SoulWalker

-

เขียนโดย คนนะจ๊ะ

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.01 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  5,211 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 20.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) สู่อีกฟาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
                วูบ                ผมกระโดดจากอาคารชั้น 5 เกาะต้นไม้ข้างตึกแล้วโหนตัวลงมาอย่างชำนาญชานชั่ง พอได้ความสูงที่พอเหมาะผมก็ถีบตัวออกจากต้นไม้กลิ้งตัวไปบนหลังคาอาคารโสตทัศนศึกษาแล้วลุกขึ้นวิ่งได้ต่อเนื่อง ความรู้สึกตัวเบาหวิวและเคลื่อนไหวในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน พูดไปก็เหมือนโม้แต่สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าการเล่นปากัวหรือฟรีรันนิ่งและแน่นอนว่าพวกนั้นก็เช่นกัน                ตูม!                “เหวอ” แรงสะเทือนจากระเบิดทำให้ผมเสียการทรงตัวจนเกือบล้ม พวกมันระเบิดหลังคาทิ้งด้วยปืนกระบอกใหญ่ อีกสามคนกระโดดตามผมลงมาจากชั้น 5 ด้วยความสูงที่หักกระดูกได้ง่ายๆ แต่พวกนั้นกลับลงพื้นได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนยัยผู้หญิงที่หลอกผมเข้ามาในมิติเสมือนวิ่งซิกแซกซ้ายขวาด้วยความเร็วที่ผมแทบจะมองตามไม่ทัน การก้าวเท้าอันแสนหนักแน่นจนหลังคาเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะพร้อมกับสายลมรุนแรงที่โหมพัดเป็นทาง                ที่มือของเธอทั้งสองมีกรงเล็บสวมอยู่ ถ้าโดนเข้าคงไม่ใช่แค่แผลตื้นๆแน่                ‘หลบเร็ว’ ยูเฟลร้องบอกในหัวผม เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วน่า ผมเอียงตัวหลบไปด้านขวาพลางใช้มือทั้งสองกดกรงเล็บอีกด้านที่เล็งแทงตรงช่วงท้อง แรงของพวกเราสูสีกันดังนั้นเธอจึงทำอะไรผมไม่ได้มากกว่านั้น                แต่อีกสองคนด้านหลังนี่ก็เริ่มจะทำตัวเป็นปัญหา หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้ใช้อาวุธลับ มันปามีดทั้งออกมาหลายสิบเล่ม ซึ่งแต่ละเล่มก็พุ่งมาทางผมในวิถีโค้งที่ฝืนกฎฟิสิกส์อย่างรุนแรง แค่มองผ่านๆก็รู้ได้ทันทีว่ามีดพวกนั้นจะเข้าเป้าทุกเล่ม ซึ่งเป้าซ้อมที่ว่าก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้                ‘ด้านล่าง’ อย่างที่เคยบอกไป เร็วกว่าความคิดก็เท้าผมนี่แหละ ผมยันตัวยัยกรงเล็บออกไปแล้วถีบตัวโดดลงจากหลังคา ลงพื้นด้วยสภาพหันหลังลงซึ่งผมไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนั้น คิดไว้แล้วว่าตอนลงอาจจะเจ็บนิดหน่อยแต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น ร่างกายผมหมุนพลิกกลางอากาศเหมือนแมว ใช้ฝ่ามือดันร่างกายให้ดีดตัวขึ้นจากพื้นกลับมาอยู่ในท่ายืนได้อย่างง่ายดายแน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือของผม แต่เป็นยูเฟล                ทันทีที่เข้ามาที่โลกเสมือนยูเฟลก็เข้ามาอยู่ในตัวผมราวกับพวกเราได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ประสบการณ์การเคลื่อนไหวผาดโผนเสี่ยงตายทั้งหมดมาจากหมอนั่น การที่ผมเคลื่อนไหวได้ขนาดนั้นก็คงเพราะเหตุนั้น บางครั้งยูเฟลก็จะเข้าควบคุมร่างกายนี้เพื่อหลีกหนีจากอันตราย สรุปตอนนี้ผมมีทั้งร่างกายที่คล่องแคล่วว่องไวกับการเคลื่อนไหวเหนือสามัญสำนึกจากยูเฟล                แต่พวกนั้นมีอาวุธและความสามารถการเคลื่อนไหวก็ใกล้เคียงกับผม                “วิ่งแล้วเฟ้ย” มองจากมุมไหนท่ายากยังไงอยู่ต่อไปไม่พ้นโดนเชือดแหง แค่จำนวนคนก็ไม่น่าเสวนาด้วยแล้ว ด้วยความเร็วตอนนี้น่าจะเทียบเท่ารถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วเฉียดร้อย แต่ระยะห่างจากทางนั้นก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้น ถ้าอยากจะหนีให้พ้นก็ต้องใช้มากกว่านั้นอาคารพละตอนนี้ถูกปิดประตูทางเข้าอยู่ แต่บานหน้าต่างมีช่องพอให้คนมุดเข้าไปได้อยู่ถึงจะอยู่สูงไปหน่อยก็เถอะ                “ย้าก” ผมถีบกำแพงดันตัวเองขึ้นไปแบบฉากพระเอกหนังวิ่งไต่กำแพง ไต่ขึ้นมาด้วยความสูงเจ็ดเมตร ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนขาสองข้างจะถูกบางอย่างฉุดกระชากจนไม่สามารถฝืนแรงโน้มถ่วงต่อไปได้อีกแล้ว พริบตานั้นแขนขวาของผมก็ขยับไปคว้าขอบหน้าต่างแล้วดึงตัวผมเข้าไปในนั้น                “แบบนี้น่าจะพอถ่วงเวลาได้นิดหน่อยละนะ”                ตูม!                พอคิดแบบนั้นกำแพงอาคารก็เป็นรูโหว่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร                “แบบนี้ก็ได้เหรอ” บ้าเอ๊ย ผมรีบหนีขึ้นไปชั้นสามซึ่งเป็นโรงยิม ถ้าปีนขึ้นไปที่โครงเหล็กที่แบกน้ำหนักหลังคาไว้จะมีช่องระบายอากาศ สามารถใช้จุดนั้นโดดลงไปด้านล่างได้                ‘ไม่ได้’ ผมชะงักทันทีที่ยูเฟลพูดแบบนั้น                “ทำไมล่ะ ตอนลงจากชั้นห้ายังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่”                ‘เจ้าบ้า นั่นเป็นเพราะมีต้นไม้เครื่องผ่อนแรงต่างหาก ด้วยความสูงระดับนั้นหากกระโดดลงมาทั้งอย่างนั้นก็มีแต่ตายสถานเดียว’                “แล้วเอาไงดี ไม่มีทางหนีแล้วนะ”                ‘พวกเรายังเชื่อมต่อกันได้ไม่ดีพอ ข้าเลยทำได้แค่ขยับร่างกายของเจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น’ จังหวะเดียวกันเจ้าสี่คนนั้นก็ขึ้นมาที่ชั้นสามแล้ว เจ้าคนใช้อาวุธลับซัดมีดบินมาสองชุด ชุดแรกพุ่งมาในแนวตรงปกติแต่ก็เร็วมากจนผมหลบไม่ทัน สองเล่มแทงทะลุแขนซ้ายผมทะลุไปจนถึงกำแพงด้านหลังแล้วก็ถูกตรึงไว้แบบนั้น                มีดชุดที่สองถูกซัดขึ้นฟ้าแล้วโค้งลงมาตามวิถีแรงเหมือนห่าฝน ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากแขนให้หลุดออกมาจากการโดนตรึง ตอนนี้จะเสียเลือดเสียหนังก็ช่างมันแล้ว ถ้าโดนเข้าแบบเต็มๆนี่หมดทางรอดแน่นอน                “ยูเฟลช่วยที” เพราะความเจ็บปวดทำให้ผมเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก ยูเฟลเลยจำเป็นต้องควบคุมร่างกายของผมชั่วคราว แขนสองข้างถูกยกขึ้นป้องกันลำตัวด้านขวา ย่อตัวลงวิ่งเพื่อลดพื้นที่ในการโดนโจมตีให้เหลือน้อยที่สุด                ฉึก ฉึก ฉึก                มีดสิบเล่มปักไปทั่วทั้งร่าง แต่ไม่โดนจุดอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต ยูเฟลกระชากมีดออกจากหัวไหล่ขวาแล้วซัดสวนกลับไปปึด!                ก่อนที่มีดจะถึงตัวผู้ใช้อาวุธบินมันก็ถูกบดขยี้ด้วยแรงบีบที่มองไม่เห็น เจ้าคนที่สี่ที่ไม่ทำอะไรเลยตั้งแต่แรกจ้องมองมาทางผม พริบตานั้นก็มวลอากาศที่หน้าอกผมก็เกิดการเปลี่ยนแปลง                กร๊อบ                “อ๊าก!” ยูเฟลเคลื่อนตัวหลบออกไปได้ทันอย่างฉิวเฉียด ถ้าช้ากว่านั้นอีกแม้เพียงเสี้ยววินาทีร่าวกายของผมคงจะโดนแรงบิดมหาศาลบดขยี้กระดูกซี่โครงกับหัวใจจนแหลกเหลวไปแล้ว เหมือนกับแขนซ้ายของผมที่บิดงอจนผิดรูปตอนนี้                หลังจากได้อภิรมย์กับความเจ็บปวดขนาดว่าจะหมดสติไปตอนนี้ก็ไม่น่าแปลก ยัยคนใช้กรงเล็บก็เข้าประชิดตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยูเฟลกระชากมีดอีกเล่มออกจากซี่โครงขวาฟาดฟันกับอาวุธของยัยนั่น กระนั้นด้วยร่างกายแบบนี้ก็ตามการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วนั่นไม่ทันและเพิ่มรอยบาดแผลตามร่างกายมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป                ‘เจ้าชอบดอกไม้ไฟรึเปล่า’ ยูเฟลถามผมที่รู้สึกเหมือนจะหลับไปทั้งแบบนั้น เพราะเสียเลือดมากเกินไปจนแทบจะยืนไม่ไหว ความเจ็บปวดที่แทบจะฉีกกระชากสติก็รู้สึกได้เพียงลางๆ                ‘เละขนาดนี้แล้วเจ็บอีกนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร’ ยูเฟลก้าวถอยหลังห้าก้าว ปามีดไปเพื่อให้ยัยนั่นทิ้งระยะห่าง ไม่สิยัยนั่นต่างหากที่จงใจทิ้งระยะห่างออกไปเอง ทำไมล่ะ ถ้าคิดจะเข้ามาปิดบัญชีล่ะก็ทำได้ง่ายๆอยู่แล้วนี่                ผมค่อยหันคอไปทางอัฒจรรย์ฝั่งตรงข้าม โอ้วตายละ                 ตูม!                ร่างของผมถูกแรงระเบิดอัดทะลุกำแพงปลิวออกมานอกอาคาร ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกแสบร้อนประหนึ่งถูกไฟเผา อวัยวะภายบางส่วนข้างในแหลกเละและเลือดไหลท่วมปอด แขนขาที่โดนแรงระเบิดจนเนื้อบางส่วนหายไปก็ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว                สภาพยิ่งกว่าศพเละๆที่โดนกระสุนปืนใหญ่ในสงครามโลก ขนาดนั้นแล้วแต่ผมก็ยังไม่ตาย หลักฐานก็คือแขนขวาของผมที่ใช้มีดลากไปกับกำแพงเพื่อลดทอนความเร็วตอนล่วงลงพื้น นั่นคือเครื่องยืนยันว่าผมยังมีชีวิตอยู่ และจะทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป                ทั้งที่คิดแบบนั้น พอถึงพื้นดินร่างกายนี้ก็แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนเศษผ้าขี้ริ้วถูกทิ้งไว้ในกองขยะ ที่ขยับได้ตอนนี้มีแค่นิ้วชี้ที่กระดิกตะกุยดินไปมา นั่นคงเป็นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้                ผมนอนหงายโดยไม่สนมีดที่หลังจะแทงทะลุเพราะแรงกด ภาพอันพร่ามัวที่ผมมองเห็น เจ้าคนที่บิดแขนผมจนหักงอด้วยพลังประหลาดกำลังยืนมองผมบนรอยแตกของกำแพง                อา จบแล้วสินะ ตายทั้งๆที่ทำอะไรไม่ได้มันน่าเจ็บใจชะมัด                ผมเลื่อนสายตาไปมองท้องฟ้าที่ไร้เฉดสีเป็นครั้งสุดท้าย มองเห็นนกที่เกาะบนหลังคากำลังกางปีกเตรียมโผบินในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และภาพถัดมาเจ้านกตัวนั้นทิ้งตัวลงจากหลังคาคว้าคอเจ้าคนพลังบิด แล้วพลิกตัวกลางอากาศเอาตัวเหยื่อที่คว้าคอได้เป็นเบาะรองลงพื้น ซึ่งเสียงลงพื้นของหมอนี่ไม่ค่อยน่าฟังนัก อารมณ์แบบก้อนเนื้อถูกบีบถูกทุบเสียงดังแผละจนผมรู้สึกขนหัวลุก แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ แม้ว่าหมอนี่จะโหม่งโลกด้วยจากความสูงเกิน 20 เมตรแต่กลับตาเหลือกอ้าปากพะงาบๆหันมองมาทางผม                มันยังไม่ตาย...พลังชีวิตเหนือระดับแมลงสาบไปแล้ว                ‘น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนอื่นหรอกนะ’                ซู้ดดดด                เสียงสูดสารระเหยปริศนามาจากชายสูงสมส่วนที่ผมเข้าใจผิดตอนแรกว่าเป็นนก แม้จะมองไม่ค่อยชัดและท่อนบนสวมเสื้อคลุมแบบฮู้ดปิดศีรษะ แต่พอดูออกว่าเป็นเครื่องแต่งกายของหมอนี่คล้ายคลึงกับของผม เป็นนักเรียนของที่นี่ไม่ผิดแน่                อ่า~                เสียงครางแบบฟินนาเร่นั้นชวนให้ผมรู้สึกครางแคลงใจเจ้าสารระเหยรูปลักษณ์หลอดยาดมในมือบุคคลที่ช่วยชีวิตผมไว้ หมอนั่นเก็บหลอดยาดมลงในกระเป๋าเสื้อก่อนเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มากดแล้วเก็บกลับไปที่เดิมพอมองดีๆจะเห็นสายหูฟังที่โผล่ออกมาจากฮู้ดไล่ลงมาตามเสื้อหมอนั่น                “เพลงมา” หลังจากดีดนิ้วทีหนึ่ง เจ้าสามคนนั่นที่ไล่กระทืบผมเสียปางตายก็กระโดดลงมาจากรอยแตกของกำแพง ลงพื้นด้วยท่าซุปเปอร์ฮีโร่สุดเท่อย่างมีสไตล์เสียแต่ไม่มีฮีโร่คนไหนที่ไล่กระทืบผู้ร้ายจนเป็นศพโดนระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สองหรอกนะเจ้าของสารระเหยสะบัดมือทีหนึ่ง ทอนฟาที่ซ่อนในเสื้อแขนยาวก็ไหลลงมาเข้ามือ แม้ขนาดจะใหญ่เป็นบ้องข้าวหลามแต่รูปร่างแบบนั้นต้องเป็นทอนฟาแน่นอน                ไม่มีการแนะนำตัวใดๆทั้งสิ้นให้เสียเวลา บุคคลผู้ช่วยชีวิตผมกระโดดเข้าใส่พวกนั้นประหนึ่งตัวเองเป็นจาพนม มันควรจะเป็นการต่อสู้แบบสามรุมหนึ่งอย่างยากลำบากซึ่งถ้าผมไม่ตาฝาดไปจนเห็นว่ามันเป็นหนึ่งรุมสามล่ะก็นะ                ถ้าให้อธิบายเป็นคำพูดล่ะก็ เหมือนกับหมอนั่นแยกร่างออกเป็นสามคนแล้วเข้าไปทั้งเตะทั้งต่อยอีกฝั่งจนเละไม่เป็นกระบวน คงเป็นเพราะสองในสามเป็นประเภทโจมตีระยะไกลทำให้ไม่สันทัศน์การต่อสู้ระยะประชิดเสียเท่าไหร่                เจ้าของสารระเหยสับขาฟุตเวิร์คไปมาจนมีเงาซ้อนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เห็นแค่สามตอนนี้กลายเป็นหกแล้ว การเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์ขนาดที่เงาทั้งหกนั้นโจมตีในท่าทีที่แตกต่างแต่ก็ประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งรุกและรับ                นี่น่ะหรือพลังของสารระเหย                ‘ข้าว่าเจ้ามองผิดประเด็นแล้วล่ะ’                พอเริ่มเห็นว่าไม่ไหว เจ้าพวกนั้นก็ปาระเบิดควันลงพื้นเพื่อปิดบังทัศนวิสัยของผู้ใช้ทอนฟา เสียงเคลื่อนไหวบางอย่างทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าพวกมันยังมีกะจิตกะใจมาช่วยเพื่อนที่นอนคอสเพลย์เป็นแมลงสาบโดนบี้                ถ้าตามพล็อตหนังทั่วไป พอควันจางไปจนหมดพวกนั้นก็จะหายไปไม่เหลือร่องลอยอะไรให้ตามสืบสาว                ติดก็ตรงที่พล็อตหนังเรื่องนี้ดันไม่ใช่หนังทั่วไป เมื่อควันจางหายไปพวกนั้นก็ยังอยู่ครบแต่ไม่สมบูรณ์ คุณไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณมองเห็นสภาพเละเทะกระดูกหักงอของทั้งสามคนที่สมบูรณ์ครบร้อยมาจนกระทั่งเมื่อครู่                “ดูเหมือนพวกแกจะต้อนรับน้องใหม่ของพวกเราซะดิบดีเลยนี่” และเมื่อสังเกตุดีๆจะพบว่าพื้นที่นี่ถูกล้อมไปด้วยบุคคลลึกลับสี่คน ถ้ารวมเจ้ามนุษย์สารระเหยเข้าไปด้วยก็จะเป็นห้าคน ทุกคนล้วนมีเสื้อกันหนาวเป็นฮู้ดบิดบังหน้าตากันไว้อย่างมิดชิด                ที่พอดูคุ้นหน้าคุ้นตาหน่อยก็มีผู้หญิงผู้ใช้กระบองน้ำแข็งสามท่อน กับ ผู้ชายถือดาบสองด้านกำลังนั่งยองมองดูศพสี่ศพที่พื้น                “โรงเรียนนานาชาติซวองเบอร์” คนใช้ดาบถือวิสาสะล้วงเอากระเป๋าตังของหนึ่งในสี่คนนั้นออกมาดูข้อมูลบัตรนักเรียน                 “ไม่เข้าใจว่าเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนฉันมันหาซื้อง่ายนักรึไง ช่วงนี้ถึงได้มีแต่พวกคอสเพลย์เข้ามาเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด” ยัยกรงเล็บที่สภาพดูพอจะพูดได้มากที่สุดถูกกระชากคอขึ้นมาและบีบแก้มจนลิ้นจุกออกมาจากปาก                “ฉันเบื่อที่จะถามจุดประสงค์ของพวกแกแล้ว จะถามใหม่ก็แล้วกันว่ามีอีกกี่กลุ่มที่วางแผนโจมตีพวกเรา” หมอนั่นเพิ่มแรงบีบจนยัยนั่นปากคอสั่นไปหมด บีบอย่างกับจะหักกรามกันทั้งแบบนั้นใครมันจะไปตอบได้กัน                 “อื้อ อู้” ยัยกรงเล็บพยายามครางเสียงที่ฟังไม่เป็นภาษา เจ้าคนใช้ดาบก็ยิ่งออกแรงบีบขึ้นไปอีกพร้อมทั้งใช้ดาบปักลงไปที่ฝ่ามือของยัยนั่นจนกรีดร้องเสียงสูงในลำคอ                “ฉันขอคำตอบเป็นภาษาคน” เห้ยๆ แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ ถ้าแกอยากได้คำตอบจริงๆก็ปล่อยปากยัยนั่นก่อนสิ                ‘เขาไม่ได้ต้องการคำตอบ’ เสียงของยูเฟลดังขึ้นในหัวผม ฉากทรมาณสยองขวัญคนจิตอ่อนยังคงดำเนินต่อไปจนผมเผลอกลืนน้ำลายอย่างขนหัวลุก เจ้าคนใช้ดาบต้องการคำตอบแต่มือกลับปิดปากยัยนั่นไม่ให้พูดออกมา การกระทำที่ขัดแย้งนั่นทำให้ผมรู้สึกสับสนและสงสารศัตรูที่เกือบจะเอาชีวิตเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว                ผมในตอนที่แค่หายใจเอากาศเข้าไปในปอดที่มีเลือดท่วมได้ก็เต็มกลืนกำลังพยายามยื่นมือไปทางยังกรงเล็บและขอร้องให้เจ้าคนใช้ดาบหยุด หากแต่สิ่งที่ออกมาจากริมฝีปากของผมมีเพียงลมแห้งๆกับเลือดอีกหย่อมหนึ่ง                ตูม!                พริบตานั้นก็มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาจากพื้นกินรัศมีเป็นวงกลมกันกลุ่มคนปริศนาโรงเรียนผมทั้งห้าคนออกไป                พร้อมการปรากฏตัวสุดอลังการท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำของอาคันตุกะกลุ่มใหม่                “มาแบบเปิดเผยขนาดนี้ใจกล้าดีนี่หว่า” เจ้าคนใช้ดาบมองผ่านเปลวไฟเข้าไป กลุ่มคนที่มาใหม่นั้นอยู่ในเครื่องแบบสถานศึกษาที่แตกต่างกันและไม่มีสิ่งปิดบังใบหน้าเหมือนพวกโรงเรียนของผม                “ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาพบกันแบบนี้” หนึ่งในกลุ่มคนในเปลวไฟอาสาทำหน้าที่เป็นล่ามเจรจากับพวกของเจ้ามนุษย์สารระเหยที่ยืนอยู่นอกวง                “โรงเรียนเทคนิคช่างกลเหรอ” เจ้าคนใช้ดาบมองเครื่องแต่งกายอีกฝ่ายแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา “พวกเด็กเปรตนี่เอง”                “ผมนันทกร ยินดีที่ได้รู้จัก”                “ไม่มีอารมณ์อยากแนะนำตัวว่ะ” เจ้าคนใช้ดาบปฏิเสธการแนะนำตัวแบบโคตรเสียมารยาท ปล่อยให้เจ้านันทกรแนะนำตัวเก้อไป มันสิ่งยิ้มกวนบาทาชี้นิ้วไปทางเจ้าคนถือดาบ                “เดี๋ยวเราจะได้พบกันในเร็ววันนี้แน่นอนครับ” แล้วใช้นิ้วชี้วาดเป็นแนวตรงมาที่คอตัวเอง เปลวไฟโหมกระหน่ำพุ่งะยานขึ้นฟ้าก่อนจะมอดไปเหลือเพียงความว่างเปล่าไว้ภายใน เป็นสุดยอดมายากลที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก                แต่สภาพของผมตอนนี้คงไม่สามารถอยู่ประทับใจอะไรได้นานนัก                “ช่วยเขาเร็ว”                “ขนาดนั้นคงไม่รอดแล้วมั้ง”                “พวกเราไม่มีความสามารถจำพวกฟื้นฟูวิญญาณอยู่ด้วยสิ”เหมือนมีการถกเถียงกันในองค์ประชุม ฟังดูแล้วหัวข้อคงไม่พ้นจากความเป็นความตายของผมเสียเท่าไหร่ เสียงคุยของพวกนั้นเริ่มหายไปพร้อมกับทิวทัศน์รอบด้านและสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของผม                ไม่ไหวแล้ว ง่วงเหลือเกิน ฝากที่เหลือด้วยนะยูเฟล
                จ๋อม                เสียงหยดน้ำกระทบพื้นช่วยเรียกสติผมให้กลับมา พอลืมตาขึ้นก็พบทิวทัศน์แปลกๆรอบตัว บรรยากาศมืดมนจากผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาใช้อีเตอร์เฉาะหินโดยไม่พูดคุยกันสักคำ เสียงน้ำในตอนแรกหายไปกลายเป็นเสียงเหล็กกระทบหินดังก้องไปมาในที่แห่งนี้ ผู้คนที่นี่มีตั้งแต่เด็กอายุราวห้าขวบไปจนถึงหญิงแก่วัยแปดสิบ ที่เท้าของพวกเขามีโซ่ตรวนล่ามติดไว้กับกำแพงเพื่อป้องกันการหลบหนี                “หมดเวลาพักแล้ว!” เสียงตะคอกจากด้านหลังพร้อมกับแรงดึงให้ตัวผมที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนลุกขึ้น พวกที่ดูเหมือนผู้คุมจ้องผมถมึงทึง ร่างกายของผมที่ดูเหมือนผมจะไม่สามารถบังคับอะไรได้ก้มตัวหยิบอีเตอร์แล้วหันหน้าเข้ากำแพงขุดหิน                ทำแบบนั้นไปครู่หนึ่งพลางเหลือบสายตาไปมองผู้คุมเป็นระยะ มีสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ สายตาของผมหันกลับมามองทางด้านซ้ายซึ่งเป็นชายชราผมแห้งหนังติดกระดูก เขาพยักหน้าให้แล้วก้มตัวลงทำทีเป็นขุดมุมต่ำ แต่ความจริงกำลังกะเทาะโซ่ที่ล่ามเท้าของผมออก แน่นอนว่าผู้ชายผิวดำด้านขวาผมก็ทำแบบเดียวกัน                หรือว่าพวกเขาคิดจะหนี?                “เห้ย นั่นพวกแกกำลังทำอะไรกัน” พวกผู้คุมที่ดูเหมือนจะสังเกตุเห็นท่าทางผิดปกติ ก็วิ่งกันเข้ามาสองคน มือของผมควงอีเตอร์รอบหนึ่งก่อนขว้างมันออกไปเสียบหัวหนึ่งในผู้คุม เมื่อเห็นท่าไม่ดีผู้คุมที่เหลืออีกคนจึงชักดาบ ชายชราหันมาสบตากับผมแล้วโยนอีเตอร์ของตัวเองให้เมื่อเข้าถึงระยะดาบผู้คุมก็ตวัดดาบในแนวขวางกะฟันผมให้ขาดเป็นสองท่อนน่าเสียดายที่ทางนี้ไวกว่าจม ผมก้มตัวหลบแล้วใช้อีเตอร์เกี่ยวขาผู้คุมจนเสียหลักล้มลง หลังจากนั้นก็เป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูชมเท่าไหร่นักดังนั้นผมจะไม่ขอบรรยายอะไรทั้งสิ้น ผมส่งอีเตอร์คืนให้ชายชราแล้วหยิบกุญแจปลดตรวนกับดาบขึ้นมา                แกร๊ก                หลังจากปลดของตัวเองผมก็ส่งกุญแจให้ชายผิวดำด้านข้าง ศพผู้คุมถูกลากมาไว้ตรงส่วนที่พักคนงานแล้วทับด้วยเศษหิน ส่วนลอยเลือดแค่ใช้ฝุ่นถมๆก็ไม่มีใครมองเห็นแล้ว เอาล่ะจะทำยังไงต่อไปดี ที่คิดไปก็มีแต่ผมฝ่ายเดียวแต่ร่างกายของผมมันก็ขยับไปเองเหมือนกับรู้ว่าจะต้องทำอะไร อันที่จริงน่าจะเป็นผมได้เห็นภาพผ่านมุมมองของใครบางคนมากกว่าจะเป็นคนๆนั้นนะภาพที่ผมมองเห็นภาพต่อมาคือกลุ่มคนขุดเหมืองที่ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์กำลังช่วยกันยกหินก้อนใหญ่กว่าตัวเองถึงสามเท่า ด้านหลังนั่นเป็นทางลับที่พวกคนงานเหมืองช่วยกันขุดสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี                ถามผมว่าผมรู้ได้ยังไงเหรอ อยู่ดีๆเรื่องพวกนี้มันก็ไหลเข้ามาในหัวเองน่ะ                พอมาจนสุดทางก็พบว่าอุโมงค์นี้มาโผล่ตรงทางเชื่อมบ่อทิ้งศพคนงานเหมือง จะขึ้นไปบนปากบ่อที่มีความสูงขึ้นไปเกือบสิบเมตรกำแพงไม่มีที่จับเลยนี่แทบเป็นไปไม่ได้                แต่โลกนี้ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้ เห็นผอมแห้งเนื้อติดกระดูกแบบนี้แต่พวกเขาก็แสดงความแข็งแกร่งประดุจนักรบสปาต้ากล้ามเป็นมัด ด้วยการใช้อีเตอร์เจาะกำแพงแล้วดึงตัวเองขึ้นไป มือซ้ายเจาะแล้วดึงตัว มือขวาเจาะแล้วดึงตัว ผมมองแขนที่สั่นเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา มีหลายคนที่ปีนขึ้นมาไหม่ไหวและตกลงไปรวมกับกองศพด้านล่าง ตอนนี้พวกเขาไม่ว่างสนใจคนที่ล้มเหลว ในหัวมีแต่เรื่องที่ทำยังไงถึงจะขึ้นไปจากก้นบึ้งของนรกนี่                ร่างที่ผมมองผ่านปีนขึ้นมาถึงเป็นคนแรก โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาดวงอาทิตย์ตกดินพวกผู้คุมส่วนใหญ่ก็เลยอยู่ในกระโจมที่พักของตัวเอง มีพวกใส่ชุดเกราะพกอาวุธเหมือนทหารเดินตรวจตราเป็นบางจุดซึ่งบ่อทิ้งศพดูเหมือนจะเป็นจุดบอด                แหงล่ะ จะมีใครอยากเดินมาตรวจสุสานของพวกคนงานเหมืองที่นอนเน่าเป็นกองพะเนินกัน                ผมค่อยย่องไปตามมุมมืดในโขดหินก่อนทิ้งตัวลงนั่งพัก ความหนาวเหน็บตอนกลางคืนบาดผิวหนังไปทั้งตัวที่มีแค่กางเกงโทรมๆตัวหนึ่ง หนาวจนถึงขนาดหายใจออกมาเป็นไอได้เลย พวกคนเหมืองคนอื่นๆก็เริ่มปีนขึ้นมาได้บ้างแล้ว                “เอาไงต่อ” ชายผิวดำหนึ่งในคนที่พยายามจะปลดโซ่ตรวนของชายคนนี้เดินเข้ามาถาม ดวงตาของผมมองไปทางดาบที่เก็บมาจากผู้คุมก่อนเชิดขึ้นไปสบตากับชายผิวดำ                “รอให้มืดกว่านี้ก่อน”                “แล้วจะออกไปยังไง กำแพงนั่นมีพลธนูเป็นร้อยที่พร้อมจะโปรยฝนธนูโดยไม่สนใจว่าเราจะอยู่หรือตายด้วยซ้ำ”                “ฉันมีแผนไปพักซะแมท”                “หวังว่าแผนของนายจะได้ผลนะ”
                เฮือก                ตัวผมที่สะดุ้งพรวดพราดขึ้นมา มือสองข้างของผมไม่ได้ถือดาบกับอีเตอร์ ตัวของผมไม่ได้เปื้อนฝุ่นในเหมืองหิน ทุกอย่างยังคงอยู่ครบปกติดี                ความฝันอีกแล้วเหรอ                “ตื่นสักที พ่อเจ้าชายนิทรา” ผมสะดุ้งโหยงมองไปทางต้นเสียงที่ส่งเสียงทักมาเป็นคนแรกตอนที่ผมตื่น หลังจากนั้นผมก็ต้องรับความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งที่ร่างกายภายนอกไม่ได้มีบาดแผลอะไรเลย เหมือนเจ็บมาจากด้านใน เจ็บไปหมดทั้งตัวจนแค่หายใจก็ยังแสบไปทั่วทั้งหน้าอก                “เขาฟื้นแล้วเหรอ” เสียงหวานเสนาะหูทำให้ผมต้องหันไปมองดูผู้มาใหม่ หญิงสาวคนสวยผู้ถือข้าวต้มร้อนๆในชุดผ้ากันเปื้อนสีชมพูดอ่อนจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากไข่มุกนั่นเอง ส่วนคนแรกที่ทักทายผมคือชายหน้านิ่งแต่กวนตีน มีปากที่เพาะฟาร์มสุนัขกับกิริยาหน้ามึนหน้าด้านเป็นเอกลักษณ์                “ทำไมฉันต้องตื่นมาเจอแกเป็นคนแรกฟะ” ผมกัดฟันพูดผ่านไรฟันออกไปให้จิที่นั่งเก้าอี้กลับด้านคร่อมพนักพิง                “พูดเหมือนฉันอยากมานั่งเฝ้าแกงั้นแหละ” ไข่มุกเดินมาตีมือจิเบาๆกับท่าทางไม่ค่อยมีมารยาทของเจ้าตัว                “ลุกขึ้นไหวไหม” เธอวางถ้วยข้าวต้มไว้ข้างเตียง อา เธอนี่แหละนางฟ้าคนที่สองต่อจากมิ้นท์ น่ารักจริงๆ                “อย่าไปช่วยมันมาก เห็นไหมล่ะยิ้มหื่นเชียว”                “แล้วมันใช่หน้าที่ฉันไหมยะ ที่จริงคนเป็นเจ้าบ้านต้องเป็นคนบริการสิ”                “ไม่ปล่อยให้มันนอนตายด้านนอกก็บุญเท่าไหร่แล้ว ยังต้องมาเปลืองข้าวบ้านฉันอีก นี่ยังบริการไม่ดีพอรึไง” จิพูดหน้าตาย ส่วนไข่มุกถอนหายใจส่ายหน้า ฟังจากบทสนทนาแล้วก็รู้ได้เลยว่าทั้งสองคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่ง                “นี่บ้านแกเหรอ” ผมมองไปรอบตัว เฟอนิเจอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ห้องของผม ดูคร่าวๆที่นี่น่าจะเป็นบ้านส่วนบุคคลสภาพดูดีสะอาดสะอ้านก็พอเดาได้แล้วว่าบ้านใคร                “เออ บ้านฉันเอง”                “ทำไมฉันถึงมานอนที่บ้านแกได้” จิทำหน้าเหม็นเบื่อกับคำพูดของผม หมอนั่นหยิบเอาบางอย่างออกมาแล้วโยนมันมาตรงหน้ามันคือโฮลาเลียมแบบเดียวกันกับที่ผมได้มาก่อนหน้านี้ จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ของหมอนี่เป็นสีสนิมส่วนผมเป็นสีเงิน                “หรือว่าแก...”                “ตอนนี้ฉันจะใจดีตอบคำถามของแกเอง เฉพาะเรื่องโซลวอคเกอร์ล่ะนะ”
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา