Imagine Invasion

-

เขียนโดย MrNoname

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.40 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,011 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 20.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
      
     “เฮ้ ได้ยินมั้ย เป็นอะไรมากมั้ย”
เสียงตะโกนเข้ากระทบหู คริสค่อยๆลืมตา
     “มีหินเสียบอยู่ที่สีข้าง เดี๋ยวจะดึงออกให้ ทนเจ็บหน่อยนะ”
คริสมองเห็นใบหน้าของทอมอยู่เบื้องหน้า จากนั้นเขาค่อยๆหันไปมองที่ข้างลำตัวของตัวเอง ภาพที่เห็นคือมีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่งติดอยู่กับตัว หินก้อนนั้นมีสีแดงเปื้อนอยู่อยู่เล็กน้อย
คริสมองกลับไปยังทอม เขาเตรียมสิ่งที่ดูคล้ายๆกับปืนฉีดยาออกมาแค่รูปร่างนั้นดูเหมาะกับการใช้ในภาคสนามมากกว่า ทอมหยิบยาหลอดหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า หลอดพลาสติกใส่ที่ข้างในบรรจุยาสีแดงสดราวกับเลือดไว้
ทอมเสียบหลอดยาเข้าไปตรงท้ายปืนจากนั้นจึงดันสลักให้เข้าที่
     “มอร์ฟีนพร้อมแล้วทนเจ็บหน่อยนะ” ทอมพูดสั้นๆ
     “เดี๋ยว..”
พูดจบเขาก็ดึงหินออกจากสีข้างของคริสทันที
     “โอ๊ยยยย” คริสร้องลั่นออกมาทันทีเพราะความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงถูกส่งเข้าสู่สมอง
ทันทีที่หินหลุดออกจากตัวคริส ทอมก็ตรวจสอบบาดแผลอย่างรวดเร็ว
     “โชคดีมากที่ไม่มีอะไรอีก จะฉีดแล้วนะ” พูดจบทอมก็กดปลายปืนฉีดยาเข้ากับผิวหนังใกล้ๆกับปากแผล
     “อึก..” คราวนี้เป็นความเจ็บจากการโดนเข็มทิ่ม ยาน้ำสีแดงทั้งหลอดถูกฉีดเข้าไปในตัวของคริสทันที
ราวกับมีเวทมนตร์ บาดแผลค่อยๆสมานตัวด้วยความเร็วคงที่
“มอร์ฟีน” เป็นชื่อเล่นของยาตัวนี้เพราะมันยังไม่มีชื่อเป็นทางการ มันเป็นผลผลิตจากการผสมผสานของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโลกใบนี้กับเวทมนตร์จากอีกโลก มันมีคุณสมบัติห้ามเลือด รักษาบาดแผล และทำให้ประสาทของผู้ถูกฉีดตื่นตัวราวกับถูกฉีดอะดรีนาลีน และระงับความรู้สึกเจ็บปวดชั่วคราวด้วย
     “สู้ไหวนะ” พูดจบทอมก็หยิบปืนไรเฟิลของคริสมาให้
     “คราวหน้าทำแบบกินดีกว่า” คริสบ่นออกมาขณะที่ตรวจสอบซองกระสุนและรังเพลิง
     “แบบกินมันออกฤทธ์ช้ากว่า และก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้านายไม่กลืนมันลงไปเองนะ หรืออยากให้มีคนช่วยส่งเข้าปากโดยตรง?”
     “คิดอีกทีแบบฉีดก็ไม่เลว” พูดจบคริสก็นำพานท้ายปืนประทับบ่า
ปืนที่อยู่ในมือคริสนั้นเป็นปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ เพียงแต่เป็นรุ่นที่ต่อให้พลิกแค็ตตาล็อกทั่วโลกก็หาไม่เจอแน่นอน เพราะมันดูราวกับเอาปืนหลายรุ่นมาประกอบเข้าด้วยกัน แน่นอนว่า สิ่งนี้คริสเป็นคนทำขึ้นมาเอง
คริสมองกลับไปยังการต่อสู้เบื้องหน้า
     “ฟื้นแล้วเหรอเยี่ยมมาก ช่วยยิงสนับสนุนหน่อย” ผู้ชายที่ถือโล่ประจันกับศัตรูร้องบอก
     “ระหว่างติดพันอย่าละสายตาจากศัตรูเซ่” คริสตะโกนกลับพร้อมเล็งและยิงไปยังข้อมือของศัตรูที่กำลังจะฟาดอาวุธใส่เขา
ปัง ปัง ปัง
กระสุนขนาด7.62พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มันเจาะทะลุเข้าที่ข้อมือของศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าทำให้กระบองที่ศัตรูถืออยู่หลุดออกจากมือ มันชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับกุมมืออีกข้างไปยังบาดแผลที่ถูกยิง
     “โทรลนี่อึดชะมัดเลยแฮะ เคยเห็นในหนังแต่ไม่เคยคิดเลยว่าของจริงจะถึกขนาดนี้” คริสบ่นออกมา
โทรล สิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งมีอยู่แค่ในจินตนาการ แต่ว่าตอนนี้เมื่อมันปรากฏตัวเบื้องหน้าแล้ว แถมยังอัดเราซะเกือบตายได้ จะไม่ให้เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วหล่ะ
คริสยิ้มออกมาเล็กน้อย
(ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากวันนั้นสินะ)
..................................................
วันสิ้นโลก เป็นสิ่งที่มีการกล่าวถึงอย่างมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันถูกกล่าวถึงโดยกลุ่มศาสนา ลัทธิต่างๆ ไปจนถึงหมอดู นักวิชาการ และผู้รู้ต่างๆมากมาย รูปแบบของวันสิ้นโลกจากแต่ละที่มาก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เหตุการณ์ในวันนั้นของแต่ละแหล่งจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่ว่า รายละเอียดเชิงลึกของเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนั้น แตกต่างออกไปจากทุกๆแหล่งที่มีบันทึกไว้โดยสิ้นเชิง
มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อระบบการสื่อสารทั่วโลกตรวจพบคลื่นรบกวนในทุกๆระบบ ตอนแรกๆนั้นคลื่นรบกวนเบาบางจนแทบไม่สามารถตรวจเจอถ้าปราศจากเครื่องมือ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็เริ่มชัดมากขึ้นจนสามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
จากนั้น การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ก็เริ่มขึ้น ทะเลทรายซาฮาร่าเขียวชอุ่มอีกครั้งในรอบนับหมื่นปี เริ่มมีรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการมากขึ้นเรื่อยๆจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะทั้งในพื้นที่ป่า ทะเลทราย มหาสมุทร ท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งในเมือง
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้นั้น ตอนแรกๆก็ทำท่าตื่นตะลึงเหมือนกับอยู่ๆถูกพามายังที่ๆไม่รู้จัก รัฐบาลทั่วโลกจึงลงความเห็นกันว่าให้ปล่อยพวกมันอยู่ตามธรรมชาติไปก่อนจนกว่าจะหารือจบว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน
แน่นอนว่า สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักย่อมดึงดูดเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้กระหายที่จะทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ อีกทั้งความต้องการสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไว้ในครอบครองมีมากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลกจากทั้งเหล่านักสะสมและมหาเศรษฐีต่างๆ
ถึงแม้ว่ารัฐบาลแต่ละประเทศจะพยายามออกกฎหมายควบคุมการครอบครองและล่าสิ่งมีชีวิตในจินตนาการเหล่านี้ แต่ด้วยกำลังพลและงบประมาณที่ไม่เพียงพอ รวมถึงความล่าช้าของกระบวนการในสภา ทำให้ไม่สามารถตามทันความถี่ในการออกล่าสัตว์เหล่านี้ได้เลย ราคาของสัตว์เหล่านี้พุ่งทะยานในตลาดมืดอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ามีผู้คนบางส่วนที่กังวลถึงการล่าสัตว์เหล่านี้ ว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อไปในอนาคต แต่พวกเขาก็ไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้อยู่ดี
และนั่น ถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
สิ่งมีชีวิตชุดแรกที่ปรากฏนั้นเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษภัย ทำให้ไม่สามารถป้องกันตัวจากเหล่านักล่าชาวมนุษย์ได้ แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อเริ่มมีรายงานการปรากฏตัวของสัตว์ชุดที่สอง
การปรากฏของสัตว์ในจินตนาการชุดที่สองนี้ถูกเรียกภายหลังว่า “คลื่นลูกที่สอง” ซึ่งนักประวัติศาสตร์ในภายหลังได้แบ่งประเภทของสิ่งมีชีวิตในจินตนาการเหล่านี้ตามคลื่นที่ปรากฏตัวตามพื้นฐานทางชีววิทยาอย่างง่ายๆ
สัตว์ในคลื่นลูกแรกนั้น เป็นสัตว์กินพืชหรือเฮอบิวอร์ทั้งหมด ส่วนชุดที่สองนั้นจัดอยู่ในประเภทสัตว์กินเนื้อหรือคาร์นิวอร์
และเนื่องด้วยสัตว์ในคลื่นลูกที่สองนั้นเป็นสัตว์กินเนื้อ พวกมันย่อมมีความเป็นนักล่าอยู่ในตัว ทำให้เหล่านักล่าเผ่ามนุษย์นั้นไม่ได้เป็นผู้ล่าแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป
สัตว์ในคลื่นลูกที่สองนั้นมีความฉลาดกว่าคลื่นลูกแรกอย่างมาก อีกทั้งหลายชนิดยังมาพร้อมกับลักษณะพิเศษเช่น เกราะอันแข็งที่ทนทานกระสุนได้ ความปราดเปรียวและรวดเร็วจนสายตามองไม่ทัน กรงเล็บที่แข็งแกร่งขนาดฉีกประตูรถได้ หรือแม้กระทั่งความสามารถในการเปลี่ยนตัวเองให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้เนียนอย่างที่สัตว์บนโลกทำไม่ได้
ด้วยความสามารถอันเหลือเชื่อ พวกมันสามารถยึดระบบนิเวศได้ในเวลาไม่นาน ทำให้สัตว์ที่เป็นผู้ที่อยู่มาก่อนในโลกนั้นถูกล่าจนสูญหายไปจากธรรมชาติจนหมด เหลือไว้แต่เหล่าสัตว์ที่ถูกมนุษย์เลี้ยงไว้ในที่กักขังเท่านั้น
มาถึงจุดนี้ รัฐบาลทั่วโลกได้ออกคำสั่งคุ้มครองสัตว์พื้นเมืองของโลกอย่างเร่งด่วน รวมถึงได้ออกประกาศสภาวะฉุกเฉิน และอนุญาตให้ล่า ทำร้าย และสังหารเหล่าสัตว์ผู้รุกรานได้โดยไม่มีความผิด
ไม่เพียงเท่านั้น ระบบนิเวศที่เหมาะสมกับสัตว์เหล่านี้ไว้รุกล้ำอาณาเขตที่อยู่ของมนุษย์เรื่อยๆ และนั่นคือการมาถึงของคลื่นลูกที่สาม
คลื่นลูกที่สามนั้น ห่างจากลูกที่สองประมาณหนึ่งปี สิ่งมีชีวิตในคลื่นนี้ ถูกจัดอยู่ในหมวดของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเพราะพวกมันสามารถใช้เครื่องมือเป็น ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆตามธรรมชาติก็ตาม อีกทั้งพวกมันยังมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ สิ่งมีชีวิตในคลื่นลูกนี้ก็เช่น ก็อบลิน โทรล อ๊อค เป็นต้น
แต่แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตในชุดที่สามนั้น ไม่ได้มีสติปัญญามากเทียบเท่ามนุษย์ แต่พวกมันก็ไม่ถือว่าโง่ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้นั้นได้ก่อตั้งอาณาเขตของพวกมันเอง แล้วใช้ชีวิตในรูปแบบสัตว์ทั่วๆไป นั่นคือ หาอาหาร และ สืบพันธุ์
แน่นอนว่า พวกชุดที่สามนั้นได้ออกล่าสัตว์ในชุดที่หนึ่งและชุดที่สอง ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังบุกรุกเข้ามาในเมืองและหมู่บ้านของมนุษย์ หมู่บ้านและเมืองเล็กๆหลายแห่งที่ห่างไกลตัวเมืองถูกกวาดล้างและยึดครองเป็นดินแดนของพวกมัน
แน่นอนว่ากองกำลังติดอาวุธ ตำรวจ รวมไปถึงทหารของแต่ละประเทศก็พยายามอย่างเต็มที่ แต่เนื่องด้วยปัญหาด้านกำลังคน ทำให้รัฐบาลไม่สามารถช่วยประชาชนไว้ได้ทุกคน
หลังจากคลื่นลูกที่สามมาถึงเป็นเวลาหนึ่งปี ที่อยู่ของมนุษย์ในแต่ละประเทศก็ถูกจำกัดอยู่แค่เมืองใหญ่ๆและเมืองหลวงเท่านั้น แม้ว่าจะมีความพยายามในการตอบโต้และยึดเมืองคืนบ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่คุ้มค่ากับการที่ต้องลงทุนเพื่อใช้ปฏิบัติการทางการทหารเพื่อยึดคืนเมืองที่สุดท้ายแล้วถูกทำลายจนไม่สามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ หรือต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟู
หลังจากคลื่นลูกที่สามมาถึง เทรนการประกอบอาชีพก็เปลี่ยนไป
อาชีพสายต่อสู้เช่นทหารรับจ้าง นายพราน หรือแม้กระทั่งนักผจญภัย เริ่มมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเดินทางระหว่างเมืองในช่วงหลังคลื่นลูกที่สามเป็นต้นมานั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ผู้คนที่เดินทางมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตอันตรายทั้งหลาย แต่เนื่องจากชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ทำให้การค้าขายและเดินทางระหว่างเมืองนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ กองทัพของรัฐบาลเองก็ไม่มีกำลังพลและงบประมาณเพียงพอที่จะคุ้มกันนักเดินทางทุกคนได้ ทำให้เหล่านักรบรับจ้าง เริ่มมีบทบาทในช่วงนี้เอง
.........................................................................................................
หลังจากที่โทรลเอามือไปกุมบาดแผลที่ถูกยิงนั้น คริสก็ตะโกนขึ้น
     “เอาเลย ฮาเกน”
     “ไม่ต้องพูดหรอก”
ชายที่ชื่อฮาเกนพูดออกมาในขณะที่พุ่งเข้าไปหาโทรลพร้อมกับดาบในมือ โทรลที่เห็นเข้าพุ่งเข้ามานั้น ได้เหวี่ยงแขนอีกข้างที่ไม่ได้ถูกยิงใส่เขา แต่ว่าฮาเกนเห็นอยู่แล้ว ก่อนที่การโจมตีนั้นจะโดนตัว ฮาเกนได้ก้มตัวหลบไปอย่างฉิวเฉียด แล้วฟันเต็มแรงเข้าไปที่แขนของโทรล ทิ้งบาดแผลเป็นทางยาวตั้งแต่ข้อมือไปจนครึ่งแขนก่อนถึงศอก
     “โออออออ”
โทรลร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ฟิ้วววว ฉึก
ในพริบตานั้น ธนูหนึ่งดอกก็ปักเข้าไปยังตาขวาของโทรลอย่างแม่นยำ
โทรลร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้งคราวนี้มันเอาพยายามเอามือไปกุมที่ตาที่ถูกยิง
     “แม่นมาก ลาเรียล” ทอมพูดชมทันที
     “แกริค ฮาเกน เอาเลย” ผู้หญิงที่ชื่อลาเรียลพูดออกมา
ผู้ชายสองคนพุ่งเข้าไปหาโทรลทันที ฮาเกนใช้ดาบมือเดียวแทงเข้าไปที่ขาซ้าย ส่วนแกริคใช้ดาบสองมือฟาดเต็มแรงเข้าไปที่ขาขวา
โทรลที่ขาทั้งสองข้างโดนโจมตีพร้อมกันไม่สามารถยืนอยู่ได้ มันทรุดตัวคุกเข่าลง
     “คุณหนู ได้เวลาปิดฉากแล้ว” ฮาเกนตะโกนไปยังผู้หญิงร่างเล็กถือไม้เท้าที่อยู่หลังสุด
ผู้หญิงคนนั้นชูไม้เท้าขึ้น แล้วลูกไฟขนาดประมาณลูกฟุตบอลสี่ลูกก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเธอ พอเธอผายมือไปข้างหน้า ลูกไฟทั้งสี่ลูกก็พุ่งตรงไปยังโทรลพร้อมกันด้วยความเร็วราวกับลูกธนู
ตูม ตูม ตูม ตูม
แรงปะทะของลูกไฟทั้งสี่ลูกนั้นมากราวกับยิงด้วยจรวด โทรลร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะล้มลง
     “เอาหล่ะ เพื่อความแน่ใจ ไปปิดบัญชีเลยแกริค” ฮาเกนพูดออกมา
แกริคหยักหน้ารับฮาเกน เขาถือดาบสองมือแล้วปีนขึ้นไปยังร่างกายอันใหญ่โตของโทรลที่หายใจรวยริน เขาไปยืนอยู่ตรงหน้าอกใกล้ๆลำคอ จากนั้นก็ยกดาบขึ้นแล้วเสียบเข้าไปที่คอของโทรล
     “Requiscat in pace” ทอมพูดออกมาเบาๆ
     “จบแล้ว ไปกันต่อเถอะ” แกริคพูดออกมา     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา