The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย

10.0

เขียนโดย ชลันธรี

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.

  9 chapter
  0 วิจารณ์
  9,784 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ที่ราบลาซ่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                เป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วที่เฟเรย์และคณะเดินทางที่ตอนนี้มีเด็กหนุ่มผู้แสวงโชคอย่าง เบล และทหารหนุ่มเลือดร้อนอย่างมารอนเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกสองคนได้รอนแรมผ่านที่ต่างๆบนเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางออกสู่เขตของอาณาจักรอื่นๆอย่างเงียบเชียบ ภารกิจของพวกเขายังคงเป็นความลับตลอดการเดินทางที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เนื่องจากตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นร่องรอยของการโจมจีจากพวกแวมไพด์ของตระกูลฟาลาโมอยู่เรื่อยๆ ยิ่งออกห่างจากเขตแดนของคริสเทนมอมากเท่าไหร่ร่องรอยยิ่งชัดเจน หลายครั้งที่พวกเขาผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่เป็นหมู่บ้านที่ดูออกว่าเพิ่งจะร้างไปใหม่ๆโดยไม่รู้ว่าชาวบ้านนั้นอภยพเข้าไปในคริสเทนมอ หรือว่าโดนพวกแวมไพด์ล่าตัวกลับไปสู่ราเรียมเพื่อเป็นทาสเลือด

“ข้างหน้าเป็นที่ราบลาซ่าแล้วท่านเฟเรย์” ทหารนายหนึ่งในคณะเดินทางเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะลอม้าลง

“บ่ะ ให้ตายสิในที่สุดก็ถึงจนได้ข้าเกลียดกลิ่นสาปพวกฟอน กลิ่นยังกะแกะเน่า”

ทหารในคณะเดินทางโพร่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงกลิ่นของพวกฟอนจากมุกตลกของเพื่อนร่วมทาง “ฟอน” อีกชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ร่วมกันและถือเป็นพันธมิตรกับมนุษย์ พวกฟอนกระจัดกระจายออกเป็นหลายพวกแต่ส่วนใหญ่พวกเขายังคงนับถือเทพบิดรองค์เก่าบาลา และเทพมารดาลอเนีย และตั้งรกรากอยู่บนที่ราบที่มีชื่อว่า “ลาซ่า” พวกเขามีลักษณะร่างครึ่งบนเป็นมนุษย์ บนหัวมีเขาเล็กๆและมีส่วนท่อนล่างเป็นสัตว์คล้ายพวกแพะหรือแกะ แต่ก็มีพวกฟอนบางกลุ่มที่นับถือเทพบิดรองค์ปัจจุบันอย่างลอมานัม และแยกตัวออกไปตั้งรกรากใกล้กับอาณาจักรเอนเดอร่า

“เอาน่าพวกท่านก็ทนๆสักหน่อยการมาถึงที่ราบลาซ่านี่หมายถึงเราก็เข้าใกล้จุดหมายมาเกินครึ่งทางแล้ว” เฟเรย์พูดพร้อมกับชี้ไปที่เส้นขอบฟ้าไกลสุดลุกหูลุกตา

“ข้าไม่ได้ผ่านมาทางนี้นานมากแล้ว หลังจากที่นี่ก็คงจะเป็นสมอลบริดจ์ โอว... ข้ายังจำกลิ่นและเสียงของหุบเหวน้ำตกใต้สะพานหินแห่งนั้นได้ดีทีเดียว แหม คิดถึงแล้วก็สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก”

“เอาเถอะท่าน กลิ่นอะไรก็คงจะดีกว่ากลิ่นพวกฟอนล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ว่าเสียงดนตรีของพวกฟอนคงจะเพราะกว่าเสียงน้ำตกใต้หุบเหวของสมอลบริดจ์แน่ๆ”

การสนทนาและมุกตลกเป็นที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวในยามเดินทางไกลให้แก่คณะเดินทางเล็กๆแต่มีภารกิจอันยิ่งใหญ่กลุ่มนี้

                ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงที่ราบลาซ่าในเวลาโพล้เพล้ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบซึ่งมีสภาพเป็นป่าโปร่ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ถูกสร้างเป็นหมู่บ้านโดยมีบ้านแบบชาวฟอนที่ทำจากไม้ขนาดย่อมๆกระจัดกระจายกันไปอยู่บนพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้พวกฟอนสร้างบ้านเรือนกระจายอยู่ในพื้นที่แค่ครึ่งเดียวของพื้นที่ทั้งหมดที่มีนั่นเป็นเพราะว่าที่ราบลาซ่ามีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ พื้นที่ครึ่งหนึ่งของที่ราบแห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของผนึก ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทอดตัวยาวออกไปอยู่นอกอาณาเขต นั่นทำให้พวกฟอนที่นับถือเทพบิดรองค์เก่าเลือกที่จะสร้างบ้านและครอบครัวอยู่ในเขตชั้นในซึ่งอยู่ในเขตผนึกจากหอคอยทั้ง 8 มากกว่านั่นเอง

“นี่กลิ่นอะไรเนี่ยมารอน สาปจนข้าปวดหัวไปหมดแล้ว หรือว่า...กลิ่นของพวก ฟอ...”

มารอนรีบเอามือปิดปากของเบลที่นังอยู่บนม้าด้านหน้าของเขา เมื่อสังเกตเห็นชาวฟอนสองสามตนซึ่งดูเหมือนจะรู้จักกับเฟเรย์เดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้กับคณะเดินทาง เมื่อพวกเขาเข้าสู่เส้นทางภายในหมู่บ้านเล็กๆบนที่ราบลาซ่า

“แหหหหะ แหะ ท่านเฟเรย์เป็นอย่างไรสบายดีหรืออะไรนำท่านมาสู่ลาซ่าได้ล่ะนี่ แหะ แหะ”

 “สวัสดี อัส เจ้าสบายดีหรือไม่เจอกันเสียหลายปีหวังว่าภรรยาของเจ้าและลูกชายจะสบายดีเช่นกันกับเจ้าด้วยนะ”

เสียงพูดภาษามนุษย์ปนกับเสียงกรนของลำคอคล้ายเสียงแกะจากฟอนตนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้นก่อนที่เฟเรย์จะกล่าวทักทายกลับไปอย่างสุภาพ

“พวกเขาสบายดี แหหหะ ให้ข้าเล่นเพลงให้พวกท่านเป็นการต้อนรับแบบลาซ่าก่อนเถอะ นี่เป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว แหหหะ”

ฟอนที่ชื่ออัสหันหลังไปหาฟอนอีกสองตนที่อยู่ข้างหลัง ตนหนึ่งใส่เสือผ้าอย่างสตรีชาวฟอน ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นผู้ชายเขาเปลือยช่วงบนแต่ใส่กางเกงแบบเอี๊ยมคาดไว้บนไหล่ พวกเขาไม่รอช้ารีบหยิบหีบเพลงที่ทำจากไม้และขลุ่ยไม้ขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มบรรเลงดนตรีขึ้นกลางถนนจนเป็นที่ดึงดูดสายตาของฟอนอื่นๆที่กำลังใช้ชีวิตประจำวันในยามเย็นอยู่รอบๆ

“แหหหะ ส่วนข้าจะเต้น” อัสฟอนซึ่งเป็นเพื่อนกับเฟเรย์เริ่มขยับกรีบเท้าที่มีขนดกหนาเป็นเสียงเตาะแตะให้จังหวะที่ถนนดังแท่บ แท่บๆ

                อัสวาดลวดลายระบำต้อนรับของชาวฟอนที่กลางถนนจนดึงดูดเหล่าฟอนตนอื่นๆที่คลั่งไคล้เสียงดนตรีให้มามุงดู บ้างก็เต้นตามอีกถึงห้าหกตน

“พวกเขาเต้นเก่งจริงๆ แถมเล่นดนตรีเพราะอีกด้วยนะนี่”

“ใช่ แม้ว่าจะสาป..ไปหน่อย”

เสียงเบลกล่าวชื่นชมก่อนที่ทหารคนที่ไม่ชอบกลิ่นสาปของฟอนจะน้อมหัวลงมากระซิบที่ข้างหูเบลเบาๆ และเดินออกไปเต้นรำกับพวกฟอนหลังจากกระซิบเหน็บแนมเสร็จ

แววตาของเบลและมารอนเป็นประกายพวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะว่าตั้งแต่เกิดมาพวกเขาไม่เคยเห็นฟอนตัวเป็นๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นภาพในหนังสือของห้องสมุดอยู่บ้างแต่การได้พบเจอฟอนตัวเป็นๆ ได้เดินทางมาที่ลาซ่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน ในใจของพวกเขารู้สึกปลื้มปริ่ม อาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งแต่แทนที่ด้วยความภูมิใจและคิดว่า ในหมู่เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจากคริสเทนมอ จะต้องไม่มีใครเคยเห็นฟอนตัวจริงๆอย่างที่พวกเขาเห็นแน่ๆ

“ไปเต้นกันเถอะเบล” มารอนพูดพร้อมกับดึงแขนของเบล เข้าสู่การเต้นรำกับเด็กสาวชาวฟอนที่ระบำอยู่ในวงก่อนหน้านั้นแล้วด้วยความสนุกสนาน

                เวลาผ่านไปสักพักจนการเต้นรำต้อนรับที่กลางถนนในหมู่บ้านยุติลง อัสได้เชิญให้คณะเดินทางค้างแรมกับพวกเขาซึ่งเฟเรย์และคณะก็ได้นำม้าและสัมภาระของตนไปจัดเก็บที่บ้านของอัสอย่างเรียบร้อยในค่ำวันนั้น นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เฟเรย์และชาวคณะเดินทางรู้สึกอุ่นใจที่สุดตลอดการเดินทางทำภารกิจครั้งนี้ในช่วงเกือบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะคืนนี้พวกเขาจะได้นอนหลับอย่างเต็มตาเสียที เนื่องด้วยฟอนเป็นชนเผ่าที่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกแวมไพด์หมู่บ้านของพวกเขาจึงไม่เคยถูกพวกแวมไพด์ จากราเรียมเข้าโจมตีมาก่อนแม้ว่าจะมีพื้นที่ครึ่งหนึ่งทอดตัวอยู่นอกเขตผนึกก็ตาม

“อัส ว่าแต่ท่านยายมิสตี้ สบายดีหรือข้าไม่ได้พบท่านนานมากแล้วตั้งกี่ปีได้แล้วนะ 12ปีมั้ง”

“15ปีแล้วเฟเรย์ แหหหะ”

“โอ้ ใช่ๆ 15ปีความจำของพวกท่านชาวฟอนนี่ดีจริงๆนะ”

“แหหหะ ท่านยายมิสตี้สบายดี แหหะ จริงๆท่านยายเหมือนจะรู้เลาๆด้วยซ้ำว่าท่านกำลังจะมา แหหหะ”

“หือ ท่านยายมิสตี้ทราบได้อย่างไรว่าข้าจะมา”

“ท่านนี่ความจำไม่ดีเอาเสียเลยนะเฟเรย์ มนุษย์ทุกคนความจำแย่เหมือนท่านหรือเปล่า แหหหะ ท่านยายมิสตี้เป็นดรูอิดนะท่านย่อมรู้และจับกระแสการเปลี่ยนแปลงของพลังต่างๆที่ผิดปรกติได้ แต่จริงๆท่านไม่ได้เจาะจงว่ารู้หรอกว่าเป็นท่าน ท่านแค่พูดออกมาว่า มีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังกำลังจะมาที่หมู่บ้านของเรา ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็เลยละแวดละวังเป็นพิเศษ แหหหะ แล้วก็ไปพบท่านนั่นล่ะข้าถึงนึกได้ว่าสิ่งนั้นอาจจะเป็นท่าน หรือมาพร้อมกับท่านก็ได้ แหหหะ พวกเราไปพบท่านกันเถอะท่านยายมิสตี้คงจะดีใจแน่ๆ”

อัสเท้าความถึงเหตุการณ์ในช่วงก่อนหน้าที่เฟเรย์จะมาถึงลาซ่า ก่อนที่จะชักชวนเฟเรย์ออกไปพบกับยายมิสตี้ซึ่งเป็นดรูอิดของชนเผ่าฟอนผู้เป็นเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณ และผู้อาวุโสในหมู่บ้านบนที่ราบลาซ่าแห่งนี้ เฟเรย์ตกปากรับคำอย่างนอบน้อม พร้อมกับคิดว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้เลยตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกับเหล่าอัศวินดำดาร์คพาลาดินเมื่อ 15 ปีก่อนที่ชาวเผ่าฟอนบนที่ราบลาซ่าร่วมมือกับมนุษย์ต่อต้านอัศวินผู้ชั่วร้ายเหล่านั้น

“ดีเลยอัส ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าท่านยายมิสตี้จะว่าอย่างไรบ้างถึงการมาของข้า บางทีท่านอาจจะให้คำตอบในสิ่งที่ข้าอยากรู้ได้”

“แหหหะ ดีมากๆงั้นข้าขอไปคุยกับเจ้า “รูน” ม้าของท่านก่อนล่ะ แหหหะ คิดถึงมันมากไม่ได้คุยกับมันเสียนาน แหหหะ ท่านอาบน้ำเสร็จก็เรียกข้าแล้วกัน”

เฟเรย์กล่าวพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตนเพื่อเตรียมอาบน้ำชะระร่างกายและความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานที่ผ่านมา

                เฟเรย์หย่อนร่างของตนลงในถังไม้สำหรับอาบน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีลำลางไม้ชักน้ำใสจากลำธารใกล้ๆที่พักของอัสเข้ามาเพื่อใช้ในบ้าน  ซึ่งนี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วเขาหลับตาลงผ่อนคลายเต็มที่ปล่อยให้ร่างสำผัสกับน้ำใสนิ่งในถังไม้นั่นมันทำให้เขาสงบใจลงจากภารกิจที่กำลังเผชิญได้อย่างน้อยก็ครู่หนึ่ง พลางคิดถึงคำพูดของอัสที่เล่าว่าท่านยายมิสตี้ดรูอิดประจำเผ่าทราบถึงพลังที่เปลี่ยนแปลงบางอย่างกำลังตรงมาที่นี่

“อะไรบางอย่างที่ทรงพลัง อะไรบางอย่างที่ทรงพลังงั้นรึ หรือจะเป็นหน้ากาก.....นั่น”

เฟเรย์คิดพลางพยายามตัดสินใจถึงการจะนำหน้ากากวัตถุทรงพลังประหลาดนั้นไปให้มิสตี้ดูดีหรือไม่ เผื่อเขาจะได้คำตอบหรือข้อมูลอะไรมากขึ้นก่อนที่จะไปถึงหอคอยแห่งความพินาศซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทาง เขาคิดทบทวนถึงสงครามกับอัศวินดำดาร์คพาลาดินเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งยายมิสตี้เป็นหนึ่งในดรูอิดผู้มีบทบาทอย่างมากในการร่วมศึกสงครามครั้งนั้นแม้ว่านางจะมีความคิดเห็นไม่ค่อยจะลงรอยกับท่านลุงโคเธียรและมักโต้เถียงกันบ่อยๆในแบบที่ “นักปกครอง” และ “นักบวช” มักขัดแย้งกันในประเด็นการเมือง แต่ก็นับว่านางเป็นฟอนที่ดีและไว้ใจได้ตนหนึ่ง และในที่สุดเฟเรย์ก็ตัดสินใจว่าจะนำหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากประหลาดที่เขาติดตัวมาด้วยไปพบกับมิสตี้ดรูอิดประจำเผ่าฟอนแห่งที่ราบลาซ่าเพื่อขอคำแนะนำ

                เฟเรย์แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆของมนุษย์ที่อัสยังมีเหลือเก็บไว้ตั้งแต่การสงครามครั้งก่อนที่ฟอนร่วมมือกันกับมนุษย์ ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ดีนักแต่อย่างไรก็ดีกว่าเสื้อผ้าโสโครกที่เขาได้ใส่ตรากตรำในการเดินทางมาในช่วงเกือบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา อัสและเฟเรย์ เดินตรงไปตามทางดินเล็กๆที่สองข้างทางรายรอบไปด้วยโคมไฟที่ทำจากกิ่งไม้ซึ่งมีตะเกียงที่ทำจากดอกไม้ชนิดพิเศษที่ดึงดูดหิ่งห้อยให้มารวมตัวกันเพื่อใช้เป็นแสงสว่างแบบธรรมชาติให้กับหมู่บ้านตลอดทั้งคืน

ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆที่มีต้นพลัมโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านซึ่งสามารถมองเห็นได้แต่ไกลเนื่องด้วยขนาดของมันใหญ่โตเด่นเป็นสง่ากว่าต้นไม้ทั่วไปในป่าโปร่งที่ถูกสร้างเป็นหมู่บ้านแห่งนี้ และเมื่อใกล้เข้าไปเมื่อสายตาของเฟเรย์เริ่มชินกับแสงนวลของหิ่งห้อยแล้วเขาก็ได้เห็นว่าต้นพลัมขนาดยักษ์นั้นออกดอกสีชมพูงดงามสะพรั่งทั้งต้นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูของมันเลย เฟเรย์ตะลึงงันในความงามและความยิ่งใหญ่ของมันแม้ว่าจะเห็นมันแต่ๆไกลๆก่อนเข้าถึงหมู่บ้านมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม

“แหหหะ สวยใช่ไหมล่ะท่าน ต้นพลัมนี่งดงามและให้ลูกตลอดปี มันเป็นเช่นนี้เพราะพลังวิเศษจากท่านยายมิสตี้ไงล่ะ แหหหะ”

อัสหัวเราะคิกในอาการตื่นความงามของเฟเรย์ ทั้งคู่เดินผ่านทางดินเล็กๆขึ้นสู่เนินตรงนี้เฟเรย์ก็ได้เห็นว่าบนต้นพลัมนั่นถูกสร้างเป็นเรือนไม้ที่ดูเรียบง่ายสมถะอยู่ตรงกลางลำต้น หลังคาของเรือนไม้นั้นเต็มไปด้วยดอกสีชมพูอ่อนของพลัมที่ร่วงหล่นมาบนหลังคาส่วนใต้โคนต้นไม้ก็มีพวกต้นไม้กาฝากขึ้นแน่นอยู่ด้านล่างแต่ไม่มีบันไดขึ้นไปสู่เรือนไม้

“แหหหะ แหหหะ ท่านยายมิสตี้ๆ ข้าอัสเอง แหหหะ ข้าพาคนที่ท่านน่าจะอยากพบมาให้ท่านฟื้นความทรงจำหน่อย แหหหะ”

“เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าอัสมีเจ้าเป็นฟอนติดอ่าง ร้อง แหหหะ แหหะ อยู่คนเดียวทั้งหมู่บ้าน รีบๆพาเจ้าหนูตาสีฟ้านั่นขึ้นมาพบข้าเสียทีเดี๋ยวจะดึกดื่นค่อนคืนไปซะก่อน”

เฟเรย์ยิ้มน้อยๆแต่ไม่ประหลาดใจที่มิสตี้ทราบว่าตนเองจะมาหาเพราะตั้งแต่การเต้นรำต้อนรับเขาและคณะเดินทางมิสตี้ก็คงจะทราบถึงการมาถึงของเขาแล้ว

ทันใดนั้นเองพวกไม้เลื้อยกาฝากที่อยู่ใต้โคนต้นพลัมยักษ์นั่นก็ขยับเขยื้อน ก่อนที่สานตัวเองจนกลายเป็นบันไดวนขนาดใหญ่พาดเลื้อยรอบลำต้นขึ้นไปสู่ประตูบ้านของดรูอิดชราชาวฟอนผู้มีวิชาแก่กล้าตนนี้

                อัสเดินนำหน้าเฟเรย์ขึ้นบันไดไม้เลื้อยที่ดูบอบบางทว่ากลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อพวกเขาขึ้นไปถึงประตูบ้านที่เปิดออกรอต้อนรับพวกเขาทั้งสองมาได้สักครู่แล้ว เมื่อทั้งคู่เข้าสู่ตัวบ้านที่ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ขนาดย่อมกว่าบ้านของฟอนทั่วไปเล็กน้อยและพบกับเจ้าของบ้านนั่งสานหีบเพลงปากด้วยใบไม้แห้งตะกร้าหนึ่งอยู่

“สวัสดีท่านยายมิสตี้ ไม่ได้เจอกันนานมากท่านยังดูแข็งแรงสดใสไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”

เฟเรย์กล่าวทักทายมิสตี้ด้วยการโค้งคำนับตามมารยาทด้วยความเคารพสูงสุด

“อืมๆๆ ฮื่มมมมม เจ้าอัสเจ้ากลับไปก่อนข้ามีธุระกับเจ้าเด็กนี่นิดหน่อย แล้วอย่าส่งเสียง แหหะ แหหะ นะข้ารำคาญ”

มิสตี้พูดกับอัสด้วยความสนิทสนมจนทำให้เฟเรย์และอัสเองอดยิ้มจนขำออกมาไม่ได้กับท่าทีขี้บ่นเหมือนคนแก่น่ารำคาญของมิสตี้ แต่อัสก็เดินออกจากกระท่อมและกลับสู่บ้านของตนตามคำสั่งของมิสตี้ซึ่งเขานับถือสุดหัวใจอย่างไม่อิดออด

“สาม... สามเหรอ” มิสตี้ใช้มือป้องใบหูใต้เขาเล็กๆของตนและพูดอู้ๆอี้ๆเหมือนคุยกับดอกไม้สีสดในกระถางที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับตะกร้าเครื่องจักรสานของนางที่วางอยู่

“สอง...ครับท่านยายไม่ใช่สาม เดิมทีเป็นสามแต่ท่านลุงข้าเก็บไว้หนึ่งเพื่อป้องกันความผิดพลาด ถ้าท่านหมายถึงวัตถุเจ้าปัญหาที่ข้านำติดตัวมาด้วย”

เฟเรย์แม้จะประหลาดใจกับสิ่งที่มิสตี้ทำแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นระหว่างที่มิสตี้กำลังคุยกับดอกไม้สีสดในกระถางของนาง

“หือ แต่เขาบอกสองนะ สามเจ้าแน่ใจเหรอ”? มิสตี้ถามย้ำกับดอกไม้ถึงสิ่งที่เฟเรย์และคณะนำติดตัวมาด้วย

“เจ้าบอกว่าสอง แต่นางบอกว่าสามนะ นางไม่มีทางผิดพลาด เพียงแต่สิ่งที่อยู่กับตัวเจ้า... โออออ ทรงอำนาจแต่เหมือนถูกกดดันเอาไว้ด้วยพลังของผนึก”

เฟเรย์ทำทีจะล้วงหีบบรรจุหน้ากากในกระสอบที่เขานำติดตัวมาด้วยออกมาให้กับมิสตี้ดูเพื่อขอคำปรึกษา แต่นางห้ามเฟเรย์เอาไว้และโยนตัวเองลงจากเก้าอี้ นางคว้าหีบเพลงปากประจำตัวที่ประดิษขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ปราณีตมาไว้ในมือก่อนที่จะเดินนำเฟเรย์ลงจากบ้านพักของนาง และบอกให้เฟเรย์เดินตามนางออกไปด้วย

                หิ่งห้อยกลุ่มหนึ่งบินมาให้แสงนำทางแก่มิสตี้เหมือนรู้หน้าที่ นางเดินนำหน้าเฟเรย์ไปอย่างคล่องแคล่วโดยใช้ทางด้านหลังของต้นพลัมซึ่งเป็นที่พักของนางเพื่อหลีกเลี่ยงการทักทายและการพบเห็นอันไม่จำเป็นจากฟอนตนอื่นๆที่อาจจะทำให้นางเสียเวลา

“เราจะไปที่ใดกันหรือครับท่านยาย” เฟเรย์เดินตามมิสตี้ไปพร้อมกับเอ่ยปากถามนางเบาๆ

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เด็กน้อยรีบๆตามมาเถอะน่า”

มิสตี้ตอบเฟเรย์ด้วยท่าทีรำคาญในคำถามของเฟเรย์ นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนทำเฟเรย์อดคิดไม่ได้ว่ากาลเวลาสิบหรือยี่สิบปีไม่สามารถลดความคล่องแคล่วของฟอนซึ่งมีอายุยืนกว่ามนุษย์มากได้เลย ไม่นานนักมิสตี้ก็เดินมาถึงไม้หลักเขตอะไรสักอย่างซึ่งทาสีแดงสดเอาไว้เหมือนเป็นการเตือนถึงเรื่องสำคัญ

“ที่นี่ล่ะ” มิสตี้กล่าวพร้อมกับเดินเลยตัวหลักเขตออกไปประมาณสองก้าวพร้อมกับบอกให้เฟเรย์ตามนางออกมา

“หืมม นี่ไม่ใช่นอกอาณาเขตผนึกหรือท่านยาย” เฟเรย์กล่าวถามมิสตี้อย่างสงสัยและกริ่งเกรงกับสิ่งที่มิสตี้ทำ

“ก็นอกเขตผนึกน่ะสิเจ้าเด็กโง่ ไม่งั้นข้าจะรู้ได้ยังไงว่าไอ้ของที่เจ้าเอามาด้วยมันคืออะไรถ้ามันยังโดนพลังของผนึกจากหอคอยทั้ง 8 กดทับอยู่แบบนั้น...เดี๋ยวเจ้าเดินออกมาแค่ก้าวเดียวจากหลักเขตนั่นแล้วเปิดหีบนั่นให้ข้าดูสักครู่”

มิสตี้ทำท่าทีรำคาญเฟเรย์อย่างคนแก่รำคาญเด็ก ก่อนที่จะบอกเหตุผลให้กับเฟเรย์ถึงจุดประสงค์ของตน เฟเรย์ค่อยใจชื้นขึ้นเขาชั่งใจเล็กน้อยแล้วคิดว่าไม่น่าจะเป็นการเสียหายอะไรอีกทั้งมิสตี้ก็เป็นบุคคลเก่าแก่ที่ไว้ใจได้ เขาจึงค่อยๆล้วงหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากออกมาแล้วเดินข้ามหลักเขตแดนออกไป

“เปิดมันออก”

 มิสตี้เร่งเร้าเฟเรย์เหมือนแข่งกับเวลา เฟเรย์ค่อยๆแง้มหีบเปิดออก ทันทีที่หีบเปิดอ้าออกจากกันหน้ากากทั้งสองชิ้นที่มีหน้าตาเหมือนคนที่กำลังหัวเราะสนุกสนาน กับอีกชิ้นที่มีหน้าตาเหมือนคนเศร้าโศก ก็สาดพลังของมันออกมาอย่างรุนแรง เฟเรย์ซึ่งรู้ถึงพลังชองวัตถุทั้งสองเมื่ออยู่นอกเขตผนึกอยู่แล้วจึงทำให้เตรียมตัวรับกับสิ่งที่จะพบได้โดยไม่กระโดดออกห่างตัวหีบเหมือนอย่างครั้งแรกที่ประสบ

“ข้าแต่เทพมารดาลอเนีย พระเจ้าช่วย คุณพระคุณเจ้า............!!!!

มิสตี้อุทานเสียงหลงเหมือนที่เฟเรย์คาดเอาไว้ นางเหลือบมองหน้ากากในหีบเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ขาที่ปกคลุมด้วยขนปุกปุยของนางข้างหนึ่งทำทีเหมือนจะกระโดดให้ห่างออกไปหลายเมตร แต่เหมือนนางจะดึงสติกับมาได้ทันจึงไม่ถลันตัวออกไปแต่ถึงกระนั้นนางก็ขนลุกชูชันไปทั้งตัวเช่นเดียวกันกับเฟเรย์

“ปิดได้แล้ว รีบปิดมันได้แล้วๆเข้าไปในเขตผนึก” มิสตี้พูดพร้อมกระโดดโหยงด้วยขาอันแข็งแรงของนางกลับเข้าสู่ด้านในของหลักเขต เฟเรย์ก็รีบปิดหีบและรีบสาวเท้าข้ามกลับเข้ามาในเขตผนึกเช่นเดียวกัน

“หนึ่งในนั้นคือ หัวใจอีกชิ้นข้าไม่รู้จักมันเหมือนกัน” มิสตี้กล่าวพร้อมกับหายใจหอบเหมือนยังคงตกใจไม่หายจากการเผชิญกับพลังของหน้ากากทั้งสองเมื่อครู่

                ห่างไกลออกไปพลังจากหน้ากากได้เข้าไปกระทบกับโสตสัมผัสของบางสิ่งที่กำลังเฝ้ารอสัญญาณนี้อยู่อย่างใจจดใจจ่อสิ่งนั้นลืมตาตื่นขึ้นและมองลงมายังหมู่บ้านของฟอนบนที่ราบลาซ่า....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา