The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย

10.0

เขียนโดย ชลันธรี

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.

  9 chapter
  0 วิจารณ์
  9,794 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) หน้ากากแห่งความเศร้าโศก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               เฟเรย์และมิสตี้เดินทางกลับมาสู่บ้านบนตันพลัมใหญ่ ตลอดทางเดินกลับสู่ที่พำนักของมิสตี้นั้นเฟเรย์ได้แต่เฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดของมิสตี้ที่บอกว่าหน้ากากหนึ่งในสองภายในหีบนั้นคือหัวใจของอะไรสักอย่างแต่นางยังพูดไม่ทันจบก็รีบบอกให้กลับมาคุยต่อที่บ้านของนาง

“หัวใจอะไรหรือท่านยายมิสตี้ ที่ท่านพูดเมื่อตอนอยู่ตรงหลักเขตนั่น”

เฟเรย์รีบรบเร้าถามนางทันทีที่มิสตี้ปิดประตูบ้านและหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในบ้านของนาง มิสตี้ใช้มือขวากุมหน้าอกของนางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆสองสามครั้งเหมือนพยายามจะให้หัวใจเต้นช้าลง และสลายความตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ให้หมดไป อีกสองสามนาทีต่อมาเมื่อนางหายใจราบรื่นขึ้นนางจึงมองหน้าของเฟเรย์และบอกให้เขานั่งลงข้างๆนางพร้อมกับวางหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากใบนั้นลงบนโต๊ะ นางค่อยๆบรรจงเปิดหีบขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวังแน่นอนคราวนี้นางเปิดภายใต้อาณาเขตของผนึกจากนั้นนางจึงค่อยๆหยิบหน้ากากที่มีหน้าตาของคนที่กำโศกเศร้าขึ้นมาไว้ในมือและลูบคลำประหนึ่งต้องการตรวจตราอะไรบางอย่างด้วยความใจเย็น

“ไม่ผิดแน่ เมื่ออยู่ในอาณาเขตของผนึกพลังจากพรที่มันได้รับถูกกดด้วยพลังของผนึกจากหอคอยทั้ง 8 ส่วนกระแสพลังที่หน้ากากอันนี้ส่งออกมาอ่อนๆคือพลังจากวัตถุต้นกำเนิดของมันก่อนที่จะมาเป็นหน้ากากอันนี้”

มิสตี้ลูบคลำหน้ากากแทบจะทุกสัดส่วน ดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจอย่างรุนแรงเหมือนว่าสิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้ หรือถ้าเกิดขึ้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยแม้ว่าจะเป็นผลงานจากทวยเทพก็ตาม

“ท่านยายว่ามันคือหัวใจ แล้วมันคือหัวใจของใครหรือครับ”

“ข้ามั่นใจว่าข้ารู้จักมันดี มันคือหัวใจของผู้พิทักษ์ป่าดามิริลในครั้งบรรพกาล”

               มิสตี้พูดพลางน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยนางวางหน้ากากนั้นลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังตู้หนัาสือขนาดย่อมที่มีหนังสือที่ทำจากเปลือกไม้วางซ้อนกันอยู่เต็มทั้งตู้ นางค้นหาบางสิ่งอยู่สักพักนางก็ร้องอ้อเหมือนเจอสิ่งที่กำลังหาซึ่งมันเป็นหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งขนาดไม่หนามากนัก นางเริ่มเปิดหาบางสิ่งบางอย่างจากในนั้น

“นี่อย่างไรล่ะเด็กน้อย นี่เป็นบันทึกบทเพลง นิทานและตำนานเรื่องเล่าของบาลาลอเนียเมื่อครั้งบรรพกาล สิ่งนี้คงยากจะเชื่อในตอนนี้ที่ดูเหมือนทุกอย่างสงบเงียบมานานหลายร้อยปี ผู้คนคงหลงลืมความทุกเข็ญเมื่อครั้นมนุษย์ ฟอน รวมถึงสิ่งมีชีวิตยุคแรกที่พยายามเอาตัวรอดจากน้ำมือเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายไปหมดสิ้นแล้ว”

มิสตี้นางกางหน้าหนังสือที่มีอักขระยึกยือที่เขียนแบ่งเป็นท่อนๆเหมือนเป็นโศลกคำกลอนยืดยาวให้กับเฟเรย์ได้ดู เฟเรย์รับหนังสือนั้นมาด้วยความตื่นเต้นที่เริ่มจะรู้ที่มาที่ไปของเจ้าหน้ากากอันตรายทั้งสามชิ้น เขาเพ่งมองอักษรที่อ่านไม่ออกนั้นแต่ข้างๆของคำกลอนยืดยาวเหล่านั้นมีภาพร่างง่ายๆของยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากก้อนหินและขีดๆยิบย่อยที่ขาของมันที่ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้ ป่าทึบ หรืออะไรสักอย่างที่ยิ่งขับเน้นความใหญ่โตของยักษ์หินตนนี้ ส่วนภาพในหน้าถัดมาคือภาพของเทพที่มีสี่ปีก สองปีกด้านบนของเทพองค์นั้นถูกฝนถี่จนคล้ายเป็นสีดำ ส่วนอีกสองปีกด้านล่างเป็นปีกโปร่งๆที่เหมือนต้องการให้ผู้เห็นภาพจินตนาการถึงทวยเทพผู้มีสองปีกบนเป็นสีดำ และสองปีกล่างเป็นสีขาว มือของทวยเทพองค์นั้นทะลวงเข้าไปในหน้าอกของยักษ์หินตนนั้นก่อนจะควักหัวใจที่มีลักษณะคล้ายผลึกเหลี่ยมๆออกมา ถึงตอนนี้เฟเรย์ขนลุกเกรียวขึ้นทั้งแขน

“นี่…นี่ท่านยายกำลังจะบอกว่านิทานบทนี้ในหนังสือเล่มนี้เคยเกิดขึ้นจริงเมื่อนานมาแล้ว และหัวใจของยักษ์ตนนี้ก็คือหน้ากากที่มีหน้าตาโศกเศร้าอันนี้เหรอครับ นี่มันเหลือเชื่อคือมันไปไกลกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”

“นิทานมากมายมาจากเรื่องจริงเด็กน้อย ภาษาที่เจ้าเห็นในนั้นเป็นภาษาฟอนเก่าแก่มากซึ่งตอนนี้ข้ามั่นใจว่ามีฟอนเหลือเพียงไม่กี่ตนที่อ่านมันออก แต่เจ้าโชคดีที่หนึ่งในนั้นเป็นข้า”

มิสตี้เดินเข้าไปเลียบข้างกับเก้าอี้ที่เฟเรย์กำลังนั่งอยู่ นางใช้มือขวาของนางชี้ลงบนตัวอักษรโบราณบนหนังสือนั้นแล้วค่อยๆแปลคำกลอนเหล่านั้นออกเป็นภาษามนุษย์

“           ครั้งหนึ่งนานมา เกินเวลาจะจำได้       มีภูติมีพราย ย่ำกรายอยู่ทั่วหล้า

ยามเป็นกลางวัน ผืนโลกนั้นของบาลา              ยามราตรีมา ทั่วแหล่งหล้าคือลอเนีย

ดามิริลป่าใหญ่ พงไพรผืนกว้าง                      ทั่วทิศทั่วทาง ล้วนต้นไม้สูงแลเตี้ย

มีเทพเทพา บริวารแห่งลอเนีย                       ร่างเพชรจัดเจีย แวววาวผ่องพรรณ

ยักษาปกปักษ์ พิทักษ์ไพรวัลย์                        คุ้มครองป้องกัน ดามิริลนานมา”

“หรือทวยเทพองค์นั้นคือลอมานัมหรือครับท่านยาย” เฟเรย์รีบกล่าวถามมิสตี้เมื่อนางหยุดพักหายใจจากการอ่านโศลกในหนังสือ มิสตี้ส่ายหัวให้กับเฟเรย์เป็นเชิงบอกว่าทวยเทพที่ฆ่าควักหัวใจของเทพารักษ์แห่งป่าดามิริลองค์นั้นไม่ใช่ลอมานัม จากนั้นกระแอมเบาๆไล่ความระคายลำคอเล็กน้อยที่ต้องอ่านอะไรยากๆก่อนที่จะใช้มือชี้ไปอีกหน้าหนึ่งของหนังสือที่มีรูปภาพของทวยเทพสี่ปีกกำลังใช้มือทะลวงเข้าสู่ใจกลางหน้าอกของยักษ์แห่งดามิริลจากนั้นนางก็เริ่มอ่านต่อไป

“           ทวยเทพสี่ปีก บินฉีกข้ามฟ้า              องค์ร่อนลงมา เหมือนท้าสู้กัน

ต่างท้าต่างทาย ใครเก่งกว่าฉัน                      จงมาโรมรัน สำแดงฤทธา

องค์เทพสี่ปีก เหยียบไปทั่วแดน                      ไม่มีใครแม้น กล้าเทียบกฤษฎา

จนองค์มาถึง ดามิริลพฤกษา                         ตะโกนทาบท้า ใครจะมาเทียมทัน

บาทาเหยียบย่ำ ผืนป่าศักดิ์สิทธิ์                     ปีกดำทรงฤทธิ์ โบกผ่านไพรสัณฑ์

เวลาบิดเบี้ยว ทำลายอารัญ                          เทพารักษ์นั้น ไม่อาจนิ่งทน”

มิสตี้อ่านถึงตรงนี้จึงเดินกลับไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของนาง มองหน้าเฟเรย์แล้วเอ่ยปากถาม

“จากที่ข้าอ่านให้เจ้าฟังเด็กน้อย เจ้าเริ่มรู้หรือยังว่าทวยเทพชั่วร้ายผู้มีสี่ปีกนั้นคือใคร”

“ข้าจำได้เลืองลางเหลือเกินจากบทเพลงที่ข้าเคยฟังเมื่อครั้งเป็นเด็ก เวลาบิดเบี้ยว เวลาบิดเบี้ยว ทำไมข้าถึงสงสัยตรงประโยคนี้นะ มันเหมือนข้าเคยได้ยินแต่ว่านานจนจำไม่ได้” เฟเรย์วางหนังสือลงบนโต๊ะเขากุมขมับพยายามนึกถึงบทเพลงที่ตนเองเคยฟังตั้งแต่เด็ก

“ใช่แล้วๆ เหมือนจะมีหนึ่งในเทพปีศาจบุตรของลอมานัมที่สามารถควบคุมกาลเวลาได้ แต่ข้านึกชื่อของเขาไม่ออก!!

“ดามิลอนต้า เทพปิศาจองค์ที่เจ้ากำลังพยายามนึกถึงชื่อของเขาอยู่คือดามิลอนต้า”

มิสตี้เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างพยายามผ่อนคลายเมื่อเอ่ยนามของเทพปีศาจในหนังสือนิทาน นางเอามือประสานที่ตักก่อนจะเล่าต่อไป

“ดามิลอนต้าเป็นบุตรของลอมานัมลำดับที่เท่าไหร่ข้าก็จำไม่ได้แล้วเรื่องนี้แม้แต่พรายตนที่แก่ที่สุดบนบาลาลอเนียก็ยังจำไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นบุตรคนแรกๆของลอมานัม หนึ่งในสี่คนแรกถ้าข้าจำไม่ผิด และจากที่ข้าได้อ่านให้เจ้าฟังในกลอนนิทานนั่นคือพลังอำนาจของเขา แม้ว่าจะมีเขียนไว้เพียงน้อยนิดแต่นั่นก็ตอกย้ำได้ถึงที่มาที่ไปของเรื่องเล่าอื่นๆที่เกี่ยวกับตัวของเทพปีศาจองค์นี้ได้เป็นอย่างดีว่าอำนาจของเขาคือการควบคุมกาลเวลา”

“ถ้านิทานเรื่องนี้จริงหน้ากากอันนี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากหัวใจเพชรของเทพารักษ์ที่พ่ายแพ้ให้กับเทพปีศาจตนนี้เมื่อครั้งบรรพกาลหรือท่านยาย”

“ย่อมจริงแน่นอน ถ้าไม่จริงจะมีทางใดอีก หรือใครอีกที่จะไปควักหัวใจของเทพพิทักษ์ป่าดามิริลมาทำหน้ากากแฟนซีบ้าบอที่ตั้งบนโต๊ะนี่ได้เล่าเจ้าเด็กโง่”

มิสตี้เล่าพลางเหน็บแนมเฟเรย์ที่ยังคงมึนๆกับเรื่องราวทั้งหมดที่ทราบในวันนี้ นางเข้าใจดีว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างเฟเรย์แม้จะเป็นทหารกล้าผู้ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ก็ยังอายุน้อยเกินกว่าจะเคยพบเห็นเหล่าเทพปีศาจจริงๆนอกจากฟังเอาจากในนิทาน เขาคงจะรู้และเชื่อตามๆกันมาแค่ว่าทวยเทพเหล่านี้เคยมีอยู่แต่ก็คงตะขิดตะขวงใจที่จะเชื่อเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดจริงๆทั้งที่ไม่เคยเห็นหรือประสบพบเจอด้วยตัวเอง

“หัวใจของเทพพิทักษ์ป่าดามิริลตนนี้ต้องเป็นของที่มาจากดามิลอนต้าแน่นอน และถ้าหน้ากากชิ้นนี้ทำด้วยวัตถุวิเศษล้ำค่าขนาดนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้ากากอีกสองอันที่เหลือคงจะถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุที่มีคุณค่าเทียบเทียมกันแน่นอน แต่ข้ากลับไม่รู้จักมันมาก่อน”

มิสตี้เหลือบมองหน้ากากอีกชิ้นซึ่งมีสีแดงแวววาวและมีหน้าตาอย่างคนสนุกสนานร่าเริงดุจหน้าตาของคนโง่เขลาที่รู้จักแต่ความสุข นางพยายามครุ่นคิดแต่แล้วก็ส่ายศีรษะไปมาด้วยความจนปัญญา บางครั้งเหมือนนางจะพูดกับดอกไม้ที่อยู่ในกระถางบนโต๊ะที่ดูเหี่ยวเฉาลงเหมือนหวาดกลัวหน้ากากทั้งสองชิ้นที่อยู่ใกล้ๆ

“มีอีกหนึ่งปัญหานะเด็กน้อย ข้าคิดว่านี่ต้องเป็นคำสั่งโดยตรงของลอมานัมแน่นอน ในการสร้างไอ้หน้ากากไร้รสนิยมทั้งสามชิ้นนี้ขึ้นมา”

“เหตุใดท่านยายจึงคิดเช่นนั้น แล้วท่านคิดว่าลอมานัมสั่งทำหน้ากากเหล่านี้เพื่ออะไรกัน หรือว่า…

มิสตี้กำลังจะเอ่ยถึงข้อสันนิษฐานของตน เฟเรย์รีบถามย้ำด้วยความกระหายใคร่รู้ในจุดประสงค์ของลอมานัมที่สร้างและส่งหน้ากากทั้งสามชิ้นนี้ให้แก่นูริล รวมถึงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นเมื่อเจอหน้ากากเหล่านี้จากในหีบที่นูริลกำลังนำมันมุ่งหน้าไปสู่หอคอยแห่งความปรารถนาใกล้กับอาณาเขตของราเรียมให้กับมิสตี้ฟังจนหมด มิสตี้หลังจากฟังแล้วก็หน้าเคร่งเครียดขึ้น นางหรี่ตาลงข้างหนึ่งตรึกตรองข้อสันนิษฐานประกอบกับสิ่งที่เฟเรย์เล่า

“ข้าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้แน่ๆก่อนนะเด็กน้อย หัวใจของผู้พิทักษ์ป่าดามิริลไม่ใช่แร่ธาตุธรรมดา มันไม่สามารถถูกหลอมหรือเปลี่ยนรูปร่างได้ด้วยไฟ สารเคมี เวทย์มนต์หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่เจ้าและข้าเคยประสบพบมาในชีวิต มีเพียงอย่างเดียวที่ข้าพอจะนึกออกที่พอจะทำให้มันกลายเป็นหน้ากากทุเรศนี่ได้ แต่… ข้าคิดแล้วคิดอีกมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

“อะไรหรือท่านยาย อะไรที่พอจะทำให้มันกลายเป็นหน้ากากแบบนี้ได้ อะไรที่หลอมมัน จงบอกสิ่งที่ท่านนึกออกให้ข้ารู้เถิดอย่างน้อยก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการหาทางออกจากสถานการณ์นี้”

“ไฟแต่ไม่ใช่ไฟปรกติเด็กน้อย ต้องเป็นไฟที่มาจากเทพปีศาจอีกองค์เท่านั้น ไฟจากอาโรด้า ซึ่งอาโรด้าเป็นบุตรหนึ่งในสี่คนแรกของลอมานัมเช่นกัน และเท่าที่ข้ารู้มาเทพปีศาจบุตรธิดาสี่ตนแรกของลอมานัมไม่ถูกกันพวกเขาเองก็ต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่และพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะเป็นลูกคนโปรดของพ่อผู้ทรงอำนาจของเขา พวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะช่วยกันแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงการร่วมมือกันทำของบ้าๆแบบนี้ออกมาเลย”

“ถ้าเช่นนั้นการที่ท่านยายบอกว่านี่จะต้องเป็นความต้องการขอลอมานัม นั่นแสดงว่าสิ่งนี้ลอมานัมเป็นคนสั่งให้ทำขึ้น เพราะถ้าไม่มีคำสั่งของเขาลูกทั้งสองก็คงจะไม่มีทางร่วมมือกันเองในเรื่องแบบนี้ใช่ไหมครับ”

“เจ้าฉลาดขึ้นนะเด็กน้อย นั่นคือสิ่งที่ข้าแน่ใจ ยังเป็นข้อสันนิษฐานแต่ข้าแน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้น… ส่วนเหตุผลว่าทำไมลอมานัมถึงสั่งให้สร้างของแบบนี้และส่งมันมาบนโลกนี้ข้าไม่กล้าเดา ในสิ่งที่เจ้าสงสัยก็มีความเป็นไปได้มากว่ามันจะถูกส่งลงมาทำลายหอคอยผนึก แต่ข้าก็ไม่เข้าใจว่าถ้าหากพลังของหน้ากากถูกกดทับไดด้วยพลังจากผนึกของหอคอยอย่างเช่นตอนนี้ที่เรานั่งคุยกันเรื่องมันอยู่ในเขตผนึกนี่ แล้วพลังของมันจะสามารถนำไปใช้ทำลายหอคอยที่มีพลังข่มมันได้อย่างไร สิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจและทำให้ไม่กล้าฟันธงในข้อสันนิษฐานของเจ้า”

มิสตี้บอกข้อสันนิษฐานของนาง และข้อมูลที่นางรู้ให้แก่เฟเรย์จนหมดสิ้น นางเอื้อมจับหน้ากากที่นางนำออกมาเก็บใส่ลงไปในหีบดังเดิมจากนั้นจึงค่อยหยิบหนังสือนิทานโศลก และพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้ของนางอีกครั้งเพื่อนำมันไปเก็บ แต่ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง นางใช้มือป้องที่หูและเงี่ยต่ำลงไปฟังที่ดอกไม้ในกระถางบนโต๊ะของนาง

“หือ เจ้าว่าอะไรนะ สามเหรอ จะสามได้อย่างไรก็ข้าเห็นแค่สอง เจ้าแน่ใจหรือว่ามีพลังที่คล้ายๆกันอีกสายอยู่ในลาซ่านี้!!!

เฟเรย์ทำหน้าตาตื่นตั้งใจฟังสิ่งที่มิสตี้คุยกันกับดอกไม้ในกระถางของนาง ต่อเมื่อมิสตี้พยักหน้าน้อยๆและหันกลับมามองเขา เฟเรย์จึงเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่นางได้ยิน

“นาง…เอ่อ…ดอกไม้นั่นว่าอย่างไรหรือท่านยาย นางบอกว่าอะไรสามหรือ”

“นางบอกว่ามีพลังที่คล้ายๆกับหน้ากากนี้แต่เบาบางมาก เบาบางจนไม่ประติดประต่อกันอยู่ในลาซ่า อาจจะเป็นหน้ากากอีกชิ้นใช่หรือเปล่า มีใครแอบเอามันมาจากไอ้แก่โคเธียรลุงหัวดื้อของเจ้าหรือเปล่า”

เฟเรย์ทำหน้าตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของมิสตี้ สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือมารอน และเบลว่าเด็กสองคนนั่นอาจจะขโมยหน้ากากอีกชิ้นจากท่านลุงของเขาก่อนจะแอบลอบติดตามเขามาและนำมันติดตัวมาด้วยก็เป็นได้ แต่ก่อนที่เขาจะโกรธเด็กสองคนนั้นมิสตี้ก็เหมือนเงี่ยหูลงไปฟังจากดอกไม้อีกที

“หะ หายไปแล้วพลังนั้นหายไปแล้ว นี่อะไรของเจ้านี่นางพรายเจ้าไม่เคยผิดพลาดหรือไม่แน่ใจอย่างนี้นี่นา… หะ? อะไรนะเจ้าคิดว่ามันไม่ใช่หน้ากากรึ แต่มันเหมือนพลังอ่อนๆที่เริ่มตื่นขึ้นพลังที่มาจากขุมเดียวกันกับหน้ากากเหล่านี้เรอะ”

เฟเรย์ทำหน้างงงวยกับสิ่งที่ได้ยินจากมิสตี้ แต่มิสตี้กลับประหลาดใจยิ่งกว่าในสิ่งที่นางพรายดอกไม้กระซิบบอกนาง เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นนางพรายไม่เคยผิดพลาด ถ้าหากหน้ากากชิ้นนั้นอยู่ในลาซ่าจริงนางพรายจะต้องรู้แน่นอน

“แล้วเจ้าจะออกเดินทางอีกเมื่อไหร่ และจะไปที่ไหนต่อจากนี้รึ เอ ผ่านมาทางนี้หรือว่าเจ้าจะไปหา มาลาไคด์ โมเฟน ที่หอคอยแห่งความพินาศ!?

มิสตี้ทิ้งข้อสงสัยที่ได้จากนางพรายไป แล้วหันกลับมาถามเป้าหมายต่อไปของเฟเรย์ก่อนที่จะนึกออกว่าหากมาบนเส้นทางนี้และด้วยภารกิจแบบนี้หอคอยแห่งความพินาศ น่าจะเป็นจุดหมายเดียวที่เฟเรย์ต้องการไปเพื่อให้ทราบที่มาที่ไปของหน้ากากทรงอำนาจทั้งสามชิ้น

เฟเรย์เมื่อได้ฟังคำพูดของมิสตี้เขาก็พยังหน้าเป็นเชิงบอกว่านั่นคือสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ และคือที่ๆเขาและคณะเดินทางกำลังมุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุด

“เจ้าคิดจะใช้ทางใดที่จะไปให้ถึงที่นั่นให้เร็วและปลอดภัยที่สุด ถ้าหากเจ้าคิดว่าจะไปทางสมอลบริดจ์ ข้ามหุบเหวน้ำตกนั่นไปเจ้าก็คิดผิดแล้วเด็กน้อย สะพานหินนั่นมันขาดไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วพวกเจ้าคงจะไม่ได้มาแถวนี้เลยยังไม่รู้สินะ ถ้าเจ้าคิดจะเดินทางอย่างปลอดภัยอยู่ภายใต้เขตของผนึกเจ้าก็จะต้องอ้อมหุบเหวนั่นไปอีกไกล น่าจะใช้เวลาอีกเป็นเดือนๆ"

เฟเรย์สีหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากมิสตี้ดรูอิดประจำเผ่าฟอน ว่าหลทางที่ตนเองและคณะกำลังจะเดินทางไปนั้นมันขาดลงไปเสียตั้งนานแล้ว เฟเรย์แทบจะหมดแรงเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น… 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา