ราชินี แพนทัสเนีย

7.7

เขียนโดย LittleBlue

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 01.44 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,321 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ความฝัน?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงเปิดผ้าม่านมาพร้อมกับเสียงอันคุ้นเคย “ลูกรักตื่นได้แล้วนะ นี่โตขนาดนี้แล้วยังต้องให้แม่ปลุกอีก” หญิงสาวบนเตียงทำท่ายู่ยี่เพราะถูกปลุกโดยที่ยังหลับไม่เต็มอิ่ม “อื้ม แม่คะให้หนูนอนต่ออีกหน่อย” เมื่อหญิงสาวพูดออกไปไม่ทันไรเธอก็กระเด้งตัวเองขึ้นมาอย่างตื่อตระนกเผยให้เห็นดวงตาสีทอง หญิงสาวมองไปรอบๆอย่างงุนงง เสียงหัวเราะเบาๆของหญิงวัยกลางคนเรียกสติของเธอกลับมา “เป็นอะไรนะชีว่าทำหน้าเหมือนเห็นผี ฝันร้ายหรอลูก?” หญิงสาวมีสีหน้าเหลอหลา ‘ฝันหรือ เขาคนนั้นและปราสาทนั่นฝันหรอกหรือ?’ หญิงสาวครุ่นคิด

“เอ๊ะลูกคนนี้ไม่ต้องไปทำงานทำการแล้วหรือ ไม่ยอมลุกเนี่ย” เสียงดุๆของผู้เป็นแม่เรียกให้หญิงสาวเลิกคิดมาก ‘อื้ม- เป็นฝันที่แปลกจริงๆ’ เธอนึกในใจแล้วลุกขึ้นทันทีเพื่อไปแต่งตัว หญิงสาวเดินลงบันไดมาก็เห็นพ่อของเธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ หญิงสาวส่งยิ้มไปหาผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นเขายิ้มให้เธอ

“ไงลูกวันนี้ตื่นสายนะ” พ่อของเธอทัก

“ก็นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป ก่อนจะนั่งลงที่โตะอาหาร เสียงฝีเท้ากระทบบันไดดังๆอย่างรวดเร็วทำให้เธอรู้ว่าน้องชายของเธอตื่นแล้ว

“อ้าวพี่ครับยังอยู่อีกหรอ?” น้องชายของเธอเอ่ยถาม

“อื้ม แล้วนี่เราทำไมยังไม่ไป ที่มหาลัยไม่มีซ้อมบอลหรอ?” หญิงสาวถามน้องชายผู้บ้ากีฬา น้องชายส่ายหน้า “วันนี้พักครับ เพราะพรุ่งนี้แข่ง” หญิงสาวส่งสายตาแวววาวกลับไปหาน้องชาย “อยากให้พี่ไปเชียร์ไหม?”

น้องชายของเธอรีบส่ายหน้า หญิงสาวหัวเราะชอบใจ เธอรู้ดีว่าเขาปฏิเสธเพราะครั้งที่แล้วเธอเล่นพาคนที่ทำงานมากันหมดพร้อมทั้งลำโพงใหญ่มาเชียร์เขาคนเดียว

 

ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น “ฮัลโหลพี่แนนซี่” เธอตอบเจ้ผู้จัดการของเธอ

 

 “นี่เราทำไมยังไม่ออกมา เจ้จอดรอนอกบ้านแล้วนะ” หญิงสาวเบิกตา เธอรีบเอ่ยลาคนในครอบครัวแล้วออกไปขึ้นรถ “เกือบสายแล้วนะ ชีว่า วันนี้ต้องอัดเพลงใหม่ ดีนะที่มาทันไม่งั้นโปรดิวเซอร์ด่าเจ้หูแตกแน่” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนจะอ้อนคนข้างๆ “ค่ะ ชีว่าผิดเองจะไม่ทำแล้ว เดี๋ยววันนี้หนูเลี้ยงมื้อเย็นเลย” 


“น้องชีว่าพูดแล้วนะ” เจ้แนนซี่ตอบด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวทำงานเป็นนักร้อง ถ้าพูดถึงชื่อเสียงนั้นเธอก็ดังมากๆ เพลงทุกเพลงของเธอเมื่อออกตลาดก็ทะลุเป้าหมด แต่เพราะหญิงสาวไม่อยากโดนปาปารัสซี่ตามตอแย แล้วก็ไม่อยากให้เหล่าแฟนคลับเข้ามารุมตลอดเวลา เธอจึงตัดสินใจไม่เปิดเผยตัวตนโดยใช้นามแฝง เวลาออกคอนเสิร์ตก็ใส่หน้ากากและเปลี่ยนสีผม หญิงสาวจึงสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้

“เอาหละดีมากทุกคนตอนนี้พอแค่นี้” เสียงหัวหน้าโปรดิวเซอร์ดังขึ้น ทุกคนจึงแยกย้าย หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษเพราะต้องอัดหลายรอบ เธอกับเจ้แนนซี่พากันไปกินข้าว แต่ในขณะที่กำลังเดินอยู่หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยและง่วงจนไม่น่าเชื่อ ทันไดนั้นสติของเธอก็ดับวูบไป

แสงแดดแรงจ้าทำให้เธอขมวดคิ้วพร้อมกับเบี่ยงหน้าหลบ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น ทำให้เห็นเพดานไม่คุ้นเคย “แม่คะเกิดอะไรขึ้น?” หญิงสาวร้องเรียกแต่เสียงตอบกลับนั้นทำให้สติของเธอกลับมาครบร้อย “ใครเป็นมารดาของเจ้ากัน” หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นเจ้าของเส้นผมสีดำตรงหน้า “คุณ?!”เธอร้องขึ้น มันทำให้ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆเตียงขมวดคิ้ว “เจ้าอย่าโวยวายได้ไหมมันน่ารำคาญ ข้ามาตามเจ้าไปกินอาหารเพราะเจ้าไม่ตื่นซักที” หญิงสาวไม่สนใจคนข้างหน้าได้แต่พึมพัมกับตนเอง “ฝันอีกแล้ว ทำไมฝันอีกเนี่ย” แม้เธอจะพูดเสียงเบาแต่คนเคร่งขรึมข้างๆก็ได้ยิม “เจ้าไม่ได้ฝัน”

“ไม่จริงเมื่อกี้ฉันยังอยู่บ้าน ไปทำงานแล้วก็...” หญิงสาวเถียงขึ้นมา

“เมื่อกี้เจ้าฝัน” ชายหนุ่มขัดขึ้นเสียงนิ่ง หญิงสาวเบิกตาโต ก่อนหน้านี้เธอตั้งสติได้ แต่เธอรู้ว่าเธอก็ยังมีความไม่เชื่ออยู่ ลึกๆเธอคงหวังว่ามันไม่จริง แล้วเมื่อเธอได้มาเห็นภาพชีวิตปกติอีกครั้งเธอคงรู้สึกทำใจไม่ได้

ชายหนุ่มที่เห็นสีหน้าไม่สู่ดีของหญิงสาวบนเตียงก็ถอนหายใจ “จริงๆนั่นก็ไม่เชืองว่าฝัน แต่จริงๆแล้วเจ้าอยู่ที่นี่ ระหว่างนอนดวงวิญญาณของเจ้าอาจกลับไปที่โลกของเจ้า แต่มันคงไม่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจเกิดขึ้นอีกแต่คงน้อยคร้งก่อนมันจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย” ชายหนุ่มอธิบาย ก่อนจะสั่งให้เธอเตรียมตัวลงไปข้างล่าง

เมื่อชายหนุ่มจากไป หญิงสาวจึงลุกออกจากเตียง ขาที่ขยับพ้นผ้าห่มรีบหดกลับเข้ามาที่เดิมด้วยรู้สึกถึงไอหนาว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเธอก็เห็นหิมะขาวโพลนไปทั่ว ทั้งชีวิตนี้นี่คือครั้งแรกที่เธอเห็นหิมะมากมายขนาดนี้คงเป็นเพราะเธอเกิดและเติบโตในประเทศที่อยู่ในเขตร้อน หญิงสาวกลั้นหายใจก่อนจะรีบๆลุกออกจากเตียงแล้วหยิบผ้าคุมกับชุดหนาๆมาใส่อย่างรวดเร็ว เธอเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะชะงักเพราะจำได้ว่าตัวเองเจ็บเท้าแต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บแล้วแม้แต่น้อย 'ยาของชายคนนั้นคงทำงานของมันได้ดี'

หญิงสาวสังเกตตัวเองในกระจกบานใหญ่ใกล้ห้องนำ้แล้วถอนหายใจ ‘ชุดอะไรดูยุคเก่าจัง แถมไม่มีกางเกงเลย’ ในบานกระจกสะท้อนหญิงสาวผมเงินยาวในชุดกระโปงหนาแขนยาวสีแดงอ่อน เมื่อสำรวจตัวเองเรียบร้อยก็มุ่งหน้าออกจากห้อง หญิงสาวเดินตามทางไปเรื่อยๆ ‘แปลกทำไมที่ใหญ่โตขนาดนี้ถึงเงียบราวกับไม่มีใครคนอื่นเลย’ ทางเดินทอดยาวไปจนถึงบันได ทุกอย่างดูขรึมๆให้ความรู้สึกคล้ายเจ้าของที่ เมื่อมาถึงห้องอาหารก็เห็นชายหนุ่มนั่งรออยู่ที่โตะ เบื้องหน้าเขามีอาหารวางอยู่แต่ดูก็รู้ว่ายังไม่ได้ถูกกินแม้แต่น้อย ‘เขารอเราหรอ แย่แล้ว’ หญิงสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินไปที่โตะ แล้วนั่งลง “ขอโทษที่ทำให้รอนะคุณ แต่ไม่ต้องรอก็ได้นะคุณ” เธอรีบบอก

“ไม่ได้” เขาตอบ หญิงสาวเอียงหน้ามองสงสัย เธออ้าปากจะถามแต่คนตรงหน้าก็ตอบมาก่อน “เพราะเจ้าเป็นราชินี ข้าก็ต้องรอเจ้า” หญิงสาวงุนงง
“นี่คุณ..” ชายหนุ่มขัดขึ้นอีกครั้ง “เรียกข้าว่าเนโร” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ย “เออเนโรที่ว่าราชินีนี่คือหมายความว่าอะไร”

ชายหนุ่มส่งสายตาราวกับมองคนโง่ “เจ้าไม่รู้จักราชินี?” หญิงสาวขมวดคิ้วแอบหงุดหงิด “รู้สิ”

“งั้นจะถามทำไม” เมื่อคนเบื้องหน้าตอบแบบนั้นหญิงสาวก็แทบจะกรีดร้องออกมา แต่เธอก็สงบสติ “คือว่าไหนละคนที่ต้องปกครอง แบบอาณาจักอะไรแบบนั้น แล้วคุณนะเออราชาหรอ?”

“ไม่ ข้าไม่ใช่ราชา ข้าเป็นอัศวินของราชินี คนในปกครองเจ้าจะได้พบเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ตอนนี้เป็นฤดูหนาว” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ แต่ในใจเธอยังงุนงงอย่างมาก ก็เขานะทำตัวไม่ค่อยให้ความเคารพเธอเลยแบบเธอเป็นราชินีของเขาไม่ใช่หรือ ราวกับอ่านใจเธอได้ คนตรงหน้าเอ่ยขึ้น “เจ้ายังไม่ได้เป็นราชินีเต็มตัว” หญิงสาวชิงพูดขึ้น “งั้นเปลี่ยน...” แต่ชายหนุ่มก็เอ่ยขัดก่อน “ไม่ได้” หญิงสาวทำหน้าหงอย ‘อะไรนะ ทำไมมันดูยุ่งยากจัง จะเปลี่ยนให้คนอื่นเป็นราชินีไม่ได้แล้วจริงๆนะเหรอ? ทำไมต้องรอฤดูใบไม้ผลิ (ถึงจะไม่อยากเจอตอนนี้ก็เถอะ) แล้วอะไรที่ว่าไม่เป็นเต็มตัว’ ทุกอย่างดูมีลับลมคมในอย่างไรไม่รู้ หญิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเธอจึงตัดสินใจเลิกคิดทุกอย่าง เลิกกังวลทุกอย่างแล้วหันไปสนใจอาหารตรงหน้า

เนโรสังเกตท่าทีของหญิงสาวข้างหน้าที่เริ่มสนใจกินอาหาร เขารู้สึกว่าผู้หญิงข้างหน้าปรับตัวเร็วน่าเหลือเชื่อ ใช่เธอมีโวยวายและตกใจแต่ก็เทียบไม่ได้กับพวกคนก่อนหน้าเธอเลย จริงๆแล้วหญิงสาวแตกต่างกับคนอื่นๆตรงที่เขาไม่เชืองเลือกเธอก่อนแต่บังเอิญเจอ และบังเอิญเลือกก็เท่านั้น ‘ไม่รู้ว่าครั้งนี้เธอคนนี้จะทำให้ฤดูหนาวยาวนานซักแค่ไหน’ ชายหนุ่มคิดในใจ

“นี่คุณ นี่!” เสียงใสๆเรียกให้เนโรออกจากความคิดของตัว เขาขมวดคิ้ว ชีว่าเห็นอย่างนั้นก็เบ้ปากนิดๆก่อนจะกลับมาปกติ ‘ทำไมคนๆนี้ไม่ขมวดคิ้วก็ทำหน้านิ่ง ทำได้สองหน้านี้เองหรือไง’ หญิงสาวนึกในใจแต่สิ่งที่พูดกับเขาคือ “คุณยังไม่รู้ชื่อฉันเลย ฉันชื่อ ชีว่าเรีย แต่เรียกชีว่าเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้า “แล้วก็ฉันอยากออกไปข้างนอกได้ไหม?” เธอถามออกไป

“ทำไม” ชายหนุ่มถามกลับหน้าตาย

“อย่ากเล่นหิมะ” เธอตอบหน้าตายพอกัน คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ ‘โอ้สีหน้าอย่างอื่นนอกจากขรึมนิ่งขมวดคิ้วก็มีแฮะ’ แต่สีหน้าแปลกใจของชายหนุ่มอยู่ได้ไม่นานก็จางหายไป เขาพยักหน้าตอบรับและลุกขึ้นนำหน้าเธอออกไป ระหว่างทางเขาบอก ไม่สิสำหรับเธอมันเหมือนสั่งซะมากกว่า “เจ้าควรเปลี่ยนวิธีการพูดคุย คนอื่นๆเขาไม่รู้ที่มาของเจ้า พวกเขาอาจเข้าใจผิด”

“เรื่องอะไรล่ะ?” เธอถามแทนตอบรับ ชายหนุ่มหันมาส่งสายตาดุๆใส่เธอ เหมือนจะบอกว่า บอกให้ทำก็ทำ อย่าถามมาก หญิงสาวหน้ามุ่ยแต่ก็ตอบตกลง ‘นี่นะถ้าไม่เห็นแก่ที่ยอมพาออกมาข้างนอกไม่ยอมหรอก’

ข้างนอกหนาวกว่าข้างในมาก ทั้งต้นไม้ผืนย่าต่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ดูจืดชืดแต่ก็งดงาม ความตื่นเต้นที่เห็นทุกอย่างเป็นสีขาวทำให้เธอลืมความหนาวไปหมด ชีว่าวิ่งออกไปข้างหน้า กระโดดๆ ขย้ำเท้าหลายที เธอหัวเราะสดใส ในขณะนั้นเธอลืมปัญหาและสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นไปหมด เธอวิ่งไปทั่วก่อนจะนั่งลงเริ่มการปั้นตุกตาหิมะอย่างมุ่งมั่น เธอลืมชายหนุ่มที่พาออกมาซะสนิท

เนโรมองร่างบางทั้งกระโดด ทั้งวิ่งแล้วยังมาปั้นอะไรไม่รู้อย่างแปลกใจ ‘ทำตัวเหมือนเด็กๆ ผู้หญิงอะไรไม่สำรวมเลย’ เข้าคิดอย่างนั้น แต่การที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างน่ามองก็ทำให้เขารู้อบอุ่นอย่างแปลกประหลาดโดยที่ตอนนี้เขายืนกลางหิมะแท้ๆ อาจเป็นเพราะเขาอยู่คนเดียวมานาน รอยยิ้มที่มักเห็นจากคนอื่นก็เต็มไปด้วยความเสียแสร้งแกล้งทำ ‘แต่อยู่ๆไปรอยยิ้มของเธอคนนี้ก็อาจจะหายไปเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้านี้’ เมื่อคิดอย่างนั้นความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็จางหายไปราวกลับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หญิงสาวที่ดูเหมือนจะอยู่ในโลกส่วนตัวกับการปั้นตุกตาหิมะในขณะนั้นที่จริงแล้วกำลังสำรวจรอบๆอย่างตั้งใจ เธอต้องการรู้ว่าที่นี่มันคือที่ไหนแล้วมีวิธีจะกลับไปที่ๆเธอจากมารึเปล่า เพื่อหาคำตอบและหลบหนีจากคนตัวโตที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเธอมากสิ่งที่เธอต้องการคือข้อมูล ข้อมูลและก็ข้อมูล มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อจะทำให้อะไรก็ตามสำเร็จ สายตาของเธอพยายามสอดส่องแต่สิ่งที่เห็นก็มีแต่หิมะจริงๆ อย่างเดียวที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากความเป็นสีขาวนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเจ้าปราสาทหินสีเทาด้านหลังเท่านั้น ‘งั้นคงต้องสำรวจในปราสาทแล้วหละ’ เธอคิดอย่างจริงจังแต่สิ่งที่เธอแสดงออกมาทางสีหน้ากลับเป็นใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆเหมือนกำลังสนุกแล้วก็ทำเสียงฮัมเพลงเบาๆ ‘จริงๆก็สนุกนั่นแหละ นิดหน่อยอะนะ’ เวลาผ่านไปหญิงสาวจึงหันมาสนใจชายหนุ่มที่ดูจะนิ่งได้นิ่งดีที่ยังคงยืนอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยนอยู่ไม่ไกล ‘ยืนไปได้นะเขานะ ถ้าเป็นเราคงหนาวจนอยากเข้าข้างในแล้วเล่นไม่ขยับตัวแบบนั้น’ เธอเอ็ดผู้ชายคนนั้นในหัว แต่ใจจริงเธอรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ร้าย ไม่ได้นิ่งอย่างที่แสดงออก เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเขารอเธออย่างไรเล่า เขาไม่ได้เร่งเธอหรือบอกให้เธอหยุดได้แล้ว เขาปล่อยให้เธอเล่น ให้เธอทำอะไรตามใจอยากโดยไม่บ่นเลยซักคำ คนใจร้ายที่ไหนเขาจะยอมกันโดยเฉพาะในอากาศที่หนาวแสนหนาวขนาดนี้ ยังไงก็ตามด้วยความหมันใส้นิดๆที่เธอรู้สึกต่อเขา หญิงสาวจึงตัดสินใจปั้นหิมะเป็นลูกกลมๆก่อนจะปาออกไปใส่ชายหนุ่มเต็มๆและหัวเราะชอบใจ

ผมที่เคยดำทั้งหัวมีสีขาวจางๆของหิมะเกาะอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ‘ผู้หญิงคนนี้กล้า!’ เขาคำรามในใจ เขาส่งสายตาคมไปหาหญิงสาว แต่ดูเหมือนความหน้าตาดุดันของเขาจะไม่ทำให้เธอรู้สึกกลัวแต่อย่างใดเพราะเสียงหัวเราะใสๆก็ยังคงดังก้องและไม่นานหิมะลูกที่สองก็ถูกเขวี้ยงมา แต่คราวนี้ชายหนุ่มหลบได้อย่างง่ายดาย

ชีว่าเห็นอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้พยายามโยนออกไปอีก โยนแล้วโยนอีก แต่เขาคนนั้นก็หลบได้หมด หญิงสาวโยนจนเหนื่อยหอบที่สุดแล้วหิมะก็โดนคนตรงหน้าไปแค่ลูกเดียว ด้วยความเหนื่อยหญิงสาวจึงนั่งลงไป ชายหนุ่มที่กระโดดไปมาเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้เมื่อเห็นเธอหมดฤทธิ์แล้ว “ไม่โยนต่อแล้ว?” เสียงทุ่มนิ่งดังขึ้น หญิงสาวเหลือบไปมองคนที่เดินมานั่งยองๆมองเธอ เสียงของเขาราวกับพูดแบบไม่รู้สึกอะไรแต่สายตาเขากลับแอบแฝงแววท้าทายส่งมาให้เธอ หญิงสาวส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่ไหวแล้ว แต่จริงๆมือของเธอเตรียมกัมกองหิมะมาปาใส่เขาเมื่อเขาเผลอเรียบร้อยแล้ว ทว่าก่อนที่เธอจะได้ทำมันชายตรงหน้ากลับยิ้มออกมา มันไม่กว้างมากแต่เธอเห็นมัน มันเป็นรอยยิ้มที่แถบมองไม่เห็นแต่ดูเหมาะกับใบหน้าเย็นชาของเขาอย่างเหลือเชื่อ มือที่ยกขึ้นมาปาชะงักกลางอากาศ ‘แย่แล้ว’ เธอคิดเพราะการค้างกลางอากาศทำให้ชายหนุ่มเห็นจะๆเลยว่าเธอจะทำอะไรเขา รอยยิ้มบางเบาจางหายไปพร้อมกับสายตาดุๆที่ส่งกลับมา หญิงสาวเห็นอย่างนั้นก็เบ้ปาก “ไม่เล่นแล้วก็ได้” เธอพูดทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับเลิกคิ้ว “ครั้งนี้ฉันพูดจริงๆนะคุณ”

“เจ้าควรเปลี่ยนวิธีพูด” ชายหนุ่มกล่าวย้ำสิ่งที่บอก

“โถ่จะให้ฉั เออข้าเปลี่ยนมันทันที่ได้ไงเล่า” หญิงสาวบ่น แต่ชายหนุ่มไม่ตอบเขาพูด “กลับ?” หญิงสาวพยักหน้าแล้วเดินนำเข้าไปทางปราสาท โดยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่เดินตามหลังนั้นกำลังเผยยิ้มที่หญิงสาวมองตาค้างเมื่อครู่อย่างชัดเจน

เนโรมองร่างบางตรงหน้าที่เดินจ้ำอ้าวไปที่ปราสาทในขณะที่เขาเดินตามแบบไม่เร่งรีบ ที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่หญิงสาวจะกำหิมะทำท่าจะปาใส่เขานั้น เขาเห็นตั้งแต่แรกที่เธอคิดจะทำ เขาเกือบหลุดขำเพราะความเจ้าเล่แบบเด็กๆของเธอแต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ กลัวหญิงสาวจะได้ใจ แค่นี้สายตาที่เขาเคยมั่นใจว่าทำให้คนทำตามได้เสมอก็ดูเหมือนจะเอาเธอไม่ค่อยอยู่แล้ว ถ้าเขาหลุดยิ้มหลุดหัวเราะออกไป คงบังคับอะไรเธอไม่ได้อีก ซึ่งแบบนั้นจะเป็นเรื่องเอามากๆเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา