ลิขิตโลกา - One World

8.0

เขียนโดย CatMoNo

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.20 น.

  13 บท
  2 วิจารณ์
  11.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ครอบครัว และความจริง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
บทที่ 11 ครอบครัว และความจริง
 
        ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 3 ของการเป็นผู้หญิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ริน อยู่สอนการเป็นผู้หญิงให้ผมมาตลอด ทำให้ตอนนี้ก็พอจะรู้บ้างแล้วล่ะว่าต้องอาบน้ำ แต่งตัว หวีผม และอะไรอีกหลาย ๆ อย่างยังไง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ชินกับร่างกายแบบนี้อยู่ดีนั้นแหละ
 
       มันลำบากใจที่สุดก็ตอนอาบน้ำเนี้ยสิ ต้องมาเห็นเด็กผู้หญิงแก้ผ้าอยู่หน้ากระจกทุก ๆ วัน ถึงจะเป็นร่างกายของผมเองก็ตาม เท่านั้นมันยังไม่พอ ไอ้ตอนถูกตัวในบางที่มันดันรู้สึกจั๊กจี้แปลก ๆ ด้วยนี่สิ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเผลอส่งเสียงครางออกมาตอนที่ถูกสบู่ตรงหน้าอก ถึงจะไม่มีใครได้ยินนอกจากผมก็เถอะนะ แต่มันอายยังไงก็ไม่รู้แหะ 
       ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ชินกับร่างกายนี้ซักที เหมือนจะดีขึ้นหน่อยก็ตรงที่อาการสมองขาวโพลนเมื่ออยู่ใกล้กับผู้หญิงจะหายไปแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ผมได้อยู่ใกล้กับผู้หญิงสวย น่ารัก หุ่นดี แบบกลายเป็นร่างเดียวกันเลยแหละ อา......จะดีใจ หรือว่าเสียใจดีนะ รู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรที่สำคัญสำหรับลูกผู้ชายไปหลาย ๆ อย่างเลยแหะ
 
       สิ่งที่ลำบากสำหรับผมอีกอย่างก็คือเรื่องชุดชั้นใน ไม่เข้าใจว่าทำไมคนออกแบบชุดชั้นในผู้หญิงถึงไม่ออกแบบกางเกงในให้ผ้ามันหนากว่านี้ซักหน่อยนะ บราก็ใส่ยาก แถมพอใส่เสร็จก็ต้องมาจัดระเบียบอีก เฮ้อ.......เพราะแบบนี้สินะ พวกผู้หญิงถึงแต่งตัวนานกันนัก แต่ความลำบากของผมนั้นยังไม่หมดหรอกครับ เพราะชุดผู้หญิงในบ้านนี้มีแค่ไม่กี่ชุดเนี้ยสิ แถมเป็นชุดประมาณว่าคุณยายกำลังจะไปวัดอะไรแบบนั้นซะอีก ผมเลยมีความจำเป็นที่จะต้องไปซื้อชุดมาตุนไว้สำหรับตอนที่ไปเรียนในสถาบันอีเดนด้วย
 
       อยากให้รินไปส่งอะ แต่เจ้าตัวดันบอกว่าต้องไปสืบข่าวตามที่สภาโลกมีคำสั่งมา สุดท้ายคนที่ไปส่งผมซื้อเสื้อผ้าก็กลายเป็นโทยะแทน แต่เดี๋ยวนะ.....แล้วโทยะจะช่วยผมเลือกซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงได้เหรอ ผมว่าหมอนี่ไม่น่าจะไหวอะ เอาเป็นว่าค่อยให้พนักงานในร้านช่วยเลือกให้ละกัน
 
       พออาบน้ำ หวีผม และแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์เสร็จแล้ว ผมก็ออกจากห้องมาสวมแว่นตานั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอโทยะ (อ๊ะ....เหมือนจะลืมบอกไป ผมสายตาสั้นนะแต่ไม่มากเท่าไหร เลยใส่แว่นแค่ตอนอ่านหนังสือเท่านั้นครับ) รออยู่ประมาณไม่กี่นาที โทยะก็เดินลงมาจากชั้น 2 พร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ ไปด้วย
 
       " โทยะ บ้านนายพอจะมีผลไม้บ้างรึเปล่า ฉันจะไปค้นในครัวก็เกรงใจนาย แต่มันหิวแล้วอะ " ผมลุกขึ้นถามโทยะ ที่ยืนอึ้งอยู่บนบันใด
 
       " โมเอะ สุด ๆ เลยอะ ยิ่งใส่แว่นแบบนี้ยิ่งโมเอะสุโก้ย " โทยะบ่นพึมพำเบา ๆ ด้วยเสียงที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับถามถึงผลไม้อีกที โทยะทำหน้าตาเหมือนพึ่งรู้สึกตัว ก็รีบเดินลงมาเปิดตู้เย็นหยิบแอปเปิ้ลมาปอกให้ผมกิน
 
       " ขอบคุณนะโทยะ แต่นายไม่ต้องทำให้ขนาดนี้ก็ได้ แค่บอกเดี๋ยวฉันทำเองก็ได้........แต่ไหน ๆ ก็ปอกซะเยอะ มากินด้วยกันมั้ย? " ผมยิ้มให้โทยะพร้อมกับขอบคุณ น่าแปลกนิดหน่อยที่โทยะทำหน้าแดง ๆ มันจะเขินอะไรนักหนา ผมแค่ขอบคุณเท่านั้นเอง แต่จะว่าไปปกติไม่ค่อยเห็นโทยะเอาใจใครเลยแหะ อาจเพราะที่ผมกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้ถือเป็นความผิดของโทยะรึเปล่านะ หมอนี่เลยพยายามทำดีด้วยเพื่อขอโทษ อื่ม........ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอกนะ โดนลากคอตกเครื่องบินจนเกือบตายพร้อมกันผมยังเคยโดนมาแล้วเลย
 
           " อ่า.....เธอกินก่อนละกัน พอดีฉันไม่ชอบกินข้าวเช้าน่ะ กินกาแฟก็อยู่แล้ว "
 
       " ได้ยังไง....ข้าวเช้าน่ะสำคัญนะ นายมันก็เป็นซะแบบเนี้ย งั้นเดี๋ยวฉันทอดไข่เจียวตอบแทนที่นายปอกแอปเปิ้ลให้ละกัน ห้ามปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นฉันไม่หายโกรธเรื่องที่ต้องกลายเป็นผู้หญิงนะ "
 
       โทยะทำหน้าแดงอีกครั้ง พร้อมกับมองหน้าผมซักพัก ก่อนจะพูดว่า " ได้สิ ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะครับ ว่าแต่..........เธอทำเป็นด้วยเหรอ ตอนเด็ก ๆ ก็เห็นแต่ทำเป็นแค่ไข่ทอดตอตะโกจากนรกขุมที่ 18 อยู่อย่างเดียวเอง "
 
       " โหย ยังจำได้อีกนะ นั้นมันกี่ปีมาแล้ว นายไม่คิดว่าฝีมือฉันจะพัฒนาขึ้นบ้างเลยงั้นเหรอ ไปนั่งบนโต๊ะรอกินก็แล้วกัน " โทยะพยักหน้าเบา ๆ แล้วก็ยืนพิงเสามองผมพร้อมยิ้มแปลก ๆ พอผมมองตอบด้วยสีหน้าสงสัย เจ้าหมอนี้ก็ขยับหน้าชี้ไปทางครัว เหมือนจะบอกว่า [เอาสิ ลงมือเลย เดี๋ยวรอดู] อะไรประมาณนั้น
 
       ผมหงุดหงิดกับท่าทางหมอนี่ขึ้นมานิดหน่อย มันจะดูถูกกันมากเกินไปแล้ว ถึงแม้เมื่อก่อนผมจะทำอาหารออกมา แล้วมันกลายเป็นถ่านก็เถอะ แต่ผมอยากจะบอกว่า [พี่เจ็บมาเยอะ] นะน้องโทยะ (ตอนเป็นผู้ชาย ต้องอยู่คนเดียวเลยทำกินเองจนท้องเสียไปหลายครั้ง) รับรองครั้งนี้นายจะต้องตะลึง ผมทำแก้มป่องหันหลังไปยังครัว จากนั้นก็ลงมือทำอาหารอย่างสุดฝีมือ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่สามารถกินเนื้อ นม ไข่ ได้แล้วก็ตาม แต่ผมแอบใช้พรสวรรค์สมาธิสร้างจิตแห่งรสชาติของอาหารและเครื่องปรุงขึ้นมาในใจ ทำให้แม้ว่าผมจะไม่ได้ชิมเลยซักนิด แต่ผมก็รับรู้ถึงรสชาติมันได้ดี แถมละเอียดยิ่งกว่าใช้ปากชิมด้วยซ้ำ
 
       และแล้ว ไข่เจียวสูตรพิเศษ (เนื่องจากแอบใช้พรสวรรค์ในการสร้างสรรค์) ก็เสร็จออกมาจนได้ ผมตกแต่งจานตามที่เคยเห็นในรายการเชฟกระทะผุ จากนั้นก็หยิบจานมายื่นให้โทยะพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมั่นใจ แต่เจ้าหมอนี้ก็ดันไม่มองจานข้าวไข่ทอดที่ผมสรรค์สร้างขึ้นมาซักนิด ดันมายิ้มมองหน้าผมด้วยสีหน้าท้าทายอีกแนะ รีบ ๆ กินแล้วล่องลอยไปสู่สรวงสวรรค์แห่งรสชาติของไข่เจียวจานนี้เร็ว ๆ ซะสิ
 
       " หึ ๆ เธอเนี้ยน้า จะจริงจังอะไรขนาดนั้น ถึงต่อให้ทอดไข่ออกมาเป็นถ่านเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นของที่เธอทำ ฉันก็กินจนหมดเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดีนั้นแหละ " โทยะพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับรับจานข้าวไปจากมือผม คำพูดโทยะถึงจะดูไม่แตกต่างกับที่เคยพูดไว้ในตอนเป็นเด็กด้วยกันว่า ต่อให้ผมทำอะไรมาให้กินหมอนี้มันก็จะกินจนหมดแน่นอนก็ตาม แต่.......ครั้งนี้......ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงแถมอายนิด ๆ ด้วยล่ะ ไม่ค่อยเข้าใจกับร่างกายที่แบบนี้เลยจริง ๆ แหะ
---------------------------------------------
ในความรู้สึกของโทยะ
            ผมหยิบจานไข่เจียวมาจากมือของยูจัง (ยูกิโกะ) สาเหตุที่ผมชอบแหย่ให้เธอโกรธก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าเวลาเธองอนเนี้ย ดูน่ารักจริง ๆ ยิ่งตอนทำแก้มป่อง ๆ นี้ยิ่งแล้วใหญ่ มันทำให้อดใจไม่ไหวจนต้องหาเรื่องแกล้งเธอบ่อย ๆ เลยแหละครับ
 
            เธอเดินต้อย ๆ ตามผมมาด้านหลัง (จะมาดูผลงานอาหารตัวเองสินะ หึหึ ทำหน้าลุ้นซะขนาดนั้น ตลกดีแหะ ขอแกล้งอีกหน่อยละกัน) ผมวางจานลงบนโต๊ะอาหารพร้อมกับหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปาก.......นี่มันอะไรกัน....นี้มันใช่ไข่เจียวแน่เหรอ ไม่จริงน่า........ทำไมถึงไม่มีรสสัมผัสของความมันเลยล่ะ แถมความฟูนุ่มแบบแทบละลายในปากนี่อีก รสชาติอันคล้ายกับความรู้สึกว่าได้โบยบินไปนอนสบายบนก้อนเมฆ แถมความหอมละมุนที่โชยติดอยู่บนปลายจมูกไม่จางหาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกผสมกลมกลืนกันจนเกินเลยคำว่าอาหารไปแล้ว อย่างนี้เองหรอกเหรอ ข้าวเช้าที่แสนสำคัญของทุก ๆ วัน อา......นี่สินะที่เค้าเรียกว่าความรู้แจ้งจากรสชาติ จากนี้ไปผมจะกินข้าวเช้าทุกวันเลยครับ..........
 
            " โทยะ.....ทำไมเงียบไปล่ะ มะ....ไม่อร่อยเหรอ ฉันขอโทษ นายจะเอาไปทะ.....ทิ้งเลยก็ได้นะ วันพรุ่งนี้ฉันค่อยซื้อกับข้าวมาอุ่นให้ดีกว่าเนอะ " ต้องใช้เวลาซักพักใหญ่ ๆ ผมถึงจะรู้ตัวว่า เอก หรือ ยูจัง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ผม และต้องใช้การรวบรวมสติออกจากข้าวไข่เจียวด้านหน้าอย่างยากลำบาก ผมถึงสามารถฟังสิ่งที่เธอพูดรู้เรื่อง ถึงแม้ว่าข้าวไข่เจียวจานนี้จะอร่อยซักขนาดไหน แต่สิ่งที่ผมทนเห็นไม่ได้คือน้ำตาของเธอ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดไปทั่วร่างกาย ยิ่งโดยเฉพาะหัวใจ มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ผมวางช้อนลงอย่างรวดเร็ว และคว้าเธอมากอดแนบอก กระซิบเธอเบา ๆ ว่าไม่เป็นไร อย่าร้องไห้นะ อาหารที่เธอทำมันอร่อยจนฉันหลุดไปอีกมิติหนึ่งเลยต่างหาก เพราะอย่างนั้น อย่าร้องไห้นะ
 
            " ทะ.....โทยะ.....ทำอะไรเนี้ย ปะ......ปล่อยก่อน.....เห้ย......บอกให้ปล่อย....ปล่อยสิ........โทย้าาาาาา "
 
         หลังจากที่จัดการเคลียกับโทยะ ในเรื่อง [ข้อปฏิบัติเบื้องต้นของการเป็นพี่น้อง] เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสองคนก็กำลังจะออกไปซื้อเสื้อผ้าในเมืองกัน แต่ก่อนที่จะได้ออกไป ประตูบ้านก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามาในบ้าน และทันทีที่ผมเห็นว่าเป็นใคร ผมก็รีบวิ่งออกไปหาทั้งสองคนทันที
 
            " พ่อ แม่ ไหงมาถึงเร็วแบบนี้ล่ะ แล้วนี้น้องไม่ได้มาด้วยเหรอครับ " ผมพูดทักทั้งสองท่านอย่างดีใจ เพราะไม่ได้เจอทั้งสองมานานเกือบปีแล้ว ก็งานของผมเนี้ยแหละที่ทำให้อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางเท่าไหร จะกลับบ้านก็ไม่มีเวลา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าผมตอนนี้ แทนที่พ่อและแม่จะอ้าแขนให้ผมเข้าไปกอดเหมือนทุก ๆ ครั้ง ทั้งสองกลับทำสีหน้าตกตะลึงแทน
 
            อ่า.........นั้นสินะ ผมลืมไปว่าร่างกายผมมันเปลี่ยนไปแบบนี้แล้ว ผมก้มหน้าลงพร้อมกับหยุดยืนก่อนที่จะไปถึงพ่อและแม่ของผม ท่านทั้งสองคนจะรู้สึกยังไงนะที่จู่ ๆ ลูกชายสุดที่รัก กลับกลายมาเป็นลูกสาวไปซะอย่างนั้น ต่อให้เป็นพ่อแม่ของผมก็คงรับไม่........
 
            แต่ก่อนที่ผมจะจิตตกไปมากกว่านี้ แม่ของผมก็ดึงผมเข้าไปกอด พร้อมกับลูบหัวผมเบา ๆ " ไม่เป็นไรนะลูก.....ถึงลูกจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนความรักที่แม่และพ่อเคยมีให้ลูกอยู่เสมอมาไปเป็นอย่างอื่นได้หรอกจ๊ะ " อ้อมกอดของแม่ ยังคงเป็นอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นอยู่เหมือนเดิม ทำให้บางสิ่งที่ค้างอยู่ในใจของผม บางสิ่งที่ผมพยายามจะเก็บมันไว้ให้ลึกที่สุดในใจมันถูกอ้อมกอดของแม่เปิดออกมา ความกังวล ความกลัว ความโกรธในโชคชะตาและความแค้นต่อองค์กรเงาที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ รวมทั้งความรู้สึกทั้งหลายปะทุออกมาผ่านทางน้ำตาซึ่งไหลออกมาโดยผมหยุดไม่ได้ ผมกอดแม่แน่นและร้องไห้แบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่ลูบหัว แล้วกระซิบบอกว่าไม่เป็นไรแล้วนะ
 
            เมื่อผมได้ร้องไห้จนพอแล้ว ความรู้สึกอึดอัด คิดมากที่เคยเป็นเวลาอยู่คนเดียวก็หายไป ผมเดินไปหาพ่อพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะพูดขอโทษพ่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงมันจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากผมเองก็เถอะ แต่ผมคิดว่าผมคงต้องขอโทษพ่อไว้ก่อนดีกว่า แต่จู่ ๆ พ่อผมก็ยกมือทั้งสองมาคว้าไหล่ผม ท่านจ้องมองใบหน้าผมด้วยดวงตาที่เคร่งขรึม จากนั้นน้ำตาท่านก็ไหล แล้วดึงผมเข้าไปกอด พร้อมกับพูดปนหัวเราะออกมาเสียงดัง " ขอบคุณพระสงฆ์ ในที่สุด....พ่อก็มีลูกสาวตามที่เคยหวังไว้แล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ " ........อ่าว.......เป็นงั้นไป
 
            เราทั้งสามคน รวมทั้งโทยะ ได้คุยกันอยู่นาน จนเวลาเลยมาเกือบจะเที่ยง โทยะ รีบอวดบอกว่าผมทำอาหารได้อร่อย ทำให้เขาได้รู้แจ้งถึงสัจธรรมว่าอาหารเช้านั้นสำคัญต่อร่างกายแค่ไหน (เวอร์ไปปะโทยะ) และแน่นอนว่าพ่อแม่ผมพอได้ยินแบบนั้น ก็ขอร้องแกมบังคับให้ผมไปทำอาหารมาให้กินอีกครั้งจนได้ สำหรับมื้อเที่ยงที่ต้องเป็นมื้อหนักนิดหน่อย ผมตัดสินใจทำผัดคะน้า และผัดผักบุ้งไฟแดง โดยใช้พรสวรรค์สมาธิเข้าช่วยอีกครั้ง (ตอนนี้ผมไม่ขอแตะเนื้ออีกต่อไปแล้วเพราะได้ยินเสียงสาปตลอด ขนาดไข่ไก่เมื่อเช้าผมยังได้ยินเสียงร้องของลูกไก่ดังแว่ว ๆ มาเลย) แต่ด้วยความอยากรู้ และสงสัยว่ามันอร่อยจริงรึเปล่า เลยลองชิมไปนิดหน่อย แต่ก็แปลกที่พอเป็นเมนูผักล้วน ๆ อะไรแบบนี้ผมกลับกินได้ นึกว่าชาตินี้ต้องกินแต่ผลไม้เท่านั้นซะแล้วนะเนี้ย.........
 
            พอทำเสร็จ คุณแม่ก็ช่วยยกจานอาหารทั้งหมดมาไว้ที่โต๊ะทานข้าว  จากนั้นเราก็ทานอาหารไปด้วยกัน แต่ดูเหมือนจะมีแค่ผมคนเดียวที่จะไร้ปฏิกิริยาที่สุด เพราะทันทีที่ทุกคนได้ทาน แม่ของผมมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มไปในทันที ส่วนพ่อผมนั้นช้อนยังคาอยู่ในปาก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม (อีกละ) แถมบ่นพึมพำอะไรซักอย่างประมาณว่า " นี่สินะ สวรรค์ของการมีลูกสาว โอ้ว......ข้าตายตาหลับแล้ว " (ดะ.......เดี๋ยวสิพ่อ อยู่กับผมไปนาน ๆ ก่อน อย่าพึ่งคิดอะไรแบบนั้น) สุดท้ายก็โทยะ ตอนนี้เหมือนว่าสติจะโบยบินไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วล่ะ
 
            จากที่เราพูดคุยกันหลังอาหาร ผมพอจะสรุปให้คุณฟังสั้น ๆ ประมาณนี้นะครับคือ พ่อแม่ของผมท่านอยากมีลูกสาวมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่บังเอินลูกที่เกิดมาทั้งสองคนดันเป็นผู้ชายทั้งหมด ความฝันของพ่อและแม่เลยได้แต่เก็บลึกไว้ในใจ ทั้งสองคนคิดว่าคงหมดหวังแล้ว แต่พอได้ยินน้าเคียวยะบอกว่าผมกลายเป็นผู้หญิง พ่อกับแม่ผมก็กระโดดกอดกันทันที จากนั้นทั้งพ่อและแม่ก็รีบขึ้นเครื่องมาเพื่อพบหน้าลูกสาว ? เป็นครั้งแรก โดยทิ้งงานต่าง ๆ ไว้ที่เชียงรายให้น้องผมโดนงานท่วมหัวไปคนเดียว แต่เนื่องจากงานกำลังอยู่ในช่วงสำคัญท่านทั้งสองคนเลยอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ต้องกลับไปจัดการงานให้เสร็จก่อน โดยที่ก่อนพ่อกับแม่จะกลับ ผมก็ให้สัญญาว่าจะกลับไปอยู่ที่เชียงรายบ้างให้ท่านหายคิดถึง เราทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็กอดกันอีกครั้งก่อนที่ท่านจะไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับเชียงราย
 
            จากนั้นพอเสร็จเรื่องทั้งหมด ผมกับโทยะเลยได้ฤกษ์ออกไปซื้อเสื้อผ้ากันซักที
----------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา