สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,319 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ผู้รุกรานจากอวกาศ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     สิ้นเสียงของมาโดกะ มือทั้งสองข้างของแองเจลอยด์ทุกคนก็มีแสงสว่างขึ้น พวกเธอรวบรวมพลังให้เข้มข้นที่สุด แล้วปล่อยมันใส่ผู้รุกรานจากอวกาศที่มีรูปร่างคล้ายกับมังกรไม่หยุดหย่อน การโจมตีเกิดการระเบิดที่รุนแรงมาก ผิวหนังที่ลุกไหม้จากพลังทำลายมหาศาลก่อควันโขมงขึ้น ในชั่วพริบตา ภายในม่านเถ้าก็มีแสงส่องขึ้น เหล่าแองเจลอยด์รีบแยกตัวไปในทันที

     นั่นคือสัญญาณเตือนก่อนที่ผู้รุกรานจากอวกาศจะโจมตี ลำแสงที่พ่นจากปากพลาดเป้าไปจากเซย์ริทุกคน ปะทะเข้ากับพื้นคอนกรีตแล้วลากต่อไปจนสุดเขตอีกด้านหนึ่งของเขตอยู่อาศัยที่ 101 กลายเป็นร่องตื้นๆ

     “พลาดเป้าไปนะ” นักบินของเครื่องบินรบอัลฟ่าเชสเซอร์ใช้จังหวะที่ผู้รุกรานจากอวกาศโผล่พ้นม่านเถ้าบินเข้าไปโจมตีต่อเนื่อง ปืนที่ติดตั้งอยู่ที่ปีกทั้งสองข้างปล่อยกระสุนแสงสายสั้นเข้าโจมตีผิวหนังอันแข็งแกร่งของมัน กระสุนไม่ได้ทำให้เกิดการระเบิดหรือม่านควัน แต่สร้างแรงปะทะมหาศาลลงไปตรงจุดที่กระสุนตกกระทบ

     ดูเหมือนว่าการโจมตีของอัลฟ่าเชสเซอร์จะทำความเสียหายได้ดีกว่าเสียอีก

     จังหวะที่ความสนใจของผู้รุกรานจากอวกาศมุ่งไปยังเครื่องบินรบที่บินผ่านหน้าไป มาโดกะก็นำเทอร์รารอยด์เข้าโจมตีในระยะประชิด เทอร์รารอยด์ทั้งหมดใช้ดาบที่เสริมความเร็วสูงฟันใส่ผิวหนังจนเป็นรอยแผล ไม่เปิดช่องโหว่ให้มันได้ตอบโต้คืนได้เลย จนพวกเธอกระจายตัวออกไปให้แองเจลอยด์เข้ามาโจมตีซ้ำอีกครั้ง

     การต่อสู้วนเวียนซ้ำไปในลักษณะนี้ ฝ่ายเซย์ริกำลังได้เปรียบอยู่พอสมควร

     “เมื่อไหร่มันจะจบ… เมื่อไหร่มันจะจบ เมื่อไหร่มันถึงจะจบลงสักที…”

     อีกด้านหนึ่ง แสงสุทินวิ่งไปหาที่ซ่อนตัวเข้าไปหลบอยู่หลังเศษคอนกรีตขนาดใหญ่ที่กระเด็นมาในตอนที่ผู้รุกรานจากอวกาศลงมาถึงพื้นดิน ได้ยินเสียงการต่อสู้ทั้งหมดด้วยตัวเองแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าหันกลับไปมองว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ดำเนินไปเช่นไร ได้แต่นั่งกอดเข่าด้วยร่างกายที่สั่นอย่างหวาดกลัวมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้ว

     สิ่งที่ทำให้เขารู้ว่ายังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นคือ เสียงจากการต่อสู้ที่ดังซ้ำเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง และการที่เขายังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ แต่เขาไม่ทันคิดเลยว่าสิ่งที่ได้ยิน กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจเป็นคนละอย่างกันก็ได้

     การโจมตีของแองเจลอยด์แต่ละคนมีพลังทำลายมากกว่าชิโอริ เกล็ดหุ้มผิวหนังของผู้รุกรานจากอวกาศเริ่มปริแตกอย่างช้าๆ แล้วมันคงทำให้ผู้รุกรานจากอวกาศเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา มันจึงมุ่งเน้นความสนใจไปที่แองเจลอยด์กลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้เป็นครั้งแรก แล้วอ้าปากพ่นลำแสงทำลายล้างใส่อย่างไม่รีรอ เพราะแองเจลอยด์ทั้งสองคนนั้นไม่เคยต่อสู้จริง เมื่อได้เจอกับสถานการณ์ที่กระชั้นชิดจึงตั้งตัวไม่ถูก แล้วตัดสินใจผิดพลาดออกมา

     “มันยิงมาแล้ว… ใช้ม่านป้องกันเร็วเข้า” แองเจลอยด์คนหนึ่งงเสนอ อีกคนรีบทำตามโดยไม่รอช้า

     “ไม่ได้นะ รีบหนีออกไปให้พ้นจากลำแสงนั่นเดี๋ยวนี้” มาโดกะร้องห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว

     รอบตัวแองเจลอยด์ทั้งสองคนมีแสงสว่างก่อเป็นผลึกแก้วห่อหุ้มพวกเธอเอาไว้ภายใน มันคือพลังที่เอาไว้ใช้เพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตีที่จะเข้าถึงตัว สำหรับเทอร์รารอยด์จะใช้ได้แค่เฉพาะจุดเล็กๆ เท่านั้น แต่มีพลังป้องกันแข็งแรงกว่ามาก ลำแสงจากผู้รุกรานจากอวกาศกลืนกินทั้งผลึกและร่างของแองเจลอยด์ทั้งสองคนเข้าไปพร้อมกัน มีเสียงกรีดร้องสั้นๆ ดังขึ้น แต่เมื่อลำแสงนั้นเคลื่อนผ่านไป ไม่เห็นพวกเธอทั้งสองคนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว พวกเธอตายทันที

     มาโดกะเปลี่ยนสีหน้าทันที หัวใจของเธอเจ็บปวดจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชาลดจำนวนไปอีกสองคน

     “ขอโทษนะ ฉันสอนพวกเธอไม่ดีพอ เป็นความผิดของฉันเอง” มาโดกะชี้ดาบไปที่ผู้รุกรานจากอวกาศด้วยสายตาโกรธแค้น “เทอร์รารอยด์ทุกคนตามฉันมา เราจะใช้กลยุทธ์ใหม่กัน!” ซึ่งเทอร์รารอยด์ทุกคน ยกเว้นฮิโรมิมีหางตากระตุก

     “กลยุทธ์ใหม่ แต่พวกเรายังไม่เคยเห็นผลในการต่อสู้จริงเลยนะคะ มันเสี่ยงเกินไป”

     “ถ้าไม่ใช้แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันไม่คุ้มเสี่ยง มีสองคนที่ต้องตายเพราะมัน ฉันจะให้มันรับผิดชอบเอง” มาโดกะกู่ร้องเป็นสัญญาณให้เทอร์รารอยด์ทุกคนเตรียมตัว เมื่อสิ้นสัญญาณ นอกจากฮิโรมิแล้ว มาโดกะก็นำเทอร์รารอยด์ทั้งหมดบุกเข้าไปหาผู้รุกรานจากอวกาศ ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นจนมองตามไม่ทัน

     ฮิโรมิมองตามพวกเธอไปด้วยความสงสัย แองเจลอยด์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ทั้งที่นั่นเป็นคราวที่พวกเธอจะสลับกันโจมตีผู้รุกรานจากอวกาศ แต่เพราะพวกมาโดกะอยู่ในแนวยิงจึงทำการโจมตีต่อไปไม่ได้ เมื่อเทอร์รารอยด์ทั้งห้าคนเข้าใกล้ได้มากพอแล้วก็กระจายตัวไปคนละทิศทาง ไปอยู่ข้างลำคอที่ยาวนับเมตรของผู้รุกรานจากอวกาศ

     “พวกนั้นคิดจะทำอะไร เข้าใกล้ผู้รุกรานจากอวกาศถึงขนาดนั้น บ้ากันไปแล้วเหรอ”

     จังหวะนั้นเอง เทอร์รารอยด์ทั้งหมดก็ชักดาบขึ้นมา แล้วเร่งพลังถึงขีดสุด ก่อนจะใช้ฟันลงไปที่ข้างลำคอแล้วเริ่มหมุนวนเป็นกงจักรด้วยความเร็วสูง ดาบที่ใส่พลังเกือบทั้งหมดลงไปเฉือนเข้าไปได้ลึกขึ้น เลือดสีเขียวสดกระเด็นจากปากแผลที่ลึกขึ้นทุกขณะ ต่อหน้าแองเจลอยด์ทุกคนที่ทึ่งกับการโจมตีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และนักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ที่เฝ้ามองจากบนท้องฟ้าแล้วติดใจกับความพยายามของเหล่าเทอร์รารอยด์จนหยุดโจมตีไปชั่วขณะ

     “เข้าใจแล้ว มาโดกะคิดจะฟันคอของมันให้หลุดออกมานี่เอง ถึงมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าทำให้หัวของมันขาดได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว” ฮิโรมิเผยยิ้มโดยไม่รู้ตัว “ถ้าเป็นอย่างนี้ พวกเราอาจมีโอกาสชนะได้เลยก็ได้”

     “ตอนนี้แหละ ฟันคอของมันให้ขาดไปเลย!” คำสั่งของมาโดกะส่งถึงเทอร์รารอยด์ทุกคน

     สิ้นเสียงตอบรับ เทอร์รารอยด์ทุกคนก็เร่งความเร็วครั้งสุดท้ายจนฟันเนื้อใต้ลำคอของผู้รุกรานจากอวกาศให้แยกจากกันได้สำเร็จ แต่ก็ยังเหลือกระดูกคออยู่ พวกเธอจึงแยกตัวจากตำแหน่ง โดยมาโดกะเป็นคนเดียวที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วย้อนกลับลงมาใช้ดาบที่ทรงพลังที่สุดฟันตัดลำคอในชั่วพริบตา เสียงร้องของผู้รุกรานจากอวกาศดังขึ้นทันทีที่คมดาบเฉือนผ่านลำคอของมัน การโจมตีครั้งนั้นคงสร้างบาดแผลถึงตายให้กับมันได้

     หรือว่า อาจใกล้เคียง แต่ไม่ได้ถึงตายจริงๆ

     “เป็นยังไงล่ะ กลยุทธ์ของฉันใช้ได้ผลจริงๆ ที่เหลือก็แค่รอดู… อะไรน่ะ!” มาโดกะที่ไปรวมตัวกับเทอร์รารอยด์ที่ถอยห่างจากมันกลับต้องร้องอย่างแตกตื่น ไม่ว่าจะรอนานสักเท่าไหร่ ศีรษะของผู้รุกรานจากอวกาศก็ไม่ยอมตกลงมาที่พื้น มันกลับติดแน่นอยู่ที่เดิม อย่างกับว่าดาบของเธอฟันพลาด แต่มันเป็นไปไม่ได้ มาโดกะเล็งเอาไว้ดีแล้ว และมาโดกะก็มีพลังมากที่สุดในที่นี่ตอนนี้แล้ว ไม่มีทางเลยที่ดาบของเธอจะฟันศีรษะในจุดที่เหลือแค่กระดูกคอไม่ขาด

     แต่เมื่อมองไปที่ผู้รุกรานจากอวกาศให้ดี เธอก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น นั่นเพราะบาดแผลที่พวกเธอทำเอาไว้กับมันไม่มีอยู่อีกแล้ว แผลที่ถูกฟันย้ำรอยเดิมหลายต่อหลายครั้งสมานตัวอย่างรวดเร็ว แค่ช่วงเวลาที่เธอผละขึ้นไปเร่งความเร็วฟันลงมาก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองแล้ว จริงอยู่ที่ผู้รุกรานจากอวกาศฟื้นฟูบาดแผลที่เกิดขึ้นได้ แต่เธอยังไม่เคยเห็นผู้รุกรานจากอวกาศที่รักษาบาดแผลได้เร็วเท่านี้มาก่อน และนั่นทำให้กลยุทธ์ใหม่ของเธอล้มเหลว

     “เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นตัวก่อนหน้านี้ มันน่าจะใช้ได้ผลไม่ใช่เหรอ หรือว่า…” ดวงตาของมาโดกะเบิกกว้าง

     “ใช่จริงเหรอ เป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้มาตลอดแล้วนี่นา” นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ที่ตะลึงกับภาพที่เห็นเช่นกันลืมตัวไปชั่วขณะ “เป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าพวกเราจะพัฒนาตัวเองไปมากแค่ไหน ผู้รุกรานจากอวกาศก็ยิ่งพัฒนาตัวเองตามพวกเราไปด้วยเสมอ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”

     “เอาจริงเหรอเนี่ย ถ้ามันทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะโจมตีไปเท่าไหร่ มันก็ฟื้นฟูตัวเองได้เรื่อยๆ อยู่ดีน่ะสิ” เป็นฮิโรมิที่เริ่มวิตก เธอก็เคยเข้าร่วมในการต่อสู้มาก่อน แต่ในครั้งที่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง เธอกลับตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เสียแล้ว

     “เรื่องอย่างนั้น มันจะเป็นจริงได้ยังไงกัน” เทอร์รารอยด์คนหนึ่งที่เห็นผลงานของตัวเองสูญเปล่ากัดฟันแน่น แล้วพุ่งเข้าไปหาผู้รุกรานจากอวกาศด้วยความเร็วสูงสุด โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของมาโดกะ

     “อย่าบุกเข้าไปคนเดียว เธอต่อสู้กับมันไม่ไหวหรอก”

     แต่เธอก็ไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เธอกำลังคิดอยู่ในตอนนี้คือ ต้องจัดการผู้รุกรานจากอวกาศโดยเร็วที่สุด คมดาบสีแดงของเธอถูกเร่งพลังมากขึ้น ก่อนจะใช้ฟันเข้าที่ลำคอของมังกรยักษ์ไปหนึ่งแผล เกิดสะเก็ดไฟขึ้นจากความร้อนของดาบ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่รอยถลอกเล็กๆ ที่ผิวของมันเท่านั้น ร่างของเธอที่กำลังจะเปลี่ยนท่ากลางอากาศกลับลอยไปคนละทาง เพราะหางขนาดใหญ่ที่ยกขึ้นฟาดถูกตัวเธอเข้าพอดีนั่นเอง

     ผู้รุกรานจากอวกาศมีน้ำหนักในหน่วยตัน เมื่อถูกฟาดเข้าด้วยน้ำหนักขนาดนั้นที่ความเร็วตอนเคลื่อนไหวเท่ากับเสียง มันกลายเป็นการเจ็บปวดที่ร้ายแรงมาก เทอร์รารอยด์ที่ถูกฟาดกระเด็นตกลงไปที่พื้นดิน ก่อนจะกระเด็นกระดอนไปเป็นระยะทางไกลมาก ต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยังประเมินสถานการณ์ไม่ถูก

     “บอกแล้วไงเล่า” มาโดกะมีสายตาที่โกรธแค้นยิ่งขึ้น เธอเริ่มระงับตัวเองไม่อยู่ “ต่อไปนี้ โจมตีเฉพาะตอนที่ฉันสั่งเท่านั้น อย่าทำอะไรโดยพลการอีก ฉันบอกตั้งแต่อยู่ในสถานีวิจัยแล้วใช่ไหม เพราะฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นยังไงล่ะ” แล้วการโจมตีราวสายฝนก็กระหน่ำใส่ผู้รุกรานจากอวกาศเป็นจังหวะ โดยที่ขณะนั้น กำลังใจของเซย์ริที่สูญเสียพรรคพวกไปถึงสามคนในเวลาไล่เลี่ยกันลดต่ำลงอย่างมาก

     ส่วนเธอที่ถูกฟาดลอยกระเด็นไป ร่างของเธอหยุดอยู่ห่างจากผู้รุกรานจากอวกาศไกลนับร้อยเมตร แรงกระแทกที่ได้รับมากเกินกว่าที่ร่างกายของเด็กมัธยมต้นจะรับเอาไว้ได้ แล้วในจังหวะสุดท้ายก่อนที่เธอจะหยุด มีเสียงร้องของชายหนุ่มดังขึ้น ความเจ็บปวดทำให้เธอไม่มีแรงจะหันไปมอง แต่ด้วยแรงตกใจทำให้ชายหนุ่มคนนั้นมองมาที่เธอเอง

     “เส้นผมสีแดง ตัวเล็กขนาดนี้… เธอเป็นเซย์ริเหมือนกับฮิโรมิเหรอ” แสงสุทินเอ่ยทักอย่างหวาดกลัว

     นั่นเพราะนอกจากขาทั้งสองข้าง ทั่วร่างของเทอร์รารอยด์คนนั้นโชกเลือดอย่างน่าสยดสยอง ยิ่งเธอพยายามยื่นมือไปหาแสงสุทินก็ยิ่งทำให้เขาตกใจเข้าไปใหญ่ ลมหายใจรวยรินต้องการสิ่อสารบางอย่างกับเขา แล้วเธอก็เอ่ยคำพูดด้วยเสียงอันสั่นเทาออกมา แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่แสงสุทินคิดว่าจะได้ยินโดยสิ้นเชิง

     “มนุษย์เหรอ… ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่” เธอกล่าวทั้งน้ำตา “ได้โปรด อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ…”

     เสียงของเธอหยุดไป ความพยายามโหยหาอากาศก็จบสิ้นในตอนนั้นเอง เซย์ริที่เพิ่งเข้าต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศอย่างบ้าบิ่นจบชีวิตลงในเวลาอันสั้น มันทำให้เขานึกถึงตัวเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน ทั้งในความคิดของตัวเองและอดีตที่เขาเคยเจอกับมันก่อน แต่สิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าก็ยังไม่จบแค่นั้น ตอนที่เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปดูศพของเธอ ร่างกายที่ไร้ลมหายใจก็มีแสงสว่างขึ้นมาตรงกลางหน้าอก ก่อนจะลุกลามไปทั่วทั้งตัว แล้วสลายเป็นละอองแสงล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้ม

     ไม่มีอะไรเหลืออยู่ตรงนั้นเลย กระทั่งรอยเลือดก็หายไปด้วยเช่นกัน

     ภาพทุกอย่างราวกับความฝัน แต่นี่ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน แสงสุทินยังมีสติดี แต่ก็ใกล้จะสติแตกเข้าไปทุกทีแล้ว ขาทั้งสองอ่อนแรงล้มลง อาหารกลางวันที่เพิ่งกินไปเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนดันตัวขึ้นมาที่ลำคอ ก่อนจะถูกปล่อยลงที่พื้นตรงนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นคนตายต่อหน้า แต่มันกลับน่าสยดสยองยิ่งกว่าเก่า ยิ่งเกิดขึ้นกับเซยืริที่แข็งแกร่งกว่าเขาจนเทียบกันไม่ได้ มันก็ทำให้สติของแสงสุทินหลุดลอยไปในพริบตา

     แล้วในขณะเดียวกัน ศพที่ 4 ก็ถูกเซ่นสังเวยให้กับความกราดเกรี้ยวของผู้รุกรานจากอวกาศ

     “ตายกันเร็วขนาดนี้ แล้วพวกเราจะฝึกกันแทบตายไปเพื่ออะไรกัน” สายตาของมาโดกะสลดลง เธอปล่อยมือราบข้างลำตัว โดยมือข้างนั้นเพิ่งจะยกขึ้นออกคำสั่งโจมตีจนถึงเมื่อสักครู่นี้เอง “คิดอยู่แล้ว ก็คิดเอาไว้ตั้งนานแล้วล่ะ ให้ฉันเป็นคนสั่งการโจมตีของพวกเซย์ริ มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ”

     “มาโดกะ ตั้งสติหน่อยสิ” ฮิโรมิเรียกชื่อของเธอ ในขณะที่สถานการณ์ยิ่งแย่ลงทุกขณะ

     ความตายของเซย์ริถึง 4 ชีวิตส่งผลร้ายแรงต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งหนึ่งในนั้นเป็นเซย์ริร่างวิวัฒนาการระดับสอง แต่กลับจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย ขวัญกำลังใจที่ถดถอยลงอย่างมากทำให้พวกเธอเริ่มไม่รับคำสั่งของเธอ แองเจลอยด์โจมตีเบาลง เทอร์รารอยด์ไม่กล้าเข้าต่อสู้จประชิดตัว ความได้เปรียบที่ได้จากการโจมตีประสานกันระหว่างเซย์ริกับเครื่องบินรบจึงเสียไป กลายเป็นว่ามีเพียงอัลฟ่าเชสเซอร์ที่ยังรักษาจังหวะโจมตีของตัวเองเอาไว้ได้ ผู้รุกรานจากอวกาศที่มีเวลาตั้งตัวมากขึ้นจึงเริ่มเป็นฝ่ายตอบโต้บ้าง และในคราวนี้ เหล่าเซย์ริก็แตกกระเจิงเป็นตัวใครตัวมัน

     “พวกเธออย่าแตกแถว โจมตีเข้าไปตามที่เคยทำมาทั้งหมดสิ ไม่อย่างนั้น พวกเราจะไม่มีทางชนะ…” มาโดกะเห็นความล้มเหลวในหน้าที่ของตัวเองเต็มสองตา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเซย์ริเหล่านั้นไม่ได้สนใจคำสั่งของเธอแล้ว สิ่งเดียวที่ยังรั้งเซย์ริเหล่านั้นเอาไว้ที่เขตอยู่อาศัยที่ 101 คือบทลงโทษขั้นร้ายแรงที่สุดหากพวกเธอหลบหนีไปจากการต่อสู้ แต่ก็มีหลายคนที่พร้อมจะฝ่าฝืนข้อห้ามนั้น ถ้ามันจะทำให้พวกเธอมีชีวิตรอดอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย

     มาโดกะก้มมองดาบที่ถืออยู่ เธอรู้ดีว่าต้องทำอะไรกับมัน ถึงมันจะขัดกับความตั้งใจแต่แรกของเธอก็ตาม

     “หรือว่า… ฉันควรจะลงมือด้วยตัวเองดีนะ” มาโดกะเขม่นสายตาใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เธอประทับดาบใหญ่ขึ้นเหนือบ่า แล้วย่อตัวเตรียมกระโจนเข้าไปหยุดผู้รุกรานจากอวกาศที่ไล่ตามเซย์ริคนหนึ่งเพื่อที่จะกำจัดทิ้งเป็นคนที่ 5

     แต่แล้ว แสงสว่างที่พุ่งเข้ามาจากทางขวาก็ซัดเข้าที่ใบหน้าของผู้รุกรานจากอวกาศ การโจมตีนั้นแทบจะสะกิดผิวของมันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผู้รุกรานจากอวกาศก็หยุดเคลื่อนไหวทำให้เซย์ริที่ถูกมันไล่ตามรอดตัวไปได้ แล้วเหลือบตามองไปยังทิศทางที่การโจมตีพุ่งเข้ามา เมื่อฮิโรมิมองตามไปก็เห็นเงาคนยืนอยู่ห่างออกไปบนพื้นดิน ด้วยการมองเห็นที่กว้างไกลจึงมองเห็นรูปร่างของคนที่โจมตีเข้ามาได้อย่างชัดเจน เธอเป็นเด็กสาวที่สูงกว่าเธอแค่นิดเดียว มีเส้นผมสีฟ้ายาวถึงกลางหลัง และมีสีหน้าไม่ดีเอามากๆ

     “อย่าแตะต้อง… เด็กพวกนั้นไปมากกว่านี้นะ”

     เธอที่หายใจหอบเอ่ยเสียงเบา แน่นอนว่าผู้รุกรานจากอวกาศไม่ได้ยินสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารกับมัน ยิ่งเทียบกับปริมาณเลือดที่ไหลอาบอยู่ตรงเอวข้างซ้ายที่ย้อมเสื้อของเธอเป็นสีแดงไปครึ่งตัว เธอพร้อมจะหมดสติไปเมื่อไหร่ก็ได้ การโจมตีระยะไกลเมื่อครู่นี้คือความพยายามมากที่สุดที่เธอทำได้ในขณะนั้นแล้ว

     เมื่อผู้รุกรานจากอวกาศเลิกสนใจเซย์ริ การโจมตีของอัลฟ่าเชสเซอร์ก็เบี่ยงเบนความสนใจของมันไปจากพวกเธอ แล้วเครื่องบินรบทั้ง 5 ลำก็เข้าต่อสู้กับมันตามลำพัง โดยใช้จังหวะนี้เป็นช่วงให้พวกเซย์ริได้พักจากสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วกลับมาโจมตีประสานกำลังกับพวกเขาได้อีกครั้ง โดยมีสายตาของนักบินที่เฝ้ามองเหล่าเซย์ริอยู่จากหน้าต่างเครื่องบิน

     “รีบฟื้นจังหวะกลับมาให้ได้เร็วๆ เข้า พวกเรายื้อมันเอาไว้ไม่ได้นานหรอกนะ”

     แล้วเสียงปะทุของกระสุนพลาสม่าก็เกิดขึ้นที่ผิวของผู้รุกรานจากอวกาศนัดแล้วนัดเล่า ฮิโรมิจึงใช้จังหวะนี้ปลีกตัวไปหาสิ่งที่เธอมองเห็นในตอนแรก เมื่อเข้าไปถึงตัวเด็กสาวคนนั้นได้แล้ว เธอก็ถอนหายใจอย่างหัวเสีย

     “ต้องให้ฉันพูดสักกี่ครั้งถึงจะเข้าใจสักที” ฮิโรมิพูด “ถ้าเธอรู้ตัวเองว่าอ่อนแอเกินจะต่อสู้ ฉันคิดว่าหนีไปซะยังจะมีประโยชน์กว่าเข้ามายุ่งให้เป็นภาระของพวกเราตั้งเยอะ ขอถามเธอเลยนะ คิดยังไงถึงอยากจะเข้าร่วมการต่อสู้ล่ะ”

     “ฉันไม่รู้” ชิโอริตอบ “ฉันคิดแค่… ไม่อยากเห็นเด็กพวกนั้นเป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

     “เธอจะไปสนใจอะไร ในเมื่อเธอก็เอาแต่หลบซ่อนมาตั้งสองปี มีเด็กที่เธอพูดถึงไม่รู้กี่ร้อยคนแล้วที่ต้องเป็นอะไรอย่างนี้ในช่วงที่ผ่านมา ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้เอาตอนนี้ล่ะ หรือเพราะว่าเธอกำลังจะไปที่สถานีวิจัยเลยคิดจะทำผลงานเพื่อให้ได้ลดหย่อนโทษ แต่สิ่งที่เธอทำมันเกือบจะทำให้พวกเราต้องเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกนะ เธอรับผิดชอบไหวไหมล่ะ”

     “ถ้าอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พอจะได้ไหมล่ะ”

     ชิโอริหลับตาลง พลันปรากฏส่วนของผิวหนังแข็งงอกขึ้นมาปิดส่วนสำคัญของร่างกายโดยมีรูปร่างคล้ายชุดเกราะเบา ชุดเกราะเหล่านั้นปิดทับเสื้อผ้าเดิมของเธอ กลายเป็นเสื้อเกราะ เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะเอวในรูปกระโปรงสั้นและเกราะหน้าแข้งที่ออกแบบง่ายๆ ไร้ลวดลาย ภายใต้สวมทับด้วยชุดเดรสสีขาวไร้แขนเสื้อที่มีชายยาวเลยหัวเข่า แล้วชุดเกราะก็เปลี่ยนสีจากสีขาวน้ำผึ้งกลายเป็นสีฟ้าเงิน บาดแผลใหญ่ถูกชุดเกราะนั้นเชื่อมให้ติดกัน ไม่มีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว

     นั่นคืออาภรณ์เทพธิดา สัญลักษณ์ที่บอกว่าเซย์ริคนนั้นพร้อมจะต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด แต่หลังจากที่สวมอาภรณ์เทพธิดาเสร็จแล้ว เรี่ยวแรงสุดท้ายของชิโอริก็หมดลง เธอหายใจแรงมากพร้อมกับผิวหนังที่ซีดเผือด ปริมาณเลือดที่เสียไปนั้นเกินขีดจำกัดของร่างกายแล้ว ฮิโรมิเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เลือกที่จะไม่สนใจเท่านั้น

     “แค่สวมอาภรณ์เทพธิดาก็ใช้แรงหมดแล้วเหรอ ถึงได้บอกว่าต่อให้เธออยู่ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ตอนนี้คุณแสงสุทินอยู่ที่ไหน เธอรีบพามนุษย์คนนั้นหนีไปซะ ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกฉันเอง ถึงจะเหลือแค่ฉันกับมาโดกะที่ยังต่อสู้ได้อยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่ถอยอยู่แล้ว เพราะฉันไม่เหมือนกับเธอ” ฮิโรมิเกร็งสายตาเป็นการบังคับ ทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งจะสวมชุดเกราะอาภรณ์เทพธิดาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และยังมีความสวยงามราวกับนางฟ้าตัวจริงก็ตาม

     แล้วทันใดนั้นเอง เสียงคำรามจากข้างหลังก็ดังขึ้น ผู้รุกรานจากอวกาศที่สนใจอัลฟ่าเชสเซอร์มีความเคลื่อนไหวแปลกไป มันเลิกสนใจเครื่องบินรบที่แทบจะทำอะไรมันไม่ได้ ลำตัวที่ยาวถึง 50 เมตรมีการขยับ ผิวหนังที่เป็นเกล็ดแข็งขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นแผ่นหนังกว้างที่สานเป็นพังผืด ทันใดนั้น ร่างกายที่ใหญ่โตอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าใหญ่โตขึ้นไปอีก ผิวหนังส่วนที่เปลี่ยนรูปร่างกางต้านกระแสลมจนรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะลอยขึ้นจากพื้น

     แต่เปล่าเลย มันกำลังลอยขึ้นจริงๆ ต่างหาก

     “อะไรน่ะ” ฮิโรมิหลุดอุทาน ขณะที่ชิโอริตาลายมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเดาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

     “มันคิดจะทำอะไร” นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ที่เห็นความเคลื่อนไหวนั้นรู้สึกสงสัย “หรือว่า มันคิดจะบินไปที่เขตอยู่อาศัยแห่งอื่น อย่างนี้ไม่ได้การแล้ว” เขาติดต่อไปยังศูนย์บัญชาการที่สถานีวิจัยเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วระดมโจมตีเข้าไปที่ปีกให้ผู้รุกรานจากอวกาศเสียหลักตกลงมา แต่ความพยายามก็ล้มเหลว ในเมื่อการโจมตีของพวกเขาแทบเขยื้อนปีกของมันไม่ได้เลย

     พวกเซย์ริที่รู้ตัวแล้วก็เริ่มโจมตีด้วยเช่นกัน แต่ผู้รุกรานจากอวกาศในตอนนี้น่ากลัวเกินไป พวกเธอไม่กล้าโจมตีเข้าไปมากนัก เพราะทุกคนต่างได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เข้าไปต่อสู้กับมันอย่างกล้าหาญ มาโดกะเฝ้ามองการจากไปของมันอยู่ที่พื้นดิน แล้วหันมองความใจเสาะของเซย์ริใต้การควบคุมของเธอ

     “อย่างนี้มันแย่จริงๆ แล้วนะ” ฮิโรมิกำหมัดแน่น

     “เขตอยู่อาศัยที่ได้รับสัญญาณเตือนภัยมีแค่ 101 เท่านั้น เพราะแต่ละแห่งตั้งอยู่ห่างกันมาก ถ้ามีผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวขึ้นที่ไหน ที่อื่นก็ไม่จำเป็นต้องอพยพผู้คนลงไปใต้ดิน แต่ถ้ามีผู้รุกรานจากอวกาศหลุดรอดไปได้ เขตอยู่อาศัยแห่งอื่นที่มันมุ่งหน้าไปจะต้องกลายเป็นนรกแน่” หัวหน้าชุดบินอัลฟ่าเชสเซอร์พูดกับตัวเอง แล้วออกคำสั่งโจมตีเป็นระยะ

     “ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้น มนุษย์ในเขตอยู่อาศัยอื่นจะโดนสังหารหมู่” มาโดกะก้มมองดาบของตัวเองอีกครั้ง มันเปล่งแสงสีน้ำตาลอยู่กลางความมืดของท้องฟ้าเมฆครึ้ม ผู้รุกรานจากอวกาศมีความสูง 20 เมตร มีลำตัวยาว 50 เมตร ไม่มีปัจจัยไหนที่ทำให้คิดว่าการโจมตีที่พุ่งเข้าไปเป็นเส้นตรงจะพลาดเป้าได้เลย

     เธอตัดสินใจทิ้งหน้าที่มอบหมายคำสั่ง แล้วเป็นคนลงมือทำเสียเอง แต่ว่า…

     “แกอยู่ที่นี่ให้พวกเราจัดการนั่นแหละดีแล้ว!” เส้นสีแดงเข้มลากผ่านอากาศขึ้นไปหามังกรที่กำลังเปลี่ยนเส้นทาง เสียงร้องของเด็กผู้หญิงที่คุ้นหูของมาโดกะมากดังขึ้น ขณะที่ดาบแสงสีแดงเข้มเปล่งแสงสว่างจ้าอยู่ในมือของเซย์ริที่อดทนต่อไปไม่ไหว แล้วบุกเข้าหาศัตรูโดยไม่รอคำสั่งจากใครทั้งสิ้น

     ฮิโรมิทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยผู้รุกรานจากอวกาศหนีไปได้ โทษที่จะได้รับคงหักล้างความดีความชอบที่พาตัวชิโอริกับแสงสุทินกลับไปที่สถานีวิจัยจนหมด เธอเร่งความเร็วขึ้นไปถึงความเร็วมัค 4 แล้วหักศอกเข้าไปหาอวัยวะที่ช่วยให้ผู้รุกรานจากอวกาศลอยตัวได้กลางอากาศ ก่อนจะใช้ดาบแสงที่เร่งพลังสูงสุดฟันเข้าไป คมดาบส่งเสียงร้องเมื่อกรีดลงไปในพังผืดปีกแข็งได้บางส่วน เธอเร่งความเร็วขึ้นไปอีกจนปลายดาบโผล่พ้นอีกด้านหนึ่งของปีก แล้วแล่นเข้าไปที่ปีกอีกข้างต่อทันที ทำให้ปีกสองข้างของผู้รุกรานจากอวกาศขาดสะบั้นในพริบตา แล้วร่วงกลับลงไปที่พื้นดิน ต่อหน้าต่อตาพวกเซย์ริที่ตกตะลึงในความสามารถของฮิโรมิ

     “เสร็จฉันล่ะ” ฮิโรมิวกกลับลงไป แล้วใช้ดาบฟันใส่ผู้รุกรานจากอวกาศขณะที่ยังร่วงลงไป จนกระทั่งโหม่งโลกอย่างแรง แรงกระแทกทำให้มันหยุดเคลื่อนไหว เป็นจังหวะให้ฮิโรมิเข้าโจมตีได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะถูกสวนคืน คมดาบที่เฉือนผิวหนังด้วยความเร็วเหนือเสียงทำให้เศษผิวหนังและเลือดของมันกระเด็นไปทั่ว

     ผ่านไปได้พักหนึ่ง ผู้รุกรานจากอวกาศเริ่มขยับตัวได้อีกครั้ง มันพ่นลำแสงจนต้องแยกตัวออกไป แต่เธอใช้โอกาสนั้นถอยห่างแล้วเร่งความเร็วสูงขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุดที่มัค 8 สายตาของทุกคนมองไม่เห็นแม้แต่แนวการเคลื่อนที่ของเธอ แล้วคมดาบที่ตวัดด้วยความเร็วสูงสุดก็ฟันเข้าที่ใบหน้าของมังกร ผิวหนังอันแข็งแกร่งทนการโจมตีที่ความเร็วระดับนั้นไม่ไหวจึงแตกเป็นชิ้นๆ มีเนื้อและเลือดหลุดมาตามเศษผิวหนังนั้นด้วย เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดได้ยินไปถึงอีกฟากหนึ่งของเขตอยู่อาศัย ตามมาด้วยการโจมตีเป็นชุดที่เริ่มกะเทาะผิวหนังเกราะไปทีละส่วน

     “สุดยอดไปเลย” เหล่าเซย์ริต่างชื่นชมในความสามารถของฮิโรมิ “สมแล้วที่เป็นเทอร์รารอยด์ที่แข็งแกร่งที่สุด ต่างจากพวกเราลิบลับเลย”

     “ไม่ใช่หรอก” มาโดกะมีสีหน้าเคร่งเครียด เช่นเดียวกับชิโอริที่แสดงความกังวลอย่างชัดเจน

     ไม่มีใครรู้ว่าการเปลี่ยนทิศทางต่อเนื่องที่ความเร็วสูงระดับนั้นทำให้กล้ามเนื้อรับภาระหนักแค่ไหน ความเจ็บปวดทำให้ความเร็วของฮิโรมิลดลง แต่เธอก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วยังบุกเข้าไปหาผู้รุกรานจากอวกาศที่ยืนนิ่งรับการโจมตีของเธอ เป้าหมายคือหางที่ยาวจนเป็นอุปสรรคในการลอบโจมตี เธอเข้าไปด้วยความเร็วที่เท่ากับการวิ่ง แต่จังหวะที่เข้าประชิดตัวได้ หางของผู้รุกรานจากอวกาศก็ยกขึ้น แล้วมีแก๊สเข้มข้นถูกปล่อยใส่เธอ มันเหม็นจนรู้สึกแสบจมูก

     “แก๊สพวกนี้ มันกำลัง…ใส่ฉัน มันกล้าทำเรื่องทุเรศขนาดนี้เลยเหรอ” ฮิโรมิเริ่มมีน้ำโห

     แต่แล้ว เธอเริ่มรู้สึกคันเนื้อตัวขึ้นมา อาการคันอย่างไร้สาเหตุลุกลามเป็นอาการปวดแสบปวดร้อน ข้างในจมูกก็แสบไปหมด เป็นเพราะความเป็นกรดเข้มข้นของแก๊สที่ผู้รุกรานจากอวกาศพ่นใส่เธอ ฮิโรมิเสียจังหวะในการโจมตี แต่ก็ยังพุ่งเข้าไปหาผู้รุกรานจากอวกาศด้วยแรงเฉื่อย เธอจึงต้องลอดเข้าไปใต้ลำตัวของมันเพื่อหลีกเลี่ยงการมุดเข้าไปในโพรงที่ปล่อยแก๊สนั้นออกมา แต่หางที่ยกขึ้นไปก็ฟาดกลับลงมาใส่หลังของเธอเต็มๆ

     มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นจากเหล่าเซย์ริ ฮิโรมิที่ถูกโจมตีสวนไถลไปกับพื้น จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้รุกรานจากอวกาศพอดี เมื่อเห็นศัตรูเสียท่าอยู่ตรงหน้า มันก็ไม่รอช้าที่จะปิดฉาก ผู้รุกรานจากอวกาศยกเท้าที่อยู่ใกล้ตัวฮิโรมิที่สุดขึ้นเพื่อเหยียบซ้ำลงไป หมายปลิดชีวิตของเธอเสีย

     “อย่านะ!” ชิโอริกลับมาได้สติ เธอยิงลูกบอลแสงใส่ดวงตาของผู้รุกรานจากอวกาศทำให้มันเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ แต่ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเส้นทางของเท้าที่เหยียบลงไปเล็กน้อยเท่านั้น

     แล้วพริบตาต่อมา เสียงของแข็งถูกบดละเอียดก็ดังขึ้นจากร่างของฮิโรมิ เสียงร้องแหลมดังขึ้นไม่หยุด เธอเผลอก้มมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แล้วก็พบว่าขาทั้งสองข้างตั้งแต่หัวเข่าลงไปโดนทับอยู่ใต้ฝ่าเท้าขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายตัน มีของเหลวสีแดงไหลซึมจากคอนกรีตที่แตกเป็นร่อง ดวงตาที่มองลงมาเหมือนผิดหวังที่ฆ่าเธอไม่ได้ในทันที มันยกเท้าขึ้นไปเพื่อที่จะเหยียบอีกครั้ง เธอจึงได้เห็นสภาพขาที่แหลกจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้

     “อย่าคิดจะทำอย่างนั้นเชียวนะ” นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์เห็นดังนั้น พวกเขาเลิกคำนึงถึงความเสี่ยงที่ฮิโรมิจะโดนลูกหลง แล้วระดมยิงหยุดผู้รุกรานจากอวกาศไม่ให้เหยียบลงไป แล้วก็ได้ผล ผู้รุกรานจากอวกาศเหยียบพลาดเป้า แล้วหันไปสนใจพวกเขาแทน ก่อนจะถูกล่อให้ห่างไปจากฮิโรมิจนถึงระยะที่ไม่มีอันตรายส่งไปถึง

     “เกิดอะไรขึ้น… ไม่จริงใช่ไหม มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ” ฮิโรมิหวังให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง

     แต่มันไม่ยอมขยับเลย ไม่ว่าจะฝืนออกแรงเท่าไหร่ก็ตาม และทุกครั้งที่ฝืนก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นหลายเท่า

     ฮิโรมิถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพัง ในขณะที่พวกมาโดกะยกกำลังเข้าไปโจมตีผู้รุกรานจากอวกาศกันหมด ชิโอริกำลังนั่งหมดแรงหลังจากที่โจมตีใส่ผู้รุกรานจากอวกาศได้หนึ่งครั้ง ส่วนแสงสุทินก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ หรือไม่ก็อาศัยช่วงชุลมุนหนีไปได้ไกลแล้ว ทำให้เธอมีโอกาสได้คิดทบทวนถึงเส้นทางชีวิตตั้งแต่ที่เกิดมา ถึงเธอจะเกิดมาในฐานะเซย์ริ และได้รับการประเมินว่าเป็นเทอร์รารอยด์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การปฏิบัติต่อเธอก็ไม่ต่างจากเซย์ริคนอื่น

     ด้านความเป็นอยู่ในสถานีวิจัย นอกจากที่พักอาศัยและรูปร่างที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ การปฏิบัติของพวกมนุษย์ในสถานีวิจัยแทบไม่เห็นพวกเธอเป็นมนุษย์เลย ในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น เธอเกิดมาเป็นอาวุธ และได้รับการดูแลในฐานะอาวุธ กิจวัตรแต่ละวันหมดไปกับการฝึกฝน การทดสอบ แล้วก็บำรุงรักษา ทั้งที่ส่วนที่เป็นโลหะในร่างกายมีแค่แกนปีกที่ถูกฝังอยู่ใต้กระดูกสันหลังตั้งแต่เกิด นอกจากนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตโดยสมบูรณ์

     ตลอดอายุหนึ่งปีครึ่งของเธอ เธอถูกกักตัวให้อยู่ในสถานีวิจัยเท่านั้น สิ่งที่ถูกพร่ำสอนมีเพียงวิธีการเอาชีวิตรอดในการต่อสู้ และกฎระเบียบที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่มีเวลาไหนเลยที่เธอจะได้ทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงที่ได้เล่นในเวลาที่อยากเล่น อยากพักในเวลาที่อยากพัก แต่พอถึงช่วงที่เธอจะหลุดพ้นจากกรงขังที่เรียกว่าสถานีวิจัยได้ สิ่งที่รอเธออยู่ก็คือ การต่อสู้ที่ไม่รอดก็ตาย อยากจะหนีก็หนีไม่ได้ และถึงจะรอดก็ต้องกลับเข้าสู่กรงอีกครั้ง เพื่อรอเวลาที่จะออกไปต่อสู้อีกครั้ง

     แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เธอได้รู้จากสถานีวิจัยว่ามีเซย์ริคนหนึ่งที่ไม่ต้องทำตามวัฏจักรนี้…

     “นั่นสินะ ในที่สุดฉันก็รู้สักที ทำไมฉันถึงไม่ชอบชิโอริตั้งแต่ที่ได้เห็นครั้งแรก แล้วทำไมฉันถึงอยากพากลับไปที่สถานีวิจัยนัก มันเพราะว่าฉันอิจฉาที่เธอมีอิสระมากกว่าฉัน” ฮิโรมิเหลือบมองชิโอริที่เพิ่งได้ต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยสายตาที่พร่ามัว ดวงตารู้สึกแสบขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะแก๊สกรด “ดีจังเลยนะ ฉันอยากมีความกล้าอย่างเธอบ้าง แต่ว่า ไม่ทันแล้วล่ะ”

     มันสายเกินไปแล้ว ถ้าเธอคิดจะทำอย่างนั้น โอกาสครั้งเดียวของเธอมันผ่านไปเป็นเดือนแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำได้มีเพียงภาวนาเท่านั้น รู้สึกว่าในสมัยก่อนจะมีสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อเรื่องผีพรายอยู่ วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วจะเวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เธอหลับตาลงแล้วภาวนาถึงชีวิตใหม่ที่เธออาจได้รับหลังจากที่ตายไปแล้ว

     …ถ้าได้เกิดใหม่ครั้งหน้า…

     “ให้ฉันช่วยเธอไหม เซย์ริผมแดง”

     ฮิโรมิลืมตากระตุก เสียงตอบกลับคำภาวนาของเธอไม่ได้ดังอยู่ข้างในใจ แล้วยังเป็นเสียงของผู้ชาย ภาพที่เธอเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ถึงภาพจะเบลอเพราะความเจ็บปวดและเสียเลือด แต่ลักษณะเด่นของคนที่เห็นคือ แตกต่างจากเซย์ริโดยสิ้นเชิง เส้นผมมีสีดำสนิท แล้วยังสูงกว่าเธอจนแทบจะค้ำศีรษะได้ เธอต้องการมองเห็นชัดเจนขึ้น แต่คนที่ยืนค้ำตัวเธออยู่ก็ย่อตัวลง แล้วยกตัวเธอขึ้นจากพื้น

     ขาที่กระดูกแตกละเอียดเกิดการขยับ ฮิโรมิจึงร้องเสียงหลง อีกฝ่ายก็เริ่มเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนในที่สุดก็อุ้มเธอขึ้นขี่หลัง แล้วหันหลังเดินหนีจากผู้รุกรานจากอวกาศ โดยระวังให้มีการกระเทือนต่อแผลของเธอน้อยที่สุด แล้วคำพูดที่ได้ยินต่อมาก็คุ้นอยู่ในความทรงจำของฮิโรมิ

     “ดูแผลของเธอสิ เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับมันถึงขนาดนี้เลยเหรอ ฉันมองเธอผิดไปสินะ”

     “คุณแสงสุทิน” ฮิโรมิเบิกตากว้าง เธอเก็บอาการตกใจเอาไว้ แล้วพูดด้วยความสงสัย “ทำไมถึงยังไม่หนีไปอีก ฉันบอกให้ชิโอริพาคุณหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ”

     “ชิโอริเหรอ อยู่ตรงนั้นไง” แสงสุทินหันไปหาชิโอริที่นั่งหายใจหอบอยู่ที่เดิม

     “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ฉันหมายถึง…” ฮิโรมิพูดไม่จบ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จากข้างหลัง

     ในขณะนั้น ผู้รุกรานจากอวกาศคงทนไม่ไหวแล้วที่ถูกรุมโจมตี มันจึงเลือกสนใจเครื่องบินรบที่แตกจากกลุ่มเพียงลำเดียว แล้วพ่นลำแสงใส่อย่างจัง นักบินไม่มีโอกาสเปลี่ยนเส้นทางก็ถูกพลังทำลายมหาศาลกลืนกินไปจนหมด แต่กลไกอย่างหนึ่งของเครื่องบินรบก็ทำงานเมื่อได้รับความเสียหายอย่างหนัก แกนปฏิกรณ์ภายในเครื่องเร่งการทำงานอย่างบ้าคลั่งจนระเบิดเป็นม่านกระแสไฟฟ้า ลำแสงถูกม่านไฟฟ้าต้านเอาไว้ได้ชั่วขณะ

     แสงสุทินที่วิ่งอยู่รู้สึกเสียววาบที่กลางหลัง ไม่ใช่เพราะหน้าอกที่ฮิโรมิกดแนบกับหลังของเขา

     คงเพราะเห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติ ผู้รุกรานจากอวกาศที่เห็นแสงสุทินกำลังพาฮิโรมิหนีไปจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่ตามพวกเขาแทน ขาทั้งสี่ย่ำลงบนพื้นคอนกรีตที่แตกร้าวจนเกิดเสียงขัดสีและแตกระแหง เห็นดังนั้น ฮิโรมิจึงกระตุกเสื้อของแสงสุทินเป็นสัญญาณบอกอันตราย แล้วร้องเสียงตื่น

     “มันตามมาแล้ว มันไม่สนใจคนอื่นแล้วไล่ตามพวกเรามาแล้วนะ รีบหนีไปสิ!”

     “มันตามมาเหรอ” เขารู้สึกขนลุกเกรียวตอนที่ได้ยินฮิโรมิเอ่ยถึงมัน ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้น “มันเข้ามาใกล้แค่ไหนแล้ว มันตัวใหญ่ถึงขนาดนั้น พวกเราจะหนีมันพ้นได้หรือเปล่า”

     “คงยาก แต่ถ้าพวกเราไม่ได้วิ่งก็คงอีกเรื่อง” ฮิโรมิพูดจบแล้วก็กางปีกขึ้น แต่พวกมันไม่ยอมขยับเลย จนเมื่อเห็นว่าไม่มีทางขยับปีกพาพวกเธอหนีไปได้ “ขอโทษด้วยนะ ฉันบินไม่ขึ้นแล้วล่ะ คุณแสงสุทินทิ้งฉันเอาไว้ตรงนี้ก็ได้ คุณจะได้วิ่งหนีได้เร็วขึ้น ส่วนฉันจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง แต่ถ้าคุณวิ่งไปแล้ว อย่าหันกลับมามองเด็ดขาดเลยนะ”

     “ให้ทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่ หมายถึงจะให้ฉันหนีไปคนเดียวเหรอ” ภาพความทรงจำที่เจ็บปวดตามหลอกหลอนแสงสุทินอีกครั้ง มือที่อุ้มฮิโรมิเอาไว้ข้างหลังยิ่งจับแน่นขึ้นไปอีก “ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากเห็นภาพพวกนั้นอีกแล้ว จะไม่ยอมให้มีใครตายโดยที่ฉันมีโอกาสช่วยไปมากกว่านี้อีกแล้ว สบายใจเถอะ ฉันจะไม่ทิ้งใครเอาไว้ตรงนี้แน่ ไม่เอาอีกแล้ว”

     แสงสุทินวิ่งต่อไปข้างหน้า แต่มือที่ฮิโรมิกำเสื้อก็เปลี่ยนมาเกาะไหล่ของเขา แล้วบีบจนเริ่มรู้สึกเจ็บ

     “นี่ไม่ใช่เวลาจะทำเป็นเท่นะ นายรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าโดนมันตามทัน มันจะฆ่านายทันทีเลยนะ มันไม่ฟังเสียงร้องของนายด้วยซ้ำ ต่อให้ฉันตายไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ถ้าฉันรอดโดยที่นายตายไป ฉันจะถูกส่งไปรับโทษหนักที่สุดทันทีเลยนะ ถือว่าช่วยฉัน รีบวางฉันลงตอนนี้เลย!”

     แสงสุทินไม่ตอบ แต่ว่ายิ่งวิ่งเร็วขึ้นไปอีกจนผู้รุกรานจากอวกาศต้องส่งเสียงขู่ แต่เขาไม่ได้ยินมัน เพราะเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวดังยิ่งกว่าเสียงคำรามเสียอีก ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังติดตรึงอยู่ในใจมากกว่าจนเทียบไม่ติด เขานึกถึงหายนะใต้ดินที่ได้เห็นด้วยตัวเองจึงไม่ได้รับผลกระทบจากผู้รุกรานจากอวกาศข้างหลัง แต่เพราะเหตุนั้น เขาจึงมองไม่เห็นสิ่งรอบตัว และสะดุดล้มกับเศษหิน ขาทั้งสองข้างของฮิโรมิกระแทกพื้นจนเกิดความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่สมอง แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังที่สุดในชีวิต

     แสงสุทินลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว ความกลัวเข้าครอบงำจนร่างกายสั่นไปหมด เรี่ยวแรงหายไปดื้อๆ ผู้รุกรานจากอวกาศเตรียมพ่นลำแสงใส่พวกเขาในฐานที่ทำให้มันต้องเสียเวลา ถึงไม่หันหลังก็มองเห็นแสงที่ลอดจากลำคอของมันได้

     “เป็นอะไรไปน่ะ เมื่อกี้นี้ยังปากเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเพิ่งกลัวขึ้นมาตอนนี้ล่ะ ลุกขึ้นวิ่งอีกครั้งสิ”

     ฮิโรมิเขย่าร่างกายที่สั่นไม่หยุดของเขา ไม่มีการตอบสนอง ทั้งขาของเธอยังถูกขาของแสงสุทินทับเอาไว้เสียอีก เธอจึงต้องใช้วิธีสุดท้ายในการกอดตัวเขาแน่น เร่งพลังสร้างผลึกแสงขึ้นขวางระหว่างเธอกับผู้รุกรานจากอวกาศ แต่เธอก็ได้เห็นแล้วว่าเซย์ริที่พยายามทำอย่างนี้พบกับจุดจบอย่างไร แต่ม่านป้องกันของเทอร์รารอยด์แข็งแรงกว่าแองเจลอยด์มาก

     ไม่แน่ว่าเธออาจป้องกันได้…

     “ว้าก!”

     ผู้รุกรานจากอวกาศพ่นลำแสงใส่ทั้งสองคนในระยะประชิด แต่ลำแสงกลับปะทะเข้ากับสิ่งกั้นขวางจนแยกเป็นสองทาง ทั้งฮิโรมิและแสงสุทินที่อยู่ข้างหลังสิ่งกั้นขวางยังคงปลอดภัยดี แต่ฮิโรมิก็ต้องแปลกใจ ในเมื่อม่านป้องกันของเธอไม่ได้รับการโจมตีเลย แล้วเมื่อหันกลับไปก็พบว่าเงาที่บดบังลำแสงของผู้รุกรานจากอวกาศสูงกว่าเธอแค่เล็กน้อย

     “ทำไมกัน…” ฮิโรมิรู้สึกโหวงไปหมด เธอกัดฟันข่มความรู้สึก “ทำไมถึงอวดเก่งกันทั้งคู่เลยนะ ชิโอริ!”

     ผ่านไปได้พักหนึ่ง ผู้รุกรานจากอวกาศก็หยุดพ่นลำแสงไปเอง แล้วมันก็ต้องแปลกใจกับภาพที่ได้เห็น เป้าหมายของมันที่เคยมีอยู่สองคนกลับมีคนที่สามเพิ่มเข้ามา และการโจมตีของมันก็ถูกคนที่สามป้องกันเอาไว้ได้ โดยไม่ถูกฆ่าตายเหมือนกับสองศพแรก แต่มันคงตกใจยิ่งกว่าเดิมถ้าได้รู้ว่าคนที่ป้องกันพลังของมันได้คือเซย์ริที่อ่อนแอที่สุด

     ชิโอริกำลังยืนเผชิญหน้ากับผู้รุกรานจากอวกาศตามลำพัง โดยที่ฮิโรมิยังคงถามเธอไม่หยุด

     “ทำไมเธอที่อ่อนแอที่สุด แล้วยังเจ็บหนักขนาดนั้นถึงต้องทำเรื่องบ้าๆ แบบไม่คิดด้วย ทั้งคู่เลย”

     “ฉันไม่รู้” ชิโอริตอบเสียงเบา “ฉันไม่รู้ พอฉันรู้สึกตัว ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าเธอรู้ก็ช่วยตอบทีสิ”

     ฮิโรมิไม่มีอารมณ์โต้เถียง ด้านชิโอริก็ไม่มีแรงจะพูดมากไปกว่านี้ด้วยเช่นกัน แต่แสงสุทินยังไม่คลายความสงสัย ทั้งที่เซย์ริคนอื่นต่างล้มตายในทันที แต่ชิโอริกลับยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เซย์ริคนอื่นต่างแข็งแกร่งกว่าเธอทั้งนั้น แล้วดูเหมือนว่าเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารอดมาได้อย่างไร แต่นอกจากวิธีที่จะทำให้พวกเขาเอาตัวรอดไปได้ เขาก็ไม่อยากนึกถึงเรื่องอื่นแล้ว

     ชิโอริที่ยืนเผชิยหน้ากับผู้รุกรานจากอวกาศไม่ขยับ ซ้ำยังปักหลักอยู่กับที่อย่างเข้มแข็ง ต่อหน้าความตายของเซย์ริทั้งสี่ชีวิต และมนุษย์อีกหนึ่งคนที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญ เธอกำลังรับช่วงต่อจากพวกเขาเหล่านั้น

     “ฉันเฝ้ามองพวกแกมาตลอด แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่พวกแกทำทั้งหมดแล้ว แกคงไม่เข้าใจคนที่เห็นคนตายอยู่ตรงหน้าทั้งที่อยากเข้าไปช่วยให้รอดหรอก จนเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ฉันรอคอยมาตลอด ในที่สุด ฉันก็มีโอกาสยืนอยู่ในสนามรบเดียวกับเด็กพวกนั้นสักที” ชิโอริเพ่งมองอย่างเคียดแค้น แต่น้ำเสียงที่เธอใช้กลับสั่นเครือ

     “ถึงเวลาแก้แค้นของฉันแล้ว ฉันบอกกับตัวเองมาตลอด แต่ฉันมันอ่อนแอ พอสัญญาณเตือนภัยดังในวันที่พวกแกกำลังจะมา ภาพของเด็กพวกนั้นก็ย้อนกลับมา แล้วฉันก็เผลอนึกถึงตัวเองที่จะต้องมีสภาพนั้นเหมือนกัน สุดท้าย ฉันก็กลายเป็นคนดีแต่ปากที่เข้าไปหลบซ่อนในสถานหลบภัย เหมือนกับมนุษย์ไร้พลังคนหนึ่ง”

     ชิโอริเหลือบมองฮิโรมิกับแสงสุทินด้วยหางตา ขณะที่ฝ่ามือที่ยื่นไปข้างหน้ามีแสงสีฟ้าเงินลอยอยู่

     “แต่นายรู้ไหม คำพูดของนายในตอนนั้น ต่อให้เป็นเซย์ริที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีสิ่งที่พอทำได้อยู่ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอทำได้ ปกป้องคนที่แข็งแกร่งกว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อ”

     เธอหันกลับไปแล้วเร่งพลังทั้งหมดในตัวให้สะสมอยู่ในลูกบอลแสง แต่มันคงเกินกำลังของชิโอริ สีหน้าของเธอจึงบิดเบี้ยว แล้วทรุดลงบนเข่าหนึ่งข้าง แล้วลูกบอลแสงก็มีพลังลดลง พร้อมกับมีเลือดซึมลงมาจากเกราะลำตัวเป็นปริมาณมาก สติใกล้จะหมดไปทุกทีแล้ว แต่ชิโอริก็ยังไม่หยุดที่จะรวบรวมพลังต่อไป เพราะถ้าเธอไม่ทำ ผู้รุกรานจากอวกาศก็จะพ่นลำแสงใส่ทั้งเธอและคนอื่นๆ ไปพร้อมกัน การฝืนร่างกายครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น

     พวกเซย์ริที่ยังมีใจสู้เข้าต่อกรสลับกับเครื่องบินรบซึ่งเวียนเข้ามาโจมตีใส่ผุ้รุกรานจากอวกาศ แต่ก็ดึงดูดความสนใจของมันไมได้เลย

     “ชิโอริ!” แสงสุทินกับฮิโรมิร้องพร้อมกัน

     ชิโอริมองแสงสว่างที่ตัวเองสร้างขึ้นอย่างภูมิใจ แม้ว่าจะเป็นประกายแสงที่จางลงไปมากก็ตาม

     “ได้แล้ว การโจมตีสุดท้ายของฉัน รับไปซ…”

     เธอกำลังจะผลักลูกบอลแสงตอบโต้ผู้รุกรานจากอวกาศ แต่ก็เกิดการระเบิดขึ้นเสียก่อน ทั้งยังเป็นแรงระเบิดที่หนักหน่วงยิ่งกว่าการโจมตีทั้งหมดที่ถูกใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ร่างกายขนาดใหญ่ที่รับเข้าไปถึงกับชักกระตุก แล้วเซไปด้านข้างในทันที แล้วจังหวะที่ผู้รุกรานจากอวกาศกำลังมองหาผู้ที่โจมตีใส่มัน แรงระเบิดที่รุนแรงกว่าเดิมก็เกิดขึ้นที่ศีรษะ จนใบหน้าถูกคว้านหายไปมากกว่าครึ่ง เลือดและเศษเนื้อกระจัดกระจายอย่างน่าสยดสยอง

     ได้ยินเสียงแผ่วๆ ดังเข้ามายังชิโอริที่หมดแรง ว่านี่คือจังหวะเดียวของเธอ

     “รับไปซะ! แล้วไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกนะ”

     ด้วยแสงที่เปล่งประกาย ชิโอริผลักมันเข้าปะทะกับลำตัวของผ๔รุกรานจากอวกาศ เมื่อลูกบอลแสงเข้าสัมผัสก็เกิดเสียงดังสนั่น พร้อมกับผิวหนังเกราะที่แตะกระจุย แม้สายตาจะเริ่มมืดสนิท แต่ก็ยังรับรู้ได้จากเสียงและแรงลมที่กระทบผิวว่าการโจมตีของเธอเข้าเป้า และเป็นการโจมตีที่ได้ผลที่สุดในชีวิตของเธอ

     ผู้รุกรานจากอวกาศส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนที่เสียงนั้นจะดับหายไป ร่างกายอันใหญ่โตล้มหงาย การเคลื่อนไหวตรงส่วนหน้าอกค่อยๆ เบาลงทุกที จนในที่สุดก็ไม่ไหวติงอีกเลย ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หัวหน้าชุดบินอัลฟ่าเชสเซอร์กับมาโดกะที่เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ยังไม่เชื่อสายตา

     สิ่งมีชีวิตที่เซย์ริ 15 คน และเครื่องบินรบ 5 ลำต่อสู้อย่างลำบาก จบชีวิตลงด้วยการโจมตีเพียงสามนัด

     ครั้งหนึ่งเป็นการโจมตีของชิโอริ ส่วนอีกสองครั้งที่เหลือ…

     มาโดกะหันมองรอบตัวด้วยสายตาลอกแลก ก่อนจะเกิดการระเบิดทั้งสองครั้ง เธอรู้สึกเหมือนเห็นแสงสีน้ำเงินถูกยิงเข้ามาจากทิศทางเดียวกัน แล้วพริบตาต่อมา ผู้รุกรานจากอวกาศที่มีพลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วก็มีสภาพเป็นอย่างที่เห็น เมื่อเธอมองไปตามทิศทางที่แสงถูกยิงเข้ามาก็เห็นเงาคล้ายเซย์ริร่างหนึ่งลอยอยู่ใกล้กลุ่มเมฆ แล้วดูเหมือนว่าเงานั้นก็กำลังมองเธออยู่เหมือนกัน แต่ก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่าต้องทำอะไร เงาที่เห็นก็บินจากไป จนในที่สุดก็คลาดสายตา

     “จัดการได้แล้ว มันตายแล้วเหรอ” แสงสุทินอึ้งกับภาพที่ได้เห็น สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์นอนแผ่อยู่ห่างจากตัวเขาไปไม่ไกล ร่างกายของมันมีบาดแผลใหญ่ที่ไม่รักษาตัวเหมือนทุกครั้ง เลือดสีเขียวที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าเจิ่งนองทั่วพื้น เขายังไม่อยากเชื่อว่ามันจะหมดลมหายใจไปแล้วจริงๆ จนได้เห็นชิโอริทำสีหน้าโล่งใจ เหมือนการต่อสู้ได้จบลงจริงๆ แล้ว

     แสงสุทินจึงหายใจได้ทั่วท้องเป็นครั้งแรก แล้วหันไปพูดเยาะเย้ยใส่ซากศพที่อยู่ตรงหน้า

     “มันตายแล้ว… ตายแล้วสินะ สมน้ำหน้ามัน ตายไปซะได้ก็ดี อูย…” ก่อนจะหน้าซีดไปจากแผลถลอกที่ขา เขาสะกิดให้ฮิโรมิได้เห็นมันด้วย “ได้เห็นพลังของชิโอริแล้วหรือยัง เธอจัดการผู้รุกรานจากอวกาศได้เชียวนะ เป็นยังไงล่ะ คนแข็งแกร่งอย่างเธอมีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

     “ไม่ใช่หรอก” เสียงอันแผ่วเบาของฮิโรมิตอบโต้

     “ไม่ใช่อะไรอีกล่ะ เธอก็เห็นไม่ใช่เหรอว่า…”

     “ไม่แน่ว่าคนที่อ่อนแอ อาจจะเป็นฉันเองก็ได้…” ฮิโรมิหมดสติหลังจากที่พูดเสร็จ ชิโอริเองก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ปล่อยให้แสงสุทินที่ยังมีสติพูดต่อไปคนเดียวราวกับคนบ้า

     หลังจากที่ผู้รุกรานจากอวกาศถูกจัดการ เมฆที่ปกคลุมท้องฟ้าก็สลายไปจนไม่เหลือสักก้อน แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ร้อนแรงส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แสงสุทินก้มมองนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ตั้งแต่ที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้ 30 นาทีเท่านั้น แต่เป็นครึ่งชั่วโมงที่มีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นจนรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง

     ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยซ่อมบำรุงและหน่วยพยาบาลก็เดินทางมาถึง ฮิโรมิถูกเคลื่อนย้ายไปอย่างระมัดระวัง เซย์ริที่บาดเจ็บถูกส่งกลับสถานีวิจัยอย่างเร่งด่วน ยกเว้นชิโอริที่ยินกรานว่าจะไม่ยอมกลับไปที่สถานีวิจัย ส่วนแสงสุทินที่เป็นมนุษย์ซึ่งตกค้างอยู่บนดินก็ถูกพาไปยังสถานีวิจัยด้วยเช่นกัน เมื่อไปถึงแล้ว เขาก็ถูกส่งให้เป็นความรับผิดชอบของอีกหน่วยงานหนึ่งคอยสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วเขาก็ได้รู้ยอดความสูญเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้จนตั้งสติไม่ถูก

     ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นเซย์ริ 4 คน กับนักบินอีก 1 นาย และมีเซย์ริที่บาดเจ็บสาหัสอีก 4 คนซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ในจำนวนนั้นไม่มีชิโอริอยู่

     เมื่อให้ปากคำและรักษาบาดแผลเสร็จแล้ว คนของสถานีวิจัยก็ให้แสงสุทินกินมื้อเย็นก่อนจะส่งตัวกลับ

     พูดถึงสถานีวิจัย ตอนแรกก็นึกว่าจะมีสภาพเป็นห้องแลปสารเคมีที่มีแต่คนสวมเสื้อกาวน์ทำสายตาไม่สนโลกเดินผ่านไปมา แต่ที่แสงสุทินเห็นกลับเป็นศูนย์ที่มีความหลากหลาย ทั้งแลปสารเคมี แล้วก็มีคนที่สวมเครื่องแบบหลากหลายจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เรียกว่าสถานีวิจัย น่าจะเป็นศูนย์กองกำลังที่รวมทุกหน่วยงานเอาไว้ในสถานที่เดียวมากกว่า

     หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว แสงสุทินก็ถูกส่งกลับโดยนักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ในสามชั่วโมงให้หลัง ตอนที่เครื่องบินรบกลับเข้าสู่เขตอยู่อาศัยที่ 101 ก็ได้เห็นสภาพของเมืองที่ได้รับการฟื้นฟูจนไม่เหลือร่องรอยของการต่อสู้ ซากของผู้รุกรานจากอวกาศก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หน่วยซ่อมบำรุงจัดการทุกอย่างเสร็จในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถอนตัวออกไป แล้วเครื่องบินรบก็ลงจอดตรงจุดเดิมที่แสงสุทินอยู่ก่อนจะเดินทางไปยังสถานีวิจัย ขณะนั้นเป็นช่วงเย็นแล้ว

     “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ แล้วในครั้งหน้า โปรดอย่าลังเลที่จะเข้าไปในสถานหลบภัยนะครับ”

     “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะครับ แล้วก็… ขอบคุณสำหรับความลำบากเพื่อพวกเรามาตลอดนะครับ” แสงสุทินก้มศีรษะให้กับวีรบุรุษที่เสียสละทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง แต่ทางนั้นก็ไม่รับคำขอบคุณจากเขา แล้วส่งยิ้มอันอบอุ่นกลับมาแทน

     “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

     นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ขับเครื่องบินรบลอยสูงขึ้นไป ก่อนจะเร่งเครื่องออกจากเขตอยู่อาศัยไปอย่างรวดเร็วแล้วไม่นานจากนั้น เสียงกลไกโลหะก็ดังขึ้น ทางเข้าสถานหลบภัยเคลื่อนตัวขึ้นมาที่พื้นดิน ก่อนจะปล่อยให้ประชาชนที่อยู่ข้างในได้เห็นสภาพของบ้านเกิดที่ค่อนข้างแย่สำหรับพวกเขา แต่นั่นถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ถ้าสิ่งที่ได้เห็นนี้เรียกว่าย่ำแย่แล้ว สภาพก่อนหน้านั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นภัยพิบัติเลยก็ได้

     ภัยพิบัตินั้นคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สัปดาห์ต่อสัปดาห์ จนแสงสุทินไม่กล้าคิดต่อเลยว่าความเสียหายจะรุนแรงขึ้นกว่านี้อีกกี่เท่าถ้าไม่ได้อพยพประชาชนลงใต้ดินตั้งแต่แรก

     ระหว่างที่กำลังจมกับความคิดอยู่นั้น ตรงหน้าของเขาก็ปรากฏเด็กสาวที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดและฝุ่นกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังกลับไปยังบ้านของตัวเอง ดวงตาสีฟ้าเงินของเธอสะท้อนแสงอาทิตย์สีส้ม มองแล้วหดหู่พิกล เธอเพิ่งจะผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายถึงสองครั้งติด และได้เห็นความตายของคนที่เธอหวังจะปกป้องด้วยตัวเอง

     “สถานีวิจัยเป็นยังไงบ้าง คนที่นั่นให้การต้อนรับนายเป็นอย่างดีหรือเปล่า” ชิโอริเอ่ยถามด้วยริมฝีปากซีดๆ

     “ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่ฉันก็พอเข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่อยากกลับไปที่นั่น” แสงสุทินตอบเสียงเบา “แต่ว่า เธอคิดดีแล้วเหรอที่จะไม่กลับไปน่ะ แผลของเธอแย่มากเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่รีบรักษา…” คำพูดของเขาขาดช่วงเมื่อได้เห็นช่วงเอวของชิโอริผ่านรอยตัดตรงเสื้อ แผลลึกที่เธอได้รับก่อนการต่อสู้ถูกเย็บปิดด้วยเส้นด้ายสีเขียว ถึงจะทำให้ไม่มีเลือดไหล แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงว่าจะมีเลือดตกในอยู่ดี

     “ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่คนที่มีปัญหาน่าจะเป็นนายมากกว่า ชีวิตของนายต่อจากนี้น่าจะลำบากขึ้นเยอะเลยนะ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ แล้วก็ความอยู่รอดหลังจากนี้ไป” ชิโอริ ผู้ซึ่งไล่แสงสุทินออกจากบ้านพูด “เห็นแก่เรื่องที่นายทำงานบ้านโดยไม่ปริปากบ่น ฉันจะจ่ายเงินในส่วนนั้นให้ก็ได้ อยากได้สักกี่ล้าน กี่สิบล้านก็เรียกมาได้เลย ฉันมีจ่ายให้อยู่แล้วล่ะ”

     แสงสุทินไม่ตอบ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เงิน แล้วก็ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยอีกแล้วในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาอยากจะได้ แล้วก็อยากจะเข้าใจในตัวมันมากที่สุดคืออย่างอื่น

     “นี่ ฉันอาจถามเธอมากเกินไปนะ แต่ว่า…” แสงสุทินปริปากอย่างลำบากใจ “เธอคิดยังไงกับชีวิตของเธอในตอนนี้เหรอ ชีวิตที่เธอต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ… ถูกเซย์ริคนอื่นตามล่า… ถูกหาว่าเป็นคนอ่อนแอ… ไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้… เธอรู้สึกยังไงกับมันเหรอ”

     “นั่นคือคำถามเหรอ” ชิโอริเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วเอื้อมมือขึ้นไปหามัน “ฉันเคยสาปแช่งในเรื่องนี้มาตลอด บางครั้งก็อยากจะหนีไปให้พ้นเหมือนกัน แต่ว่า เจ้าของชีวิตของฉันในตอนนี้ไม่ใช่ของฉันอีกแล้วล่ะ”

     “แล้วเป็นของใครล่ะ…”

     ชิโอริก้มกลับลงมามองแสงสุทิน แล้วปั้นยิ้มรอยโต มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างและจริงใจที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น

     “สบายใจเถอะ ฉันไม่คิดจะเล่าให้นายฟังหรอก แต่ว่า ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามนายอยู่เหมือนกัน” แล้วชิโอริก็ผ่อนยิ้มลง เธอกางฝ่ามือข้างหนึ่งให้กับเขา “ถ้าแลกกับเงินสิบล้านที่ฉันจะถอนจากบัญชีธนาคารตอนนี้เลย นายอยากกลับมาที่บ้านของฉันอีกครั้งไหมล่ะ แต่ถ้านายเลือกทางนี้ ฉันมีบททดสอบให้นายทำนะ”

     แสงสุทินรับมือข้างนั้นเอาไว้อย่างไม่ลังเล

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา