ราชินี แพนทัสเนีย

7.7

เขียนโดย LittleBlue

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 01.44 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,305 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ห้องสมุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

‘ความอบอุ่นนี่แหละดีที่สุด’ หญิงสาวคิดในใจอย่างเป็นสุดเมื่อเข้ามาภายใน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมข้างในถึงอุ่นกว่าข้างนอกขนาดนี้ โอเคไม่มีลมแต่ว่าก็ไม่มีเตาไฟให้เห็นใกล้ๆเหมือนกัน อย่างกับมีฮีตเต้อร์แต่ว่านั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน ขนาดแอร์ยังไม่มี มันยุคโบราณชัดๆ ความคิดมากมายของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มที่เดินตามมาเห็นเธอที่เร่งรีบเดินเขามาแล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตูด้านในไม่ขยับแถมใบหน้ายังยู่ยี่อีกด้วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเขากลับเดินผ่านหญิงสาวเข้าไปข้างใน

เงาวูบผ่านเรียกสติของเธอกลับมา ชีว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เธอได้แต่เก็บมันไว้ในใจไปก่อน ‘เดี๋ยวค่อยถามเนโรเอาก็ได้’ หญิงสาววิ่งตามก้าวใหญ่ๆของชายข้างหน้าแล้วร้องทัก “นี่ๆ ที่นี่มีห้องสมุดไหม? ฉั..เออข้าอยากไป” เนโรเลิกคิ้วถามถัย หญิงสาวแอบด่าในใจ ‘ขนาดถามเรายังเป็นใบ้’ “ก็เป็นราชินีก็ต้องเรียนรู้” ชายตรงหน้าพยักหน้า “ดี เจ้าพูดแบบนี้ ดี อย่าได้คืนคำ” หญิงสาวยิ้มแหะๆตอบรับ ‘แบบข้ออ้างเฉยๆโว้ว’ เธอร้องในใจแต่ก็เดินตามคนตัวสูงข้างหน้าต้อยๆ

ห้อนสมุดนั้นใหญ่มาก อาลัง หนังสือเต็มไปหมด แล้วก็ดูสวยมากๆอย่างกับไปพิพิธภัณฑ์ห้องสมุดแบบเก่าและหรูหราภายในตัว อะไรอย่างนั้น เธอเห็นว่ามีทางเดินขึ้นไปชั้นสองด้วย ‘จะใหญ่ไปไหนกันนะ’ เธอคิดแต่สีหน้าก็ไม่ได้ดูท้อถอยอะไร เธอหันไปหาคนข้างกาย “ขอบคุณ” แล้วก็ตรงไปที่ชั้นหนังสือที่ใกล้ที่สุด อย่างแรกก็ต้องรู้ก่อนวิธีเขียนเหมือนโลกเราไหม เธอหยิบหนังสือปกแดงขึ้นมาเปิดดู คำตอบคือเขียนไม่เหมือนกัน คนหละภาษาโดยสิ้นเชือง โอ้เซ็ง “ทำไม เจ้าอ่านไม่ออกหรอ?” คำถามเสียงทุ่มดังขึ้นใกล้ตัวทำหญิงสาวที่กำลังใช้สมองสะดุ้งโหยง “ฮะอ้าวยังอยู่อีกหรอคุณ ไม่ต้องอยู่แล้วคุณ ฉันอยู่เองได้” หญิงสาวตอบแบบลืมเปลื่ยนคำพูดอย่างสิ้นเชืองเพราะยังอยู่ในอาการตกใจ จากนั้นเธอก็ก้มลงมองหนังสือเหมือนเดิน ทำให้เนโรขมวดคิ้ว “นี่เจ้า ข้าถามว่าอ่านไม่ออกใช่ไหม” ชายหนุ่มย้ำ หญิงสาวสะดุ้งอีกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา ‘เสียงของข้าน่ากลัวมากหรือไงกัน’ ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดแต่สีหน้าก็ยังเรียบเฉยเหมือนเดิม

ชิว่าเงยหน้ามองคนตัวโต “ก็อ่านไม่ออก แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ออก” เธอตอบคนตรงหน้า แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่แล้วก็จ้องเธออย่างไม่ขยับ “เออคุณ ฉันนะต้องการความเป็นส่วนตัวเพราะจะได้มีสมาธิ” เธอทักออกไปแต่คำตอบของเขาเป็น “ให้ข้าสอนเอาไหม?” หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่แบบนั้นคงช้าไป”

ได้ยินเหตุผลของการปฏิเสธแล้วทำให้ชายหนุ่มแอบไม่พอใจนิดๆ “ข้าสอนดี” เขาพูดขึ้นหน้าตาย หญิงสาวที่กำลังจะเข้าสู่โหมดสมาธิอีกครั้งถึงกับทำหน้าเอ๋อ ‘อะไรจะหลงตัวเองขนาดนั้น’ เธอคิดก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าเจ้าสอนไม่ดีอะไรทั้งนั้น ข้าอ่านเองเรียนเองได้” ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่เข้าใจ ชายหนุ่มตอนแรกคิดว่าหญิงสาวไม่ขอก็คิดว่ามีนิสัยทำอะไรเอง พอตอบปฏิเสธครั้งแรกก็คิดว่าหญิงสาวคิดว่าเขาคงจะสอนไม่เป็น แต่ปฎิเสธอีกรอบนี่มันแปลกๆ ก็ใครเขาเรียนภาษาเองตั้งแต่เริ่มเล่า มันอาจมีคนทำแต่ย่อมต้องนานกว่ามีคนสอนอยู่แล้ว แต่เธอบอกว่าเร็วกว่าถ้าเรียนเอง มันไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มคิดไปคิดมาก็ได้แต่ยืนมองเธออยู่อย่างนั้น ตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่ทันใดนั้นหญิงสาวตรงหน้าก็ปิดหนังสือแล้ววางกลับเข้าชั้นซะงั้น ‘เธอดูแค่นี้หรือ อะไรมันจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้’ ชายหนุ่มคิดในใจ ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยแปลกใจกับอะไรเท่าไหร่เพราะได้เห็นอะไรมาเยอะ เพราะอยู่มานาน แต่กับหญิงสาวผมสีเงินตรงหน้าดูเหมือนจะมีอะไรให้เขาไม่เข้าใจและแปลกใจอยู่ตลอด ‘ตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกในป่านั่น...’ ชายหนุ่มคิดด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่สายตาดูจะเป็นประกายขึ้นมา ความไม่เข้าใจที่หาได้ยากสำหรับเขาทำให้เอ่ยปากถามขึ้นมาก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกจากชั้นวางหนังสือนั้น “พอแล้วหรอ อ่านเล่มเดียวเจ้าก็ไม่อ่านแล้ว อย่างนี้เจ้าจะเรียนเองได้อย่างไร”

ชีว่าหยุดเท้าตัวเองกลางคัน ‘อะไรเนี่ย เขาอยากมีเรื่องหรือไงพูดแบบนี้ เธอไม่ได้จะอ่านแค่เล่มเดียวเสียหน่อย แค่รู้สึกอึดอัดที่เขาอยู่ตรงนั้นแถม’ เธอคิดแค่นั้นแล้วตอบ “ข้าอ่านเข้าใจแล้ว อีกอย่างอ่านจบเล่มนั้นแล้วมองชั้นหนังสือของมันถึงได้ก็รู้ว่าตรงนั้นมันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าอยากรู้ตอนนี้ซักเท่าไหร่ก็เลยจะไปหาชั้นหนังสือที่ข้าต้องการ” ‘โหยังไงก็ยังรู้สึกไม่เหมือนตัวเองเลย พูดข้าเข้อแบบนี้’ หญิงสาวคิดไป รู้สึกเหนื่อยๆกับการพูดจริงๆ

“เจ้าพูออะไร เจ้าอ่านออกหรอกหรือ ไหนเจ้าบอกอ่านไม่ออก” ชายตรงหน้ายังไม่ปล่อยให้เธอไปหาคำตอบ หญิงสาวเริ่มรู้สึกเหมือนถูกถ่วงเวลาอย่างไงก็ไม่รู้ เธอตอบเขาแต่ตอนนี้สีหน้าเธอออกหงุดหงิดนิดๆ “ก็ตอนแรกไม่ออก ตอนนี้ออกแล้ว” ‘นี่มันเข้าใจยากมากหรือไงนะ’ หญิงบ่นในใจ และเพื่อตอบให้จบๆในคราเดียวเธอจึงถามให้แน่ใจ “คุณมีอะไรอีกไหม?” ชายหนุ่มส่ายหน้า หญิงสาวจึกพยักหน้าพอใจก่อนจะเดินออกไป ตอนนี้ในหัวสมองของชีว่าเต็มไปด้วยความต้องการรู้ให้มากขึ้นเพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งปลอดภัย ด้วยถ้ารู้ก็สามารถเตรียมการร่วงหน้าได้ อย่างเช่นตอนนี้เธอรู้แล้วว่าที่นี่แม้ภาษาพูดจะคล้ายกันแต่ การเขียนกลับไม่เหมือนโลกของเธออย่างสิ้นเชือง เพราะรู้ตอนนี้ถึงได้อ่านออกแล้ว

เนโรมองแผ่นหลังซึ่งมีเส้นผมสีเงินสยายยาวอยู่นั้น ด้วยแววตาแปลกใจปนตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจถูกคือหญิงสาวพึ่งบอกเขาว่าเธอสามารถเรียนรู้เข้าใจภาษาเขียนอ่านที่ไม่รู้มาก่อนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทึ่ง! เขาไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน ‘หรือเป็นเพราะเธอมาจากโลกอื่นกัน..’ ชายหนุ่มสงสัย ก่อนจะเดินไปหาร่างบางด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

ชีว่าเลิกสนใจชายหนุ่มอย่างสิ้นเชือง เธอกำลังซึมซับข้อมูลมากมายเข้าสมอง ตอนนี้หนังสือที่เธออ่านอยู่เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของโลกนี้ ในโลกนี้มีอาณาจักรใหญ่ๆอยู่หกอาณาจักร โดยมีชื่อว่า โดเลนโด้, อีโน, เซล, ชิ, เดลฟาเลีย, รีเอนท่า เป็นชื่อที่จำยากสำหรับเธอ แต่ก็จำได้ ดูๆแล้วรู้สึกว่าเดลพาเลียจะอยู่ตรงกลางทวีปแต่เอนไปทางเหนือ ‘อยู่กลางแบบนี้ดูอันตรายน้า ถ้ามีสงครามก็โดนรอบด้านเลยนะเนี่ย’ เธอคิดในใจคงเพราะเธอไม่เคยเห็นที่ไหนที่ดูกึ่งกลางขนาดนี้ แน่นนอนว่ายังมีอาณาจักรอื่นๆอยู่อีกในทวีปแต่เล็กกว่าทั้งหกอาณาจักรมากเธอไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ‘เอาเรากลับมาดูรายระเอียดทีหลังก็ได้’ ที่สำคัญคือบริเวณสีเทาและสีขาวแล้วก็เขียวที่ไม่มีเส้นแบ่งเขตหรือชื่ออะไรเลยทั้งในและรอบด้านนอกทวีป แค่พื้นที่ใหญ่ๆ ดูแปลกตาเท่านั้น เธอครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเหมือนนึกขึ้นได้ ‘จริงสิเนโร’ เธอเงยหน้าจากหนังสือเล่นหนามองไปรอบๆเห็นเนโรกำลังนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและกำลังมองมาที่เธอพอดี “นี่เนโร บอกหน่อยสิ พื้นที่พวกนี้คืออะไร?” เธอถามพร้อมกับเอารูปแผนที่ให้ดู ชายหนุ่มยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำให้หญิงสาวต้องก้มตัวลงยื่นสมุดให้ดู

เส้นผมสีเงินเงาวาวดูระยิบระยับนิดๆได้แสงไฟส้มจากตะเกียงนั้นมีบางส่วนร่วงโรยลงบนหนังสือที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเนโร และพวกมันดูจะดึงดูดสายตาของเขามากกว่าภาพแผนที่ที่หญิงสาวร่างบางตรงหน้าถามถึงเป็นไหนๆ ความรู้สึกอยากสัมผัสเส้นผมสีสวยที่ดูนุ่มนวลนั้นก่อตัวขึ้น เขาเอื้อมมือออกไปอย่างห้ามใจไม่ได้ รู้ตัวอีกทีปลายนิ้วแกร่งก็กำลังสัมผัสเส้นผมเงินยาวนั่นอย่างแผ่วเบา ความรูสึกที่เขาได้นั้นเป็นตามที่เขาคาด ไม่สิยิ่งกว่าเพราะมันส่งกลิ่นหอมเบาบางน่าหลงไหลออกมาด้วย

ชิว่ากลั้นหายใจด้วยความตกใจเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผมตนจากคนตัวโต ‘เขา อะ เขาทำอะไรนะ’ เธอรู้สึกขนรุกน้อยๆเมื่อมือหนานั้นเคลื่อนไหวไปพร้อมกับผมของเธอ ชายตรงหน้าจับเส้นผมเธอขึ้นก่อนจะค่อยๆเอามันคาดไปหลังหูอย่างเบามือ ทุกการกระทำนั้นเชื่องช้าราวกลับจะไม่ผละจาก หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองกลั้นหายใจจนหน้าตัวเองแดงไปหมด ‘แดงเพราะหายใจไม่ออกนะ ไม่ได้อายนะ ไม่จริงๆ’ ถ้าเธออายคงไม่กล้ามองหน้าเขาค้างหรอก เมื่อชายหนุ่มผละมือออกหญิงสาวจึงเปลื่ยนสีหน้า ขมวดคิ้วน้อยๆและเลิกคิ้วขึ้น “คุณทำอะไร” เธอถามออกไปนำ้เสียงปกติ แต่ที่จริงเธอนั้นยังตกใจไม่หาย ไม่งั้นคงไม่ลืมเปลี่ยนวิธีพูดของตัวเอง

คำตอบที่ได้รับนะหรอ ไม่มี ใช่เธอไม่ได้คำตอบสิ่งที่ได้คือ “พื้นที่พวกนั้นไม่แน่ชัดเลยดูไม่ระเอียดเท่าไหร่ สีเขียวคือป่าที่หนามากๆ ไม่มีคนเข้าไปแล้วกลับมาบอกได้อย่างชัดเจนว่าข้างในมีอะไร ส่วนสีเทาเป็นพื้นที่ต้องห้ามอย่างมาก เพราะมันเป็นที่ๆเต็มไปด้วยสิ่งอันตรายชั่วร้าย สุดท้ายพื้นที่สีขาวเป็นอนาเขตของพวกเทพและภูติ พวกเขาไม่ได้เกลียดมนุษย์แต่ถ้าพวกเขาไม่อนุณาตก็ไม่อาจเข้าไปได้” เมื่อได้ยินคำตอบของคำถามแรกหญิงสาวก็เลิกสนใจความประหม่าก่อนหน้านี้เพราะสิ่งที่ได้รู้มันน่าสนใจกว่า

“แล้วที่ว่าสิ่งชั่วร้ายนี่มันอะไร?” เธอถามพร้อมกับลงไปนั่งกับพื้นใกล้ๆชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา เนโรสังเกตการกระทำของหญิงสาวกับสายตาที่ดูแวววาวขึ้น แล้วอดยิ้มไม่ได้ เพราะเธอดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังเตรียมตัวฟังนิทานยังไงยังงั้น ‘แต่จะลืมเรื่อนก่อนหน้านี้เร็วไปไหม’ ชายหนุ่มคิด ไม่รู้ทำไมแต่มันขัดใขเขานิดหน่อยที่หญิงสาวดูไม่ค่อยคิดมากกับการกระทำก่อนหน้านี้ของเขา ‘ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ’ “ไม่มีชื่อ ผู้คนเขาไม่เรียกกัน ว่ากันว่าเป็นรางร้าย” เสียงทุ่มอธิบาย

“แล้วจริงไหม?” นำ้เสียงอยากรู้อยากเห็น “ไม่” เสียงชายหนุ่มปฎิเสธอย่างชัดเจนแล้วมั่นใจ มันทำให้ชีว่าสงสัย ‘ทำไมเขาพูดเหมือนรู้ดีจังเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายเนี่ย’ “ทำไม เออเจ้าตอบแบบนั้น?” หญิงสาวถาม ชายหนุ่มมองเธออยู่พักหนึ่งก่อนตอบหน้าตาย “เพราะข้าฉลาดรอบรู้” คำตอมนั้นทำให้ใบหน้านวลบึ้งตึงน้อยๆ ‘หลงตัวเอง’ หญิงสาวเอ็ดในใจ ถึงจะรู้ก็เถอะว่าเขาแค่หาเรื่องไม่ตอบคำถาม ใช่เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ‘ตอนนี้ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบแน่เลย’ เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง “งั้นบอกเรื่องเทพได้ไหม?”

“อืม พวกเขาถูกเรียกโดยมนุษย์ว่าชาวแห่งแสง มนุษย์เชื่อว่าพวกเขาก็เหมือนเทพ” เขาตอบรับแล้วอธิบาย

“แต่ไม่ใช่ๆไหม” ชายหนุ่มส่ายหน้ากับสิ่งที่เธอถาม “ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเขาเป็นอะไร?”

“ก็สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่คนหรือสัตว์ เป็นเผ่าๆหนึ่ง พวกเขามีความสามารถล้นเหลือด้านเวทมนและด้านอื่นๆที่เหนือมนุษย์จึงถูกมองว่าเป็นเทพ” เธอพยักหน้ารับรู้

“เวทมนนะเรามีไหม มนุษย์นะ”

“มี แต่น้อย”

“ฉันมีไหม?!” ความตื่นเต้นทำให้เธอเผลอลืมพูดแบบเก่าอีกแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับยักไหล่ไม่บอก ทำให้เธอหน้ายู่ลง แต่อย่าคิดนะว่าเธอยอมแพ้ อย่างไรเธอก็จะไปหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับเวทมนดู ตั้งแต่เด็กๆหญิงสาวรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่ายไปเสียหมด มันน่าเบื่อมาก จนเลิกทำ ถึงทำได้ก็ไม่ทำ ใช่เธอถูกเรียกว่าอัจฉริยะ แต่จริงๆแล้วอัจฉริยะมัจจะมีนิสัยแปลกๆเข้าสังคมไม่ได้ ตัวเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอแค่รู้สึกว่า ง่ายๆ ง่ายๆไปหมดเลย สิ่งเดียวที่เธอทำอย่างไรก็ไม่เบื่อคือดนตรีและเสียงเพลงเพราะมันเปลี่ยนเสมอไม่ว่าจะเป็นทำนอง,เนื้อร้องหรือภาษา บางทีเวทมนที่ไม่มีในโลกเธออาจจะไม่น่าเบื่อก็ได้ อีกอย่างคงจะช่วยเธอได้เวลามีเรื่องเดีอดร้อนหรือผิดพลาดในโลกแห่งนี้ อย่างไรก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน คิดได้อย่างนั้นเธอก็ไม่รอช้า ลุกขึ้นและมุ่งตรงไปยังชั้นหนังสือต่าง ‘เอาหละ ถึงเวลาอ่านแล้วก็เรียนรู้’ จากนั้นหญิงสาวก็จมลงสู่โลกส่วนตัวของการอ่านหนังสือโดยมีสายตาดำมิดมองดูอยู่ตลอด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา