วิมานสิตางศุ์

7.5

เขียนโดย กรุงสยาม

วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.38 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,437 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) หน้าที่จำเป็น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          พื้นที่ยาวอันเป็นแนวทางเดินปูด้วยพรมหนานุ่มสีน้ำเงินเข้มเบาสบายเวลาเหยียบย้ำรอบด้านของโซนผนังประจบจนประตูห้องนั้นห้องนี้ตกแต่งเหมือนกันไปทั่วทุกที่ด้วยเนื้อไม้เงางามสลับกับผิวปูนสีขาวสะอาดตา แสงไฟส่องผ่านรอบด้านให้ดูไม่มืดมิดเงียบสงบแม้มีบุคคลเดินเวียนสวนกันบ้างเป็นบางเวลา แต่มารยาทนั้นเป็นความสำคัญจึงไม่มีใครวี้ดว้ายกระตู้วู้กันยามอยู่ในสถานที่ราชการ..
 
ห้องขนาดใหญ่ส่องสว่างด้วยแสงสีขาวช่วยผ่อนคลาย
จากบรรยากาศอันตึงเครียด โดยรอบมีโต๊ะต่างๆรองรับบุคคล
ที่เกี่ยวข้องในต่างระดับกันออกไป ตรงกลางบริเวณด้านหน้า
เป็นแท่นเจรจาว่าด้วยเรื่องต่างๆนาๆตามลำดับ เก้าอี้ด้านบน
เป็นตำแหน่งสำหรับตุลาการที่จะให้ความยุติธรรมอย่างดีที่สุด
 
ไม่นานนักสองเท้าของบุคคลที่ใครๆต่างรอคอย
จึงก้าวออกมาจากประตูบานหนึ่ง ทุกคนในสถานที่นั้นจึงลุกขึ้นยืน
เพื่อแสดงการคารวะ ร่างสูงดูแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยเจ็ดสิบหก
ตรงเข้ามานั่งลงยังเก้าอี้รองรับหน้าแท่นโอ่อ่า
ที่มีศัพท์เรียกแทนกันว่าบัลลังก์..หญิงสาวเกล้าผมรวบตึง
ดูเหมาะสมกับภาวะหน้าที่ ชุดขลุ่ยสีดำถูกสวมอยู่บนตัวเธอ
บ่งบอกถึงตำแหน่งขั้นสูงสุด ณ สถานที่แห่งนี้
 
ฉันทิสา ฉัตรบวรโรจน์
 
หญิงสาวหน้าสวยที่มาพร้อมกับดวงตาอันแข็งขึง
ตัดผ่านด้วยสันดั้งโด่งๆดุจของมีคม ริมฝีปากได้รูป
รองรับกับใบหน้าที่คงทรงเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์
ผิวขาวระยิบระยับนัยน์ตามีความโศกปนออเซาะ
และดุดันเมื่อยามเรียกใช้..สายตาสุขุมกวาดมองไปรอบๆ
ต่อบุคคลทั้งหลายที่มารอขอความเป็นธรรมต่อเธอผู้รั้งตำแหน่งตุลาการผู้พิพากษา..
 
ฉันทิสามองตรงไปยังชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตมาก็ยังไม่ถึงครึ่งคน
ซึ่งตอนนี้ได้ตกอยู่ในสภาพผู้ต้องหาสวมชุดนักโทษ..
ดูแล้วไม่น่าใจร้ายไม่น่ามีพิษภัยหากมองผ่านแววตา
ผู้ตัดสินคดีความถอนหายใจเบาๆก่อนจะเริ่มต้นอ่านคำพิพากษา
ให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน...มาตราต่างๆถูกยกมาลำเลียงกันแสนซับซ้อน
ความผิดนาๆนับยากเกินต่อการลดหย่อนผ่อนผัน
 
“ ศาลขอตัดสิน... ”
 
เสียงเรียบเอ่ยขึ้นในคราวบรรทัดสุดท้าย
นำพาให้ทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลยตั้งใจรอฟัง
อย่างใจจดใจจ่อโดยเฉพาะนักโทษคนดังกล่าว
ฉันทิสาเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ต้องหาใจอำมหิต..
 
“ ประหารชีวิต นายมงคล พรมารดา โดยไม่มีการลดหย่อนโทษ ”
 
สถานที่เงียบจึงเกิดเสียงจากอาการเข่าอ่อนของผู้ที่ถูกลงโทษตามความยุติธรรม
 
“ ศาลขอปิดการพิจารณาคดี ”
 
ฉันทิสาพูดขึ้นอีกครั้งตามมาด้วยเสียงทุบเบาๆ
เป็นการเสร็จสิ้นก่อนจะลุกขึ้นและหันเดินออกประตูด้านหลังไปทันที
 
แม้จะเป็นการตัดสินในชีวิตคนๆหนึ่งแต่ด้วยเรื่องราว
ที่ก่อให้เกิดจำต้องมาร้องขอกันในวันนี้นั้น
คือการที่ลูกแท้ๆฆ่าแม่บังเกิดเกล้าอย่างร้ายทารุณ
จนทำให้เกิดเป็นข่าวคึกโครมผู้คนติดตามกันอย่างต่อเนื่อง
ฉันทิสาจึงไม่คิดเห็นอกใจต่อบุคคลนั้นๆ ตามเหตุและผล
เขาจึงต้องได้รับโทษในสิ่งที่ตนเองพึงกระทำอย่างสาสม..
 
 
ร่างสูงเดินออกจากลิฟท์ด้วยท่วงท่าที่กระฉับกระเฉง
หลังจากเสร็จภารกิจในหน้าที่ของเธอ ฉันทิสามุ่งตรงไปยังห้องทำงาน
เมื่อมาถึงจึงเอื้อมมือเปิดประตูออก..
 
“ ท่านคะ ”
 
ใบหน้าสวยหันมองตามเสียงเรียก หญิงข้าราชการคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
 
“ มีอะไรคะ? ”
 
“ มีโทรศัพท์จากทางบ้านของท่านติดต่อมาหลายครั้งแล้วค่ะ
ดิฉันเรียนไปว่าท่านกำลังตัดสินคดีอยู่ ทางบ้านฝากบอกให้ท่าน
ติดต่อกลับทันทีเมื่อสะดวกนะคะ ” ข้าราชการวัยกลางคนเอ่ยบอกชัดถ้อยชัดคำ
ฉันทิสาพยักหน้ารับรู้
 
“ ขอบคุณค่ะ ”
 
ผู้แจ้งข่าวเมื่อบอกเสร็จเธอจึงให้หลังออกไป ร่างสูงหยุดคิดสักครู่
ก่อนจะหันเดินเข้าประตูที่เปิดค้างไว้อยู่นาน..สองมือจัดการถอดชุดขลุ่ย
สีดำออกจากร่างอย่างไม่รีบร้อน หญิงสาวผู้พิพากษาถอยหลังนั่งลง
บนเก้าอี้รองรับพร้อมลมหายใจที่ถูกถอนออกเบาๆ ลำแขนซ้ายกอดก่ายเอวคอด
ที่รูปฐานสะสวยเชื่อมต่อด้วยสะโพกผายกำลังดี มองผ่านกระโปรงทรงรัด
เห็นรอยเรียวขาวเล็กๆพาดย้ายขึ้นไขว่ห้างนวลเนื้อเนียนละเอียดขาวผ่องกระจ่างใส
แขนขวาศอกตั้งอยู่กับพนักปลายนิ้วเริงรักขยับเคลื่อนไหวให้แค่พอคลายเหงา
 
ตั้งแต่วันนั้น.....ฉันทิสาก็ได้ย้ายมาทำงานอยู่ที่จังหวัดกระบี่
และใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอาจมีใครบ้างที่คอยมาทำให้เธอไม่เงียบเหงา
แต่ก็ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้นจวบจนกระทั่ง ฉวีวรรณ..
มารดาของเธอได้เสียชีวิตไปเมื่อห้าเดือนก่อน เธอจึงได้พบกับครอบครัวอีกครั้ง
ในรอบหลายปี แต่ถึงกระนั้นฉันทิสาก็ยังไม่ได้กลับไปอยู่กรุงเทพ
ที่เธอตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ก็ด้วยไม่ชอบใจนักถึงเหตุผลบางประการ
ระหว่างผู้เป็นแม่กับน้องชายสุดที่รักแต่ก็ไม่คิดข้องเกี่ยว
ฐากูรสามารถมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อมีแม่อยู่ด้วย
สายตาคมกริบเบนย้ายไปหากรอบรูปสี่เหลี่ยมขนาดกลาง
ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน เธอเชื่อว่าผู้เป็นแม่สามารถดูแลทุกอย่างได้
โดยไม่ติดขัดและเมื่อถึงเวลามารดานี่เองที่จะเป็นผู้เรียกเธอ
ให้กลับไปดูแลทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเช่นในวันนี้
คงถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องกลับไปพบกับทุกคน...
 
 
เวลา 20 : 23 นาที.....บ้านใหญ่สไตล์คอนเทมโพรารี่
ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนรอบบ้านใกล้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อันคึกครื้นไปด้วยเรือใหญ่สัญจรและแสงทองของพระจันทร์ที่ส่องผ่าน..
 
ห้องน้ำเรียบหรูและเงียบสงบแสงไฟอ่อนๆ
เปิดประดับประดาแค่พอริบหรี่..เงาเทียนในแก้วใบจิ๋ว
ส่องสว่างให้ดูอบอุ่นไปในยามค่ำคืนโบกสะบัดเบาๆ
อยู่รอบอ่างจากุซซี่สีขาวนวลที่กำลังผลิตน้ำใสสะอาด
ให้ดอกกุหลาบและอัญชันได้เคลื่อนไหวเสมือนนวลเบาไปในตัว
กระจกด้านหลังเปิดให้เห็นวิวสวยๆในเวลาพลบค่ำ
ของสะพานอันสวยงามที่สร้างตัดผ่านแม่น้ำสายใหญ่
 
 
เรียวขาขาวเนียนขยับเล็กน้อยอยู่ใต้ผิวน้ำ..ดวงหน้าได้รูป
แหงนเงยปลายจมูกโด่งเด่นสูดรับอากาศที่แสนผ่อนคลาย
เปลือกตาที่กำลังหลับใหลค่อยๆลืมขึ้น...ปรากฏแววตาสวยพริ๊ง
นัยน์นั้นสีน้ำตาลอ่อนขยับริมฝีปากบางเบาเมื่อฟื้นตื่นจากนิทรา
 
ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นยืนจากใต้ผิวน้ำและก้าวขาออกจากอ่างอันหอมกรุ่น
ไปด้วยกลิ่นกาย..มือเรียวเอื้อมหยิบเสื้อคลุมสีขาวเข้ามาสวมใส่
ผูกเชือกพร้อมๆกับเดินเข้าไปหาบานกระจกที่แสงไฟส่องสว่าง..
 
ใบหน้าทรงเรียวละอ่อนขาวผ่องสรีระเล็กๆเหมาะสมวัย
ดูดีมีเสน่ห์ไม่น้อยเมื่อยามจ้องมอง ริมฝีปากบางเบาแถมอมชมพูโดยไม่ต้องแต่งแต้ม
 
ปานคุณ ธนชานนท์ 
 
สาวน้อยวัยน่ารัก เธออยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาวคนเล็กของบ้านหลังนี้
เวลาก็ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่เธอก็ยังใจแป้วทุกครั้งไป
เมื่อนึกถึงฉวีวรรณ มารดาบุญธรรมผู้อบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูเธอมา
อย่างไม่ขาดตกบกพร่องฉุดเธอที่ชีวิตมาถึงทางตัน
เมื่อเสียพี่สาวไปอย่างไม่มีวันกลับให้ขึ้นมาจากภาวะอันหม่นหมอง
ใบหน้าเรียวก้มลงเล็กน้อยถอนหายใจเบาๆเมื่อรู้สึกสะอื้นจนจะมีน้ำตาไหลหยดลงมา
 
 
" ก๊อกๆ "
 
ร่างบางหันมองประตูที่พอดังขึ้นสักครู่ก็ค่อยๆแย้มเปิดเข้ามา..
ผู้หญิงอายุราวๆเลขสี่ฉีกยิ้มกว้างๆ
พร้อมหรี่ดวงตาผ่านแว่นทรงผู้ใหญ่คล้ายตำหนิเล็กๆน้อยๆ
 
" คุณเอย.. "
 
ปานคุณส่งยิ้มบางๆพร้อมเบนร่างหันมาหาหญิงรุ่นใหญ่
ที่เป็นเสมือนพี่เลี้ยงคอยดูแลเธอมาโดยตลอด..เธอชื่อนงนุชหรือลำลองว่าคุณล้อม
 
" คุณเอยอาบน้ำเกินเวลาที่กำหนดอีกแล้วนะคะ พึ่งจะหายป่วยแท้ๆ "
 
เสียงเบาๆที่ฟังดูแล้วจะออกไปทางใจดีเอ่ยพูด
 
" คุณล้อมจะตีเอยเหรอคะ " ริมฝีปากบางเผยยิ้มนิดหน่อยตอบกลับเสียงนิ่ม
 
" ล้อมไม่ตีคุณเอยหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นคุณวรรณล่ะก็ไม่แน่ "
 
นงนุชยิ้มบอกสองมือเอื้อมไปผูกเชือกเสื้อคลุมของปานคุณให้ดีกว่าเก่า
สาวน้อยหน้าซึมอีกครั้งเมื่อได้ยินนงนุชพูดถึงฉวีวรรณ
ผู้ดูแลเงยหน้าขึ้นมองและคลี่ยิ้มเยอะๆ
 
“ ไม่เอานะคะไม่เอา มาค่ะ ไปเปลี่ยนชุดดีกว่านะคะ ”
 
ปานคุณจึงเดินออกจากห้องน้ำตามคำชักชวน
ของคนบอก..นงนุชย้ายตำแหน่งไปหาเสื้อผ้าชุดนอนมาบริการ
 
“ เวลานอนเนี่ยคุณเอยต้องใส่ชุดให้อุ่นๆร่างกายเอาไว้นะคะ ”
 
ผู้ดูแลเอ่ยพูดไปเรื่อยตามประสาขณะหยิบนั่นเลือกนี่
อยู่บริเวณตู้เสื้อผ้าที่ถูกจัดแบ่งส่วนไว้คนละมุมของห้องนอน
 
“ หรือถ้าจะดีเนี่ย ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขาวยาวไปเลยก็จะดีมาก ”
 
ร่างบางตรงเข้ามานั่งลงบนเตียงนอนนุ่มๆและมองออก
ไปด้านนอกผ่านประตูกระจกที่สามารถเลื่อนเปิดออก
ไปยืนบริเวณระเบียงด้านนอกได้นิดหน่อย
 
“ หรือหากกลัวจะร้อนเสื้อไม่ต้องแขนยาวก็ได้นะคะ
อย่าไปเร่งแอร์เดี๋ยวเจ็บป่วยมาอีกล่ะแย่กันเลยเชียว ”
 
“ คุณล้อมบอกเอยทุกวันอยู่แล้วค่ะ ”
 
ปานคุณฟังเสียงนงนุชคอยบอกและย้ำเตือนเสมอๆในทุกๆเรื่อง
เสียจนเป็นเรื่องปกติ..พระจันทร์เต็มดวงสะท้อนเข้ามายังดวงตาของเธอ
แสงสว่างแผ่ออกให้เห็นปุยเมฆในยามค่ำคืน..กระต่ายน้อยในนั้น
จะเงียบเหงาเหมือนเธอในตอนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้...
 
“ ล้อมก็ต้องคอยเตือนคุณเอยน่ะสิคะ เพราะคุณเอยน่ะชอบเกเรไม่ฟังล้อมอยู่เรื่อยเลย ”
 
นงนุชเดินกลับเข้ามาหาปานคุณพร้อมกับเสื้อผ้าที่หยิบเตรียมมาให้
 
“ นี่ค่ะเสื้อผ้า ”
 
สาวน้อยเอื้อมรับชุดนอนมาจากมือของนงนุชที่ส่งให้
 
“ อีกไม่กี่วันเอยก็จะรับปริญญาแล้วนะคะ
คุณล้อมไปกับเอยด้วยนะไปถ่ายรูปกัน ”
 
“ ค่ะ วันสำคัญของคุณหนูเอยของล้อม
ยังไงล้อมก็ต้องไปแสดงความยินดีอยู่แล้วค่ะ ” นงนุชพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
 
“ ชู่..!” ปานคุณวางนิ้วชี้ลงบนปากนำพาให้ผู้ยืนฟังเลิกคิ้วแปลกใจ
 
“ อย่าเรียกเอยว่าคุณหนูเอยสิคะ
เอยโตแล้วนะฟังแล้วเหมือนเด็กยังไงก็ไม่รู้ ”
 
“ ค่า..คุณเอย เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะคะ ”
 
“ อ้อ?! ”
 
นงนุชบอกเสร็จเมื่อครู่ก็ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็วกกลับมาใหม่..ใบหน้าเรียวเงยมอง
 
“ มีอะไรเหรอคะ? ”
 
“ คุณไตรภพบอกว่าวันพรุ่งนี้
ให้คุณเอยกลับบ้านเร็วๆนะคะ เพราะว่าคุณภัทรเธอจะกลับมาแล้ว”
 
เมื่อบอกเสร็จนงนุชจึงเดินออกไป ปานคุณกลิ้งดวงตาคิดนิดหน่อย
เธอแอบตื่นเต้นไม่เบาก็ด้วยพี่สาวคนดังกล่าว
เธอยังไม่เคยได้พบหน้าจริงๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว...
 
 
เช้าวันใหม่.....
 
บริเวณริมกำแพงหลังบ้านประตูเล็กๆถูกเปิดออกช้าๆ..
ใบหน้าเรียวชะโงกออกมาดูถึงความสะดวก
สาวน้อยถักผมเปียก้างปลาในชุดนักศึกษาค่อยๆก้าวขา
เดินกลับเข้ามาจากด้านนอกพร้อมภาชนะใบใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ
ปานคุณรีบวิ่งตรงเข้าไปทางหลังบ้าน
หลังจากที่เธอได้แอบออกไปทำธุระบางอย่างมาตั้งแต่เช้าตรู่
 
 
ภาชนะใส่ข้าวถูกวางลงบนแท่นรองใกล้กับอ่างชำระล้าง
ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับ
เพื่อที่จะเดินออกแต่เธอหยุดกึก
เพราะตกใจนิดหน่อยที่หันไปเจอกับคุณผู้ดูแลพี่เลี้ยง
 
“ ไปไหนมาคะคุณเอย ล้อมตามหาซะทั่วบ้านเลยนะคะ ”
 
“ ไป.. ” ปานคุณยิ้มนึกหาคำแก้ตัว
 
“ ไปเลี้ยงปลาที่บ่อน้ำข้างๆมาอีกแล้วใช่มั้ยคะ ”
 
ปานคุณยิ้มหวาน
 
“ คุณเอย ล้อมบอกแล้วไงคะ
ว่าที่ตรงนั้นน่ะมันเป็นน้ำเน่าเสีย สกปรกจะตาย คุณเอย.. ”
 
“ ไม่เน่าไม่เสียแล้วค่ะเอยขอน้ำชีวภาพจากรุ่นพี่ที่มหาลัย
มาสาดใส่ในบ่อจนทั่วตอนนี้ก็หายแล้วด้วย ”
 
สาวน้อยอธิบายแทรกขึ้นด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างภูมิใจ
 
“ แต่ถึงยังไง... ”
 
นงนุชจะพูดต่อ เธอมักจะดุนั่นห้ามนี่เสียจนผู้ฟังชินคำ
ไม่ยอมโอนอ่อนคล้อยตามซะเท่าไหร่
 
“ นี่อาหารเช้าของเอยใช่มั้ยคะ ”
 
ร่างบางชี้นิ้วไปหาถาดในมือที่นงนุชถืออยู่อันประกอบไปด้วย
แซนด์วิชและน้ำส้มคั้นสีสด ปานคุณเอื้อมหยิบขนมปังชิ้นโต
ขึ้นมากัดหนึ่งคำตามด้วยน้ำส้มอย่างดีกระดกตามลงไป
นงนุชขยับปากพลางจะพูดเรื่องเก่าแต่ก็อยากจะดุเรื่องใหม่
ถึงกิริยาอันรีบๆรนๆตรงหน้าเสียจนสับสนไปหมด
 
“ ไปแล้วนะคะ ”
 
เสียงนิ่มเอ่ยบอกเมื่อวางแก้วลงตรงที่เดิม
พร้อมกับวิ่งออกจากครัวไปทันที
นงนุชหันมองตามหลังถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ
 
 
ปานคุณหยิบกระเป๋าและเอกสารรายงานต่างๆจากโต๊ะประจำที่นงนุชจัดวางเตรียมเอาไว้ให้รวมทั้งถุงพลาสติกใสที่บรรจุของกินอยู่ในนั้นด้วย เธอหันมองไปยังชั้นบนของบ้านเล็กน้อยด้วยคิดถึงบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายซึ่งไม่ได้พบกันมาเกือบเดือนแล้วทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกันแท้ๆ
 
ร่างบางถอนหายใจนิดหน่อยก่อนจะรีบเดินไปยังรถยนต์คันโก้ที่จอดรออยู่..ชายรุ่นใหญ่ที่กำลังปัดฝุ่นเช็ดถูรอบยานพาหนะรีบย้ายตำแหน่งมาเปิดประตูบริการ สาวน้อยส่งยิ้มหวานๆให้เป็นการทักทายในยามเช้า
 
“ ข้าวเหนียวหมูปิ้งค่ะลุงติ่ง ”
 
ปานคุณส่งถุงหูหิ้วในมือให้กับชายรุ่นใหญ่
เจ้าประจำในการบริการเป็นโชเฟอร์ให้กับเธอ
 
“ โห..ขอบคุณครับคุณหนูเอย ” ลุงติ่งนอบน้อมยิ้มแป้นสองมือรับถุงที่ว่ามาถือไว้
 
“ ชู่.. ”
 
สาวน้อยวางปลายนิ้วลงบนริมฝีปากและส่งเสียงเหมือนเคย
 
“ อ้อ ครับๆ จุๆ ”
 
ลุงติ่งทำท่าทางตามคนตรงหน้า
ปานคุณอมยิ้มเบาๆก่อนจะก้าวขาขึ้นยานพาหนะไปทันที
 
รถยนต์สีบอร์นเงินแล่นออกจากบ้านหลังใหญ่
ประจวบเหมาะกับยานพาหนะอีกคันที่กำลังเลี้ยวเข้าสู่ประตูต้อนรับ
ณ บ้านฉัตรบวรโรจน์ รถยนต์ประจำบ้านต่างกันด้วยสี
ส่วนทางกันช้าๆจากการชะลอตัวและผ่านเลยไปตามจุดมุ่งหมายของแต่ละคัน
 
เบนซ์คันดำตีโค้งวนไปทางซ้ายเพื่อเข้าจอดยังที่เดิมเป็นอันสุดระยะทาง
เรียวขายาวก้าวลงจากยานพาหนะที่มีคนเปิดประตูให้
พร้อมยืดตัวยืนขึ้นตรงอย่างไม่รีบร้อน สาวสวยสวมเสื้อเชิ้ตสีกรม
พับแขนคอเสื้อเปิดเห็นแผงลำคอดูน่าค้นหานุ่งทับ
ด้วยกางเกงเนื้อผ้าอย่างดีดำขลับรองเท้าหุ้มส้น
เป็นหนังสีเดียวกับกางเกงเน้นให้เห็นผิวเท้าขาวผ่อง
 
ร่างสูงรวบผมตึงดูมีเสน่ห์มาดมั่นเอื้อมมือถอดแว่นดำ
ที่สวมใส่ออกจากใบหน้าก่อนจะค่อยๆหันมองผ่านไหล่ซ้ายของเธอ
ไปหยุดยังประตูทางเข้าออกที่พึ่งผ่านมาเมื่อครู่
ดวงตาคมกริบกลิ้งขวาย้ายไปซ้ายและมองลงล่างคล้ายคำนึงพึงคิด..
 
“ ยินดีต้อนรับจ้ะหลานรัก ”
 
ใบหน้าสวยหันกลับมายังที่เดิมจึงพบกับไตรภพ..ผู้เป็นลุงของเธอนั่นเอง
ริมฝีปากสวยฉีกยิ้มส่งให้พร้อมยกมือขึ้นไหว้
ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อเดินเข้าสู่อ้อมกอดของญาติมิตร
 
ไตรภพยิ้มดีใจตามสไตล์บุรุษชายอารมณ์ดี
กระชับอ้อมแขนเน้นๆหนึ่งครั้งก่อนจะถอยออกมา
สองมือจับไปที่ต้นแขนของหลานสาวตน
บุคคลที่ทำหน้าที่สนองรับใช้หลายคน
เดินออกมาพร้อมหน้าพร้อมตาล้วนแล้วส่งยิ้มให้กับเจ้านายของพวกเขา
 
“ ลุงดีใจจริงๆ ที่ภัทรยอมกลับบ้านเสียที ” ไตรภพยิ้มกว้าง ฉันทิสายิ้มตอบ
 
“ ภัทรต้องกลับมาสิคะ สิ่งแรกที่ภัทรจะดูในห้องของลุงก็คือสาวๆในสต๊อก ”
 
“ โว้ย! ”
 
ไตรภพย้ายมือลงล้วงกระเป๋าทำท่าฟึดฟัด
เมื่อหลานรักติงเรื่องความเจ้าสำราญของตนเหมือนอย่างเคย
 
“ รู้น่ะว่าไม่ชอบ ฉันรู้ว่าแกมาใครจะเอามาเก็บไว้ที่นี่ ”
 
ฉันทิสาคลี่ยิ้มอีกครั้ง
 
“ สบายดีนะคะลุง ”
 
“ อือ ”
 
ไตรภพยักคิ้วพร้อมพยักหน้าขึ้นบุคลิกของเขาค่อนข้างสบายๆ
เมื่ออยู่ห่างจากเอกสารและการงานทั้งหลาย
 
“ แล้ว.. ”
 
“ แอ้!!! ”
 
ฉันทิสายังไม่ทันพูดจบก็เกิดเสียงดังๆ
แทรกขึ้นเสียก่อนสองลุงหลานจึงมองเข้าไปยังในบ้าน
 
“ หื่อ!! หื่อ!! ”
 
ไตรภพรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที..ใบหน้าสวยหันมองตาม..
เธอคุ้นเสียงนี้และจำได้เป็นอย่างดีแม้ไม่มีคำพูดใดๆ...
 
 
บริเวณมุมหนึ่งของบ้านจัดเป็นที่สำหรับรับประทานอาหาร
โต๊ะขนาดใหญ่และยาวมีเก้าอี้รองรับได้หลายที่นั่งด้วยกัน..
หัวโต๊ะอยู่ทางทิศเหนือของบ้านด้านหลังเป็นกระจก
เปิดให้เห็นสวนหญ้ารอบๆและสระว่ายน้ำใสๆ ถัดมาบริเวณความวุ่นวาย
ที่กำลังเกิดขึ้นใกล้ริมบันได หญิงสาวคนหนึ่งวัยช่วงกำลังศึกษา
กำลังปัดป้องด้วยวงแขนทั้งสองข้างจากแรงโทสะ
ของชายหนุ่ม..ที่พำนักอยู่บนวีลแชร์ระบบไฟฟ้า
 
กชกร..ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกเพื่อนห่างๆของไหมจันทร์หรือนับง่ายๆ
เธอคือหลานสาวของไหมจันทร์นั่นเอง ร่างน้อยในชุดนอนสายเดี่ยวพลิ้วไหว
ถูกทุบตีด้วยน้ำหนักมือของชายพิการซึ่งไม่แรงนักแต่ค่อนข้างชุลมุนพอควร
 
“ หื่อ!!..หื่อ!! ”
 
“ โอ๊ย! อะไรเนี่ย!! บ้าไปแล้วหรือไง!! ”
 
กชกรโวยวายลั่นแต่ก็เป็นเพราะเธอที่ชอบหาเรื่อง
คอยกระเซ้าล้อเลียนบุคคลมีปมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
แลบลิ้นปลิ้นตาทำเป็นเรื่องตลกดื้อดึงคอยแหย่
คอยแกล้งโดยไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของ..คนพิการ
 
 
ไตรภพวิ่งเข้ามาเห็นถึงความวุ่นวายและเอิกเกริกเสียงดัง
หยุดมองเพียงครู่ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาห้ามปราม
 
“ พอๆ พอได้แล้ว.. ” ชายวัยกลางคนเอ่ยพูดเสียงอ่อนโยนและใจเย็น
 
“ แอ้! หื่อหื่อ!! ” รถวีลแชร์ขยับไปมาตามแรงโยกย้ายของผู้นั่ง
 
“ โอ๊ย! หยุดนะ! เป็นบ้าหรือไง!!! ”
 
กชกรเสียงแจ๊นปลัดปล้องเนื้อตัวแถมยังถูกดึงแขนกระชากๆยกใหญ่
ไหมจันทร์วิ่งลงจากบันไดสีหน้าตื่นตระหนก
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงรีบปรี่เข้ามาช่วยห้ามอีกแรง
 
“ เจน!! แกทำอะไรของแกห่ะ! ”
 
“ โอ๊ยเจ็บ! นี่ป้าจะมาดึงฉันทำไมไปดึงคนป่วยของป้าโน้น..โอ๊ย! ”
 
หญิงสาวฟึดฟัดเสียอารมณ์อีกทั้งน้าเธอ
ก็แสนจะประคับประคองคนป่วยเสียยิ่งกว่าใคร
 
“ ปล่อยเถอะลูกปล่อย พอแล้วๆ ” ไตรภพพยายามบอกคล้ายเกลี้ยกล่อม
 
“ ไอ้บ้าเอ้ย!! ”
 
กชกรเผลอพูดออกมาเสียงดัง ไตรภพหันมองด้วยความไม่พอใจ
รวมทั้งไหมจันทร์ก็ด้วยแต่ก็ยังไม่เท่าคนถูกต่อว่า
กชกรถูกผลักออกไปจนร่างล้มลงดังตับ
 
“ หื่อ!!! / โอ๊ย!!! ”
 
บุคคลผู้ห้ามทั้งหลายจึงแยกออกห่างเพราะโดนกระแทกไปด้วย..
ภาพตรงหน้าจึงปรากฏให้เห็นร่างสูงของพี่สาว
ยืนมองน้องชายสุดที่รักด้วยแววตาแห่งความคิดถึงและปลอบโยน
 
ฐากูร..จากหลายปีที่ผ่านมาเขามีอาการดีขึ้นเล็กน้อย
ด้วยสองแขนสามารถขยับได้แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ชายหนุ่มผู้ซูบผอมหลังจากสิ้นมารดาไป
อีกทั้งก็ไม่ร่าเริงเหมือนแต่เก่าเนื่องจากเหมือนถูกกักขัง
ให้อยู่แต่บนห้องไม่ได้พบผู้คนและใครที่คอยมาสร้างรอยยิ้มให้..
 
“ พี่ภัทร!!! ”
 
เมื่อกชกรหันไปเห็นหญิงสาวที่เซล้มจนกระโปรงชุดนอนแหวกแทบโป๊
รีบลุกขึ้นยืนปรี่เข้าไปหาทันที นงนุชพึ่งเดินเร็วๆเข้ามาถึงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ
ไตรภพเบนหน้าและส่ายหัวหันมองหลานชายก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
 
“ พี่ภัทรมานานแล้วเหรอคะ
เจนดีใจม๊ากมากค่ะ เจนนับเวลารอตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะคะ ”
 
กชกรเกี่ยวแขนทำซบร่างสูงกิริยาดีอกดีใจจนออกนอกหน้า
พูดทีซบทีจนหญิงรับใช้ที่เดินตามเจ้านายมาพากันหมันไส้ไปทั้งสิ้น
 
ฉันทิสาไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่คนใกล้ตัวกำลังพร่ำพูด
เธอจ้องมองแววตาของสายใยที่ห่างไกลกันไปนานด้วยความคิดถึง
ฐากูรแน่นิ่งและเริ่มมีน้ำตาไหลหยดลงมา จากความอ้างว้างที่เคยมี
ค่อยๆจางไปเมื่อได้เห็นหน้าพี่สาวที่เคยเป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์
นงนุชคลี่ยิ้มคงมีความปิติที่เห็นพี่น้องได้พบหน้ากัน
 
ร่างสูงค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้น้องชายของเธอ
และย่อตัวลงตรงหน้ารถเข็นวีลแชร์ ฐากูรตาข้างทั้งน้ำตาจ้องมองคนตรงหน้าไม่กระพริบ
 
“ เล็ก... ”
 
ฉันทิสายิ้มเรียกน้องชาย ฐากูรขยับปากสั่นๆ
 
“ พี่กลับมาอยู่กับเล็กแล้วนะ ”
 
ฐากูรฉีกยิ้มได้ไม่มากนักเขาแสนดีใจกับคำบอกของพี่สาว
เพราะสิ่งนี้หมายความว่า..เขาจะไม่ต้องอ้างว้างอีกต่อไป
ชายหนุ่มอ้ามือออกอย่างไม่ค่อยถนัดนักพร้อมทั้งขยับตัว
หมายจะเข้าหา ฉันทิสาจึงคุกเข่าขึ้นและโน้มตัวเข้าไปกอด
ร่างน้องชายของเธอด้วยความรักและผูกพันอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มสะอึกสะอื้นไม่น้อยในเมื่อเขาเป็นคนอ่อนแอ
จึงดีใจเหลือเกินที่จะมีคนที่ต้องการมาคอยอยู่ดูแลตลอดไป...
 
 
เวลาต่อมา.....
 
เรื่องปกติของผู้ที่มีกิจการและทรัพย์สมบัติมากมาย
ที่เมื่อเสียชีวิตไปจึงมีการเปิดพินัยกรรมที่ได้ทำไว้
เพื่อแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน ฉวีวรรณมีธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ที่มีไตรภพนั่งเป็นรองประธานบริหารนั่นคือหมู่บ้านหลายต่อหลายแห่ง
เธอยกธุรกิจทั้งหมดนี้ให้กับน้องชายทั้งสิ้น ส่วนบ้านและที่ดิน
รวมทั้งเงินฝากธนาคารเครื่องเพชรต่างๆตกทอดเป็นของฉันทิสาโดยชอบธรรม
และแจ้งรายละเอียดในตอนท้ายว่าหากฐากูรประสงค์
หรือต้องการสิ่งใดอันเป็นการต้องใช้ทรัพย์
จึงให้ฉันทิสาเป็นคนพิจารณาและดูแลเองทั้งหมด
 
 
“ ลงชื่อ นางฉวีวรรณ ฉัตรบวรโรจน์.. ”
 
ทนายวัยผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวบอกในตอนจบ
ก่อนจะเก็บเอกสารแผ่นเดิมลงใส่ซองสีน้ำตาล
พร้อมกับยื่นส่งให้กับฉันทิสาอย่างมีมารยาท
 
ผู้พิพากษาสาวเอื้อมรับและส่งต่อให้กับไตรภพลุงของเธอ
ที่นั่งอยู่เคียงข้าง ภายในห้องรับแขกดูดีประยุกต์
ความเป็นไทยผสมอิตาเลียน ทุกคนนั่งฟังคำอ่านของทนายผู้อ่านพินัยกรรมจนเสร็จลุล่วง
 
“ แล้วภัทรจะออกไปไหนหรือเปล่า ” ไตรภพหันถาม
 
“ ไม่ค่ะ ภัทรว่าจะขึ้นไปหาเล็กซะหน่อย ”
 
“ คุณเล็กหลับค่ะ ” ไหมจันทร์รีบบอก
 
“ เอ่อคุณภัทรครับ ”
 
ทนายคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้าสวยละสายตาจากไหมจันทร์เพื่อหันมองผู้เรียก
 
“ คะ? ”
 
“ นี่เป็นจดหมายของคุณวรรณฝากไว้ให้คุณภัทรครับ ”
 
ร่างสูงมองซองสีฟ้าที่ผู้บอกส่งมาให้
นงนุชที่นั่งร่วมฟังการเปิดพินัยกรรมอยู่ด้วยยิ้มยินดี
เพราะสิ่งสุดท้ายจากฉวีวรรณนี้เธอได้รู้อยู่แล้ว
ฉันทิสารับมาหยุดมองเล็กน้อยและเห็นว่า
มารดาจ่าหน้าซองถึงเธอโดยเฉพาะ
สาวสวยพลิกด้านเพื่อดึงกระดาษด้านในออกมาเปิดอ่านอย่างไม่รีบร้อน
 
 
ภัทรลูกแม่ ถ้าลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ขอให้รู้ไว้ว่านี่คือความประสงค์ของแม่และน้อง
ลูกมีอีกคนที่ต้องดูแลอย่างดีที่สุดไม่แพ้ที่ต้องดูแลตาเล็ก เธอคือคนที่แม่รักและเอ็นดู
ตาเล็กก็รู้สึกเช่นนี้เช่นเดียวกัน ถ้ารักแม่รักน้องขอให้ทำตามอย่างที่แม่ขอ
ลูกจะสุขเหมือนอยู่บนวิมานเพราะเธอคือพระจันทร์ที่ส่องสว่างในใจคน
                                                             แม่...
 
เมื่ออ่านชื่อของคนที่แม่เธอขอไว้จนเสร็จสิ้นลงท้ายด้วยแม่
เป็นอะไรที่ไม่สามารถขัดข้อง ฉันทิสาเงยหน้าขึ้นพร้อมถอนหายใจเบาๆ
ทุกคนต่างจ้องมองมายังเธอด้วยความสงสัยด้วยกันทั้งนั้น สักครู่ริมฝีปากสวยเอ่ยขึ้น
 
“ ใครคือปานคุณ.. ”
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา