สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์

8.7

เขียนโดย ชาร์ลี

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.

  6 ตอน
  4 วิจารณ์
  8,246 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) V: ผู้เปลี่ยนชะตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Vผู้เปลี่ยนชะตา
 
เมื่อออกมาจากหอสังเกตการณ์ พวกเขาพบว่าพระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าอันแล้ว และสาดแสงสีส้มอบอุ่นมายังพื้นโลก สลายความหนาวเหน็บที่กัดกินไปถึงกระดูก มีสายลมบางเบาพัดมาเป็นระลอก ขณะที่นิโคลัสกับเทรซีเอาแต่ทอดมองทัศนียภาพเบื้องหน้า
ภาพวิวทิวทัศน์หลังกำแพงทำให้พวกเขาแทบหยุดหายใจ เมื่อคืนเป็นคืนเดือนคว่ำและหมอกหนาก็จนทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ตอนนี้ทุกอย่างประจักษ์แจ้ง เมื่อได้มองใกล้ ๆ จากจุดนี้จึงทำให้เห็นรายละเอียดของแม่น้ำสายยาวได้เต็มตา อัลมาร์เป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดมาจากขั้นโลกเหนือ มันไหลเป็นสายอย่างคดเคี้ยวผ่านมาหลายดินแดน ก่อนจะตัดผ่านเมื่อเดอะ เกรนจ์และลงสู่ทะเลชีบาทางตอนใต้
ภูเขามีกส์ตั้งอยู่ทางขวา ห่างจากเมืองเดอะ เกรนจ์ไปหลายกิโลเมตร ทำให้มองเห็นเป็นแค่เนินเล็ก ๆ สีเขียวเท่านั้น ทางฝั่งซ้ายมือคือแผ่นดินที่มีการจัดสรรเป็นสัดเป็นส่วน มีกองดินที่ถูกขุดเพื่อทำเป็นคันนา โดยมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ใจกลาง
คนที่นี่เรียกมันว่าหมู่บ้านท้องไร่ ถูกรายล้อมไปด้วยความแห้งแล้ง มันอาจดูเหมือนหมู่บ้านร้าง แต่ความจริงแล้วยังมีผู้คนอาศัยอยู่ มีประชากรบางส่วนจากเมืองเดอะ เกรนจ์ก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรชวนมอง ผืนดินในทุ่งนาล้วนแตกระแหง มีเศษฟางที่หลงเหลือจากสมัยที่เคยรุ่งเรืองปลิวไปตามกระแสลม ไร้ต้นไม้ให้ร่มเงา ไร้ผืนหญ้าสีเขียวชอุ่มและไร้ซึ่งการปศุสัตว์ใด ๆ
แม็กนัส นิโคลัสและเทรซีกำลังเดินอยู่บนทางเดินเล็ก ๆ แคบ ๆ บนกำแพงเมือง ตรงไปยังหลุมวงกลมที่เกิดจากการแตกสลาย ซึ่งในนั้นมีบันไดเหล็กนำไปสู่เนินหินเบื้องล่าง แม็กนัสไต่นำหน้าลงไปก่อน ต่อมาก็เป็นเทรซีและปิดท้ายด้วยนิโคลัส จริง ๆ แล้วนิโคลัสคิดถึงลูกไฟ เพราะในนี้ค่อนข้างมืด เขาเริ่มจะคุ้นชินที่มีมันบินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่
ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กสองยืนเบียดเสียดกันบนเนินหินเล็ก ๆ ปริ่มน้ำ หินบางก้องไถลจมไปสู่ก้นคลอง แม็กนัสคลุมศีรษะด้วยหมวกฮู้ด จากนั้นก็โผล่หน้าออกไปมองบรรยากาศภายนอกอย่างระมัดระวัง แม็กนัสพบว่าบริเวณประตูทิศเหนือมีผู้คนสัญจรไม่มากนัก ส่วนมากมีแต่พ่อค้าที่กำลังหลงทางกับนายทหารที่ง่วงหงาวหาวนอนสองสามคน โชคดีที่คนรับจ้างพายเรือยังมาไม่ถึง พวกเขาจำเป็นต้องใช้เรือเพื่อพายข้ามฝั่ง ซึ่งเรือแคนูทั้งสองลำยังคงลอยแน่นิ่งอยู่บนผิวน้ำติดกับกำแพงเมือง
“พวกเจ้าอยู่นิ่ง ๆ” แม็กนัสบอกเสียงเผ่าเบา “ข้าต้องทำสมาธิ”
นิโคลัสกับเทรซีไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่สังหรณ์ใจได้ว่าจะให้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอีกแน่ ๆ
แม็กนัสถ่างขาออกเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า สายตาเพ่งมองไปยังผิวน้ำในคลองที่สะท้อนเงาของกำแพงเมือง กำไรลูกแก้วที่แม็กนัสสวมใส่ค่อย ๆ เปล่งแสงสีเทาเรือง ๆ จากนั้นนิโคลัสกับเทรซีก็รู้สึกถึงว่าพื้นที่ยืนอยู่สั่นสะเทือนเล็กน้อย ก้อนหินน้อยใหญ่เคลื่อนตัวเพราะแรงสั่น ก่อนจะกลิ้งจมลงไปในน้ำ แม็กนัสเอ่ยถ้อยคำบางอย่าง
“ในนามของผู้ใช้เวท ข้าขออธิฐานต่อรูนฮอกลาและรูนธูรีสัศให้บังเกิดพลังเหนือธรรมชาติตามที่ข้าปรารถนา”
ทันใดนั้นสัญลักษณ์แบบใหม่สองตัวก็ปรากฏขึ้นที่ผิวน้ำเบื้องหน้า แต่ละตัวเรืองแสงต่างสีกัน
 
                 
 
สัญลักษณ์ฝั่งซ้ายมีแสงสีฟ้าสดใส ส่วนสัญลักษณ์ทางฝั่งขวาเปล่งแสงสีม่วงหม่น ๆ
แม็กนัสสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิทั้งหมดกับสิ่งที่จะกล่าวอีกครั้ง
“หมอกหนาอำพรางกาย สลายหายภายในเจ็ดนาที”
สิ้นสุดเสียงของแม็กนัส สัญลักษณ์ทั้งสองก็หมุนวนและค่อย ๆ จมลงไปสู่ก้นบึ้งคลอง ภายในเวลาไม่กี่วินาทีต่อมาผิวน้ำก็เดือดปุด ๆ เหมือนน้ำซุปในหม้อ ส่งกลุ่มควันสีขาวลอยขึ้นมาปกคลุมเหนือหน้าผิวน้ำอย่างรวดเร็ด หมอกหนาหมุนวนเป็นเกลียวและแผ่ขยายอาณาเขตออกไป มันปกปิดปากทางเข้าออกซึ่งก็คือรอยแตกข้างกำแพง แผ่ลามไปถึงโป๊ะที่ปากแม่น้ำ อากาศหนาแน่นได้ด้วยควันสีขาวขุ่น บดบังทุกสิ่งไปจากสายตา
“ขึ้นเรือแคนู” แม็กนัสบอก ก่อนจะปีนข้ามชั้นอิฐแตก ๆ ข้ามไปยังจุดที่ผูกเรือไว้
ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ จากนั้นก็ปีนป่ายตามหลังแม็กนัสไปอย่างทุลักทุเล เทรซีเกือบก้าวพลาดและลื่นไถลตกน้ำ แต่โชคดีที่นิโคลัสคว้าแขนไว้ได้เสียก่อน ไม่นานแม็กนัสก็ครองเรือแคนูเล็ก ๆ และพายนำ
หน้าไปอย่างเงียบเชียบ ส่วนนิโคลัสกับเทรซีนั่งด้วยกันที่เรืออีกลำและพายตามไปติด ๆ แม้จะไม่คล่องแคล่วเท่าก็ตาม
ไม่นานเรือแคนูทั้งสองก็จอดเทียบท่าอย่างสวยงาม แม็กนัสก้าวขึ้นไปยืนบนโป๊ะ จากนั้นก็ผูกเรือไว้ที่เสาเหล็ก นิโคลัสเรียนรู้และทำตามอย่างว่องไว แม็กนัสยิ้มและเอ่ยชม
“ดีมาก” เขาว่า จากนั้นก็มองบรรยากาศรอบ ๆ ที่ถูกบดบังโดยหมอกที่เขาเสกขึ้นมา
มีเสียงผู้หญิงสองคนดังมาจากที่ไกล ๆ น้ำเสียงของพวกหล่อนบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังอารมณ์บูดมาก ๆ “โอ้ยยยยย ฉันล่ะเบื่อหมอกพวกนี้เสียจริง ๆ” เธอบ่นให้ผู้หญิงอีกคนฟัง “พักหลังมานี่มีบ่อยเหลือเกิน ฉันได้แผลที่หัวเข่าก็เพราะไอ้หมอกบ้าเนี่ย!”
หลังจากได้ยินดังนั้น แม็กนัสก็ตัดสินใจเดินไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ เลียบริมตลิ่ง เขาเดินไวมากจนแทบจะถูกหมอกกลืนหายไป นิโคลัสกับเทรซีวิ่งเยาะ ๆ ตามหลังโดยอาศัยจับตามองชายเสื้อคลุมที่พลิ้วสะบัดไปมา ซึ่งก็ค่อนข้างยากเพราะสีของมันช่างกลืนไปกับสีขาวของหมอกเหลือเกิน
ไม่นานพวกเขาก็ออกมาจากอาณาเขตของกลุ่มหมอก เทรซีหันกลับไปมอง เบื้องหลังคือกลุ่มก้อนไอน้ำขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วปากแม่น้ำ และกำลังลอยตัวขึ้นไปในอากาศ แต่แล้วมันก็สลายไปอย่างฉับพลัน บรรยากาศกลับมาปลอดโปล่งอีกครั้ง
ท้องถนนยังคงว่างเปล่าเมื่อเดินมาถึงทางเข้าซอยซิกแซก ราวกับผู้คนยังไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงนอนอันอบอุ่น แม็กนัส นิโคลัสและเทรซีเดินเลี้ยวเข้าไปในซอย หลังจากเข้าทางนั้น ออกทางนี้ ไม่นานทั้งสามก็มาโผล่ที่ทางแยกเข้าสู่ถนนนักปราชญ์ พวกเขาเดินเลี้ยวซ้ายและเดินตรงไปสู่เสียงอึกทึกโหวกแหวกโวย
หลังจากใช้อยู่นานก็เดินมาถึงปากทางเข้าตรอกสายฟ้า ระหว่างนั้นก็นิโคลัสเกิดความสงสัย เขาคิดว่าแม็กนัสอาจจะเคยมาบ้านของเขามาก่อน สังเกตจากการเลือกใช้เส้นทางที่แสนจะชำนาญ แม้จะอยากถามออกไป แต่นิโคลัสก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ เทรซีเงยหน้ามองชายร่างสูงในชุดคลุมสีเทา แม็กนัสหยุดอ่านข้อความบนเสาหิน ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยหนูและแมลงสาป
พวกเขายืนอยู่หน้ารั้วบ้านหอคอยแล้ว แม็กนัสล้วงนาฬิกาออกมาดูเวลาอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้า “ทันเวลาพอดีเป๊ะ” แม็กนัสว่า “เจ็ดโมงตรง ฤกษ์ยามดีจริง ๆ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเห่าของสุนัขดังข้ามรั้วออกมา เจ้าโจอี้เห่าอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับใช้เล็บตะกุยประตูรั้ว ไม่นานนิโคลัสก็ได้ยินเสียงคนเดินมาเปิดประตูบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงอันคุ้นเคย
“หยุดนะโจอี้!” ซูซานตวาดเจ้าสุนัข แต่มันไม่ยอมฟัง “เอาเถอะ แล้วนั่นใครมากัน”
นิโคลัสกับเทรซีมองหน้ากันอย่างหวาดวิตก ทั้งคู่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอธิบายซูซานอย่างไรถึงจะเข้าท่า โดยเฉพาะเทรซี เธอกังวลมากเหลือเกิน เมื่อเจอหน้าแม่คงจะพูดว่า “หวัดดีค่ะแม่ สบายดีมั้ยคะ” หรือ “เมื่อคืนหนูเดินละเมอออกไปนอนที่กำแพงเมือง เพิ่งตื่นก็เลยเดินกลับมา”
เมื่อประตูถูกเปิดออก นิโคลัสกับเทรซีก็ตั้งท่าจะวิ่งไปแอบที่ขอบประตู แต่กลับถูกแม็กนัสรั้งเอาไว้ได้ “อรุณสวัสดิ์คุณนายฮันเตอร์” แม็กนัสกล่าวทักทายอย่างมีอัธยาศัย
ซูซานกระพริบตาถี่ ๆ อย่างสับสน เพราะเธอมั่นใจเหลือเกินว่าลูก ๆ ของเธอหลับสบายดีอยู่บ้างบน ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากำลังจ้องดวงตาสีน้ำเงินเข้มสองคู่ตรงหน้า เมื่อตั้งสติได้ซูซานก็สูดอากาศเข้าปอดเพื่อระงับอารมณ์ทั้งหลาย นิโคลัสกับเทรซีหน้าเจื่อนทันที
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซูซานทักทายกลับในที่สุด สายตายังจับจ้องที่เด็ก ๆ “คุณเอ่อ…เอาล่ะ นิโคลัส เทรซี! ลูกไปทำอะไรตรงนั้น ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมแม่ถึงไม่รู้ แล้วทำไมพวกลูกถึงไปอยู่กับเอ่อ…คุณผู้ชายคนนี้ละห้ะ?”
นิโคลัสทำปากพะงาบ ๆ แม็กนัสชิงพูดตัดหน้าก่อน
“แม็กนัส” เขาแนะนำตัวกับซูซาน “เรียกข้าว่าแม็กนัสเถอะ”
  ห้องรับรองแขกไม่มีที่ว่างมากพอ มันเต็มไปด้วยข้าวของจุกจิกของซูซาน โดยนาน ๆ ครั้งจะมีแขกมาเยี่ยมเยือน ดังนั้นความสำคัญของห้องนี้จึงถูกลดลั่นไป
ห้องครัวเล็ก ๆ ได้กลายเป็นแหล่งรวมของสมาชิกของครอบครัวฮันเตอร์ทุกคน ยกเว้นเจอร์รราร์ด อัลเบิร์ตและฮิวโก้ที่มีธุระงานการ พวกเขานั่งล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม็กนัส นิโคลัสกับเทรซีนุ่งอยู่ที่หัวโต๊ะติดกับหน้าต่าง โดยทุกคนกำลังมองชายแปลกหน้าอย่างสงสัย เขานั่งลงบนเก้านี้ในท่าสบาย ๆ ประสานมือทั้งสองวางไว้บนโต๊ะ เผยให้เห็นกำไรลูกแก้วกับรอยไหม้เกรียมที่มือฝ่า
นี่อาจถือเป็นการประชุมใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โจอี้ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมด้วย มันดีใจมากและกระโดดโล้ดเต้นไปรอบ ๆ มันย่ำอุ้งเท่าเปื้อนดินเข้ามาในบ้าน เดินผ่านหน้าแม็กนัสอย่างไม่สนใจก่อนจะนอนแหมะลงที่หน้าเตาผิง
“ไม่เห่าข้าแล้วเหรอเจ้าหมา” แม็กนัสพูด “วันนั้นยังอยากไล่กัดข้าอยู่เลย”
อย่างไรก็แล้วแต่ นี่เป็นเรื่องที่แปลก แปลกมาก ๆ ปกติแล้วบ้านหอคอยไม่ใช่สถานที่ที่ใคร ๆ อยากจะมายุ่งเกี่ยว พวกเขามีคลีนิก ซึ่งแปลว่ามันคือแหล่งเพาะเชื้อโรคและพิษไข้น่ารังเกียจ ใครก็ตามที่มาหาล้วนแต่เป็นพวกเจ็บออด ๆ แอด ๆ ไม่ก็มาขอซื้อสมุนไพร ซึ่งก็ต่อราคากันยืดยาวจนน้ำลายเป็นฟอง ดังนั้นชายคนนี้จึงถือเป็นแขกเพียงไม่กี่คนที่ดูมีสุภาพแข็งแรงดี ไซมอนมองปาดเดียวก็รู้
หลังจากแม็กนัสบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามเสร็จ (ซึ่งเริ่มจะรู้สึกเบื่อเหลือเกิน ช่วงนี้ต้องแนะนำตัวเองบ่อยเกินไปแล้ว) แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครนั่งนิ่งทำตัวเป็นปกติได้
“โอ เยี่ยมเลย” วิลลียมพูดขึ้น “มีแต่คนปกติทั้งนั้นที่มาบ้านเรา”
“อย่าเสียมารยาทสิวิลเลียม!” ซูซานเตือน ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วเธออยากจะพูดคำนั้นเสียเอง
เทรซีมีคำถามมากมายอยากจะถามแม็กนัส และเธอก็รอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“หนูสงสัยมาตลอดว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน คุณเดินนำทางเรา เหมือนกับเป็นทางกลับบ้านของคุณเสียเอง ไหนจะชื่อของพวกเราอีก คุณรู้จักพวกเราหมดเลย ทำได้ไง?”
แม็กนัสยิ้มกริ่มอย่างพอใจ เขากระแอม จากนั้นก็พูดว่า
“ข้ามีสายลับ” เขาพูดเสียงเคร่งขรึม “ยังมีอะไรที่เจ้ายังไม่รู้อีกเยอะสาวน้อย”
“สายลับที่ว่าคงจะเป็นนายทะเบียนฟันเหยินคนนั้นหรือเปล่า” เทรซีพูดต่อไป “ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร คุณคงใช้เขามาส่งหนังสือเล่มนั้นให้หนู ใช่ไหม?”
แม็กนัสทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก ความลับถูกเปิดเผยแล้ว
ส่วนโอลาฟเอาแต่นั่งถอหายใจ เขาคิดเสมอว่ามาตรการป้องกันเมืองยังแข็งเกร่งไม่มากพอ เขาเคยคิดว่าถ้าหากไม่ได้เป็นผู้ช่วยของพ่อ ทุกคนคงได้เห็นเขาเดินถือดาบและอาจเดินสวนกันระหว่างที่กำลังตรวจตราเมือง
ไซมอนเหลือบมองลูกชายคนโต จากนั้นก็พูดขึ้น
“คุณผู้ใช้เวท” ไซมอนเอ่ยอย่างระมัดระวัง
แม็กนัสเลิกคิ้ว พร้อมรับฟังสิ่งที่ไซมอนจะพูดออกมา
“คุณลักลอบเข้าเมืองของเรา รู้ใช่มั้ยว่านั่นผิดกฏหมาย” ไซมอนพูดเสียงราบเรียบ “แต่ผมก็ไม่แปลกใจนักหรอก มีพวกคุณแอบซ่อนอยู่ในเมืองของเราเยอะถมไป”
เขาพูดราวกลับว่านั่นเป็นเรื่องปกติ มีผู้ใช้เวทเดินสวนกันไปมากับมนุษย์ขณะเดินจับจ่ายในตลาด ซูซานนั่งฟังอย่างตั้งใจพรางจิบชาสมุนไพรร้อน ๆ
“มันง่ายนักที่จะแอบเข้าเมืองนี้รู้ไหม” แม็กนัสบอก “มีช่องโหว่มากมายที่ยังไม่ได้รับการคุ้มกัน”
เมื่อแม็กนัสพูดเช่นนั้น นิโคลัสก็นึกถึงรอยแตกข้างกำแพงเมืองทันที ไม่รู้คำว่า “ช่องโหว่” ที่แม็กนัสกล่าวจะรวมถึงมันด้วยไหมนะ
“เช่นอะไร” โอลาฟเอ่ยถามอย่างสงสัยและรอฟังคำตอบสีหน้าเคร่งเครียด
“มากมายหลายอย่างพ่อหนุ่ม” เขาว่า “เช่นทางน้ำ ทางอากาศ ทางดิน หรือไม่ก็ย้ายร่างเข้ามา แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ทหารยามแอบงีบหลับ รู้ไหมนั่นอันตรายมากหากมีโจรบุกเข้ามา”
โอลาฟทำหน้าเหมือนกำลังกลืนก้อนเหล็กร้อน ๆ ลงคอ เขารู้สึกผิดหวังที่มาตรการป้องกันเมืองตกต่ำจนเข้าขั้นวิกฤต เขาใจว่าแผนการถูกออกแบบมาให้รับมือรับมนุษย์ด้วยกัน มากกว่าจะให้ต่อกรกับอะไรที่เหนือธรรมชาติอย่างบุคคลที่นั่งข้างน้อง ๆ ฝาแฝดของเขา
“เราคัดกรองคนอย่างพวกคุณไม่ได้เลยเหรอ?” โอลาฟถามอย่างหง่อย ๆ
แม็กนัสถอยหายใจเบา ๆ ก่อนจะสายหน้า
“คงจะยากหน่อยนะ”
ซูซานทนฟังบทสนทนางี่เง่ามานานพอแล้ว เธอตัดสินใจว่าจะไม่ทนอีกต่อไป
“ประทานโทษ” เธอว่าอย่างฉุน ๆ “ถ้ามันจะง่ายขนาดนั้นทำไมไม่ยึดเมืองของเราไปเลยละพ่อคุณ ไหน ๆ เราก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนิ!”
ทุกคนเงียบกริบ แม้กระทั่งโจอี้ยังกลั้นหายใจ ซูซานจ้องหน้าแม็กนัสอย่างเอาเรื่อง ซึ่งกลับกลายเป็นเธอกำลังมองดูเขายกชาในถ้วยขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์ เหลือเกินจริง ๆ
“เชื่อเถอะคุณผู้หญิง ไม่มีผู้ใช้เวทคนไหนอยากครอบครองเมืองนี้หรอก” แม็กนัสบอก จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ทอดมองสำรวจบรรยากาศภายนอกซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ก่อนพูดต่อ
“ขอโทษที่ต้องบอกว่า แผนดินต้องคำสาปที่ทำมาหากินอะไรไม่ขึ้น คนสติดีเขาไม่อยากมาลงทุนที่นี่หรอกรู้ไหม”
แม็กนัสยังคงพูดต่อไป
“โปรดอย่าเหมารวมว่าผู้ใช้เวททุกคนอยากบุกรุกเมืองนี้ ในเมื่อเจ้าก็รู้ดีว่าใครคือต้นต่อที่ทำให้เมืองอันน่าอยู่ตกอยู่ในสภาพเช่นที่เห็น แล้วอย่างนี้ข้าจะยึดเมืองของเจ้าไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพราะความละโมบ ความอยากมีอยากได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“บรรพบุรุษของเรา อ้า…ใช่ ใช้คำว่าเราน่ะถูกแล้ว พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันอย่างสามัคคีปรองดอง จนกระทั่งวันหนึ่งฝ่ายผู้ใช้เวทถึงคราวโทรมซานมาขอความช่วยเหลือ ก็แค่น้ำหรือไม่ก็หัวแครอทสักหัวที่พวกเขาพึงขอ แต่นั่นอาจจะเกินความสามารถของเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู้น้ำ
“ที่รัก พวกเขาจดจำสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อเขา เมื่อรู้ว่าสิ้นหวัง ก็พากันห้วนกลับถิ่นที่จากมา แต่ก่อนจะจากไป ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้”
แม็กนัสหยุดพูด ก่อนจะมองไปทางไซมอนเป็นเชิงขอให้ช่วยตอบ
“สาปแช่ง” ไซมอนพูดเสียงเบา ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจจะพูดมันออกมานัก
ผู้ใช้เวทพยักหน้าก่อนจะตั้งต้นพูดต่อไป โดยมีสายตาทั้งเจ็ดคู่จับจ้องอยู่
“ถูกต้อง พวกเขาสาปแช่ง” แม็กนัสบอกเสียงเครียด หลังจากซูซานตัดสินใจได้ว่าควรจะเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า เธอจึงรินน้ำชาเติมในแก้วให้ทุกคน
“คำสาปสถิตฝังแน่นได้แทรกซึมไปทุกอณูของเมือง แม้ข้าจะไม่ใช่คนรักสะอาดนัก แต่ทุกย่างก้าวที่เดินในเมืองนี้ ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินลุยใยแมงมุม พร้อมกับสูดเอาฝุ่นหนาเข้าเต็มปอด ข้ารู้ ๆ ข้าแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เท่านั้นเทรซี เอาล่ะ ขึ้นชื่อว่าคำสาปสถิตฝังแน่น มันคงไม่ถูกถอนออกไปได้ง่าย ๆ หรอกจริงไหม?”
แม็กนัสหันไปมองซูซาน เธอพยักหน้าหงึก ๆ อย่างร่วมมือ ลืมไปเลยว่าเคยอยากบีบคอหมอนี่มากขนาดไหน
“แต่ก็นั่นละ ใช่ว่าจะมืดบอดจนไร้ซึ่งทนทางเสียเมื่อไหร่”
ทั้งห้องกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงถ่านในเตาผิงลั่นดังเปี๊ยะ รีมัสซึ่งนั่งอยู่ข้างวิลเลียมเผื่อกลั้นหายใจก่อนจะรู้สึกตัว แม็กนัสกลับมานั่งอีกครั้ง พอดีกับจังหวะที่นิโคลัสซดน้ำชาเสียงดังสนั่น
“พูดจริงรึ” ซูซานถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “หมายความว่าไงที่ว่ายังพอมีหนทางน่ะ”
ไซมอนดูจะกระสับกระส่ายผิดปกติ เขาเอามือสางผมสีน้ำตาล จากนั้นก็ถอนหายใจเป็นพัก ๆ ดูไม่สบายใจเอาเสียเลย
แม็กนัสสำรวจท่าทางที่เปลี่ยนไปของไซมอน ก่อนจะหันไปสบตากับซูซานและพยักหน้าให้
“ข้าพูดจริง และข้าคิดว่า...” เขาหยุดพูดเสียดื้อ ๆ จากนั้นก็หันไปมองไซมอนซึ่งพยายามหลบสายตา “สามีของเจ้าน่าจะพออธิบายเรื่องนี้ได้”
ประโยคทิ้งท้ายของแม็กนัสสร้างความสงสัยให้แก่นิโคลัสกับเทรซีเป็นอย่างมาก แม็กนัสกำลังทำให้สถานการณ์คลุมเครือ ราวกับว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับพ่อที่พวกเขายังไม่รู้ เห็นได้ชัดเจนจากอาการวิตกกังวลที่เกินจะควบคุมของไซมอน เขากำลังบิดบังอะไรบางอย่าง
ตอนนี้ไซมอนกลายเป็นจุดรวมสายตาไปแล้ว ทุกคนหันไปมองเขาพร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูซาน เธอยกมือขึ้นปิดปากอย่างคาดไม่ถึง
ซูซานมองหน้าไซมอนและพยายามฝืนยิ้ม อันที่จริงเธอคิดว่าอาจจะรู้บางอย่าง แต่ขอให้ไม่ใช่อย่างที่คาดไว้ “มะ…หมายความว่าไงคะไซมอน” ซูซานถามเสียงสั่น ๆ “คุณรู้อะไรมาเหรอ”
“ไม่เอาหน่า เจ้าเลิกลีลาเสียทีเถอะ” แม็กนัสพูดขึ้น สบตาไซมอนตรง ๆ “ไซมอน ฮันเตอร์ เจ้าคงไม่คิดว่าจะปกบิดได้ตลอดไปหรอกใช่ไหม”
โอลาฟ รีมัส วิลเลียม นิโคลัส เทรซีและซูซานจ้องมองพ่อของตัวเองอย่างคาดคั้น ไซมอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงเวลาแล้วสินะ
ไซมอนตัดสินใจยกถ้วยน้ำชาเย็นชืดขึ้นมาจิบ พยายามควบคุมมือไม่ให้สั่นจนเกินไป ซึ่งก็พบว่าทำได้ค่อนข้างยาก เขาเหลือบมองซูซานภรรยาผู้แสนดี ก่อนจะเอ่ยขึ้นทำลายความอึดอัดที่แทบจะสามารถฆ่าเขาได้“ซูซานที่รัก” ไซมอนเรียกชื่อหญิงวัยกลางคนที่นั่งข้าง ๆ
เขาคว้ามือของภรรยาและกุมเอาไว้แน่น ซึ่งนั่นทำให้ซูซานรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
“ไม่ว่าผมจะพูดอะไออกไป ขอให้รู้ไว้ว่าผมรักคุณ”
“สวรรค์ทรงโปรด พูดมาเสียทีเถอะไซมอน” ซูซานว่า เธอไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย
ไซมอนพยักหน้า กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็ตั้งต้นอธิบาย
“คุณเคยสงสัยมั้ยว่าผมสร้างบ้านหลังนี้ได้ยังไงตั้งเจ็ดชั้น”
อันที่จริงซูซานคิดว่าตัวเองรู้มานานแล้วว่าเพราะอะไร แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิดและเฝ้าแต่บอกตัวเองว่าไซมอนเป็นคนหัวดี เขาเก่งเรื่องงานช่าง ซึ่งบ่อยครั้งก็ถูกเพื่อนบ้านถามว่า “สร้างได้อย่างไรกัน ไม่กลัวมันโค่นลงมาหรอกหรือ” แต่ซูซานก็ตอบพวกนั้นไปว่า “เธอลองมีลูกสักแปดคนดูไหม? พนันได้เลยว่าคุณต้องอยากได้บ้านแบบนี้สักหลัง”
ซูซานเริ่มตระหนักได้ว่า การจะสร้างบ้านถึงเจ็ดชั้นเพียงคน ๆ เดียวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้ไม่อยากจะคิดแบบนั้น แต่มันก็ห้ามไม่ได้จริง ๆ เธอพยักหน้าอย่างเชื่องช้า สายตาเหม่อลอย
“แน่นอนว่าต้องอยู่แล้ว” ไซมอนว่า จากนั้นฝืนยิ้ม “ผมรู้ว่านี้อาจเกินกว่าที่จะรับได้ แต่ผมตั้งใจว่าสักวันหนึ่งผมจะบอกคุณ เมื่อถึงเวลา ซึ่งก็คงถึงแล้ว”
“ตระกูลฮันเตอร์ของเรามีประวัติมายาวนานกว่าที่เราคิดเสียอีกที่รัก อืม...จะเริ่มต้นอย่างไรดีล่ะ ถ้างั้นผมขอเล่าย้อนไปตอนที่ผมเป็นเด็กก็แล้วกัน ตอนนั้นผมกับพี่ชายอีกหกคนต้องอาศัยอยู่กับปู่มาเวอริกที่หมู่บ้านเล็ก ๆ นอกเมืองเดอะ เกรนจ์”
“หมู่บ้านท้องไร่เหรอคะ” เทรซีแทรกขึ้น “เราไม่เคยรู้เลยว่าพ่อเคยอยู่ที่นั่น”
ทุกคนจ้องเทรซีราวกับเธอได้กระทำบางอย่างที่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อรู้ตัว เธอจึงปล่อยให้ไซมอนเล่าต่อ “ใช่เทรซี พ่อเคยอยู่ที่นั่นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่ปู่กับย่าของลูก ๆ ตาย”
เสียงของไซมอนฟังดูเศร้าหมอก ก่อนเข้าจะปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ข้าเสียใจด้วย” แม็กนัสพูดขึ้น “เชิญพูดต่อเลย”
“นั่นละ หลังจากที่พ่อแม่เราตาย พวกเราก็ทำเรื่องขอย้ายออกจากเมืองเพื่อไปอาศัยอยู่กับญาติ เราเดินทางไปหาปู่มาเวอริกที่หมู่บ้านท้องไร่ กระท่อมไม้เก่า ๆ คับแคบเกินไปสำหรับเด็กชายวัยกำลังโตถึงเจ็ดคน แต่ทวดของลูก ๆ ใจดีมาก รุ่งเช้าวันต่อมาเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าปู่ต่อเติมและขยายกระท่อมออกไป ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิมและเราก็ไม่ต้องนอนเบียดกันอย่างแออัด แต่คำถามก็คือ ท่านทำได้อย่างไรภายในระยะเวลาคืนเดียว
“แม้ว่านั่นจะแปลก แต่พวกเราก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะคิดว่าท่านน่าจะทำได้สบายอยู่แล้ว เขามีอาชีพเป็นช่างไม้ ซึ่งระหว่างอยู่ที่นั่น พวกเราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวงานไม้จากปู่มาเวอริก เขาสอนวิธีสร้างบ้าน รวมถึงงานแกะสลักด้วย ใช่ มันเป็นงานหลักเลยล่ะ เพราะเราต้องแกะสลักไม้เป็นสิ่งสวยงามตามภาพวาดที่พวกทหารนำมาให้ จากนั้นก็ส่งเข้าพระราชวังเพื่อแลกกับอาหารและเงินตรา
“ทุกเช้ามืดของวันอาทิตย์ พวกเราทั้งเจ็ดคนจะไปรวมตัวกันที่กองไฟเล็ก ๆ หน้ากระท่อม ปู่ก่อกองไฟและนั่งรออยู่ที่ท่อนไม้ยาว ๆ จากนั้นเมื่อทุกคนหาที่นั่งได้แล้ว ท่านก็เริ่มเล่านิทานเกี่ยวกับครอบครัวของเราโดยพยายามสอดแทรกเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไป พวกเราฟังปู่เล่านิทานแบบนี้จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปเสียแล้ว”
ไซมอนหยุดพักและซดน้ำชารวดเดียวหมด ซูซานรีบเติมให้เขาอย่างรวดเร็ว
“เวลาผ่านไปหลายปีจนกระทั่งวันหนึ่งปู่ป่วย พวกเราให้ปู่พักผ่อนขณะที่รับช่วงกิจการต่อ แต่ถึงแม้ปู่ท่านจะป่วยหนักแค่ไหน ท่านก็ยังฝืนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อมาจุดกองไฟในเช้ามืดของวันอาทิตย์ จากนั้นก็เล่านิทานเกี่ยวกับครอบครัวให้พวกเราฟัง จนกระทั่งวาระสุดท้าย
“วันนั้นผมอยู่ในกระท่อม นั่งเฝ้าปู่อยู่ข้าง ๆ เตียง เราสบตากัน ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินที่เข้มมาก ๆ ของท่าน ก่อนปู่ยิ้มให้อย่างอ่อนแรง ตอนนั้นเองที่ปู่มาเวอริกเล่าความลับบางอย่างให้ผมฟัง”“เดาสิว่าคืออะไร” วิลเลียมพูดแทรกขึ้น ก่อนจะโดนซูซานตีเข้าที่แขนและจ้องตาเขียวปัด
ห้องครัวกลับมาเงียบอีกครั้ง โจอี้บิดขี้เกียจก่อนจะเปลี่ยนท่านอน แม็กนัสจิบน้ำชาและนั่งอย่างสบายอารมณ์ ต่างจากเด็ก ๆ ตระกูลฮันเตอร์ที่เอาแต่มองหน้ากันไปมาอย่างใคร่รู้ ก่อนที่ไซมอนจะเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง
“ปู่บอกว่า ‘เราคือพวกเขาและพวกเขาเป็นพวกเรา ในฐานะผู้สืบสายเลือดบาปและทรงอานุภาพ ข้าผู้ซึ่งอาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลขอถ่ายทอดสารลับแก่เจ้า เจ็ดร้อยปี เจ็ดเดือนกับอีกเจ็ดวันหลังจากวันแห่งหายนะ จะถือกำเนิดบุตรชายทั้งเจ็ด แต่เมื่อบุตรชายคนที่เจ็ดให้กำเนิดบุตรคู่แฝดลำดับที่เจ็ดกับหญิงที่ต้องสาป เมื่อนั้นทุกอย่างที่เริ่มต้นจะสิ้นสุด บาปทั้งหลายจะถูกชำระล้าง จดจำคำของข้าและจงถ่ายทอดสารลับนี้ไปสู่ลูกของเจ้าเมื่อถึงเวลานั้น ความหวังทั้งหมดอยู่กับเจ้าแล้ว’”
“ซูซาน ที่ผมจะบอกคุณก็คือ ผมสร้างบ้านหลังนี้ด้วยเวทมนต์” ไซมอนบอกเสียงเบาหวิว “เวทมนต์งานช่างที่ได้รับถ่ายทอดมาจากปู่มาเวอริก”
เมื่อไซมอนพูดจบ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกแหวกของเด็ก ๆ ที่กำลังแตกตื่น รีมัสกับวิลเลียมพยายามแข็งกันถามคำถามไซมอน ขอให้เขาอธิบายเรื่องทั้งหมด ส่วนโอลาฟเอาแต่นั่งนิ่งและจิบชาสมุนไพรโดยไม่ขอออกความเห็น มีเพียงซูซานคนเดียวที่ยังคงมองไซมอนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยหลากหลายความรู้สึก “ไซมอนคะ” เธอเอ่ยขึ้น แผ่วเบาแต่ชัดเจน “ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน แต่ตอนนี้คุณคือสามีที่แสนดีของฉัน เป็นพ่อที่แสนน่ารักของลูก ๆ และฉันขอยืนยันว่าจะรักคุณเสมอ ตลอดไป”
ซูซานพูดออกมาอย่างหนักแน่น ไซมอนมองภรรยาซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอดูเปราะบางเหลือเกิน สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการโกหก ซึ่งนั่นทำให้ไซมอนรู้สึกเกลียดตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเมื่อได้มองดูซูซานเลี้ยงลูก ๆ หรือขณะที่เธอกำลังปรุงอาหารอย่างตั้งใจ ยิ่งทำให้เขาอยากบีบคอตัวเองเสีย เลวร้ายไปกว่านั้นคือการที่เขาเผลอหลับในห้องทำงาน ไซมอนอยากมอบเวลาให้ซูซานมากกว่านี้ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในใจ เขาต้องการเป็นสามีและพ่อที่ไม่มีความลับกับครอบครัว
ไซมอนกับซูซานกุมมือกันและกัน จากนั้นก็โอบกอดก่อนจะจูบ
ลูก ๆ ซึ่งนั่งรายล้อมรอบโต๊ะมองดูพ่อแม่ จากนั้นก็หันไปสบตากันและทำหน้ายิ้ม ๆ แม็กนัสกระแอม จากนั้นเอ่ยขึ้น
“เอ่อ...อะแหม อืม ตามที่ไซมอนกล่าวมานั้นล่ะ เป็นไปตามคำพยากรณ์” แม็กนัสบอก
จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินอย่างวางท่าไปรอบ ๆ ห้องครัว ไซมอนและซูซานมองเขาอย่างเคือง ๆ
“มาเวอริกปู่ของเจ้ามีพรสวรรค์ด้านการทำนาย เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากมาก และแม่นยำน้อยที่สุด แต่เชื่อเถอะว่าคำพยากรณ์ของเขาน่าเชื่อถือที่สุด เพราะตระกูลของเจ้าสืบเชื้อสายมาจากจอมเวทคนแรกแห่งเมืองซานเดียร์”
“ว่าไงนะ!” ทุกคนพูดพร้อมกัน ยกเว้นไซมอน เสียงนั่นดังมากจนทำให้โจอี้สะดุ้งตื่น
แม็กนัสทำหน้าเหมือนพวกเขาเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าเขาคาดหวังอะไรจากครอบครัวฮันเตอร์กันแน่นะ
“ง่าย ๆ เลยนะ ตระกูลฮันเตอร์สืบสายเลือดของผู้นำของผู้ใช้เวท ซึ่งเราเรียกเขาว่าจอมเวท ใช่...รีมุน”
“รีมัสครับ” เจ้าของชื่อแก้ไขให้ถูกต้องอย่างไม่ชอบใจนัก
“ใช่รีมัส เขานั่นล่ะคือคนที่สาปให้เมืองของเจ้าเป็นเช่นนี้ ซึ่งการจะถอนล้างคำสาปสถิตฝังแน่นจำเป็นจะต้องกระทำโดยผู้สืบสันดานเท่านั้น จะเป็นผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด และจำเป็นจะต้องทำโดยบุคคลที่ถูกลิขิต ซึ่งตอนนี้ทั้งสองกำลังนั่งร่วมอยู่กับเรา คู่แฝดน้อง ๆ ของพวกเจ้า พวกเขาคือผู้เปลี่ยนชะตา”
นิโคลัสกับเทรซีมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปมองพ่อกับแม่ซึ่งกำลังทำหน้าเคร่งเครียดสุด ๆ
“ฟังดูเงื่อนไขเยอะชะมัด” รีมัสว่า “ถ้าขนาดนั้นก็ปล่อยเราไปตามยถากรรมเถอะ”
จู่ ๆ แม็กนัสก็หยุดเดินและใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่น ทุกคนสะดุ้งตกใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเขา
“อย่าพูดอย่างนั้นให้ข้าได้ยินอีกเชียวรีมุน ฮันเตอร์” แม็กนัสว่าอย่างฉุน ๆ “รู้ไหมว่าข้าต้องเดินทางไกลเท่าไหร่ ฝ่าฟันอะไรต่อมิอะไรมากมายขนาดไหนเพื่อมาช่วยพวกเจ้าถึงที่นี่”
“แล้วทำไมคุณถึงต้องช่วยพวกเราล่ะ” จู่ ๆ โอลาฟก็ถามขึ้น เขาต้องการรู้เหตุผลว่าทำไมผู้ใช้เวทคนนี้ถึงอยากจะช่วยเมืองของพวกเขาเสียเหลือเกิน
“ใช่ ฉันเห็นด้วยกับโอลาฟ” ซูซานเสริม เธอเองก็อยากรู้เช่นกัน หลังจากฟังอะไรที่เกินความคาดหมายมานาน
ทันใดนั้น นิโคลัสก็นึกอะไรออกเกี่ยวกับตอนที่แม็กนัสบอกเขาตอนแนะนำตัว
“ลูกศิษย์” นิโคลัสโผลงขึ้นมา “คุณเป็นลูกศิษย์ของจอมเวท!”
แม็กนัสหยักหน้าอย่างชื่นชม รู้สึกภูมิใจในตัวว่าที่ลูกศิษย์
“หมายความว่าไง” ซูซานว่า เธอไม่เข้าใจว่านั่นคืออะไร “ลูกศิษย์อะไรกัน”
“หมายความว่าข้าคือผู้ร่ำเรียนเวทมนต์จากผู้ใช้เวทที่ทรงอำนาจในปัจจุบัน” แม็กนัสบอก แต่คราวนี้ดูเป็นการเป็นงาน “ข้าได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจจากท่านอาจารย์และตอนนี้ภารกิจของข้าก็สำเร็จไปเพียงบางส่วนเท่านั้น”
“อย่างเช่นอะไร” ซูซานถามต่อไป เธอพอจะรู้แล้ว่าภารกิจที่สำเร็จไปบางส่วนของแม็กนัสคืออะไร เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย
แม็กนัสกระพริบตาปริบ ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกมนุษย์จะสมองช้าขนาดนี้ พวกเขาควรจะมีโอกาสได้อธิฐานต่อคาวนัน รูนแห่งคำสัตย์และการถ่ายทอดความรู้ บางทีอาจจะช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาบ้าง
“โอแม่นาง เจ้ายังจะต้องให้ข้าพูดอีกหรือ” แม็กนัสว่า
จากนั้นก็เดินไปยังนิโคลัสกับเทรซีซึ่งนั่งอยู่ติดฝั่งหน้าต่าง วาดแขนโอบไหล่ทั้งสองพร้อมกระชับแนบแน่น“นี่ไง ลูกของเจ้า คู่แฝดตามคำพยากรณ์ของมาเวอริก พวกเขาคือผู้เปลี่ยนชะตา”
แม้จะรู้สึกเหมือนได้เป็นนักรบที่ห้าวหาญ แต่นิโคลัสกับเทรซีไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยินดีหรือไม่
“ไม่!” ซูซานตวาดขึ้น จากนั้นก็ลุกและเดินไปประจันหน้ากับแม็กนัส “นั่นเหลวไหลสิ้นดี”
“โถ่คุณนาย ข้าไม่ได้ว่างถึงขนาดมาแต่งเรื่องโกหกให้พวกเจ้าฟังหรอกนะ” แม็กนัสว่าและขมวดคิ้ว “ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ข้าจะรับนิโคลัสกับเทรซีเป็นศิษย์ และพวกเขาต้องเดินทางไปกับข้า”
“โอ แม็กนัสคุณล้อเล่นใช่มั้ย” นิโคลัสพูดขึ้น ตกใจกับสิ่งที่แม็กนัสบอก “คุณจะลักพาตัวเราเหรอ ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”
“เหลวไหล ข้าแจ้งบุพการีเจ้าแล้ว” เขาว่า “ไว้ใจข้าเถอะ ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าได้ จะปลุกปั้นให้พวกเจ้าเป็นผู้ใช้เวทที่เก่งกาจ”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินกลับไปนั่งข้าง ๆ นิโคลัสกับเทรซี เด็ก ๆ มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
แต่ไซมอนกลับลุกพรวด จากนั้นซูซานก็ลุกตาม ทั้งคู่สีหน้าละล่ำละลัก
“แม็กนัส คุณเอาพวกเขาไปไม่ได้นะ” น้ำเสียงไซมอนเป็นกังวลและสื่อถึงความเป็นห่วงชัดเจน “ผมไม่สนคำพยากรณ์นั่น ผมปล่อยให้ลูก ๆ ไปเผชิญกับเรื่องแบบนั้นไม่ได้แน่นอน เดาได้เลยว่าอันตรายมากแค่ไหน”
“ฉันก็ไม่ยอม!” ซูซานว่า เธอถลึงตาใส่แม็กนัส “เราปล่อยให้นิโคลัสกับเทรซีไปกับคนแปลกหน้าไม่ได้หรอกนะ ไหนจะเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน มีอะไรที่คุณจะสามารถรับรองได้ว่าลูกขแงเราจะมีอาหารให้กินอิ่มเพียงพอ มีที่พักให้นอนหลับอย่างสบายใจ ไหนจะการศึกษาเล่าเรียนอีก เด็ก ๆ ต้องเรียนหนังสือนะ”
รีมัส วิลเลียมและโอลาฟพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม็กนัสจะมาเอาตัวน้อง ๆ ของพวกเขาไปไม่ได้ มันง่ายเกินไปไหม จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาและบอกว่า “เฮ้ ฟังนะ คู่แฝดน้องของนายเป็นพวกมีพลังพิเศษ ฉันต้องพาพวกไป เพื่อไปกู้โลก!” นั่นบ้าไปแล้ว เขาต้องเสียสติแน่ ๆ รีมัสคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอมเด็ดขาด ถ้านิโคลัสกับเทรซีไม่อยู่แล้ว เขากับวิลเลียมจะแกล้งใครล่ะ คงไม่ใช่โอลาฟหรอกนะ
แม็กนัสถอนหายใจ เขาหลุบสายตามองพื้น ก่อนจะเงยมาสบดวงตากลมโตสีน้ำผึ้ง ดวงตาคู่นั้นลื่นไปด้วยน้ำตา เขารู้ว่าถึงเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่าง บางอย่างที่สำคัญพอ ๆ กับชีวิตของเขา
“พวกท่านทั้งหลาย” แม็กนัสปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวล “แม้ข้าจะไม่อาจพูดให้พวกเจ้าเชื่อในคำของข้าได้”เขาหยุดพัก จากนั้นก็สูดอากาศเข้าลึก ๆ และผ่อนออกมา
“แต่นี่คือวิธีด้วยที่ข้าจะมอบความสัตย์และความเชื่อใจให้ได้”
พูดจบแม็กนัสก็ลุกขึ้น นิโคลัสกับเทรซีสัมผัสได้ถึงอากาศที่ทำให้ผิวหนังคันยิบ ๆ อากาศรอบตัวของแม็กนัสเกิดประจุไฟฟ้า พวกเขาสังเกตเห็นแสงระยิบระยับรอบตัวแม็กนัส แสงสีแดงนั่นแผ่กระจายเป็นวงกว้างก่อนจะลามไปทั่วห้องครัว เปลี่ยนห้องนี้ให้กลายเป็นสีแดงเรืองแสงในพริบตา ทุกคนแทบจะกรีดร้องอย่างหวาดกลัว แต่ก็พยายามยับยั้งเอาไว้
วินาทีต่อมา สัญลักษณ์เหมือนลูกศรก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันลอยอยู่เหนือโต๊ะทานอาหาร ในระดับสายตาของทุกคน โดยกำลังเรืองแสงสีทองสลับกับสีแดง
“ข้าแม็กนัส พาราดีนย์ รอดเจอร์ ขอสาบานต่อตระกูลฮันเตอร์ว่าจะดูแลนิโคลัสกับเทรซี ฮันเตอร์อย่างดีที่สุด ทั้งคู่จะกินอิ่มนอนหลับและได้รับการเล่าเรียนอย่างดี ข้าจะปกป้องและช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากอันตรายถึงชีวิต อย่างเต็มที่ อย่างสุดความสามารถ และถ้าหากข้าผิดสาบาน หรือว่านิโคลัสกับเทรซี ฮันเตอร์มีอันเป็นไป ขออำนาจแห่งรูนคาวนันจงดับชีพข้าตามไปด้วย ด้วยใจจริงและสัจนิรันดร์ ข้าสาบาน”
จากนั้นทั้งห้องก็กลับมาเป็นปกติ แสงที่แดงที่แผ่มาจากตัวแม็กนัสหายไปแล้ว พร้อมกับอักษรรูนคาวนันทุกคนในครอบครัวฮันเตอร์ได้แต่อ้าปากค้าง เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะได้เห็นเวทมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามมาก ๆ ซูซานตัวสั่นจนไซมอนต้องโอบเธอเอาไว้ รีมัสกับวิลเลียมบีบขอบโต๊ะแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ส่วนโอลาฟยกมือทาบอกและจ้องแม็กนัสตาโต
ขณะเดียวกัน สิ่งที่แม็กนัสกระทำลงไปสร้างความรู้สึกแปลก ๆ แก่นิโคลัส เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ มันคือความไว้ใจ ความมุ่งมั่นและความหวัง ราวกับแม็กนัสได้นำเขาไปสู่ทางสว่าง แวบหนึ่งใบหน้าของอัลบี้ก็ฉายเข้ามาในหัวสมอง เด็กชายผอมแห้งสกปรกมอซอ ต้องกินอยู่อย่างอดอยาก ไร้ซึ่งบ้านจะซุกหัวนอน นิโคลัสไม่ต้องการให้มีใครเป็นแบบนั้นอีกแล้ว
แม้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่นั่นไม่สำคัญ นิโคลัสสบตาเทรซีซึ่งนั่งถัดไปจากแม็กนัส นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ความสามารถลับของคู่แฝดทำงาน ทั้งสองเข้าใจความคิดของกันและกันโดยอัตโนมัติ
“เราเชื่อใจคุณแม็กนัส” นิโคลัสบอกและยิ้มบาง ๆ “เราจะไปกับคุณ”
ไซมอนกับซูซานถลึงตาใส่พวกเขา โอลาฟตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เทรซีแย้งขึ้นมาก่อน
“หนูไม่อยากอยู่แบบนี้ต่อไปจนแก่จนเฒ่าหรอกนะคะ” เทรซีว่า “หนูทนเดินไปตามถนนและเห็นพวกคนอดอยากไม่ได้อีกแล้ว พวกเขาน่าสงสารมากและไม่ควรมีชีวิตแบบนั้นเลย ช่างไม่ยุติธรรม”
“ถ้าหากช่วยได้” นิโคลัสว่า “ผมก็ยินดี”
ไซมอนมองหน้านิโคลัสกับเทรซีสลับไปมา ก่อนจะถอนหายใจ
“นิโคลัส เทรซี” ไซมอนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าลูก ๆ ทั้งสอง “คงถึงเวลาแล้วจริง ๆ พ่อรู้ว่าคงรั้งพวกลูกไม่ได้ ตะ...แต่พ่อขอบอกกับลูกเอาไว้ เมื่อไหร่ที่พวกลูกเหงา เศร้าหรือเหนื่อยจนอ่อนล้า ไม่ต้องมองหาที่ไหนอื่นไกล กลับบ้านของเราลูกรัก บ้านหลังนี้พร้อมต้อนรับพวกลูกเสมอ”
ช่วงเวลานั้นที่สามพ่อลูกสบตากัน ราวกับโลกหยุดหมุนตัวเองไปชั่วขณะ ความรู้สึกอบอุ่นแล่นไปทั่วภายในจิตใจของนิโคลัส เทรซีก็เช่นกัน ไม่มีใครวิเศษไปกว่าพ่อของเขาอีกแล้ว ยกเว้นแม่กับพวกพี่ ๆ
ซูซานลุกขึ้น เธอเดินตรงไปยังนิโคลัสกับเทรซีและรวบตัวพวกเขาเข้ามากอดแนบแน่น ไซมอนตามมากอดสมทบ จากนั้นโอลาฟ วิลเลียมและรีมัสก็เข้ามาร่วมวงกอดจนเหมือนก้อนกลม ๆ โดยมีแม็กนัสยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ไม่นานกลุ่มก้อนตรงหน้าก็แตกออก
“โถ่ลูกแม่” ซูซานพูดขึ้น หลังจากปาดน้ำตาที่ซึมออกมา “ช่างกะ...กล้าหาญเหลือเกิน แม่ภูมิใจในตัวลูก ๆ มากจ้ะ”
แม็กนัสทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็ล้วงนาฬิกาห้อยคอออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม หน้าปัดเล็ก ๆ ที่มีเข็มสามเข็มชี้ไปยังตัวเลขต่าง ๆ บอกว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า ๆ ถึงเวลาต้องไปแล้ว
แม็กนัสลุกขึ้นและเก็บนาฬิกาเข้ากระเป๋าดังเดิม นิโคลัสกับเทรซีมองตามขณะที่กำลังเดินไปยังประตูครัว จากนั้นเขาก็หันมาและพูดขึ้น
“เราต้องไปกันแล้วนิโคลัส เทรซี” แม็กนัสบอก ก่อนจะหันไปมองซูซานและไปซมอน “วางใจเถอะ ข้าจะมั่นส่งจดหมายรายงานความเป็นอยู่ถึงพวกเจ้า”
“เดี๋ยวสิแม็กนัส” นิโคลัสว่า “คุณจะไม่ให้เวลาเราเก็บของซักหน่อยเหรอ”
แม็กนัสส่ายหน้าจากนั้นก็พูดว่า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปนิโคลัส” เขาบอก “ขอเพียงแค่หนังสือเล่มนั้น กับตัวเจ้าก็พอ”
ขณะเดียวกัน รีมัสกับวิลเลียมกำลังซุบซิบและถกเถียงอะไรกันบางอย่าง ท่าทางดูจริงจังมาก พวกเขาถองข้อศอกใส่ซี่โครงกันไปมา ก่อนวิลเลียมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้
ทุกคนจับจ้องที่สองคนนี้ รอฟังสิ่งที่วิลเลียมกำลังจะพูด
“เอ่อ...คือว่า...เออหน่า ฉันรู้แล้วรี เงียบไปเลย!” วิลเลียมยังคงถกเถียงกับรีมัส ก่อนรวบรวมควมกล้าและพูดต่อ “เราสองคนตัดสินใจแล้วว่าจะไปด้วย”
“ว่าไงนะ!”
ทุกคนโผลงออกมาพรอ้มกัน ซูซานทำท่าเหมือนจะเป็นลม เทรซีเข้าไปประครองและให้เธอนั่งลง
“วิลเลียม นายบ้าไปแล้วเหรอ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” โอลาฟเอ่ยปากในที่สุด หลังจากยอมกลั้นใจปล่อยให้นิโคลัสกับเทรซีตามหมอผีสติเฟื้องไป แต่จากนี้ไปเขาจะไม่ยอมให้คนในครอบครัวลดหายไปมากกว่านี้ บ้านจะร้างขนาดไหนท่าไม่มีเสียงวิ่งแข่งกันขึ้นลงบันไดของเด็ก ๆ (แม้โอลาฟจะไม่อยากยอมรับว่ามันช่วยให้มีสีสันก็ตาม)
“โอลาฟ ฉันคิดดีแล้ว” วิลเลียมบอกเสียงหนักแน่น “ฉันปล่อยนิคกับเทรซ ไปแบบนั้นไม่ได้ พวกเขาต้องมีใครสักคนในครอบครัวคอยดูแล”
คำอธิบายข้อนี้ทำให้โอลาฟไปต่อไม่ถูก เขาเห็นด้วย เขาเองก็ไม่สามารถให้นิโคลัสกับเทรซีเดินทางไปกับแม็กนัสได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ตัดสินใจออกไปสูดอากาศนอกบ้าน
แม็กนัสจ้องมองเด็กชายผอม ๆ สองคนตรงหน้า ทั้งคู่มีดวงตาสีน้ำน้ำผึ้งเหมือนซูซาน เข้ากันกับผมสีน้ำตาลอ่อนในแบบของไซมอน เขาประเมินรีมัสกับวิเลียมอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบตกลง
ซูซานปล่อยโฮออกมาทันที ไม่อาจเก็บไว้ได้อีกแล้ว วันนี้มีเรื่องเข้ามามากเกินจะรับไหว เธอต้องจากกับนิโคลัสและเทรซี แล้วตอนนี้ยังจะต้องจากกับรีมัสและวิลเลียมอีก เกินไปแล้ว สวรรค์ต้องกลั่นแกล้งเธอแน่ ๆ
รีมัสกับวิลเลียมมองดูแม่ของเขาร้องไห้จนตาบวม รู้สึกสงสารเธอจับใจ เธอเป็นแม่ที่ดีที่สุดและไม่สมควรต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้ แต่ในฐานะของคนเป็นพี่ พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องน้อง ๆ แม้จะไม่มั่นใจว่าจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง แค่อย่างน้อย ๆ นิโคลัสกับเทรซีจะไม่มีวันเหงาแน่นอน
“ฝากดูแลน้องแทนพ่อกับแม่ด้วย” ไซมอนพูดเสียงสั่นเครือ “ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ กินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”นิโคลัสกับเทรซีสบตากัน จากนั้นก็หันไปมองรีมัสกับวิลเลียม พวกเขาดูเป็นที่ชายที่แสนดีมาก ๆ ในตอนนี้ จนอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้
แม็กนัสให้เวลารีมัสกับวิลเลียมสามสิบนาทีเพื่อจัดเก็บข้าวของ พวกเขาจัดการโยนทุกอย่างลงในกระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งลงบันไดลงมายังห้องครัว เสร็จสิ้นก่อนเวลากำหนดเสียด้วย แม็กนัสยิ้มแฉ่งและชื่มชนต่อความกระฉับกระเฉงของพวกเขา
“ดีมาก ไปกันเถอะ” เขาบอก จากนั้นก็เดินนำหน้าและเปิดประตูบ้านออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวฮันเตอร์ก็มารวมกันอยู่ที่ทางเดินหน้าบ้าน หลังจากกล่าวอำลาและกอดกันเป็นครั้งสุดม้าย กลุ่มก้อนใหญ่ ๆ ก็แตกออกเป็นสอง โดยกลุ่มแรกประกอบไปด้วยแม็กนัส นิโคลัส เทรซี รีมัสและวิลเลียม พวกเขายืนอยู่ติดประตูรั้ว เตรียมพร้อมจะจากไป ส่วนที่เหลือยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน ไซมอนโอบไหล่ซูซานไว้ ประครองไม่ให้เธอล้มพับลงไปกองกับพื้นและร้องไห้ฟูมฟายอย่างบ้าคลั่ง
“ดะ...ดูแลตะ...ตัวเองด้วย” ซูซานสะอึกสะอื้น ใช้ชายผ้ากันเปื้อนซับน้ำตา “ยะ...อย่าลืมส่งจะ...จดหมายมาหาหาแม่บะ...บ้าง”
“กลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะ” โอลาฟบอก จากนั้นก็ยิ้มให้พวกน้อง ๆ “พี่จะรอ แต่ขอบอกก่อนว่าไม่รับคนขาเป๋เข้าบ้าน เพราะฉะนั้นต้องกลับมาอย่างปลอดภัย สัญญาได้มั้ย”
วิลเลียม รีมัส นิโคลัสและเทรซีพยักหน้ารับ
แม็กนัสเปิดประตูรั้วและเดินออกไปรอที่ถนนหน้าบ้านแล้ว ซูซานสะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม
“ลาก่อนฮะ” เด็กชายทั้งสามบอกพร้อมกัน จากนั้นก็โบกมือไปมาในอากาศ ไซมอน ซูซานและโอลาฟทำเช่นเดียวกัน
“เราจะมาเยี่ยมบ่อย ๆ หนูสัญญา” เทรซีบอกตบท้าย ก่อนจะตามทุกคนออกไปข้างนอก
ภาพบรรยากาศครอบครัวหายไปหลังบานประตูรั้วถูกปิด รีมัสกับวิลเลียมต่างสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลัง มันใหญ่กว่าขนาดตัวค่อนข้างมาก ทำให้ดูเหมือนเต่าพิการ ต่างจากนิโคลัสกับเทรซีที่มีแค่ถุงย่ามคนละใบ เมื่อมองหน้ากันไปมาอยู่สักพัก พวกเขาก็ออกเดินไปตามตรอกสายฟ้า มุ่งสู่ถนนราชา
ขณะเดินห่างออกไปจากเขตบ้าน พวกเด็ก ๆ ก็หันมามองบ้านทรงสูงที่เด่นสะดุดตาเป็นระยะ ๆ พวกเขาจากบ้านอันแสนอบอุ่นและห้องนอนที่แสนจะส่วนตัว ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร ไม่มีใครนึกภาพออกเลย
“เรากำลังจะไปไหน” เทรซีเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงถนนราชา
แม็กนัสยกมือป้องแสงแดดที่ส่องตา เขามองไปทางทิศตะวันตกของเมือง ก่อนจะตอบคำถามของเทรซี
“โรงเรียนใหม่ของเจ้า” แม็กนัสว่า “เราจะไปที่นั่น ตอนนี้”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา