากชายคนหนึ่งในสมัยที่ผมยังเด็กถึงแม้ผมจะจำหน้าของเขาได้เพียงรางๆ แต่คำพูดของเขายังคงตราตรึงอยู่ในหัวของผมมาจนถึงทุกวันนี้

 

 

            หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย   ผมก็เดินออกมาจาก จุดที่ผมลงมือฆ่าชายคนนั้น 

 

“ทิ้งศพ เอาไว้แบบนั้นคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกมั้ง..เดี๋ยวก็คงจะมีคนมาคอยเก็บกวาดให้เหมือนกับทุกทีนั้นแหละนะ”

ผมพูดกับตัวเองพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

  

เมื่อออกห่างมาได้ไกลพอสมควรแล้วผมก็เริ่ม มอง ซ้ายที ขวาที เพื่อมองหาร้านอาหารริมทางเดินเพราะไม่อยากจะต้องแบกท้องที่หิว แบบสุดๆ กลับไปยังหอพักที่ไม่มีอย่างอื่นนอกจาก มาม่า และ อุไมโบแท่งที่เป็นของฝากจากเพื่อนร่วมงานที่ไปต่างประเทศมา   รสชาติของมันก็ไม่ได้แย่นักหรอกเพียงแต่ ผมอยากจะกินอะไรที่จะมีประโยชน์มากกว่าของพวกนั่น...

            มันอาจจะดูแปลกไปสักนิดที่ตัวของผมที่เพิ่งจะฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมา กลับยังมีอารมณ์ที่พยายามที่จะหาของกินซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกหรอกเพราะช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกขยะแขยงจนกินอะไรไม่ได้หลังจากเห็นภาพแบบนั้นก็มีอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากที่ทำไปเรื่อยๆ นานเข้ามันก็เริ่มที่จะชินไปเอง   และตอนนี้ก็เลยไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว

            ผมเดินตามทางเท้ามาเรื่อยๆ ครู่หนึ่งก็จะรู้สึกว่าเดินมาถึงทางม้าลาย   ผมตัดสินใจเดินข้ามทางม้าลายทันทีที่มองเห็นร้านข้ามต้มที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน

            ร้านข้าวต้มร้านนั้นเป็นร้านเล็กๆ ที่ดูเรียบง่าย และไม่มีลูกค้ารอคิว มากมายนัก   แต่กลิ่นที่แสนหอมหวานของข้าวต้มจากอีกฝั่งหนึ่งของถนนที่ลอยมาถึงจมูกของผม   ซึ่งมันเป็นตัวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ข้าวต้มร้านนี้อร่อย แน่นอน

            ขณะที่กำลังเดินอยู่บนทางม้าลาย ด้วยอารมณ์ที่รู้สึกดีผมก็บังเอิญเหลือบไปเห็น

กลุ่ม นักเรียน ม.ปลายกลุ่มหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ   เป็นนักเรียนชาย 2 คน และ นักเรียน หญิง 2 คน   ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังถกเถียงอะไรบางอย่างกันอยู่เดินมาจากอีกฝั่งของถนนถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักแต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจ

            "เพราะนายนั่นแหละ"

            "เพราะเธอต่างหาก งานที่ฉันใส่จิตวิญญาณลงไปมันถึงได้เละไม่เป็นท่าแบบนี้"

            "อ่อเหรอ งานเน่าๆนั่นน่ะนะ จิตวิญญาณ อยากจะขำตาย"

            "นี่เธอ...!!"

            ดูเหมือนว่าชายหญิง 2 คนที่เดินนำมาจะเครื่องร้อนกันได้ที่แล้วแต่ก็ยังดีที่ได้เพื่อนอีก 2 คนคอยห้ามเอาไว้   จากที่ได้ยิน ดูเหมือนว่าเหตุผลที่พวกเขาทะเลาะกันคือรายงานที่พวกเขาทำมันทำออกมาได้ห่วยสุดๆเลย   เพราะเป็นงานชิ้นสำคัญแต่กลับแย่งกันทำและได้คะแนนห่วยๆ ก็เลยทะเลาะกันนี่แหละเหตุผล

            -ไร้สาระสิ้นดีเลยนะเนี่ย...-

            -แต่จะยังไงก็ช่างมันเถอะ

          ช่วยคิดกันสักนิดได้ไหม ว่าตรงนี้มันกลางถนนน่ะ มันรบกวนคนอืนเขานะจะทำอะไรก็น่าจะมีขอบเขตกันบ้างสิวะ...-

            -ซึ่งถึงแม้จะคิดแบบนั้น แต่มันก็ใช่เรื่องที่ควรจะพูดออกไปอยู่ดีนั่นแหละนะเพราะฉะนั้นจึงคิดจะอดทนและรีบๆเดินผ่านไป..-

            "นี่นาย เดินไปชน พี่ชายเขาแล้วไม่เห็นรึไง ? "

            "อ๊ะ ขอโทษด้วยครับ "

            เด็กผู้ชายที่เดินนำหน้ามา ทำท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจเด็กสาวจนเดินมาชนกับผมเข้า เอ่ยปากขอโทษออกมา   หลังจากที่โดนเด็กสาว ที่ดูมีอายุมากกว่าพวกเขาเล็กน้อยตำหนิ

            "ต้องขอโทษแทนน้องชายด้วยนะค่ะ"

            -เด็กสาวกล่าวขอโทษอึกครั้ง-

            ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ   ขณะที่พวกเรากำลังจะเดินสวนทางกันตอนนั่นเองที่ผมรู้สึกตัวว่ารถบรรทุกคันหนึ่งได้ขับพุ่งตรงมาทางพวกเราด้วยความเร็วสูงซึ่งคนขับนอนฟุบอยู่กับพวงมาลัย

            -หลับใน...??!!-

            -ดูเหมือนว่าเด็กนักเรียนพวกนั้นจะยังไม่รู้ตัว-

            สำหรับผมแล้วการหลีกหนีไปคนเดียวในสถานการ แบบนี้ก็ย่อมทำได้โดยไม่ยากเย็นนักแต่เด็กพวกนั้นละจะเป็น ยังไง !?

            -อันตราย !!!!-

            ทั้งๆที่คิดว่าจะทำเพียงแค่ ตะโกนเตือน ออกไปเท่านั้นแท้ๆ แต่ร่างกายกลับพุ่งทะยานออกไป ก่อนที่สมองจะสั่งการซะแล้ว...

บ้าเอ๊ย ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ละ!!

            ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้วก็มีแต่จะต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่รถบรรทุกจะมาถึง...

            ก่อนอื่น ผมกระชากคอเสือของ เด็กผู้ชาย 2 คนที่อยู่ใกล้มือผมมากที่สุดเหวี่ยงไปในทางที่ ปลอดภัยหลังจากนั้น ผมก็สะบัดสายตามองหาเด็กสาวอีก 2 คน   เหลือเวลาอีกราว 10 วินาที ก่อนที่รถบรรทุกจะมาถึง...

            -ยังพอมีเวลาอยู่-

            -ผมพูดย้ำอยู่ในใจ-

            เมื่อเด็กสาวเห็นรถบรรทุก แล่นเข้ามาด้วยความเร็วเข้าใส่ตัวเองก็กรี๊ดลั่น โดยที่เด็กสาวที่เข้ามาพูด กับผมตอนนั้น พุ่งเข้ามากอด เด็กสาวอีกคนไว้

             -บ้าเอ๊ย ถ้ามีเวลามากอดกันละก็ ช่วยเอาเวลานั้นก้าวขาวิ่งออกไปไม่ได้รึไง

            -ดูเหมือนว่าพวกเธอจะถอดใจกันแล้ว..แน่ละในสถานะการแบบนั้นคนธรรมดายอมขยับตัวไม่ได้เพราะความกลัวอยู่แล้ว

           

            -ตำแหน่งที่ พวกเธอยืนอยู่ ห่างจากผมพอสมควร-

            -ให้ตายสิ ยุ่งยากเป็นบ้า-

            -ผมถีบพื้นวิ่งเข้าหาพวกเธอในช่วงอึดใจ-

            "โทษทีนะ"

            ผมพูดและออกแรงถีบไปที่หลังของเด็กสาวคนที่กอดเด็กสาวอีกคนให้เธอกระเด็นออกไปจากระยะของรถบรรทุก   

พ้นไหมวะ ? แค่นี้คงพอแล้วละมั้ง ?

ช่วงเวลานั้นผมคิดแค่นั้นแหละ   เอาละ เรียบร้อย แค่เราหลบก็จบ   ทั้งๆที่คิดว่าน่าจะยังพอมีเวลาเหลืออยู่แต่พอรู้สึกตัวอีกทีรถบรรทุกก็มาอยู่ข้างหน้าซะแล้ว...

            -หลบไม่ทันแล้วสินะ

            จากนั้นร่างกายของผมก็สัมผัสเข้ากับรถบรรทุก   ความเจ็บปวดค่อยๆ ถูกส่งผ่านเซล ประสาทพร้อมกับร่างกายของผมที่ปลิวไปตามแรงปะทะ   และแล้วทุกอย่างก็จบลงนั้นแหละความตายของผม

 

            หลังจากที่นักย้อนถึงเรื่องก่อนหน้าเทพธิดาที่ยืนเงียบมานานก็เอยปากพูดขึ้นอีกครั้ง

            "ถึงฉันจะเป็นคนพูดก็เถอะ แต่เธอจะใจเย็นเกินไปหรือเปล่า ? ตัวเองตายแท้ๆเชียวนะ "

            เทพธิดายกมือขึ้นเกาศีรษะของตัวเองอย่างเหนื่อยใจ   คงจะเป็นเรื่องที่แปลกซะละมั้ง ที่มาเจอกับคนที่ยอมรับว่าตัวเองตายแล้วอย่างง่ายดาย แบบนี้   ไม่แหกปาก คร่ำครวญ ร้องไห้ จิตตก หรืออะไรทั้งสิ้นที่ทำก็เพียงแค่ ตอบรับไป   ก็นะ เรื่องมันง่ายนิดเดียว   เพราะถึงจะทำแบบนั้นไป มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาจริงไหม ?   สู้ทำใจยอมรับ ทุกอย่างมันอาจจะดีกว่าก็ได้

            " แล้วเธอจะทำยังไงกับฉันละ ? จะพาขึ้นสวรรค์ หรือส่งลง นรกจะทำอะไรก็รีบทำสิ "

            -สำหรับผมที่ฆ่ามาจบนับไม่ได้ ยังไงก็คงไม่พ้น นรกอยู่แล้ว-

            เทพธิดาฟังที่ผมพูดและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา   ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินเข้ามาหาผม

            "อันที่จริง พวกเด็กที่เธอช่วยชีวิตเอาไว้นะ   จริงๆแล้วพวก เขาคือ เหล่าหนุ่มสาวที่ ฉันเลือกเอาไว้น่ะ   คือฉันคิดจะส่งพวกเขาไปเป็นผู้กล้าในโลกที่ฉันมี ตัวตนอยู่   ถ้าเป็นใน มุมมองของเธอ โลกนั่นก็คือ โลกต่างมิติ นั้นแหละ"

            "หมายความว่ายังไง ?"

            "ก็หมายความว่า เธอได้เข้ามาช่วยเหล่าเด็กหนุ่มสาวที่ฉันกำลังจะส่งไปเกิดเป็นผู้กล้า ในโลกต่างมิตินะสิ"

            ผมยังคงยืนอย่างสงบนิ่ง โดยที่เทพธิดานั้นก็ยังคงอธิบายต่อ

            "เธอคิดว่าการจะส่งคนไปยังต่างโลกโดยที่ยังทำให้โลกทั้ง 2 สมดุลคือ อะไรละ ?"

            "ไม่รู้สิ"

            "การที่จะส่งคนไปยังต่างโลกโดยปกติแล้วก็ต้อง นำวิญญาณของคนเหล่านั้นส่งไปเกิดใหม่ ยังไงละ   อย่างกรณีนี้ ฉันได้เลือกเด็กๆพวกนั้นเป็นผู้กล้าฉันก็เลยใช้ มนต์ ทำให้คนขับรถที่บังเอิญผ่านมาหลับไป   เพราะต้องการให้พวกเขาตายเพราะ อุบัติเหตุ   เพื่อที่จะนำดวงวิญญาณของพวกเขามาที่นี้และส่งไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกพร้อมกับพลังวิเศษ"

            เทพธิดาหยุดเดินเมื่อเธอเดินมาถึงด้านหน้าของผม

            "แต่เธอก็ช่วยพวกเขาเอาไว้ได้หมด.. ไม่คิดเลยนะว่าแค่ 10 วินาที เธอจะสามารถช่วยเด็กพวกนั้นไว้ได้หมดทั้ง 4คน ฉันนับถือเลยละ "

“บอกตรงๆนะก็ไม่ได้อยากจะช่วยนักหรอกแต่ร่างกายมันขยับไปเองนะสิ  แล้ว ... ไอ้เรืองที่ฉันทำไปเนี้ย เธอจะบอกว่า ฉันเข้าไปช่วยอย่างไม่คิด และก็ตายฟรีอย่างงั้น สินะ ”

           

            "เปล่านะๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

            สงสัยเพราะผมหันไปมองหน้าเธอด้วยแววตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่นักเธอจึงรีบตอบกลับมาอย่างร้อนรน

            "ฉันนะก็แค่อยากจะพูดให้เธอเข้าใจก็เท่านั้นเอง"

            "งั้นเหรอ"

            เทพธิดาฉีกยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปาก หลังจากที่ผม ผ่อนคลายท่าทีเป็นศัตรูกับเธอลง

            "ก็อย่างที่ฉันพูดไปเมื่อกี้... เหล่าหนุ่มสาวที่ฉันจะส่งไปยังต่างโลก ก็ถูกเธอช่วยเอาไว้หมดแล้ว เพราะอย่างนั้นฉันจะไม่ส่งเธอไปทั้ง นรก หรือ สวรรค์ อะไรนั้น   แต่จะส่งนายไปยังต่างโลก แทนที่เด็กพวกนั้นคิดว่าเธอคงจะรับผิดชอบสินะจ๊ะ"

            เทพธิดาขยิบตาให้

            "ดะ...เดี๋ย--"

            ขณะที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคริมฝีปากของผมก็สัมผัสเข้ากับนิ้วเล็กๆที่เรียวยาว

เทพธิดาที่เดินมาใกล้ผมใช้นิ้วชี้ของเธอแตะมาที่ริมฝีปากผมเบาๆ

            "ทุกอย่างๆที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นโชคชะตาของเธอก็ได้.."

            เธอกล่าวสั้นๆ

            "พลังของฉันก็ใกล้จะหมดแล้ว คงจะต้องส่งเธอไปแล้วล่ะ   ต้องขอโทษด้วยนะที่ฉันไม่สามารถเสริมพลังอะไรให้กับเธอได้เลยแถมฉันยังไม่สามารถบอกข้อมูลของโลกที่เธอกำลังจะไปแล้วด้วยเอาเป็นว่าพยายามเข้าแล้วกันนะจ๊ะ ฉันจะส่งเธอไปทั้งๆสภาพนั้นละ เอาละคนๆเดียวสมดุลโลกคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ "

“เฮ้ย เดี๋ยวสิฉันไม่ได้อยากจะ...”

            หลังจากที่เธอพูดจบก็เกิดวงเวทย์ขนาดใหญ่ขึ้นใต้เท้าของผม   หัวของผมที่ปกติมาตลอดอยู่ดีๆก็ปวดจี๊ด ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

มันช่างทรมานมากๆ   มันรู้สึกเหมือนกับหัวของผมกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

            "อะ จริงสิ ชื่อของ ฉันคือ วัลคิรี คิดว่าถ้านายจำเอาไว้คงจะมีประโยชน์กับนายสักวันแล้วก็...."

            ผมฟังประโยคต่อจากนั้นไม่ชัดแล้ว

            ต่อมา สติของผมก็ขาดสิ้น หลุดลอยออกไปทั้งๆ แบบนั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา