Impossible Love... รักไม่ได้ก็จะรัก

7.3

เขียนโดย maillynboony

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.19 น.

  6 chapter
  0 วิจารณ์
  7,330 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559 17.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ความสัมพันธ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 5

(Phoom Part’s)

            หลังจากที่ผมแยกจากเพื่อนสามหน่อแล้ว ก็บึ่งไปหาสาวสวยของผมทันที ผมกับแฟนคบกันได้ก็เพราะไอ้เกี๊ยะครับ เพราะแฟนผมมันเคยแอบชอบไอ้นี้มาก่อน และขอให้ผมเป็นพ่อสื่อให้ เป็นหน้าที่นี้ได้อยู่พักนึงและผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า ผมรักผู้หญิงไปแล้ว ผมเลยจัดการหักดิบสาวน้อยคนนี้โดยการใส่ร้ายและให้ความเท็จไอ้เกี๊ยะเท่าที่จะทำได้ และสิ่งที่ชะงักได้ดีที่สุด คือ ผมต้องให้มันเป็น “เกย์” กลบเกลื่อนตัวเองเวลาที่แฟนผมมาเจอ … ตอนแรกมันก็ไม่ยอมทำแต่เพื่อเห็นแก่ความรักของผม มันเลยต้องกลายร่างเป็นยอดชายทันที ซึ่งมันก็เหมือนซะด้วย

            วันนี้ผมกับแอลนัดเจอกันได้ไม่นานแล้วเธอก็รีบกลับไปทำธุระกับที่บ้านต่อ ส่วนผมต้องกลับคอนโดไปโดยปริยาย … ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรอกครับ เพราะท่านอยู่ต่างจังหวัดแล้วส่งผมมาเรียนกรุงเทพฯคนเดียวตั้งแต่ม.ปลาย พวกท่านไม่อยากให้ผมอยู่หอพัก เลยซื้อคอนโดที่ติดกับรถไฟฟ้าและใต้ดินเพื่อสะดวกกับการมาเรียนของผม

            พอถึงหน้าห้องที่คอนโดผม … ร่างสูงของใครบางคนยืนหันหลังให้ผมอยู่ ถ้าผมเดาไม่ผิด จะไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากไอ้กานต์เพื่อนร่างเปตรของผมเนี่ยแหละ ที่ผมเรียกเปตรเพราะมันสูงที่สุดในกลุ่ม ถึงผมจะเตี้ยกว่ามันแค่ 2 เซนก็เหอะ

            “มายืนทำซากไรตรงนี้ว่ะ ไม่โทรหากูก่อนอ่ะ”

            “ภูมิ กูมีเรื่องจะคุยด้วย”   น้ำเสียงที่ดูจริงจังของมัน ทำให้ผมรู้ทันทีว่า มันต้องการสื่อถึงอะไร

            “ไปคุยกันในห้อง”

 

(Sorn Part’s)

            หลังจากแยกย้ายกัน ตอนแรกผมจะไปหาแฟนที่คณะ แต่เธอติดทำงานกลุ่มกับเพื่อน ทำให้ผมโดนทิ้งกลางอากาศ โทรหาใครก็ไม่รับสายผมเลย โดยเฉพาะไอ้เกี๊ยะ ไอ้บ้านิมันมีมือถือไว้ทับสมุดหรือป่าวไม่รู้ โทรติดยากชิบเป๋ง จะรับสายแต่ละทีก็ชักช้าเป็นสลอต แต่พอมันจะโทรคนอื่นนิไวอย่างเยี่ยว ให้มันได้แบบนี้ดิ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมรู้สึกเซ็งและไม่อยากกลับบ้านเร็ว กลับเร็วทีไรโดนที่บ้านถามตลอด เพราะส่วนใหญ่ผมจะกลับดึกทุกวัน ก็คนมันติดแฟนนิครับ ช่วยไม่ได้ .. ถึงจะแว่นแต่ผมก็เด็ดดวงนะครับผม

            “ทีนี้กูจะทำอะไรล่ะ? ..”  

            บ่นพึมพำไปแบบนั้นแต่มือก็ไวกว่า ผมเลยโทรหาพี่อิมรุ่นพี่สาวคนสนิทที่แกมาเปิดร้านคาเฟ่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยเรามาก ไหนๆก็ว่างแล้วก็แวะไปอุดหนุนแกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะโดนงอนเหมือนไอ้เกี๊ยะ ที่เคยรับปากแกไว้แล้วไม่ได้ไป จนก่อนหน้านี้ผมเข้าไปส่องเฟซฯของพี่เค้า และผมก็เจอรูปที่แกถ่ายกระดาษแปะหน้าร้านเป็นรูปเพื่อนผมแล้วสกรีนพาดไปว่า “โรคจิตชอบดมกางเกงในผู้ชายในร้านกาแฟ” … ผมนิเลิกปากพล่อยเลย

            ขณะที่จะหยิบโทรศัพท์นั้น ผมเหลือบไปเห็นหลังคนตัวสูงเดินผ่านเข้าประตูฟิสเนตของมหาลัย ผมว่าผมคุ้นหลังนี้นะ ไหนๆก็ ขอส่องหน่อยล่ะกัน … ถ้าเทียบตัวเองในตอนนี้แล้ว ผมเหมือนตัวอะไรซักอย่างที่แนบตัวไปกับกระจกห้องฟิสเนต อย่าเพิ่งคิดเยอะนะครับ ผมกลัว…

            “นั่นมัน …”

 

(Karn Part’s)

            ผมเข้ามาอยู่ในห้องของไอ้ภูมิหลังจากมันมาทันก่อนที่ผมจะถอดใจกลับบ้าน แต่พอผมเห็นมัน ความรู้สึกที่มันหนักอึ้งในใจผมมันกำลังจะทลายลงมา … จริงๆแล้ววันนี้ผมต้องไปหาแฟนผมอีกมหาลัยนึงแต่ผมไม่สามารถไปหาเธอได้เพราะความรู้สึกนี้มันยังค้างอยู่ในใจของผม ความรู้สึกที่ผม ทำผิด ทำผิดทั้งกับเพื่อนตัวเองและคนรัก …

            “มึงมีเรื่องจะคุยอะไร ก็ว่ามา”

            “ภูมิ มึงโอเคกับเรื่องนี้จริงๆเหรอว่ะ”

            “มึงหมายถึงอะไร?”

            ผมรู้สึกเสียงที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสนิทตรงหน้า คอมันเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่ามันจงใจที่จะจำไม่ได้และเบี่ยงประเด็นผม

            “เรื่องของเรา…”

(Kia part's)

            สามชั่วโมงที่แล้วไอ้ปั้นไล่เตะผมรอบบ้านเพียงเพราะผมคว้าสายปลั๊กชาร์จของมันหลุดติดมือมา ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ ทีแรกผมจะคว้าสายชาร์จมือถือของมันที่เสียบกับโน้ตบุ๊ค แต่มันคว้าผิดจริงๆ ไอ้ปั้นโกรธผมและไม่คุยกับผมอีกเลย แถมไล่ผมออกจากห้องรับแขกอีก ข้าวมันก็ไม่ทำให้กิน ท้องผมนิร้องระงมเลยครับ... ผมนั่งมองถ้วยมาม่าที่ซัดหมดไปแล้วอย่างเซ็ง จะขึ้นไปนอนก่อนก็ไม่ได้ เพราะไอ้บ้านิเวลาเข้าห้องมันชอบทำเสียงดัง และผมต้องตื่นมาด่ามันทุกครั้ง และจะหลับอีกรอบ มันยากมาก.. 

             ผมยังคงนั่งรอไอ้ปั้นนั่งพิมพ์แผนการสอนของมันอยู่ในห้องครัวเงียบๆ ห้องครัวบ้านผมมันมองทะลุไปห้องรับแขกได้เลย ทำให้เวลาแม่ทำอาหารเสร็จ เราจะรีบวิ่งมาได้ทันก่อนแม่ด่า... ผมได้แต่ถอนหายใจและมองไปทางข้าวปั้นที่นั่งหน้าคิ้วขมวดพิมพ์งาน ผมรู้สึกผิดจริงๆนะ... มองมันได้พักนึงก็จับความรู้สึกตัวเองได้อย่างแปลกๆ ผมมองเพื่อนสนิทผมว่ามันหล่อขึ้นเยอะมาก หุ่นดีจนผมคิดว่า ถ้ามันได้เป็นนายแบบนิ สาวๆติดมันแน่ๆอ่ะ ยิ่งเวลาที่มันใส่แว่นตอนอยู่กับผมแล้ว ผมรู้สึกแปลกหนัก.. ใจผมเนี้ยแหละแปลก มันตะโกนบอกผมว่า อย่าให้ไอ้ปั้นโหมดนี้ให้ใครเห็น โมเม้นท์นี้ต้องเป็นของเค้า... ผมว่าตัวเอง เริ่มไม่ปกติล่ะ หลังจากที่ไอ้ปั้นมันกลับมา และใกล้ชิดกันแบบนี้

              "ปั้น .. ข้าวปั้น"

              "...................."    และมันก็เป็นอีกครั้งที่มันไม่สนใจผม แถมเดินมาปิดประตูห้องรับแขกอีกต่างหาก

              "เฮ้ออออ"

(Khaowpan Part's)

              ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมโกรธไอ้แสบที่นั่งเกยตื้นโซ้ยมาม่าที่ห้องครัวได้นานขนาดนั้น หรืออาจจะเป็นที่ว่า ผมกู้ไฟล์งานมาไม่ครบก็ไม่รู้ ไฟล์งานที่กู้ได้ถึงมันจะมาเกือบสมบูรณ์แต่ผมก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เวลาที่ได้ยินเสียงไอ้เกี๊ยะมันแหง่วๆมาตามลม เมื่อกี้ก่อนผมจะปิดประตูมันทำหน้าตาซังกะตายเรียกชื่อผมอยู่อย่างนั้น พอกันที.. ผมคิดถูกที่เดินมาปิดประตูลงก่อนที่จะกลับไปไล่เตะมันเหมือนเดิม … ผมเคลียแผนการสอนเสร็จก็เลยเวลาเข้านอนมานานมากแล้ว ปกติผมกับไอ้เตี้ยจะเข้านอนกันตอนห้าทุ่ม แต่นี่มันเลยตีหนึ่งมาสิบกว่านาทีแล้ว ไอ้เกี๊ยะไม่น่าจะรอผมแล้วล่ะ …

            ผมจัดการปิดโน้ตบุ๊คพร้อมกับโกยของทุกอย่างลงกระเป๋า ใช้เวลาไม่ถึง  5 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมเดินมาเปิดประตูจะขึ้นไปนอนแต่สายตาดันเห็นก้อนเนื้อมนุษย์ที่นอนเกยตื้นอยู่ .. นิมันรอเค้าเหรอ? คิดได้แบบนั้น ผมเลยต้องเดินไปปลุกมัน ถ้าปล่อยให้มันนอนตรงนี้ ยุงรุมแน่

            “เกี๊ยะ! ตื่น!”

            “อืมมมม”

            “ไอ้เกี๊ยะ!! ตื่นก่อนมึง ขึ้นไปนอนบนห้อง”

            “อืมมม ขออีก 5 นาที”

            “ไม่ได้ 5 นาทีก็ไม่ได้ ลุกขึ้น!!”   ผมหิ้วแขนมันขึ้นมา แต่ไอ้ตัวที่ห้อยอยู่มันก็ไม่มีท่าทีจะตื่นเลยซักนิด ผมเลยต้องพยุงมันขึ้นห้องไปทั้งอย่างนั้น … พอถึงห้อง ผมนิแทบจะเหวี่ยงมันลงไปกับเตียง ถ้าไม่ติดว่ามันกินมาม่ามา เหวี่ยงไป มีหวังตื่นมาอ้วกอีก ผมก็ซวยซิ

            “อืมมม นิ่มม นุ่มมจังงงงง”

            “เออออ ถึงเตียงนิเสียงเปลี่ยนเลยนะไอ้บ้า! วู้! ตัวก็ไม่ใช่จะเบา มึงแม่งภาระชัดๆ”

            “มึงกลับมาทำไม..มึง มึงกลับมาอยู่ให้กูสับสนทำไมว่ะ”   เสียงงึมงำเหมือนละเมอที่ลอยมากระทบหูผม อารมณ์เสียงนั้นมันเหมือนตัดรอนผมเลย .. เกี๊ยะมันฝันถึงอะไรว่ะ

            “เพราะมึงคนเดียว อย่าใกล้กูอีก มึงมัน.. ตัว ปัญ หา..”

            ….. ตัวปัญหาเหรอ?......  ผมงงกับสิ่งที่เพื่อนสนิทที่นอนละเมอออกมาอย่างสงสัย ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันต้องละเมอแบบนี้ เพราะตอนที่ผมจะสอบติดที่เชียงใหม่ ผมสัญญากับมันว่าจะเรียนที่เดียวกัน แต่กลายเป็นผม ที่ไปจากมันโดยไม่บอกลามันเลยซักคำ … ผมมองมันอยู่พักใหญ่ ถ้าถามความรู้สึกผมตอนนี้เป็นแบบไหน ผมคงตอบได้แค่ว่า ผมรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ

            “งั้นตัวปัญหาอย่างกู จะไม่เข้าใกล้มึงอีกก็แล้วกัน”

            ผมเลือกที่ตัดปัญหาของมันอย่างนี้ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะผมรู้จักนิสัยไอ้เตี้ยนิดี เวลาปกติมันไม่บอกหรอกว่ามันรู้สึกอะไร จะมีแค่ตอนนอนกับตอนเมาเท่านั้นแหละครับ ที่มันจะบอกความรู้สึกจริงๆของมันออกมา ทีนี้มันบอกมาแล้วนิ ว่าผมมันตัว ปัญหา จะให้ผมอยู่กับมันให้เป็นปัญหาทำไม? … ผมเก็บของจำเป็นที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ออกมาจากห้องให้เบาที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ประตูปิดไปแล้ว เสียงสะอื้นจากการฝันร้ายของอีกคนมันเพิ่งออกมา

            “กูไม่เคยทำอะไรแล้วมึงคิดว่าดีเลยใช่มั้ย ฮึก!.. ทำไมต้องทิ้งกูไปด้วยว่ะปั้น ฮึก!”

 

(Yong Part’s)

            การกลับมากรุงเทพฯครั้งนี้ของผมเป็นครั้งที่ 5 แล้วหลังจากหนีที่บ้านไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่ ผมเบื่อสภาพแวดล้อมกรุงเทพฯ มองไปทางไหนก็มีแต่อากาศพิษทั้งนั้น เชียงใหม่นี่แหละ สวรรค์ของผมที่สุดล่ะ … ช่วงเวลาพรีเมี่ยมทามมิ่งของผมมันต้องอยู่ที่คอนโดและเปิดโฮมเธียเตอร์ให้กระหึ่ม เนี่ยแหละ… สวรรค์สร้างด้วยมือ ผมนั่งดูหนังเรื่องที่ 3 นับจากที่โดนเพื่อนสุดซี้ทิ้งบอมม์กลางอากาศไปตอนเย็น มันเลือกกลับไปทำธุระส่วนตัว ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นคุณป้าปิ่น แม่ของมันนั่นแหละโทรหา แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ทำตามสบายคุณเพื่อนเลยครัช! ส่วนตัวกระผมนั่น ก็จะกลับบ้านไปตามทางของผม

            ทางกลับคอนโดผมมันต้องผ่านมหาลัยข้าวปั้นอยู่แล้ว ผมเลยเลี้ยวเข้าไปเพราะนึกขึ้นได้ว่า ฟิตเนสของพวกมหาลัยเนี่ย มันถูกกว่าข้างนอกเยอะมาก ดังนั้น ผมน่าจะลงออกกลับบ้านดีกว่า ผมจอดรถสนิทที่หน้ายิมมหาลัย ก่อนจะเอากระเป๋าชุดออกกำลังกายลงรถและเดินเข้าไป สมัครสมาชิกเรียบร้อย และไปเปลี่ยนชุดมาเล่นทันที แต่แล้วผมแหกปากลั่นทันทีที่หันไปทางกระจกของห้อง สิ่งที่ผมเห็นคือตุ๊กแกยักษ์ที่แปะตัวเองอยู่ที่กระจกและส่งสายตาอันเรียวเล็กนั้นมาทางผม แล้วชะงักถอยหลังกลับแล้ววิ่งหายไปจากตรงนั้น ถ้าว่าผมงงมั้ย? งง!!!

            ผมสลัดความคิดออกไปออกพลางนึกถึงร่างเล็กที่ผมเห็นมาเกาะกระจกอย่างนึกขำ ถ้าเค้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนข้าวปั้นอีกที หึ! เด็กแว่น หน้าขาว ปากชมพู หุ่นเล็ก สเปคกูซิครัชช ตอนแรกก็สนเพื่อนของไอ้ปั้นแต่ดูเหมือนเพื่อนเค้าจะหวงอย่างไงไม่รู้ ผมเลยต้องหาสแปรก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้มา

            Rrrrrr!!   [ K.Pan ]

            “เออ ว่าไงมึงโทรหากูซะดึกเลย พรุ่งนี้ไม่มีสอนเหรอว่ะ”

            “มี แต่มีสอนบ่าย กูไม่รีบ”

            “อ่อ … ว่าแต่มึงโทรมาดึกไปป่ะว่ะ มีไร”

            “มึงอยู่กรุงเทพถึงวันไหน”

            “อีกนาน กูมาสองเดือน ว่าจะมาหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ด้วย”

            “งั้นเหรอ? … งั้นพรุ่งนี้กูขอไปอยู่คอนโดมึงนะ มารับกูด้วย”

            “เดี๋ยวๆ อะไรของมึงเนี่ย บ้านไม่มีอยู่หรือไง ถึงจะนอนกับกูอ่ะ”

            “กูมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย ไม่อยากกลับบ้าน”   น้ำเสียงปลายสายที่บอกเค้ามา ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนใจให้มันมาอยู่ด้วย เพราะถ้าเสียงมันจริงจังขึ้นมา มันต้องมีเรื่องอะไรหนักใจจริงๆ ถึงขนาดเลือกที่จะให้แม่อยู่คนเดียวที่บ้าน

            “ไงมึงใกล้เลิกสอนแล้วโทรบอกกูแล้วกันเดี๋ยวไปรับ

            “ขอบใจนะมึง งั้นกูวางล่ะ เจอกัน”

            ข้าวปั้นวางสายไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากขึ้น … ผมว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ง่ายๆซะล่ะ สำหรับเพื่อนคนนี้ โอเค! จะมาก็มา ไม่อยากคิดเยอะ .. คิดถึงเรื่องน้องหน้าขาวคนนั้นดีกว่า กรู๊วววววววววววววววววว!!! น้องแว่น น้องแว่นนนนนนนนนน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา