ปรารถนาร้อนจอมวายร้าย
-
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.47 น.
7 ตอน
0 วิจารณ์
9,575 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 13.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทนำ 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปลายเดือนสิงหาคม 2015
“หว่าว...” แมวป่าแผดร้องขึ้นในโทนเสียงที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก มันร้องและขู่คำรามอย่างข่มขวัญเมื่อเจอคู่ต่อสู้ กระโจนเข้าใส่ตาข่ายเหล็กซึ่งกั้นตรอกแคบๆระหว่างตึก เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นจากเศษขยะ
ทว่าเจ้าของแมวป่ากลับชะงักการก้าวเดินแล้วหรี่ตามองพฤติกรรมผิดปกติจากสัตว์เลี้ยงของตน มันยังคงกระโจนเข้าใส่ตาข่ายเหล็กนั้นซ้ำอีกครั้งราวกับเรียกร้องให้เขาเข้าไปสมทบ หากเสียงหวีดร้องของผู้หญิงสลับกับน้ำเสียงห้าวที่มีไดนามิกแตกต่างกัน ทำให้เจ้าของแมวป่ารู้ว่ามันกำลังเห็นโชว์บางอย่าง
พับลิกเซ็กซ์ซึ่งเห็นได้บ่อยๆครั้ง ตามมุมอับสายตาเช่นนี้ แน่ล่ะว่าเสียงกรีดร้องแห่งความเมามันนั้นเรียกความสนใจของแมวป่าที่กำลังอยู่ในช่วงติดสัดจนดิ้นพล่านไม่หยุดเช่นนี้
“ไม่เอาน่ามิสไซล์ (Missile) จบเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวจัดให้ชุดใหญ่เลย” เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินล้วงกระเป๋าผ่านตรอกมืดๆนั้นโดยไม่ใส่ใจแม้กระทั่งปรายตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน หากเขาต้องหยุดและหันกลับไปมองสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ยังคำรามไม่หยุด “เฮ้... มิสไซล์ ออก...”
“ไปไกลๆเลยไอ้เหมียว ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ร่วมกับสัตว์ว่ะ ฮ่า...”
“ช่วยด้วย ฉันถูกข่มขืน!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นดังสวนขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกันกับประโยคเมื่อครู่
“เก็บปากไว้อมแล้วดูดเถอะนังตัวดี”
แม้จะได้ยินถ้อยคำหยาบโลนสักแค่ไหน ร่างจะถูกตรึงไว้อย่างหนาแน่นสักเพียงใดแต่เธอจะไม่ยอมสิ้นหวังด้วยการอยู่นิ่ง สงบปากสงบคำอย่างที่พวกมันสั่ง “ขอร้องช่วยฉันด้วย เห็นแก่พระเจ้า ช่วยเรียกตำรวจที”
สิ้นเสียงขอความช่วยเหลือนั้น แมวป่าขนาดเท่าลูกเสือตัวย่อมก็กระโดดขึ้นใช้สองขาหน้าเกี่ยวตาข่ายเหล็กแล้วดันตัวเองขึ้นอีกครั้งก็สามารถกระโดดข้ามรั้วสูงราวแปดฟุตได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเจ้าของกลับถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายเพราะไม่เพียงขัดคำสั่งยังแส่เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกด้วย
เสียงดังเช่นของมีคมจ้วงฟันอยู่กลางอากาศดังขึ้นจนเขาต้องก้าวถอยหลังแล้วหันไปยังต้นกำเนิดของเสียง จึงได้เห็นว่าชายผิวดำคนหนึ่งกำลังถือมีดย่อตัวลงต่ำตั้งท่าจะฟันแทงแมวป่าซึ่งส่งเสียงคำรามไม่หยุดและหากเสียงเขาไม่ดังขึ้นเสียก่อน ป่านนี้มันคงกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้เป็นแน่
“เฮ้... มันแค่ไอ้เหมียวขนฟู คิดจะเล่นถึงตายเลยเรอะ” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำ เฉียบขาดหากแฝงความเกียจคร้านเอาไว้
แม้จะหันมองตรงๆแต่การถอยหลังจากตาข่ายเหล็กไปสามสี่ก้าวก็แสดงถึงความขี้ขลาด จนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นต่อเพราะมีอาวุธอันแหลมคมอยู่ในมือ เหลือบสายตามองแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองสลับกันอย่างเย้ยหยันไม่ต่างจากคำพูด
เหยื่อผู้โชคร้ายยังร้องขอราวกับกลัวว่าจะสูญสิ้นโอกาสนี้ไป แต่ชายผิวดำอีกคนกลับตะปบมือปิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือในทันที “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉัน อุ๊บ!”
“แค่Bobcat1 ตัวใหญ่กว่าแมวธรรมดาอาจหาญมาขู่กู หลงคิดว่าตัวเองเป็นเสือรึไงวะ ถุย!...”
หากร่างสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามาแล้วใช้สองมือจับที่จุดสูงสุดของตาข่ายเหล็กแล้วออกแรงส่งตัวเองให้ลอยข้ามเข้ามาด้านในระยะเวลาอันรวดเร็ว คล่องแคล่ว ปราดเปรียว เป็นโอกาสงามให้แมวป่าที่มักจะลืมว่ามีบรรพบุรุษเป็นแมวบ้านน่ารักๆ ให้ไปกระโจนเข้าใส่ชายผิวดำอีกคนที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง ปล่อยให้คนที่มีอาวุธในมือเป็นเรื่องของเจ้านาย
เพียงแค่เท้าแตะพื้นเขาก็พุ่งเข้าใส่พร้อมเสยหมัดเข้าปลายจมูกคู่ต่อสู้หนักหน่วงและแม่นยำ ซัดเข้าจุดเดิมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าปลายมีดนั้นยังเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนเข้าหาตน ซัดอีกครั้งเมื่อมันยังไม่ทิ้งอาวุธในมือ เลือดกำเดาสดๆไหลย้อยออกมาจากสองรูจมูกพร้อมๆกับร่างของชายผิวดำที่ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น สมองมึนงง ไม่สั่งการจนต้องฟุบหน้าลงกับถุงพลาสติกสีดำซึ่งข้างในอัดแน่นไปด้วยขยะ
“อ๊าก... ไอ้แมวบ้ากัดฉันทำไมวะ ปล่อย... โธ่โว้ย”
เจ้าของแมวป่าไม่ได้สนใจมองเหยื่อสาวผู้โชคร้ายที่รีบก้าวมาหลบอยู่ข้างหลังตนนัก เพราะเขากำลังนับเวลาในใจว่าการต่อสู้ของคนและแมวป่าจะจบลงภายในเวลากี่นาที หากต้องเบ้ปากแสดงความเจ็บปวดแทน เมื่อแมวป่าเปลี่ยนเป้าหมายจากต้นขาเป็นท่อนแขน เพียงแค่อ้าปากฝังเขี้ยวคมลงบนเนื้อมันก็สะบัดศีรษะเพื่อให้ปากแผลเปิดกว้าง เสียงครางโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจึงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
“คราวหลังก็เล่นที่คอสิวะ มันจะได้ทำเวลาเร็วกว่านี้หน่อย”
คำแนะนำนั้นทำให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแหงนหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอย่างไม่อยากเชื่อหู หากการเห็นแมวป่าแลบลิ้นแผล็บๆเลียเลือดสดๆที่ติดอยู่รอบปากนั้นก็ยิ่งทำให้ตะลึงงัน
“ระวังนะ ระวัง...” แม้จะตกตะลึงเมื่อเห็นว่ามันกินเลือดสดๆ แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะถูกลอบทำร้าย
ฉับ/อ๊าก...
เธอไม่มีโอกาสได้เห็นว่าแมวป่าที่กำลังหันไปฟัดกับคนอีกครั้งนั้นถูกแทงหรือไม่ แต่ภาพตรงหน้าที่มันกำลังฝังเขี้ยวคมลงบนฝ่ามือและสะบัดศีรษะไปมาจนเจ้าตัวต้องปล่อยมีดให้ตกลงบนพื้นก็สร้างความสยดสยองได้เป็นอย่างดี มันไม่ได้เสียเวลาตั้งท่าขู่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ!
“ไง... ทีนี้เริ่มมีอารมณ์กับไอ้เหมียวขึ้นมาแล้วล่ะสิ” เขาถามพลางกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี กอดอก กางขาออกกว้าง เอียงหน้ามองเลือดข้นหนืดกำลังหยดลงสู่พื้นอย่างไม่ยี่หระ
“ขอร้องๆ บอกมันปล่อยฉันทีพวก อ๊าก!” ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รีบใช้อีกมือประคองท่อนแขนของตัวเองเมื่อแมวป่ายังกัดจมเขี้ยว ไม่ยอมปล่อย “ปล่อยสิโว้ย... มือขาดกูฆ่ามึงตายแน่”
“ได้ยินไหมมิสไซล์ มันอาฆาตหนักขู่ฆ่าแกน่ะ”
สิ้นเสียงเจ้านายแมวป่าก็รุกเข้าโจมตีใบหน้าของคู่ต่อสู้ จมูกที่มีเลือดสดๆเกรอะกรังดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายแรกของมัน หากคู่หูอีกคนที่นั่งชันตัวพิงกับถุงขยะใบใหญ่ก็ได้สติพร้อมขู่เสียงดังเพื่อช่วยเหลือเพื่อนจากการขย้ำของแมวป่า
หวีด...
เป่าปากกับมือแทนเสียงนกหวีดและรับประกันความดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันดังขึ้นพร้อมยิ้มพรายราวกับตัวเองเป็นต่อหลายขุม “อีกไม่นานจะมีพรรคพวกฉันมาเป็นโขยง พวกแกตายแน่ แส่หาเรื่องดี...”
หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายสะดุ้งเมื่อร่างสูงใหญ่ที่เป็นเสมือนเกราะคุ้มภัยเคลื่อนตัวไปเสยหมัดเข้าที่ปลายคางคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ขู่จนจบประโยคด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆมาคว้าข้อมือเธอพลางสั่งแมวป่าที่ยังฟัดคู่ต่อสู้อย่างสนุกสนาน
“พอแล้วมิสไซล์ เราเสียเวลามามากแล้ว” กดเสียงต่ำพร้อมทั้งดันให้เธอมายืนข้างหน้า “เดี๋ยวผมจะช่วยดันหลังแล้วคุณปีนขึ้นไปข้างบนนะ”
มันคือประโยคบอกเล่าที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวตอบรับหรือปฏิเสธด้วยซ้ำ เมื่อเขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าบริเวณสีข้างแล้วยกเธอลอยหวือจากพื้นดิน
“เกาะตาข่ายเอาไว้ แล้วพอผมดันขึ้นเกาะปีนขึ้นไปเลย เข้าใจไหม”
“ค่ะ” รับคำและเบิกตากว้างเมื่อเขาเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปดันสะโพกเธอให้สูงขึ้น หากไม่มีเวลาที่จะบ่ายเบี่ยงเพราะเธอต้องพาตัวเองออกไปจากมุมอับสายตาแสนอันตรายนี้ก่อนที่พรรคพวกอีกโขยงจะแห่มาในไม่ช้า
ชั่วอึดใจต่อมาเธอก็สามารถก้าวขาขึ้นมานั่งคร่อมบนท่อนเหล็กอันใหญ่ที่ถูกเชื่อมเข้าไว้กับตาข่ายเหล็ก เธอรู้ดีว่าการกระโดดข้ามรั้วสูงเช่นนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับสัตว์สี่เท้านัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอทึ่งก็คือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งก้าวถอยหลังไปตั้งท่าราวสามก้าวแล้วพุ่งตัวเข้ามาเกาะตาข่ายเหล็กแล้วพาตัวเองกระโดดข้ามออกไปยืนบนพื้นอีกฝั่งอย่างง่ายดาย มั่นคงไม่ต่างจากแมวป่าที่ยืนแหงนหน้าขึ้นมองเธออยู่ในขณะนี้
“อ้าว จะนั่งรอให้พวกมันมารุมโทรมรึไง กระโดดลงมาสิแม่คุณ” บอกทั้งกวักมือเรียกพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง
สิริภัทรากระชับมือเข้าที่ทรวงอกของตน เสื้อเชิ้ตสีส้มพาสเทลขาดวิ่น กระดุมทั้งแถบถูกกระชากจนสาบเสื้อแยกออกจากกัน มันทำให้เธอไม่อาจปล่อยมือแล้วกระโดดลงไปจากรั้วที่สูงราวแปดฟุตนี้ได้เป็นแน่
ดูเหมือนว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอออกจึงขยับเข้ามายืนใกล้และยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไว้ราวกับรออุ้มเด็ก สาบานเลยว่าเขาเคยเห็นหน้าอกผู้หญิงมานักต่อนัก แต่บราเซียร์ลูกไม้สีดำที่โผล่ออกมาให้เห็นวับๆแวมๆนี้ปลุกปั่นอารมณ์เขานัก ยิ่งเธอใช้ท่อนแขนปิด ก้อนเนื้ออวบหยุ่นยิ่งปลิ้นล้นออกมาให้เห็นจนเกิดจินตนาการไปไกลลิบลิ่ว
“คุณรับฉันดีๆนะคะ”
เสียงเธอปลุกเขาให้หลุดออกมาจากจินตนาการและโคลงศีรษะรับ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กระโดดลงมาสักที “เร็วเข้า ไอ้พวกนั้นมันขยับตัวแล้ว”
สิริภัทราหน้าถอดสีและสลัดการกลัวความสูง ทิ้งตัวลงมาหาฝ่ามือที่ยื่นขึ้นมารอรับในทันที “ว้าย...”
ความตะลึงงันเกิดขึ้นชั่วครู่เมื่อใบหน้าคร้ามคม สันคางเต็มไปด้วยเคราเส้นสั้นจมหายเข้ากลางร่องอกที่เบียดตัวกันชิดภายใต้บราเซียร์ลูกไม้ ทั้งฝ่ามือบางยังสอดเข้ากระชับท้ายทอยและกดไว้อย่างแนบแน่น ไม่อาจทำให้เขาเบี่ยงหน้าหลบหลีกไปทิศทางอื่นได้
แน่นอนว่าผู้ชายเต็มตัวอย่างเขาไม่เคยปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดรอดไป เขาได้พบว่ากลิ่นสาบสาวช่างกระตุ้นอารมณ์และทำให้เขาประหลาดใจต่อปฏิกิริยาของร่างกายที่ตื่นตัวตอบรับเธอ อัศจรรย์ใจพอๆกับที่ได้เห็นหน้าอกคัพซีซ่อนตัวอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีหวาน
“เฮ้ย... อย่าคิดหนีนะโว้ย แกเป็นใครวะไอ้ตูด มาเสือกเรื่องของพวกกูทำไม” เสียงที่ดังขึ้นมาขัดจังหวะความสำราญอารมณ์ของเขาดังขึ้น มันทำให้เธอดิ้นและละมือออกจากการกอดรั้งเขาไว้อย่างแนบแน่นพลางหันหน้าไปยังต้นกำเนิดเสียง
“กูเป็นเจ้านายของพ่อมึง ส่วนพ่อมึงก็ยืนอยู่นั่น...” บอกพร้อมกับโคลงศีรษะไปยังสัตว์เลี้ยงของตนซึ่งขู่คำรามในลำคอ ตัวพอง หางสั้นของมันกระดกขึ้นตั้งชัน ย่อตัวลงอย่างข่มขู่คู่ต่อสู้ “ไม่ลองถามพ่อมึงดูล่ะว่ามีปัญหาอะไร ถ้าไม่จบก็ออกมาดวลกันต่อสิวะ เห่าอยู่นั่น รำคาญ!”
“มึงวอนหาที่ตายแล้วไหมล่ะ ถ้าแน่จริงก็รออยู่ตรงนั้น ไม่เกินห้านาทีพรรคพวกกูแห่กันมาเหยียบมึงมิดแน่”
สิริภัทราส่ายหน้าเริ่มหวาดกลัวกับความป่าเถื่อนที่ได้ยิน ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าและสัตว์เลี้ยงของเขาไม่ได้อ่อนหัดในชั้นเชิงการป้องกันตัวแต่หากต้องสู้กับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่รู้จำนวนที่แน่นอน เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดมาได้ในสภาพเช่นที่เป็นอยู่นี้หรือไม่
แต่... เขากลับไม่มีท่าทางหวั่นเกรง ยังหงายมือขึ้นแล้วกระดิกทั้งนิ้วกลางและนิ้วนางพร้อมกัน เรียกคู่ต่อสู้ให้ออกมาหาด้วยท่าทียั่วโทสะ
“เออ... ฆ่ากูก็ต้องฆ่าให้ตาย แต่ถ้ากูไม่ตายไม่ต้องบอกมึงคงรู้นะว่าใครต้องตาย”
“ไม่เอาค่ะ ไปเถอะ...” บอกพร้อมพยายามรั้งร่างใหญ่โตของเขาให้หันมาสบสายตา ฟังคำพูดของตนบ้าง “รีบไปกันเถอะค่ะ ฉันคิดว่าพวกมันต้องมีมาเฟียคุ้มครองแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำเรื่องอุกอาจแบบนี้”
เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงอ้อนวอนของเธอนักเพราะมัวแต่แสดงท่าทางยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่ายให้เดือดจัด ต่อให้มันยกพวกมาเป็นโขยง เขาก็จะเรียกพวกมาสักสองโขยงแล้วลองมาฟัดกันดู
สิริภัทราไม่รู้จะห้ามปรามทั้งคนและสัตว์สี่เท้านี้ให้หันมาฟังคำทัดทานของตนได้อย่างไร เวลาที่งวดเข้ามาทำให้เธอตัดสินใจดึงท่อนแขนแกร่งสอดใต้แขนแล้วออกวิ่งจากจุดอับสายตานี้ แม้ในตอนแรกจะทำได้ยากลำบากนักเพราะร่างกายของผู้ชายที่กึ่งลากกึ่งจูงมานี้สูงใหญ่กว่าเธอสองเท่า
เขาเลิกคิ้วเหล่มองมิสไซล์ที่วิ่งเหยาะๆอยู่ไม่ไกล หากยิ้มพรายเมื่อได้ยินเสียงหวานระคนหวาดกลัวทั้งลากทั้งพร่ำพูดไม่หยุด
“อย่าไปแลกกับพวกมันเลยค่ะ เราไม่รู้สักหน่อยว่ามันจะเรียกพวกมาอีกกี่สิบคน” แม้จะทั้งเหนื่อยทั้งหนักกับร่างสูงใหญ่ที่ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้เขากลับไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนั้นอีกแน่ๆ
เขาว่าผู้ชายใจนักเลงฆ่าได้แต่หยามเกียรติไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอคงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายประเภทนี้กระมัง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่หาเรื่องใส่ตัวเองช่วยเหลือเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของสวะสังคมพวกนี้
ความจริงแล้วเธอคิดถูกแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้กลัวการชกต่อยกับเดนมนุษย์อ่อนหัดพวกนั้น แต่เธอคงกลัวจนขึ้นสมองจนลืมไปแล้วว่ากำลังกอดแขนเขาไว้แนบอก แล้วทุกครั้งที่เขาฝืนตัวเองหลังมือจะแนบชิดกับก้อนเนื้อนุ่มหยุ่น แน่นอนว่าเธอไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มพรายของแบดบอยจอมเจ้าเล่ห์เลย
แต่เมื่อวิ่งมาถึงมุมถนนอย่างทุลักทุเล เธอก็หมดความอดทนเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากคนข้างหลังเอาเสียเลย
“ถ้าคุณยังไม่เลิกล้มความคิดจะกลับไปชกต่อยกับพวกนั้น ฉันจะไม่สนแล้วนะ” สิริภัทราหอบหายใจพลางหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างตำหนิ
“อ้าว...” ชักสีหน้างวยงงพร้อมหรี่ตามองเธอด้วยสายตาขุ่นมัว ความจริงแล้วเสียอารมณ์เอามากๆเพราะมือของเขากำลังอุ่นได้ที่แต่เธอดันมาปล่อยทิ้งเสียไม่เห็นค่าแบบนี้ได้อย่างไร
หากสายตาและสีหน้าขัดใจนั้นทำให้เธอต้องรีบอธิบายทั้งยังตีความต่างจากเขาไปคนละเรื่อง “ก็ถ้าขืนคุณยังบ้าบิ่นไม่เลิกขืนตัวไว้แบบนี้ก็หนีได้ไม่ถึงไหนกันหรอก”
อีกครั้งที่ต้องปั้นหน้าเมื่อย ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อทำความดีแล้วยังถูกตำหนิ “ก็ถ้าคุณจะหยุดแล้วฟังผมสักนิด คงรู้แล้วล่ะว่ารถผมจอดตรงนั้น”
สิริภัทรามองตามคนที่บุ้ยใบ้ไปยังซูเปอร์คาร์สุดหรูที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนน เขาใช้สายตามองเธอราวกับเป็นคนน่ารำคาญก่อนจะยิ้มที่มุมปาก วินาทีนี้เธอเพิ่งได้เห็นใบหน้าเขาตรงๆแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแล้วเขาก็หมุนตัวเดินตรงไปยังรถยนต์ที่เคลือบMatt Black(สีดำด้าน) ทั้งคัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหนเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเจ้าของเหยียบคันเร่งติดๆกัน มันเคลื่อนตัวจากจุดจอดเล็กน้อยในขณะที่เธอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“อ้าว จะยืนอยู่ตรงนี้ให้พวกมันยกโขยงมาหารึไง ขึ้นมาเร็วๆเข้า” เขาตะโกนเรียกและเหยียบคันเร่งให้มันเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เธอที่สุด
โอ! เธอกำลังชั่งใจว่าจะขึ้นรถไปกับผู้ชายและแมวป่า ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน หรือจะแยกกับพวกเขาตรงนี้แล้วโทรศัพท์เรียกตำรวจดีนะ หากสัญชาตญาณเลือกอย่างแรกแล้วเธอก็เอื้อมมือไปเปิดประตูรถสอดตัวเข้าไปนั่งแทนที่แมวป่าที่กระโดดข้ามไปนั่งเบาะหลังอย่างรู้งาน
เพียงแค่นั้นเธอก็มีโอกาสได้นั่งอยู่บนลัมโบกินี อเวนทาดอร์ (Lamborghini Aventador) ที่ออกตัวเร็วแรงจนต้องรีบเอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้แม้จะตกใจกับความแรงของเครื่องยนต์แต่ความเรียบหรูแข็งแกร่งสไตล์ผู้ชายที่ใช้ตกแต่งภายในก็ทำให้เธอต้องกวาดสายตามองด้วยความชื่นชมจนลืมมารยาทอันดีงามที่ต้องเอ่ยคำขอบคุณหรือไม่ก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ปกติผู้หญิงก็มักจะตาโต อ้าปากหวอกับสปอร์ตคาร์ เครื่องเพชรหรือไม่ก็แบรนด์เนมราคาสูงลิ่ว เขาส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าเธอเองก็มีทีท่าตื่นเต้นไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป
“ฟิตเครื่องใหม่น่ะ เครื่องแรงดีแต่เสียแค่ร้อนง่ายไปสักหน่อย” แม้รู้ว่าเครื่องยนต์จะความร้อนสูงได้ง่ายแต่เขายังเหยียบคันเร่งในความลึกเท่าเดิม เพราะรถยนต์ดีๆสมรรถนะสูงสักคันก็ไม่ต่างจากผู้หญิง ถ้าอยากรู้ว่าเธอโยกเก่งสมราคาคุยหรือไม่ก็ต้องลองควบเธอให้หนักๆลึกๆ
สิริภัทราอมยิ้มพลางคิดในใจว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์หรือสนใจรถยนต์แพงลิบลิ่วเช่นนี้เลย หากไม่ใช่เจ.ที. ซิลเวอร์ ผู้เป็นพี่ชายคอยพูดกรอกหูอยู่เช้าเย็นจนสมองทำการเมมโมรี่ รูปร่างหน้าตาสปอร์ตคาร์ในฝันของเขาไปโดยปริยาย แต่คนบ้าบิ่นประเภทไหนกันนะที่กล้าเอาเครื่องยนต์ซึ่งติดมากับสุดยอดรถยนต์แบรนด์ระดับโลกเช่นนี้มาดัดแปลง
ก็บ้าเข้าขั้นขนาดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเธอให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืน ทั้งที่เขาไม่มีอาวุธสักชิ้นติดตัวน่ะสิ คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องตกใจในความด้อยมารยาทของตน ไม่ขอบคุณแล้วยังไม่คิดจะขอโทษเขาสักคำ
“ขอโทษ เอ่อ... ขอบคุณนะคะ คุณ...” ไม่รู้จะพูดอะไรก่อนหลัง หากไม่ทันได้พูดจบประโยค เสียงห้าวทรงพลังก็ถามขึ้นเสียก่อน
ยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลที่ทำให้สาวๆหลงหัวปักหัวปำมาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มที่เขาใช้มันจนเคยชิน “คุณน่าจะแนะนำตัวเองก่อนถามชื่อผมนะShawty2”
หากดวงตาของเธอไม่พร่าเลือนไปกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระคนท้าทายนั้น คงได้เห็นเขาปรายตาลงมองทรวงอกก่อนจะยิ้มพรายแล้วตั้งใจกลับไปบังคับพวงมาลัยเช่นเดิม
“เอ่อ... เรียกว่าพิตต้าก็ได้ค่ะ” สิริภัทราชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะแนะนำชื่อจริงแสนยาวและออกเสียงลำบากเป็นอุปสรรคในการเรียกขานมาตลอดหรือไม่ แต่สุดท้ายก็บอกให้เขารู้เพียงชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกตนเท่านั้น
หากฝ่ามือข้างขวาที่ละจากการบังคับพวงมาลัยแล้วยื่นออกมารอสัมผัสแบบผู้ชาย ง่ายๆ ไม่เป็นทางการนั้นก็ทำให้เธอต้องวางมือซ้ายลงบนมือของเขาทันที “เมิร์ธ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“หว่าว...” แมวป่าแผดร้องขึ้นในโทนเสียงที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก มันร้องและขู่คำรามอย่างข่มขวัญเมื่อเจอคู่ต่อสู้ กระโจนเข้าใส่ตาข่ายเหล็กซึ่งกั้นตรอกแคบๆระหว่างตึก เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นจากเศษขยะ
ทว่าเจ้าของแมวป่ากลับชะงักการก้าวเดินแล้วหรี่ตามองพฤติกรรมผิดปกติจากสัตว์เลี้ยงของตน มันยังคงกระโจนเข้าใส่ตาข่ายเหล็กนั้นซ้ำอีกครั้งราวกับเรียกร้องให้เขาเข้าไปสมทบ หากเสียงหวีดร้องของผู้หญิงสลับกับน้ำเสียงห้าวที่มีไดนามิกแตกต่างกัน ทำให้เจ้าของแมวป่ารู้ว่ามันกำลังเห็นโชว์บางอย่าง
พับลิกเซ็กซ์ซึ่งเห็นได้บ่อยๆครั้ง ตามมุมอับสายตาเช่นนี้ แน่ล่ะว่าเสียงกรีดร้องแห่งความเมามันนั้นเรียกความสนใจของแมวป่าที่กำลังอยู่ในช่วงติดสัดจนดิ้นพล่านไม่หยุดเช่นนี้
“ไม่เอาน่ามิสไซล์ (Missile) จบเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวจัดให้ชุดใหญ่เลย” เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินล้วงกระเป๋าผ่านตรอกมืดๆนั้นโดยไม่ใส่ใจแม้กระทั่งปรายตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน หากเขาต้องหยุดและหันกลับไปมองสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ยังคำรามไม่หยุด “เฮ้... มิสไซล์ ออก...”
“ไปไกลๆเลยไอ้เหมียว ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ร่วมกับสัตว์ว่ะ ฮ่า...”
“ช่วยด้วย ฉันถูกข่มขืน!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นดังสวนขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกันกับประโยคเมื่อครู่
“เก็บปากไว้อมแล้วดูดเถอะนังตัวดี”
แม้จะได้ยินถ้อยคำหยาบโลนสักแค่ไหน ร่างจะถูกตรึงไว้อย่างหนาแน่นสักเพียงใดแต่เธอจะไม่ยอมสิ้นหวังด้วยการอยู่นิ่ง สงบปากสงบคำอย่างที่พวกมันสั่ง “ขอร้องช่วยฉันด้วย เห็นแก่พระเจ้า ช่วยเรียกตำรวจที”
สิ้นเสียงขอความช่วยเหลือนั้น แมวป่าขนาดเท่าลูกเสือตัวย่อมก็กระโดดขึ้นใช้สองขาหน้าเกี่ยวตาข่ายเหล็กแล้วดันตัวเองขึ้นอีกครั้งก็สามารถกระโดดข้ามรั้วสูงราวแปดฟุตได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเจ้าของกลับถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายเพราะไม่เพียงขัดคำสั่งยังแส่เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกด้วย
เสียงดังเช่นของมีคมจ้วงฟันอยู่กลางอากาศดังขึ้นจนเขาต้องก้าวถอยหลังแล้วหันไปยังต้นกำเนิดของเสียง จึงได้เห็นว่าชายผิวดำคนหนึ่งกำลังถือมีดย่อตัวลงต่ำตั้งท่าจะฟันแทงแมวป่าซึ่งส่งเสียงคำรามไม่หยุดและหากเสียงเขาไม่ดังขึ้นเสียก่อน ป่านนี้มันคงกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้เป็นแน่
“เฮ้... มันแค่ไอ้เหมียวขนฟู คิดจะเล่นถึงตายเลยเรอะ” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำ เฉียบขาดหากแฝงความเกียจคร้านเอาไว้
แม้จะหันมองตรงๆแต่การถอยหลังจากตาข่ายเหล็กไปสามสี่ก้าวก็แสดงถึงความขี้ขลาด จนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นต่อเพราะมีอาวุธอันแหลมคมอยู่ในมือ เหลือบสายตามองแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองสลับกันอย่างเย้ยหยันไม่ต่างจากคำพูด
เหยื่อผู้โชคร้ายยังร้องขอราวกับกลัวว่าจะสูญสิ้นโอกาสนี้ไป แต่ชายผิวดำอีกคนกลับตะปบมือปิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือในทันที “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉัน อุ๊บ!”
“แค่Bobcat1 ตัวใหญ่กว่าแมวธรรมดาอาจหาญมาขู่กู หลงคิดว่าตัวเองเป็นเสือรึไงวะ ถุย!...”
หากร่างสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามาแล้วใช้สองมือจับที่จุดสูงสุดของตาข่ายเหล็กแล้วออกแรงส่งตัวเองให้ลอยข้ามเข้ามาด้านในระยะเวลาอันรวดเร็ว คล่องแคล่ว ปราดเปรียว เป็นโอกาสงามให้แมวป่าที่มักจะลืมว่ามีบรรพบุรุษเป็นแมวบ้านน่ารักๆ ให้ไปกระโจนเข้าใส่ชายผิวดำอีกคนที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง ปล่อยให้คนที่มีอาวุธในมือเป็นเรื่องของเจ้านาย
เพียงแค่เท้าแตะพื้นเขาก็พุ่งเข้าใส่พร้อมเสยหมัดเข้าปลายจมูกคู่ต่อสู้หนักหน่วงและแม่นยำ ซัดเข้าจุดเดิมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าปลายมีดนั้นยังเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนเข้าหาตน ซัดอีกครั้งเมื่อมันยังไม่ทิ้งอาวุธในมือ เลือดกำเดาสดๆไหลย้อยออกมาจากสองรูจมูกพร้อมๆกับร่างของชายผิวดำที่ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น สมองมึนงง ไม่สั่งการจนต้องฟุบหน้าลงกับถุงพลาสติกสีดำซึ่งข้างในอัดแน่นไปด้วยขยะ
“อ๊าก... ไอ้แมวบ้ากัดฉันทำไมวะ ปล่อย... โธ่โว้ย”
เจ้าของแมวป่าไม่ได้สนใจมองเหยื่อสาวผู้โชคร้ายที่รีบก้าวมาหลบอยู่ข้างหลังตนนัก เพราะเขากำลังนับเวลาในใจว่าการต่อสู้ของคนและแมวป่าจะจบลงภายในเวลากี่นาที หากต้องเบ้ปากแสดงความเจ็บปวดแทน เมื่อแมวป่าเปลี่ยนเป้าหมายจากต้นขาเป็นท่อนแขน เพียงแค่อ้าปากฝังเขี้ยวคมลงบนเนื้อมันก็สะบัดศีรษะเพื่อให้ปากแผลเปิดกว้าง เสียงครางโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจึงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
“คราวหลังก็เล่นที่คอสิวะ มันจะได้ทำเวลาเร็วกว่านี้หน่อย”
คำแนะนำนั้นทำให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแหงนหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอย่างไม่อยากเชื่อหู หากการเห็นแมวป่าแลบลิ้นแผล็บๆเลียเลือดสดๆที่ติดอยู่รอบปากนั้นก็ยิ่งทำให้ตะลึงงัน
“ระวังนะ ระวัง...” แม้จะตกตะลึงเมื่อเห็นว่ามันกินเลือดสดๆ แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะถูกลอบทำร้าย
ฉับ/อ๊าก...
เธอไม่มีโอกาสได้เห็นว่าแมวป่าที่กำลังหันไปฟัดกับคนอีกครั้งนั้นถูกแทงหรือไม่ แต่ภาพตรงหน้าที่มันกำลังฝังเขี้ยวคมลงบนฝ่ามือและสะบัดศีรษะไปมาจนเจ้าตัวต้องปล่อยมีดให้ตกลงบนพื้นก็สร้างความสยดสยองได้เป็นอย่างดี มันไม่ได้เสียเวลาตั้งท่าขู่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ!
“ไง... ทีนี้เริ่มมีอารมณ์กับไอ้เหมียวขึ้นมาแล้วล่ะสิ” เขาถามพลางกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี กอดอก กางขาออกกว้าง เอียงหน้ามองเลือดข้นหนืดกำลังหยดลงสู่พื้นอย่างไม่ยี่หระ
“ขอร้องๆ บอกมันปล่อยฉันทีพวก อ๊าก!” ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รีบใช้อีกมือประคองท่อนแขนของตัวเองเมื่อแมวป่ายังกัดจมเขี้ยว ไม่ยอมปล่อย “ปล่อยสิโว้ย... มือขาดกูฆ่ามึงตายแน่”
“ได้ยินไหมมิสไซล์ มันอาฆาตหนักขู่ฆ่าแกน่ะ”
สิ้นเสียงเจ้านายแมวป่าก็รุกเข้าโจมตีใบหน้าของคู่ต่อสู้ จมูกที่มีเลือดสดๆเกรอะกรังดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายแรกของมัน หากคู่หูอีกคนที่นั่งชันตัวพิงกับถุงขยะใบใหญ่ก็ได้สติพร้อมขู่เสียงดังเพื่อช่วยเหลือเพื่อนจากการขย้ำของแมวป่า
หวีด...
เป่าปากกับมือแทนเสียงนกหวีดและรับประกันความดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันดังขึ้นพร้อมยิ้มพรายราวกับตัวเองเป็นต่อหลายขุม “อีกไม่นานจะมีพรรคพวกฉันมาเป็นโขยง พวกแกตายแน่ แส่หาเรื่องดี...”
หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายสะดุ้งเมื่อร่างสูงใหญ่ที่เป็นเสมือนเกราะคุ้มภัยเคลื่อนตัวไปเสยหมัดเข้าที่ปลายคางคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ขู่จนจบประโยคด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆมาคว้าข้อมือเธอพลางสั่งแมวป่าที่ยังฟัดคู่ต่อสู้อย่างสนุกสนาน
“พอแล้วมิสไซล์ เราเสียเวลามามากแล้ว” กดเสียงต่ำพร้อมทั้งดันให้เธอมายืนข้างหน้า “เดี๋ยวผมจะช่วยดันหลังแล้วคุณปีนขึ้นไปข้างบนนะ”
มันคือประโยคบอกเล่าที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวตอบรับหรือปฏิเสธด้วยซ้ำ เมื่อเขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าบริเวณสีข้างแล้วยกเธอลอยหวือจากพื้นดิน
“เกาะตาข่ายเอาไว้ แล้วพอผมดันขึ้นเกาะปีนขึ้นไปเลย เข้าใจไหม”
“ค่ะ” รับคำและเบิกตากว้างเมื่อเขาเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปดันสะโพกเธอให้สูงขึ้น หากไม่มีเวลาที่จะบ่ายเบี่ยงเพราะเธอต้องพาตัวเองออกไปจากมุมอับสายตาแสนอันตรายนี้ก่อนที่พรรคพวกอีกโขยงจะแห่มาในไม่ช้า
ชั่วอึดใจต่อมาเธอก็สามารถก้าวขาขึ้นมานั่งคร่อมบนท่อนเหล็กอันใหญ่ที่ถูกเชื่อมเข้าไว้กับตาข่ายเหล็ก เธอรู้ดีว่าการกระโดดข้ามรั้วสูงเช่นนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับสัตว์สี่เท้านัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอทึ่งก็คือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งก้าวถอยหลังไปตั้งท่าราวสามก้าวแล้วพุ่งตัวเข้ามาเกาะตาข่ายเหล็กแล้วพาตัวเองกระโดดข้ามออกไปยืนบนพื้นอีกฝั่งอย่างง่ายดาย มั่นคงไม่ต่างจากแมวป่าที่ยืนแหงนหน้าขึ้นมองเธออยู่ในขณะนี้
“อ้าว จะนั่งรอให้พวกมันมารุมโทรมรึไง กระโดดลงมาสิแม่คุณ” บอกทั้งกวักมือเรียกพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง
สิริภัทรากระชับมือเข้าที่ทรวงอกของตน เสื้อเชิ้ตสีส้มพาสเทลขาดวิ่น กระดุมทั้งแถบถูกกระชากจนสาบเสื้อแยกออกจากกัน มันทำให้เธอไม่อาจปล่อยมือแล้วกระโดดลงไปจากรั้วที่สูงราวแปดฟุตนี้ได้เป็นแน่
ดูเหมือนว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอออกจึงขยับเข้ามายืนใกล้และยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไว้ราวกับรออุ้มเด็ก สาบานเลยว่าเขาเคยเห็นหน้าอกผู้หญิงมานักต่อนัก แต่บราเซียร์ลูกไม้สีดำที่โผล่ออกมาให้เห็นวับๆแวมๆนี้ปลุกปั่นอารมณ์เขานัก ยิ่งเธอใช้ท่อนแขนปิด ก้อนเนื้ออวบหยุ่นยิ่งปลิ้นล้นออกมาให้เห็นจนเกิดจินตนาการไปไกลลิบลิ่ว
“คุณรับฉันดีๆนะคะ”
เสียงเธอปลุกเขาให้หลุดออกมาจากจินตนาการและโคลงศีรษะรับ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กระโดดลงมาสักที “เร็วเข้า ไอ้พวกนั้นมันขยับตัวแล้ว”
สิริภัทราหน้าถอดสีและสลัดการกลัวความสูง ทิ้งตัวลงมาหาฝ่ามือที่ยื่นขึ้นมารอรับในทันที “ว้าย...”
ความตะลึงงันเกิดขึ้นชั่วครู่เมื่อใบหน้าคร้ามคม สันคางเต็มไปด้วยเคราเส้นสั้นจมหายเข้ากลางร่องอกที่เบียดตัวกันชิดภายใต้บราเซียร์ลูกไม้ ทั้งฝ่ามือบางยังสอดเข้ากระชับท้ายทอยและกดไว้อย่างแนบแน่น ไม่อาจทำให้เขาเบี่ยงหน้าหลบหลีกไปทิศทางอื่นได้
แน่นอนว่าผู้ชายเต็มตัวอย่างเขาไม่เคยปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดรอดไป เขาได้พบว่ากลิ่นสาบสาวช่างกระตุ้นอารมณ์และทำให้เขาประหลาดใจต่อปฏิกิริยาของร่างกายที่ตื่นตัวตอบรับเธอ อัศจรรย์ใจพอๆกับที่ได้เห็นหน้าอกคัพซีซ่อนตัวอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีหวาน
“เฮ้ย... อย่าคิดหนีนะโว้ย แกเป็นใครวะไอ้ตูด มาเสือกเรื่องของพวกกูทำไม” เสียงที่ดังขึ้นมาขัดจังหวะความสำราญอารมณ์ของเขาดังขึ้น มันทำให้เธอดิ้นและละมือออกจากการกอดรั้งเขาไว้อย่างแนบแน่นพลางหันหน้าไปยังต้นกำเนิดเสียง
“กูเป็นเจ้านายของพ่อมึง ส่วนพ่อมึงก็ยืนอยู่นั่น...” บอกพร้อมกับโคลงศีรษะไปยังสัตว์เลี้ยงของตนซึ่งขู่คำรามในลำคอ ตัวพอง หางสั้นของมันกระดกขึ้นตั้งชัน ย่อตัวลงอย่างข่มขู่คู่ต่อสู้ “ไม่ลองถามพ่อมึงดูล่ะว่ามีปัญหาอะไร ถ้าไม่จบก็ออกมาดวลกันต่อสิวะ เห่าอยู่นั่น รำคาญ!”
“มึงวอนหาที่ตายแล้วไหมล่ะ ถ้าแน่จริงก็รออยู่ตรงนั้น ไม่เกินห้านาทีพรรคพวกกูแห่กันมาเหยียบมึงมิดแน่”
สิริภัทราส่ายหน้าเริ่มหวาดกลัวกับความป่าเถื่อนที่ได้ยิน ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าและสัตว์เลี้ยงของเขาไม่ได้อ่อนหัดในชั้นเชิงการป้องกันตัวแต่หากต้องสู้กับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่รู้จำนวนที่แน่นอน เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดมาได้ในสภาพเช่นที่เป็นอยู่นี้หรือไม่
แต่... เขากลับไม่มีท่าทางหวั่นเกรง ยังหงายมือขึ้นแล้วกระดิกทั้งนิ้วกลางและนิ้วนางพร้อมกัน เรียกคู่ต่อสู้ให้ออกมาหาด้วยท่าทียั่วโทสะ
“เออ... ฆ่ากูก็ต้องฆ่าให้ตาย แต่ถ้ากูไม่ตายไม่ต้องบอกมึงคงรู้นะว่าใครต้องตาย”
“ไม่เอาค่ะ ไปเถอะ...” บอกพร้อมพยายามรั้งร่างใหญ่โตของเขาให้หันมาสบสายตา ฟังคำพูดของตนบ้าง “รีบไปกันเถอะค่ะ ฉันคิดว่าพวกมันต้องมีมาเฟียคุ้มครองแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำเรื่องอุกอาจแบบนี้”
เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงอ้อนวอนของเธอนักเพราะมัวแต่แสดงท่าทางยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่ายให้เดือดจัด ต่อให้มันยกพวกมาเป็นโขยง เขาก็จะเรียกพวกมาสักสองโขยงแล้วลองมาฟัดกันดู
สิริภัทราไม่รู้จะห้ามปรามทั้งคนและสัตว์สี่เท้านี้ให้หันมาฟังคำทัดทานของตนได้อย่างไร เวลาที่งวดเข้ามาทำให้เธอตัดสินใจดึงท่อนแขนแกร่งสอดใต้แขนแล้วออกวิ่งจากจุดอับสายตานี้ แม้ในตอนแรกจะทำได้ยากลำบากนักเพราะร่างกายของผู้ชายที่กึ่งลากกึ่งจูงมานี้สูงใหญ่กว่าเธอสองเท่า
เขาเลิกคิ้วเหล่มองมิสไซล์ที่วิ่งเหยาะๆอยู่ไม่ไกล หากยิ้มพรายเมื่อได้ยินเสียงหวานระคนหวาดกลัวทั้งลากทั้งพร่ำพูดไม่หยุด
“อย่าไปแลกกับพวกมันเลยค่ะ เราไม่รู้สักหน่อยว่ามันจะเรียกพวกมาอีกกี่สิบคน” แม้จะทั้งเหนื่อยทั้งหนักกับร่างสูงใหญ่ที่ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้เขากลับไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนั้นอีกแน่ๆ
เขาว่าผู้ชายใจนักเลงฆ่าได้แต่หยามเกียรติไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอคงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายประเภทนี้กระมัง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่หาเรื่องใส่ตัวเองช่วยเหลือเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของสวะสังคมพวกนี้
ความจริงแล้วเธอคิดถูกแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้กลัวการชกต่อยกับเดนมนุษย์อ่อนหัดพวกนั้น แต่เธอคงกลัวจนขึ้นสมองจนลืมไปแล้วว่ากำลังกอดแขนเขาไว้แนบอก แล้วทุกครั้งที่เขาฝืนตัวเองหลังมือจะแนบชิดกับก้อนเนื้อนุ่มหยุ่น แน่นอนว่าเธอไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มพรายของแบดบอยจอมเจ้าเล่ห์เลย
แต่เมื่อวิ่งมาถึงมุมถนนอย่างทุลักทุเล เธอก็หมดความอดทนเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากคนข้างหลังเอาเสียเลย
“ถ้าคุณยังไม่เลิกล้มความคิดจะกลับไปชกต่อยกับพวกนั้น ฉันจะไม่สนแล้วนะ” สิริภัทราหอบหายใจพลางหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างตำหนิ
“อ้าว...” ชักสีหน้างวยงงพร้อมหรี่ตามองเธอด้วยสายตาขุ่นมัว ความจริงแล้วเสียอารมณ์เอามากๆเพราะมือของเขากำลังอุ่นได้ที่แต่เธอดันมาปล่อยทิ้งเสียไม่เห็นค่าแบบนี้ได้อย่างไร
หากสายตาและสีหน้าขัดใจนั้นทำให้เธอต้องรีบอธิบายทั้งยังตีความต่างจากเขาไปคนละเรื่อง “ก็ถ้าขืนคุณยังบ้าบิ่นไม่เลิกขืนตัวไว้แบบนี้ก็หนีได้ไม่ถึงไหนกันหรอก”
อีกครั้งที่ต้องปั้นหน้าเมื่อย ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อทำความดีแล้วยังถูกตำหนิ “ก็ถ้าคุณจะหยุดแล้วฟังผมสักนิด คงรู้แล้วล่ะว่ารถผมจอดตรงนั้น”
สิริภัทรามองตามคนที่บุ้ยใบ้ไปยังซูเปอร์คาร์สุดหรูที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนน เขาใช้สายตามองเธอราวกับเป็นคนน่ารำคาญก่อนจะยิ้มที่มุมปาก วินาทีนี้เธอเพิ่งได้เห็นใบหน้าเขาตรงๆแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแล้วเขาก็หมุนตัวเดินตรงไปยังรถยนต์ที่เคลือบMatt Black(สีดำด้าน) ทั้งคัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหนเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเจ้าของเหยียบคันเร่งติดๆกัน มันเคลื่อนตัวจากจุดจอดเล็กน้อยในขณะที่เธอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“อ้าว จะยืนอยู่ตรงนี้ให้พวกมันยกโขยงมาหารึไง ขึ้นมาเร็วๆเข้า” เขาตะโกนเรียกและเหยียบคันเร่งให้มันเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เธอที่สุด
โอ! เธอกำลังชั่งใจว่าจะขึ้นรถไปกับผู้ชายและแมวป่า ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน หรือจะแยกกับพวกเขาตรงนี้แล้วโทรศัพท์เรียกตำรวจดีนะ หากสัญชาตญาณเลือกอย่างแรกแล้วเธอก็เอื้อมมือไปเปิดประตูรถสอดตัวเข้าไปนั่งแทนที่แมวป่าที่กระโดดข้ามไปนั่งเบาะหลังอย่างรู้งาน
เพียงแค่นั้นเธอก็มีโอกาสได้นั่งอยู่บนลัมโบกินี อเวนทาดอร์ (Lamborghini Aventador) ที่ออกตัวเร็วแรงจนต้องรีบเอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้แม้จะตกใจกับความแรงของเครื่องยนต์แต่ความเรียบหรูแข็งแกร่งสไตล์ผู้ชายที่ใช้ตกแต่งภายในก็ทำให้เธอต้องกวาดสายตามองด้วยความชื่นชมจนลืมมารยาทอันดีงามที่ต้องเอ่ยคำขอบคุณหรือไม่ก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ปกติผู้หญิงก็มักจะตาโต อ้าปากหวอกับสปอร์ตคาร์ เครื่องเพชรหรือไม่ก็แบรนด์เนมราคาสูงลิ่ว เขาส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าเธอเองก็มีทีท่าตื่นเต้นไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป
“ฟิตเครื่องใหม่น่ะ เครื่องแรงดีแต่เสียแค่ร้อนง่ายไปสักหน่อย” แม้รู้ว่าเครื่องยนต์จะความร้อนสูงได้ง่ายแต่เขายังเหยียบคันเร่งในความลึกเท่าเดิม เพราะรถยนต์ดีๆสมรรถนะสูงสักคันก็ไม่ต่างจากผู้หญิง ถ้าอยากรู้ว่าเธอโยกเก่งสมราคาคุยหรือไม่ก็ต้องลองควบเธอให้หนักๆลึกๆ
สิริภัทราอมยิ้มพลางคิดในใจว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์หรือสนใจรถยนต์แพงลิบลิ่วเช่นนี้เลย หากไม่ใช่เจ.ที. ซิลเวอร์ ผู้เป็นพี่ชายคอยพูดกรอกหูอยู่เช้าเย็นจนสมองทำการเมมโมรี่ รูปร่างหน้าตาสปอร์ตคาร์ในฝันของเขาไปโดยปริยาย แต่คนบ้าบิ่นประเภทไหนกันนะที่กล้าเอาเครื่องยนต์ซึ่งติดมากับสุดยอดรถยนต์แบรนด์ระดับโลกเช่นนี้มาดัดแปลง
ก็บ้าเข้าขั้นขนาดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเธอให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืน ทั้งที่เขาไม่มีอาวุธสักชิ้นติดตัวน่ะสิ คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องตกใจในความด้อยมารยาทของตน ไม่ขอบคุณแล้วยังไม่คิดจะขอโทษเขาสักคำ
“ขอโทษ เอ่อ... ขอบคุณนะคะ คุณ...” ไม่รู้จะพูดอะไรก่อนหลัง หากไม่ทันได้พูดจบประโยค เสียงห้าวทรงพลังก็ถามขึ้นเสียก่อน
ยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลที่ทำให้สาวๆหลงหัวปักหัวปำมาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มที่เขาใช้มันจนเคยชิน “คุณน่าจะแนะนำตัวเองก่อนถามชื่อผมนะShawty2”
หากดวงตาของเธอไม่พร่าเลือนไปกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระคนท้าทายนั้น คงได้เห็นเขาปรายตาลงมองทรวงอกก่อนจะยิ้มพรายแล้วตั้งใจกลับไปบังคับพวงมาลัยเช่นเดิม
“เอ่อ... เรียกว่าพิตต้าก็ได้ค่ะ” สิริภัทราชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะแนะนำชื่อจริงแสนยาวและออกเสียงลำบากเป็นอุปสรรคในการเรียกขานมาตลอดหรือไม่ แต่สุดท้ายก็บอกให้เขารู้เพียงชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกตนเท่านั้น
หากฝ่ามือข้างขวาที่ละจากการบังคับพวงมาลัยแล้วยื่นออกมารอสัมผัสแบบผู้ชาย ง่ายๆ ไม่เป็นทางการนั้นก็ทำให้เธอต้องวางมือซ้ายลงบนมือของเขาทันที “เมิร์ธ ยินดีที่ได้รู้จัก”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ