สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,321 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) แบบทดสอบรับเข้าบ้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “ฟูจิซากิ ฮิโรมิ พวกเรามีภารกิจใหม่จะมอบให้เธอ”

     เพราะคำพูดประโยคนั้นทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ไม่ได้อยากกลับมาอีกแล้ว

     ฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน พื้นดินจึงเต็มไปด้วยใบไม้และเศษโคลน

     หน้าบ้านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่กลางภูเขานอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 ซึ่งความเสียหายที่เธอสร้างเอาไว้ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม เธอเอื้อมมือไปที่ประตูไม้ ก่อนจะชักกลับมาเป็นครั้งที่ 10 เห็นจะได้แล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เธอรู้สึกประหม่า ความเกร็งทำให้เธอต้องสร้างความมั่นใจขึ้นมา ผมของเธอยุ่งเกินไปหรือเปล่า รอยยิ้มประมาณนี้จะพอให้อีกฝ่ายเชื่อถือได้หรือเปล่านะ หรือการแต่งตัวในครั้งนี้มีส่วนของอาภรณ์เทพธิดาโผล่มาหรือเปล่านั้น

     เมื่อเห็นว่าพอเหมาะแล้วจึงจำใจเคาะบานประตู

     “ไม่ทราบว่าใครทำตัวซุ่มอยู่หน้าบ้านของฉันเหรอ”

     ประตูไม้เปิดโดยที่ฮิโรมิยังไม่ทันได้เคาะ แล้วคนที่โผล่เข้ามาก็คือ เจ้าของบ้านที่เป็นเด็กสาวอายุใกล้เคียงกับเธอ แต่ว่าต่างจากเธอตรงที่มีเส้นผมสีฟ้าเงิน กับเนื้อตัวที่ยังมีร่องรอยของบาดแผลเหลืออยู่ ทั้งที่เมื่อสองวันก่อน เด็กสาวคนนั้นเพิ่งจะผ่านการต่อสู้เจียนตายมาไม่ต่างกับเธอ แต่แผลของฮิโรมิได้รับการรักษาจนเกือบหายสนิทแล้ว

     “ฉันถามว่าทำไมถึงต้องด้อมๆ มองๆ ประตูบ้านของฉันด้วย ถ้าไม่มีอะไรก็รีบกลับสถานีวิจัยไปได้แล้ว”

     ชิโอริปัดมือไล่แล้วปิดประตูบ้าน แต่ฮิโรมิก็เอามือไปขัดก่อนที่ประตูจะปิดสนิท แล้วออกแรงยื้อต่อกัน

     “ถ้าไม่มีธุระ ฉันจะออกมาข้างนอกได้เหรอ พอดีฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดหนีทัพอย่างเธอ”

     “ปากเก่งไม่เปลี่ยนเลยนะ ทั้งที่เมื่อตอนนั้นยังเจ็บหนักจากผู้รุกรานจากอวกาศอยู่เลย คราวนี้ต้องการอะไรจากฉันอีกล่ะ ไม่เล่นทีเผลอเหมือนกับวันนั้นแล้วเหรอ แผลตอนนั้นยังไม่หายเลยนะ” ชิโอริที่ออกแรงต้านกับฮิโรมิมีสีหน้าผิดปกติ เป็นเพราะบาดแผลที่เย็บเอาไว้ยังไม่เชื่อมกันสนิท

     “คงไม่ต้องหรอก ต่อให้ไม่จู่โจมทีเผลอ ฉันก็น่าจะชนะเธอได้สบาย ความจริงก็อยากพาตัวเธอกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาอยู่กับเธออย่างนี้หรอกนะ” ฮิโรมิเกร็งแขนจนเส้นเลือดขึ้น แล้วชุดหนังสีแดงเข้มก็โผล่ขึ้นมาจากผิวหนังของเธอ เป็นสัญลักษณ์ว่าเธอพร้อมจะใช้แรงทั้งหมดแล้ว

     แต่ว่า มีเสียงผู้ชายดังขึ้นมาจากในบ้านที่ฮิโรมิรู้สึกคุ้นอย่างประหลาด

     “หน้าบ้านมีเรื่องอะไรกันเหรอ”

     ฮิโรมิเผลอปล่อยมือ ชิโอริที่ยังออกแรงดึงอยู่จึงล้มหงายลงไป แสงสุทินเดินเข้ามาดูอาการของเธอ ดูเหมือนว่าการล้มจะไม่ได้กระเทือนถึงแผลของเธอมาก ดูจากชิโอริที่ผุดลุกขึ้นมา แล้วจับประตูให้เปิดอย่างแรง ลูกบิดประตูถึงกับเบี้ยวไปตามแรงจับที่มากเกินไปของเธอ แล้วเมื่อประตูเปิดขึ้น ฮิโรมิที่มองเห็นแสงสุทินก็รู้สึกแปลกใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น

     “เธอยังให้มนุษย์นั่นอยู่กับเธออีกเหรอ คิดอะไรอยู่กันแน่ คงไม่ใช่ว่ามีความสัมพันธ์แปลกๆ กันหรอกนะ”

     “ถ้าเซย์ริจะมีเวลาทำเรื่องอย่างนั้นนะ” ชิโอริตัดบทสนทนา “แล้วเธอมาที่นี่ทำไม คงไม่มีธุระสำคัญใช่ไหม”

     “สำคัญสิ สำคัญมากด้วย” ฮิโรมิยิ้มแห้ง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด “มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันขออาศัยอยู่กับเธอด้วยคนได้ไหม” เธอพูดทั้งที่ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม

     แสงสุทินพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่ชิโอริมีสายตาสงสัยมาก

     “โฮ่… แล้วทำไมเทอร์รารอยด์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเธอถึงอยากอยู่กับแองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุดอย่างฉันล่ะ ถ้าให้ฉันเดานะ อาหารในสถานีวิจัยไม่อร่อยเลยสักนิดใช่ไหม หรือพวกนั้นลงโทษเธอในฐานะที่ทำงานล้มเหลวถึงสองครั้ง หรือว่าหนีมาเพราะไม่อยากต่อสู้อีกแล้วล่ะ ถ้าเป็นอย่างท้ายสุด ฉันแนะนำให้เธอกลับไปทางที่มาเลยนะ ไม่แน่ว่าเขตอยู่อาศัยที่ 99 อาจต้องการเซย์ริว่างงานอย่างเธอคอยดูแล”

     “เป็นคำสั่งต่างหากล่ะ” ฮิโรมิเงยศีรษะขึ้น แล้วพูดด้วยสายตาแน่วแน่ “ฉันถูกสั่งให้มาที่นี่เพื่อจับตาดูเธอ ทุกความเคลื่อนไหวของเธอและคุณแสงสุทินจะถูกรายงานกลับไปที่สถานีวิจัยทั้งหมด ถึงจะไม่ชอบที่ออกคำสั่งกับฉันก็เถอะ แต่มันก็เป็นงาน ถ้าทำไม่สำเร็จ ฉันต้องโดนบทลงโทษเป็นสองเท่าแน่ คิดว่าช่วยกันหน่อยก็แล้วกัน”

     “ถือว่าช่วยกันเหรอ”

     ชิโอริพูดแล้วเพ่งมองฮิโรมิไปทั้งตัว ด้วยร่างกายที่ตัวเล็กกว่า แต่ว่าตรงหน้าอกกลับใหญ่กว่าทำให้เธอรู้สึกอยากเข้าไปทำอะไรกับมัน ขาทั้งสองข้างตั้งแต่หัวเข่าลงไปยังมีรอยช้ำที่หลงเหลือจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วอยู่ทำให้ยืนได้ไม่มั่นคง นอกจากนั้นแล้วก็ยังเป็นฮิโรมิที่เพิ่งเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อสองวันก่อนไม่มีเปลี่ยน

     “ไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ อยู่ดีๆ เธอก็โผล่มาในสภาพนี้ แล้วยังจะมาอาศัยอยู่กับฉันอีก ต้องมีแผนอะไรแน่เลยใช่ไหม ไม่ใช่ว่าฉันมองตามแผนไม่ทันหรอกนะ” ชิโอริเปลี่ยนไปยื่นคำขาด สายตาของเธอแข็งเกร็งจนน่ากลัว แล้วกำหมัดตั้งท่าระวังตัวเต็มที่

     “ฉันก็เล่าให้ฟังหมดแล้ว ยังจะมีแผนอะไรอยู่อีก”

     “ฉันบอกว่ามี มันก็ต้องมีสิ” ชิโอริส่งเสียงร้อง แล้วกระโจนเข้าหาฮิโรมิในสภาพที่สวมชุดเกราะสีฟ้าเงิน ทั้งสองคนล้มลุกคลุกคลานลงไปจนชนกับโคนไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะกางปีกของตัวเอง แล้วลอยขึ้นไปปะทะกันบนท้องฟ้า โดยในครั้งนี้ ชิโอริเป็นฝ่ายบุกโจมตีเพียงฝ่ายเดียว ฮิโรมิทำแค่ป้องกันเท่านั้น แต่ในจังหวะสุดท้าย ฮิโรมิก็คว้าหมัดที่ชิโอริชกใส่ แล้วเหวี่ยงลงไปที่พื้นดิน

     “อูย ยังไม่หายอีกเหรอเนี่ย” ชิโอริทำหน้าถอดสีขณะกุมแผลที่เอว “จะว่าไปแล้ว ฉันไม่เคยสู้กับเธอแบบซึ่งๆ หน้าสักครั้งเลยใช่ไหม ทุกครั้งที่พวกเราเจอกันก็เป็นเธอที่ลอบโจมตีซะหมด” เธอหันไปพูดกับฮิโรมิที่ร่อนลงมาที่พื้นดินใกล้กับเธอ “พวกเรามาสู้กันตรงๆ กันดีไหม ไม่ต้องใช้ปีก ไม่มีการหักกระดูก ไม่มีตรงไปตรงมา ตกลงไหมล่ะ”

     ฮิโรมิไม่พอใจที่ชิโอริเป็นฝ่ายกวักมือเรียกเธอไปหา เธอเรียกชุดหนังสีแดงเข้มขึ้นสวม แต่จังหวะเดียวกัน ชิโอริก็เอาชุดเกราะกลับคืนเข้าไปใต้ผิวหนังของตัวเอง ทั้งที่ถ้าต่อสู้กันในระยะแค่นี้ เทอร์รารอยด์จะได้เปรียบกว่ามาก แต่ฮิโรมิก็ไม่ได้ใช้มันเป็นข้ออ้างในการออมมือ เพราะก่อนที่จะมาที่นี่ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีการปะทะกันแน่นอน เธอจึงหยิบดาบขึ้นมาตั้ง แล้วเตรียมเข้าต่อสู้กับชิโอริอีกครั้ง

     “แผลก็ยังไม่หายดี ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่รับรู้ด้วยนะ” ฮิโรมิพูด ก่อนที่ร่างของเธอจะกลายเป็นเงาลาง

     ฮิโรมิบุกเข้าประชิดตัวชิโอริได้ในเวลาอันสั้น แต่ดาบที่เหวี่ยงไปพลาดเป้าทุกครั้ง มันถูกหลบด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายยังบาดเจ็บอยู่ เหมือนกับการต่อสู้ครั้งแรกที่ชิโอริหลบดาบของเธอพ้นทุกครั้ง ฮิโรมิจึงเร่งจังหวะการฟันขึ้นไปอีก คราวนี้ชิโอริเริ่มใช้มือปัดไปที่แขนของเธอเพื่อเบี่ยงวิถีดาบ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงเรียบๆ ไม่คิดอะไรมากเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

     “อันดับแรกเลยนะ” ชิโอริปัดแขนของฮิโรมิ แล้วเหวี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง “เธอใช้ดาบได้เร็วก็จริง แต่การลงดาบของเดาได้ง่ายมาก เพราะเธอมักจะมองจุดที่จะฟันลงไปทุกครั้ง ถ้าแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ก็คงฟันโดนฉันยากหน่อยนะ ฉันเป็นพวกที่ชอบมองตาคนอื่นซะด้วย”

     ฮิโรมิไม่พูดอะไร แต่ก็เริ่มเปลี่ยนนิสัยตอนที่ลงดาบจนชิโอริเริ่มเดาทางได้ยากขึ้น เธอเริ่มเป็นฝ่ายดันให้ชิโอริถอยหลังไปได้บ้างแล้ว แต่ในตอนนั้นเอง…

     “อย่างที่สอง” ชิโอริเตะขาข้างหนึ่งทำให้ฮิโรมิเสียหลัก “ตอนที่เธอต่อสู้บนพื้น เธอไม่ค่อยขยับขาเท่าไหร่ การยืนฟันโดยที่ไม่เปลี่ยนท่าเลยจะทำให้โดนสวนกลับได้ง่าย ระวังตรงจุดนี้เอาไว้ด้วยนะ”

     “ไม่ต้องพูดเหมือนเป็นคนฝึกสอนเลยนะ”

     ท่าทางของฮิโรมิเปลี่ยนไปตามคำแนะนำ เธอเริ่มโยกย้ายเปลี่ยนท่วงท่าในการต่อสู้บ้างแล้ว ทำให้ชิโอริหาจังหวะตอบโต้ได้ยากขึ้น ถึงเธอจะไม่ค่อยตอบโต้อะไรนอกจากเบี่ยงเบนวิถีดาบ แต่เมื่อฮิโรมิรุกเข้ามาหนักขึ้น ชิโอริก็มุดหลบดาบ กลับตัวตีศอกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ก่อนจะเตะเข้าที่กลางลำตัวของฮิโรมิจนล้ม

     “อย่างที่สาม เธอพึ่งพาดาบมากเกินไป ถึงเทอร์รารอยด์จะมีดาบก็เถอะ แต่จะใช้มันอย่างเดียวก็ไม่ไหวนะ เพราะเธอถือดาบด้วยมือข้างเดียวก็ได้ ลองใช้มือกับขาสักหน่อยสิ มันน่าจะมีโอกาสทำร้ายฉันได้มากกว่านะ เพราะฉันไม่ใช่ผู้รุกรานจากอวกาศ”

     “อย่างนี้เหรอ” ฮิโรมิกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ลุกขึ้นเตะใส่ชิโอริเต็มแรง เธอก็ยกแขนป้องกันได้พอดี

     “อย่างนั้นแหละ” สีหน้าของชิโอริพึงพอใจมาก

     การต่อสู้เริ่มเป็นการต่อสู้สำหรับเธอมากขึ้น เสียงปะทะของกล้ามเนื้อและผิวหนังดังขึ้นจนฝูงนกเริ่มบินหนีอย่างแตกตื่น ไม่ใช่แค่ดาบเท่านั้น ฮิโรมิยังใช้มือข้างที่ว่างและขาทั้งสองข้างโจมตีใส่คู่ต่อสู้ของเธอที่ใช้แค่มือเปล่า มันเริ่มได้ผลมากขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยเข้าถึงตัวได้เลย ตอนนี้ชิโอริต้องปัดป้องบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าชิโอริจะยังไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ สังเกตจากสีหน้าสบายใจที่กำลังแสดงให้เธอเห็น

     “นี่คงเป็นท้ายที่สุดที่ฉันจะสอนเธอได้ในตอนนี้” ชิโอริเริ่มพูดต่อ แต่ฮิโรมิก็ขัดจังหวะเสียก่อน

     “ฉันไม่อยากฟังเธอพูดอีกแล้ว”

     “สำหรับเซย์ริทุกคน การจะใช้พลังได้เต็มที่จำเป็นต้องนึกถึงสิ่งที่ให้พลังต่อเธอได้มากที่สุด มันจะช่วยให้เธอรวบรวมพลังได้มากขึ้น อะไรก็ตามที่เธอคิดว่าทำแล้วทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น จะเป็นท่าในจินตนาการ หรือเป็นท่าของคนที่เธอชื่นชอบก็ได้ ลองนึกภาพแล้วทำท่าตามให้เหมือนที่สุด และเมื่อเธอทำได้แล้ว…”

     ชิโอริแยกตัวจากการคลุกวงใน หันมารวบรวมพลังเอาไว้ในมือทั้งสองข้างในรูปของลูกบอลแสง แล้วผลักใส่ฮิโรมิไม่ให้ตั้งตัว เพราะเป็นการโจมตีที่ประชิดตัวมาก ฮิโรมิจึงสร้างม่านป้องกันสีแดงขึ้นเฉพาะหน้า ลูกบอลแสงของชิโอริปะทะผิวม่านป้องกันแล้วก็ระเบิดขึ้น แต่แรงระเบิดส่งเข้าไปข้างหลังม่านป้องกันไม่ได้เลย

     “เธอก็จะทำอย่างนี้ได้… แต่มันไม่เบาเกินไปหน่อยเหรอ ก่อนหน้านี้ยังทำได้มากกว่านี้เลย”

     ชิโอริที่เห็นผลลัพธ์ก็ก้มพิจารณาตัวเอง การโจมตีสุดท้ายที่เธอทำให้ผู้รุกรานจากอวกาศรุนแรงกว่านี้มาก ลูกบอลแสงที่ปล่อยใส่ฮิโรมิเมื่อครู่นี้ยังมีพลังทำลายไม่ถึงครึ่งเลย ทั้งที่เธอใส่พลังลงไปในการโจมตีเมื่อครู่นี้เกือบทั้งหมดแล้ว แต่เธอก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้ ฮิโรมิยังบุกใส่เธออยู่ และยังต้องการชัยชนะมากเสียด้วย

     “เธอไม่ต้องสอนฉัน ริกะก็สอนเรื่องนั้นให้อยู่แล้วล่ะน่า!”

     ชิโอริรู้สึกตัวตอนที่คมดาบเฉียดใบหน้า เธอจึงรีบหลบฉับพลัน ดาบแสงที่ฟันโดยไม่ทันตั้งตัวจึงบาดเข้าที่ใบหน้าของเธอเป็นแผลตื้นๆ แต่นั่นทำให้ชิโอริหน้ามืดไปชั่วขณะ

     เมื่อสองวันก่อน หลังจากที่กลับมาที่บ้านพร้อมกับแสงสุทิน เธอก็หมดสติที่ห้องของตัวเองทันที แล้วก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เรี่ยวแรงยังมีไม่มาก ฮิโรมิเห็นอีกฝ่ายเริ่มเสียหลักจึงเร่งปิดบัญชี

     แต่เธอตัดสินใจเร็วเกินไป

     จังหวะที่ดาบของเธอกำลังจะเฉือนที่ไหล่ ชิโอริก็มุดหลบเข้าประชิดตัว แล้วใช้เข่าแทงเข้าไปที่ช่องท้องสุดแรงเกิด แรงปะทะมหาศาลทะลุผ่านอาภรณ์เทพธิดาเข้าไปจนถึงกระเพาะอาหาร กลายเป็นความจุกจนตัวงอ เสียงหายใจถี่ดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าเหยเก ดวงตาสีแดงเข้มชำเลืองมองชิโอริที่เดินเข้ามาใกล้

     “ไม่ตรงไปตรงมา เธอพูดเองสินะ” ฮิโรมิกำมือแน่น หันกลับไปสาดดินใส่ชิโอริ แล้วใช้ดาบฟันใส่ชิโอริที่น่าจะมองไม่เห็น แต่ดาบก็ถูกปัดทิ้ง ตามมาด้วยแรงเหวี่ยงจนภาพพลิกดินเป็นฟ้า ก่อนจะกระแทกพื้นจนจุก และจากตรงนั้น เส้นผมสีฟ้าเงินโบกไสวราวกับกำลังยั่วโมโหเธออยู่

     “ไม่เบาเลย อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ซื่อตรงเหมือนกับมาโดกะ”

     “คิดว่าฉันเป็นใครล่ะ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจสักนิด” ฮิโรมิหายใจถี่ขึ้น “เธอต่อสู้เก่งขนาดนี้ ทำไมถึงได้หนีจากสถานีวิจัยมาซ่อนตัวอยู่อย่างนี้ด้วยล่ะ ถ้าเธอเก่งจริง สถานีวิจัยก็ต้องหางานอย่างอื่นให้ทำอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

     “มันไม่ใช่สิ่งที่ทางนั้นต้องการ” ชิโอริตอบ “สำหรับแองเจลอยด์อย่างฉัน สิ่งที่ถูกคาดหวังมีแค่พลังต่อสู้ระยะไกลเท่านั้น ถึงจะใช้มือเปล่าได้ดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ความจริงถ้าไม่ได้เธอช่วยเอาไว้ ฉันน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

     “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลยนะ” ฮิโรมิชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

     “ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก” ชิโอริก้มไปหาฮิโรมิที่ดึงอาภรณ์เทพธิดากลับเข้าตัว แล้วคว้าคอเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาล “ฟังฉันให้ดีนะ ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะขอรับตัวฟูจิซากิ ฮิโรมิมาเป็นพวกเดียวกับฉัน สักวันหนึ่ง ฉันกับฮิโรมิจะกลับไปที่สถานีวิจัยแน่ นับวันรอเวลาที่ฉันจะกลับไปได้เลย ฉันเตรียมของฝากของทุกคนเอาไว้อยู่แล้ว”

     ฮิโรมิไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพูด ทั้งที่กำลังทำหน้าตึง แต่ท่าทางของชิโอริกลับไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้ว ชิโอริจึงคลายมือ แล้วพูดอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย

     “จนกว่าจะถึงตอนนั้น มาอยู่กับฉันสักระยะไหมล่ะ”

     นั่นเป็นคำถามที่ฮิโรมิไม่ต้องใช้ความคิดเพื่อที่จะตอบด้วยซ้ำ

     ที่บ้านของชิโอริ ชายหนุ่มกำลังเข้าไปจัดของอยู่ในห้องของชิโอริ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดที่จะเข้าไปด้วยซ้ำ แต่ว่า เมื่อเช้านี้ หลังจากที่เจ้าตัวได้สติขึ้นมาก็บอกให้เขาช่วยทำความสะอาดให้ทันที แต่เธอเพิ่งออกไปข้างนอกกับฮิโรมิแล้วยังไม่กลับมา เขาจึงถือวิสาสะเข้าไปในห้องของเธอ แล้วเริ่มทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม แต่ความจริงแล้ว ห้องนี้ก็สะอาดดีอยู่แล้ว แค่สองวันที่เจ้าของห้องหมดสติไปไม่น่าจะสกปรกขนาดนั้น เครื่องเขียนกับโต๊ะนั่งพื้นก็ทำจัดเอาไว้ดีแล้ว ยกเว้นกองเอกสารที่ถูกมัดเรียงกันเป็นระเบียบตรงมุมห้องที่อาจเป็นที่เก็บสะสมของฝุ่นได้เป็นอย่างดี

     ขณะที่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่น เขาก็ได้เห็นว่าตัวหนังสือทั้งหมดถูกเขียนด้วยลายมือเดียวกัน ภาพประกอบยังวาดด้วยมือ และเนื้อหาก็อ่านไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ในกระดาษทั้งหมดที่น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 300 แผ่น มีอยู่แผ่นหนึ่งที่สะดุดตาจนต้องเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มัน แม้ว่าตัวหนังสือที่เขียนด้วยดินสอจะค่อนข้างเลือนไปแล้วก็ตาม

     …โครงการวิจัย – การพัฒนาสายพันธุ์เทอร์รารอยด์…

     …ลับสุดยอด (แต่ถ้าใครอยากอ่านก็เชิญตามสบาย) …

     “แล้วมันลับสุดยอดตรงไหนกัน”

     เขารู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำนั้นที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ทันไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ทำให้เขาต้องรีบปัดกวาดให้เสร็จ แล้วจึงวิ่งออกไปเปิดหลังจากนั้นอีกหลายนาที ข้างหลังประตูบานนั้น เด็กสาวที่มีเส้นผมสีฟ้าเงินกำลังหิ้วปีกเด็กผู้หญิงผมสีแดงเข้ามาอย่างทุลักทุเล

     “เหนื่อยแทบแย่ ตัวเธอหนักเหมือนกันนะ แสงสุทิน ฉันฝากดูแลฮิโรมิหน่อยนะ อยากล้างแผลใจจะขาดแล้วสิ ถึงมันจะแสบแทบขาดใจก็เถอะ” ชิโอริพูดหลังจากที่ฝากฮิโรมิให้เขาเรียบร้อยแล้ว เธอถอดเสื้อที่เปื้อนดินและเหงื่อโดยที่ไม่สนใจว่าแสงสุทินจะอยู่ตรงนั้น ก่อนจะฝากให้เขาเอาไปซักให้ด้วย แล้วจึงเดินเข้าห้องอาบน้ำไป

     เสียงกรีดร้องเหมือนโลกจะแหลกสลายดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน

     “ได้ยินตอนแรกก็นึกว่าใคร เธอจะพาชิโอริไปที่สถานีวิจัยสินะ” แสงสุทินพูดขณะที่กำลังทำแผลให้ฮิโรมิในห้องครัว เขายังจำสิ่งที่เธอทำเอาไว้ที่บ้านหลังนี้ได้ดี แต่ฮิโรมิก็ทำไม่ได้สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ

     “ไม่ใช่แค่จะไม่เอาจริง แต่ถึงกับแนะแนวให้ฉันเลยเหรอ ดูถูกกันได้นะ” ฮิโรมิพูดคนเดียว “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเหตุผลอะไรนั่นหรอก แต่ถ้าบอกเหตุผลให้ฟัง สถานีวิจัยคงโดนเล่นงานเอาตายแน่ แต่ฉันก็เล่าให้ชิโอริฟังตั้งแต่แรกแล้วนะ แต่ก็ไม่เข้าใจความคิดของเธออยู่ดี ชิโอริเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกหรือเปล่า”

     “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ” แสงุสทินทำแผลต่อไปเงียบๆ

     เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอยู่หลายนาทีก่อนจะเงียบหายไป แล้วเด็กสาวผมสีฟ้าเงินก็เดินเข้ามาในห้องครัวในสภาพที่เส้นผมยังไม่แห้ง นอกจากล้างแผลแล้ว เธอคงใช้โอกาสนี้อาบน้ำไปด้วยเลย ชิโอริใช้ผ้าขนหนูเน้นซับลงไปที่ปากแผลจนแห้งสนิท ก่อนจะเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดเส้นด้ายที่ใช้เย็บแผลเก่า แล้วจึงเอาเข็มกับด้ายเส้นใหม่…

     “เดี๋ยวก็เป็นบาดทะยักกันพอดี ถ้าเธอไม่ไปทำแผลที่โรงพยาบาลก็ใช้วิธีอื่นสิ” แสงสุทินเข้าไปแย่งเข็มที่ร้อยด้ายเตรียมจะใช้จากมือของชิโอริ แต่ผลที่ได้ก็คือ ไม่มีการเขยื้อนเลย “ให้ตายสิ พวกเซย์ริไม่ชอบทำอะไรที่คนปกติทำกันเลยหรือไงนะ ไม่ว่าจะคนไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ไปร้องเพลงห่วยๆ ให้อายคนทั้งโรงเรียน…”

     เขาพูดแล้วก็เงียบลง ความรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็ลืมไปเสียอย่างนั้น พวกชิโอริไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดเลย ชิโอริวางเข็มลง ฮิโรมิมองเธอด้วยความสงสัย เธอไม่ได้สนใจการเย็บแผลด้วยเข็มเย็บผ้าหรอก

     “ได้ยินหมดแล้วล่ะ ฉันเล่าให้ฟังเองนะ” ชิโอริที่เก็ยเข็มกับด้ายไปแล้วพูดขึ้น “รู้สึกว่าฮิโรมิพูดว่าจะสังเกตการณ์ฉัน แล้วรายงานความคืบหน้ากลับไปที่สถานีวิจัย เธอก็เลยคิดว่าถ้าเข้ามาอยู่กับฉันก็น่าจะรับรู้ความเป็นไปได้ดีกว่าแอบมองอยู่ห่างๆ เพราะงั้น ฉันถึงได้จัดให้ตามที่เธอต้องการน่ะ”

     “ฉันไม่ได้เล่าถึงตรงนั้นเลยนะ” ฮิโรมิตาเบิกโพลง แต่คนที่เบิกได้กว้างกว่าก็คือแสงสุทิน

     “นั่นมันเรื่องใหญ่เลยนะ มันเท่ากับว่าเธอเปิดโอกาสให้ทางนั้นรู้ความเคลื่อนไหวของเธอตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วที่เธอพูดเมื่อกี้ เธอให้ฮิโรมิอยู่กับเธอเหรอ ความจริงฉันก็แปลกใจที่ครั้งนี้ฮิโรมิไม่ได้มาจับตัวเธอนะ แต่เธอก็ไม่น่าจะเปิดโอกาสให้ตั้งขนาดนี้เลยนี่นา” แสงสุทินคัดค้านเต็มที่ ถึงแม้ว่าสถานีวิจัยที่เคยได้ไปจะไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้ แต่ถ้าชิโอริถูกพาตัวไป นั่นหมายความว่าเขาจะต้องสูญเสียที่อยู่ไปด้วย

     การมาของฮิโรมิจะต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ ถึงจะไม่ใช่ภัยคุกคามโดยตรง แต่สถานีวิจัยจะต้องใช้ข้อมูลที่ได้จากเธอเพื่อวางแผนทำอะไรสักอย่างกับชิโอริ แต่ทั้งที่เจ้าตัวก็น่าจะพอรู้อยู่แล้ว ชิโอริกลับพูดต่อด้วยสีหน้าโล่งอก

     “พวกเขารู้อยู่แล้วล่ะ แค่ไม่ได้เคลื่อนไหวเท่านั้น แล้วฉันก็คิดว่าพวกวางแผนสูงอย่างสถานีวิจัยคงไม่ได้มีแผนการตื้นๆ อย่างนั้นหรอก มันต้องมีเบื้องหลังแน่ ฉันถึงได้แกล้งทำให้พวกนั้นคิดว่าเป็นไปตามแผนยังไงล่ะ” เธอจ้องที่แผ่นหลังของฮิโรมิเหมือนจะมองทะลุลงไป ขณะที่ฮิโรมิหันไปสบตากับเธอ ดวงตาสีแดงดูประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

     “สรุปว่าเธอพูดจริงเหรอ ไม่เอาน่า เธอฉลาดกว่านี้นะ ไม่มีทางที่เธอจะ…”

     “ฉันพูดจริง จะให้พูดอีกกี่ครั้งก็ยืนยันคำเดิม” ชิโอริตอบ “จะสังเกตการณ์หรืออยากทำอะไรก็เชิญ ขอแค่อย่าทำให้บ้านของฉันพังไปมากกว่านี้ก็พอ ถ้ายังมีมากกว่านี้อีก กลัวว่ามันจะไม่จบแค่รูที่กำแพงน่ะสิ” เธอชี้ไปยังกำแพงของห้องครัวที่ยังเป็นรูโหว่ไปถึงข้างนอก แสงสุทินยังแปลกใจเลยว่าเขายังใช้มันเป็นปกติทั้งสภาพอย่างนั้นได้ “แต่ไหนๆ ก็ได้ออกมาข้างนอกแล้ว เธอน่าจะทำตัวให้ต่างจากตอนที่อยู่ในสถานีวิจัยสิ อย่างเสื้อผ้าพวกนั้นก็เปลี่ยนซะด้วยนะ ถ้าเข้าไปในเขตอยู่อาศัยทั้งอย่างนี้คงโดนมองยิ่งกว่าเรื่องสีผมแน่ ตามฉันมาสิ”

     ชิโอริเดินไปจากห้องครัว โดยมีฮิโรมิเดินตามไปด้วย ทั้งคู่เข้าไปในห้องของชิโอริ แล้วก็มีเสียงถกเถียงดังขึ้น จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูห้องจึงเปิด ทั้งสองคนเดินกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้น แสงสุทินกำลังรอที่จะถามเกี่ยวกับกองกระดาษที่พบขณะที่เข้าไปทำความสะอาดอยู่ แต่เมื่อได้เห็นสภาพของฮิโรมิหลังจากที่กลับมาแล้วก็ต้องตะลึง

     เสื้อและกางเกงผ้าสีน้ำตาลถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าโปร่งสีเขียวสดใส กับกระโปรงชายบานที่ยาวถึงเข่า เขารู้สึกว่ามันเข้ากับเส้นผมสีแดงเข้มอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะว่าฮิโรมิตัวเล็กเหมือนเด็กประถมด้วยหรือเปล่า แต่มันเหมาะกับเธอมากกว่าชุดที่เธอใส่มา หรือชุดหนังสีแดงเข้มที่เป็นอาภรณ์เทพธิดาของเธอเสียอีก

     ฮิโรมิที่รู้สึกถึงสายตาของเขาขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ

     “ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่แต่งตัวให้เด็กคนนี้เท่านั้นเอง” ชิโอริที่ยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมกล่าว “พักเรื่องเอาไว้ก่อน ตอนนี้ก็เที่ยงพอดี พวกเราเข้าไปในเขตอยู่อาศัยกันไหม นายไม่ได้เข้าไปนอกจากตอนที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัว แล้วฉันก็ยังไม่ได้ทดสอบนายด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลย เข้าไปกันเถอะ”

     ชิโอริพูดจบแล้วก็จับมือพาทั้งแสงสุทินและฮิโรมิลงจากภูเขา แต่ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยโคลน เซย์ริทั้งสองคนจึงใช้ปีกพาแสงสุทินร่อนลงไป แล้วจึงลงพื้นในบริเวณที่ไม่สกปรก ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 ซึ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังการต่อสู้เมื่อสองวันก่อน แต่สายตาของคนรอบข้างที่มองชิโอริและฮิโรมินั้นทำให้แสงสุทินรู้สึกอยากเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัว เพราะมันเป็นสายตาของคนที่ไม่รู้ถึงความลำบากของอีกฝ่าย แล้วยังจะจ้องจับผิดกันอีก

     ยกเว้นแต่ว่า เซย์ริทั้งสองคนไม่ได้สนใจสายตาพวกนั้น แล้วพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่หนักยิ่งกว่า

     “กางปีกในสภาวะปกติ แถมยังไม่ใช่การฝึกกลวิธี ถ้าอยู่ในสถานีวิจัยคงโดนพาตัวไปแล้วล่ะ”

     “เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะรายงานไปที่สถานีวิจัยก็ได้นะ ฉันเชื่อว่าจะมีคนแก้ต่างให้ฉันทันทีเลยล่ะ” ชิโอริยิ้มกริ่ม ขัดกับฮิโรมิที่มีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

     “แล้วบททดสอบที่ว่า เธออยากจะให้ฉันทำอะไรเหรอ” แสงสุทินพูดขัด เขายังจำสิ่งที่ชิโอริพูดกับเขาหลังจากถูกส่งตัวกลับจากสถานีวิจัยได้ดี เรื่องที่ว่าเธอมบททดสอบให้กับเขาถ้าต้องการกลับมาอยู่กับเธออีกครั้ง แต่ในเย็นวันนั้น เธอก็หมดสติมาตลอด บททดสอบที่พูดถึงจึงไม่มีโอกาสได้ทำ

     “เอาไว้ไปถึงแล้ว นายก็จะรู้เองล่ะ” ชิโอริพูดแล้วเดินนำหน้าไป ปล่อยให้แสงสุทินมองหน้าฮิโรมิเหมือนต้องการคำใบ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายให้กลับมามีแค่สีหน้าที่ไม่อยากถูกมองอย่างนั้น จนกระทั่งเดินเข้าไปเป็นระยะทางค่อนข้างไกล เธอจึงหยุดเดิน แล้วหันกลับมาด้วยท่าทางมีความสุข “มาถึงแล้วล่ะ เข้าไปกินอาหารกลางวันข้างในนี้กันนะ เพราะว่าเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ก็เลยไม่ได้กินอะไรชดเชยเรี่ยวแรงที่ใช้ไปจากการต่อสู้เลยน่ะ”

     ตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคนคือร้านอาหาร ป้ายหน้าร้านเขียนด้วยคำที่อ่านไม่ออกว่า BUFFET ถึงจะไม่รู้คำแปล แต่ก็คงไม่ใช่คำที่ไล่ลูกค้าไปหรอก แสงสุทินที่เกิดและโตในเขตอยู่อาศัยนี้จำไม่ได้เลยว่ามีร้านนี้อยู่ด้วย ชิโอริเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับหน้าร้าน ดูเหมือนว่าทางนั้นทำสีหน้าไม่ค่อยดีตอนที่คุยกับเธอ แต่หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ทุกคนก็ได้เข้าไปในร้าน แล้วเลือกนั่งโต๊ะที่รับจำนวนของพวกเขาได้พอดี

     นอกจากทั้งสามคนก็มีลูกค้าคนอื่นอยู่ด้วย แต่เป็นกลุ่มคนใช้แรงงานทั้งนั้นเลย นั่นก็เพราะรายการอาหารทั้งหมดในร้านนี้ค่อนข้างเหมาะกับคนที่ต้องใช้พลังงานต่อวันมากกว่าคนทั่วไปอย่างพวกเขา

     “แล้ว… ฉันต้องสั่งอาหารกับใครเหรอ” แสงสุทินที่เพิ่งมาครั้งแรกยังไม่เข้าใจระบบบริการ

     “ที่นี่ไม่เหมือนกับโรงเลี้ยงในสถานีวิจัยสินะ” ฮิโรมิทำหน้าเหยเกขณะระลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา

     “ไม่เหมือนหรอก แล้วก็ไม่มีใครมารับรายการอาหารด้วย” ชิโอริผายมือไปยังอาหารที่ถูกจัดวางเอาไว้ที่มุมหนึ่งทั้งรอยยิ้ม “นี่เป็นร้านอาหารบริการตัวเองต่างหาก นายอยากจะหยิบอาหารที่วางเอาไว้ตรงนั้นเท่าไหร่ก็ได้ อยากดื่มอะไรก็ไปเอาตรงนั้นได้ ทั้งหมดรวมอยู่ในเงินที่จ่ายไปอยู่แล้ว แต่มีกฎอยู่สองอย่าง ถ้านายหยิบมาแล้วต้องกินให้หมด ห้ามเอากลับไปวางที่เก่า แล้วพวกเรามีเวลาอยู่ในร้านหนึ่งชั่วโมง ถ้าหมดเวลาแล้วนายยังกินเหลือ นายต้องจ่ายเงินเพิ่มในส่วนที่กินเหลือ ประมาณนี้คงเข้าใจนะ”

     “ทำไมยังต้องเสียเงินเพิ่มด้วยล่ะ” แสงสุทินถามอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่คำตอบก็รู้กันดีอยู่แล้ว

     “คงไม่มีใครอยากกินของเหลือจากคนอื่นล่ะมั้ง ของที่เอามากินต่อไม่ได้มันเสียของเปล่าๆ น่ะ” ฮิโรมิช่วยตอบให้ สีหน้าของชิโอริพึงพอใจมาก

     “ก็ประมาณนั้นแหละ ตอนนี้เหลือเวลาอีก 58 นาที รีบไปหยิบอาหารมากันเถอะ ถึงฉันจะมีเงินพอจ่ายค่าอาหารที่กินเหลือก็เถอะ แต่ฉันไม่แนะนำให้ลองของกันหรอกนะ” ชิโอริลุกขึ้นไปยังจุดที่ชี้ไปในตอนแรก อีกสองคนลุกขึ้นตาม แต่เธอก็ยกมือห้ามแสงสุทินให้นั่งอยู่กับที่ “ฉันจะไปเอาส่วนของนายมาให้เอง ระหว่างนี้ก็ไปเอาเครื่องดื่มมาเถอะ ท่าทางนายจะต้องใช้เยอะหน่อยนะ”

     พูดจบแล้วเธอก็เดินไปกับฮิโรมิ ทิ้งให้แสงสุทินที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเดินไปหยิบเครื่องดื่มมาจากอีกมุมหนึ่ง แล้วก็หยิบส่วนของทั้งสองคนมาให้ด้วยเลย พวกเธอใช้เวลาค่อนข้างนาน ประกอบกับมีลูกค้าที่ต่อแถวหยิบอาหารอยู่ก่อน กว่าจะกลับมาก็เหลือเวลาอีก 51 นาที นี่อาจเป็นครั้งแรกที่แสงสุทินนับเวลาถอยหลังละเอียดขนาดนี้ ชิโอริหยิบจานอาหารของเขามาให้ตามที่พูด แต่เมื่อจานนั้นถูกวางลงตรงนี้ ความรู้สึกเหมือนกระเพาะส่งเสียงต่อต้านก็เกิดขึ้น เช่นเดียวกับสายตาคนรอบข้างที่ตื่นตะลึง

     “ถ้าจะเอามาขนาดนี้ ฉันกลับไปเอาอาหารเม็ดจากโรงเลี้ยงมาให้ก็ได้นะ ดูแล้วน่าจะเสียของสุดๆ” ฮิโรมิพูด

     “ถ้าจะเอามาก็ฝากส่วนของฉันด้วยล่ะ หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องมาที่นี่บ่อยๆ”

     “เธอเอาอะไรมาให้ฉันเหรอ” แสงสุทินถามจากข้างหลังภูเขาของทอด

     “ก็อาหารกลางวันไงล่ะ แล้วก็เป็นมื้อแรกที่ได้กินข้างนอกด้วยนะ ฉันเอามาแต่ของที่อร่อยทั้งนั้นเลย หรือว่านายไม่ชอบกิน ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งมาให้ฉันส่วนหนึ่งก็แล้วกัน”

     “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น…” จากที่แสงสุทินคำนวณ ปริมาณแคลอรี่จากอาหารในจานตรงหน้าน่าจะ “สูงปรี๊ด! ทั้งพลังงานทั้งอาหารเลย ถึงเธอจะบอกว่าหยิบมาเท่าไหร่ก็ได้ แต่นี่มันเยอะเกินไปแล้วนะ เธอพูดเองว่าให้เอามาเฉพาะที่กินไหวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึง-”

     “นี่ก็ปริมาณปกตินะ”

     ชิโอริถามกลับ ในจานของเธอก็มีอาหารไม่น้อยกว่าของแสงสุทิน ยิ่งมากกว่าจนล้นด้วยซ้ำ ถ้าจากที่เธอตักให้เขาเรียกว่าภูเขา จากของเธอก็คือยอดเขาแหลมที่หาจุดสูงสุดไม่เจอ ของกินทั้งหมดอัดแน่นในสภาพที่แทบไม่มีช่องว่างภายในเลย ความสูงก็น่าจะเกินหนึ่งเมตร และเขาเพิ่งสังเกตว่าจานของฮิโรมิก็เช่นกัน

     “ปกติตรงไหนกันเล่า…” แสงสุทินพูดเสียงอ่อน

     “เวลานับถอยหลังอยู่นะ ถ้าไม่รีบกิน ฉันก็ต้องให้นายจ่ายเงินในส่วนที่กินเหลือ ว่าแต่นายมีเงินติดตัวเท่าไหร่”

     ถึงจะไม่อยากเชื่อ แต่แสงสุทินก็เคี้ยวแล้วกลืนลงไปคำแล้วคำเล่าโดยไม่ปริปากบ้น ความจริงอาหารก็อร่อยใช้ได้ แต่เมื่อถูกยัดเยียดให้กินในปริมาณที่เกินความจุของกระเพาะ มันให้ความรู้สึกทรมานตัวเองในทุกครั้งที่เคี้ยว ถึงจะดื่มน้ำตามลงไปก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เมื่อมองเซย์ริทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเธอกินอาหารที่มากกว่าของเขาได้โดยไม่สะทกสะท้าน

     ระหว่างที่กำลังกินอยู่ ชิโอริก็พูดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร

     "จริงสินะ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ มีใครอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม จะเป็นของในร้านนี้ หรือว่าอะไรก็ได้นะ"

     “ฉันอยากได้อยู่อย่างหนึ่ง” ฮิโรมิเหลือบตามองชิโอริ “ให้คำตอบมาได้ไหม ทำไมเธอถึงหนีมาจากสถานีวิจัย”

     ได้ยินเสียงช้อนหล่นลงกับโต๊ะ ชิโอรินั่งนิ่งไม่ขยับตัวได้พักใหญ่ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาเช็ดแล้วก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร อาหารในจานที่กองสูงราวกับภูเขาหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็กินเนื้อวัวทอดชิ้นสุดท้ายเสร็จในเวลาแค่ 4 นาทีเท่านั้นเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮิโรมิกินหมดทั้งจาน ภูเขาเนื้อทอดกองโตหายวับเข้าไปในท้องของเด็กผู้หญิงตัวเล็กราวกับเป็นแค่ของเรียกน้ำย่อย ชิโอริดื่มน้ำแก้กระหาย แล้วก้มหน้าลงราวกับนึกถึงความหลังที่ไม่ค่อยดีนัก

     “ก็แค่ความคิดชั่ววูบของฉันเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”

     “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยนะ” ฮิโรมิย้อนสวน “บอกมาหน่อยได้ไหม อะไรทำให้เธอหนีจากสถานีวิจัย ไม่สิ เธอหนีมาได้ยังไงมากกว่า สถานีวิจัยมีการป้องกันแน่นหนามากเลยนะ ทั้งกันคนนอกเข้าและกันคนในหลบหนี แล้วพอรู้ว่ามีเซย์ริที่หลบหนีออกไปก็จะส่งเซย์ริคนอื่นตามจับกุมทันทีเลยไม่ใช่เหรอ”

     “มีหลายกรณีที่เป็นข้อยกเว้นนะ” ชิโอริเช็ดปาก แล้วหยิบจานที่กินเสร็จแล้วไปตักอาหารชุดใหม่กลับมาอีก

     ต่อหน้าต่อตาแสงสุทินและลูกค้าคนอื่นที่มองทั้งสองคนเป็นตาเดียว รวมถึงพนักงานร้านที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองพวกเธอตาปริบๆ พวกเซย์ริกลับมาหยิบอาหารใหม่ทุกๆ 6 นาที ขณะที่อาหารของแสงสุทินเพิ่งจะลดไปได้แค่สามในสี่ และจะยิ่งช้าลงเรื่อยๆ จากความจุกเสียดและเลี่ยนน้ำมัน แต่สุดท้าย เขาก็ฝืนกลืนเนื้อคำสุดท้ายลงไปได้ก่อนหมดเวลาหนึ่งนาที ท่ามกลางเสียงชื่นชมของลูกค้าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แต่สิ่งตอบแทนที่เขาได้รับก็คือ คำขาดจากพนักงานไม่ให้พวกชิโอริกลับมาที่ร้านอีกเป็นอันขาด ก่อนที่พวกเขาจะขาดทุนย่อยยับ

     พอเดินออกจากร้านอาหารที่อ่านชื่อไม่ออกแล้ว ทั้งสามก็เดินย่อยอาหารต่อในเมือง

     “ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ แต่ก็ยังอยากกินเพิ่มอยู่เลย…” ชิโอริตบหน้าท้องที่โป่งนูนด้วยสีหน้ามีความสุข

     “ทั้งหมดนั่นน่าจะ 70,000 กิโลแคลอรี่แล้ว ทั้งที่อ่อนแอที่สุดแล้วยังจะต้องการพลังงานเยอะอีกนะ”

     “ฉันใช้ไปในการต่อสู้จนไม่เหลือแล้ว ได้มาเติมพลังงานที่นี่ก็ถือว่าพอดีเลยล่ะ” หน้าท้องของชิโอริกับฮิโรมิที่เพิ่งกินอาหารกองเท่าภูเขายุบลงเร็วมาก จนแสงสุทินเริ่มสงสัยในระบบย่อยอาหารของเซย์ริ ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาหลังจากที่เพิ่งทำอย่างเดียวกันก็คือ อืดเต็มท้องจนเดินไม่ไหว

     “นึกว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มซะแล้ว ความจริงฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่านายจะทำได้ถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ” ชิโอริตบหลังแสงสุทินที่เดินตามหลังมา สีหน้าที่ไม่สู้ดีอยู่แล้วก็ยิ่งทรมานขึ้นไปอีก “ทีนี้ก็ยินดีด้วย นายผ่านการทดสอบของฉันแล้วนะ”

     แสงสุทินกลืนอาหารที่ดันขึ้นมาถึงลำคอกลับลงไปทันที

     “ทดสอบ… เมื่อกี้นี้คือการทดสอบเหรอ แค่กินของที่เธอเอามาให้หมดน่ะเหรอ อย่างน้อยก็บอกกันก่อนสิ”

     “ฉันไม่ต้องบอกนายว่าจะทดสอบเมื่อไหร่ แต่นายก็ผ่านแล้วนะ” ชิโอริส่งยิ้มให้แสงสุทินที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วหันไปหาฮิโรมิ “เธอเองก็เหมือนกันนะ ถ้าเธออยากจะอยู่ด้วย ฉันก็คงต้องให้เธออยู่สินะ ถ้าอยากได้อะไรก็บอกฉันได้เลย นอกจากชีวิตของฉันแล้ว ฉันก็ให้เธอได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

     “แปลว่า เธอจะให้ฉันอยู่ต่อใช่ไหม” แสงสุทินทวนสิ่งที่เข้าใจเหมือนได้รับความหวัง

     “ทุกอย่าง… เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยนะ ทำไมเธอถึงหนีมา-”

     “ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นการแต่งตัวสินะ แล้วเสื้อผ้าของฉันก็น่าจะมีไม่พอใส่กันสองคน ฉันจะซื้อเสื้อผ้าปกติให้เธอใส่ระหว่างที่ยังอยู่ข้างนอกเอง ยิ่งเธอมาที่นี่ตัวเปล่าก็คงอยากได้อะไรเป็นพิเศษใช่ไหม อะไรที่มากเป็นพิเศษ…” ชิโอริก้มมองหน้าอกที่ใหญ่เกินหน้าเกินตาด้วยความอิจฉา แล้วพูดต่อโดยไม่สบตาอีกฝ่าย

     ฮิโรมิเริ่มไม่พอใจ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ทั้งสองคนก็เข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าสตรี ปล่อยให้แสงสุทินรออยู่ข้างนอก ซึ่งเวลาที่ใช้ไปเกือบชั่วโมงก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จากนั้นจึงไปซื้อวัตถุดิบทำอาหาร แล้วก็ได้เดินทางกลับบ้านสักที

     ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า แสงสุทินเป็นคนถือวัตถุดิบทำอาหาร ฮิโรมิถือเสื้อผ้าที่ชิโอริซื้อให้ด้วยเงินหลักพัน ส่วนชิโอริเดินตัวปลิวขึ้นภูเขา แต่ฮิโรมิก็โยนเสื้อผ้าให้ชิโอริ ก่อนจะแยกตัวไปตามลำพัง ชิโอริรู้ว่าเธอต้องการทำอะไรจึงปล่อยไป แล้วเรียกแสงสุทินที่สนใจให้เดินตามเธอกลับไปที่บ้าน

     ฮิโรมิที่แยกตัวไปรายงานสถานีวิจัยด้วยวิทยุสื่อสารที่ได้รับมาก่อนออกเดินทาง แต่ก็เริ่มประหม่าขึ้นมา เธอพูดย้ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เรียงลำดับผิด รวมถึงคิดหาคำตอบให้กับคำถามที่อาจถูกถามกลับมา อย่างเช่นว่า ทำไมเธอถึงไปอยู่กับชิโอริแทนที่จะเฝ้ามองอยู่ห่างๆ หรือการที่เธอกับชิโอริต่อสู้กันในช่วงแรก เธอพูดออกเสียงทั้งที่ยังติดต่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

     “ฟูจิซากิ ฮิโรมิ ใช่ไหม”

     จนในที่สุด ปลายสายก็รับการติดต่อจากเธอ ความประหม่าเต็มตัวทำให้ฮิโรมิพูดไม่ได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่ดังกังวานด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมดังขึ้น แต่เสียงนั้นไม่ได้ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสารขนาดจิ๋ว มันดังอยู่ข้างนอก ตรงทางเดินที่ต่อจากทางเดินขึ้นภูเขาไปข้างนอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 เชื่อมต่อไปถึงพื้นที่ป่าที่อยู่ถัดไปซึ่งทอดยาวสุดสายตา

     “เธอคือใครกัน ทำไมถึงเดินมาจากข้างนอกเขตอยู่อาศัย”

     ฮิโรมิตกใจกับผู้หญิงที่เดินเข้ามาจากนอกเขตอยู่อาศัย โดยเฉพาะเส้นผมสีดำที่ต่างจากสีดำของแสงสุทิน มันเป็นสีน้ำเงินที่เข้มจนมองเห็นเป็นสีดำ ดวงตามีสีน้ำเงิน ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวคล้ายกับเธอตอนที่เพิ่งมาถึงบ้านของชิโอริ แต่ชุดที่ใส่เป็นสีฟ้า และตามตัวมีใบไม้ติดอยู่เต็มไปหมด ถ้าความคิดของฮิโรมิไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นต้องเดินมาจากเขตอยู่อาศัยที่ 99 หรือไม่ก็สถานีวิจัย หรือก็คือ…

     “เซย์ริหนีทัพ” เธอหลุดปากด้วยความตกใจ จนลืมไปว่าสถานีวิจัยรับการติดต่อของเธอแล้ว

     ทางนั้นค่อนข้างแตกตื่นกับคำพูดที่หลุดเข้าไป ปลายสายพยายามพูดกับฮิโรมิอยู่หลายครั้ง แต่ฮิโรมิอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะตอบรับ เมื่อผู้หญิงผมสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาใกล้ มีบางอย่างบอกกับฮิโรมิว่าบางสิ่งแปลกไปจากปกติ อันดับแรกคือ เซย์ริที่มีอยู่ตอนนี้มีรูปร่างคล้ายเด็กประถมเหมือนกับเธอ หรือไม่ก็แค่เด็กมัธยมต้นเหมือนกับมาโดกะเท่านั้น ไม่มีใครที่มีรูปร่างเหมือนกับเด็กมัธยมปลาย

     นอกจากนั้น เซย์ริจะถูกจำแนกด้วยสีผม แต่สีน้ำเงินไม่ใช่ลักษณะของแองเจลอยด์หรือเทอร์รารอยด์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในช่วง 7 ปีมานี้ คนเดียวที่เธอรู้จักและมีสีผมโทนสีฟ้าก็คือ ชิโอริ เพียงคนเดียว

     “ฟูจิซากิ ฮิโรมิ ฉันอยากวานให้เธอช่วยอะไรหน่อย” ฮิโรมิถูกเธอวางมือบนไหล่ “ช่วยพาฉันไปหาชิโอริได้ไหม รู้สึกว่าเธอก็กำลังทำงานที่เกี่ยวข้องกับชิโอริอยู่เหมือนกันสินะ”

     คำพูดนั้นถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่สำหรับฮิโรมิ เธอรู้สึกราวกับถูกข่มขู่ด้วยคำพูด ความรู้สึกที่ส่งผ่านมือที่แตะไหล่อยู่เหมือนกับจะถูกขยี้ได้ทุกเมื่อ ฮิโรมิกลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียว ก่อนจะพยักหน้าลงโดยไม่รู้ตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่การสื่อสารกับสถานีวิจัยขาดหายไป แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ…

     “อะไรดลใจให้เธอมาถึงที่นี่ กลับสถานีวิจัยไปซะ” ดวงตาของชิโอริเขม่นแน่น ความรู้สึกที่ต่างออกไปทำให้แสงสุทินไม่กล้าเข้าใกล้ นอกจากกับผู้รุกรานจากอวกาศ ฮิโรมิก็เพิ่งเห็นครั้งแรก แต่ทั้งที่กำลังส่งสายตาอย่างนี้ สาวน้อยผมสีน้ำเงินกลับพยายามเข้าไปใกล้ชิโอริ แล้วก็ถูกถอยห่างอย่างไม่เหลือเยื่อใย

     “ไม่เห็นต้องทำตัวห่างกันขนาดนี้เลย นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้ว ไม่รื้อฟื้นความหลังกันสักหน่อยเหรอ”

     “ฉันไม่เหลืออะไรที่ต้องคุยอีกแล้ว เรื่องของพวกเรามันจบตั้งแต่วันนั้นแล้ว” ชิโอริปัดมือไล่

     “สองปีที่เธอต้องหลบซ่อนทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์น่ะเหรอ” สาวน้อยผมสีน้ำเงินเหล่ไปยังมุมห้องที่มีกองกระดาษถูกมัดรวมเอาไว้ สายตาที่มองเห็นได้ไกลของเซย์ริทำให้เธอรู้ว่าอะไรถูกเขียนเอาไว้บนกระดาษเหล่านั้นบ้าง “กระดาษพวกนั้น อย่างนี้นี่เอง ผ่านมาสองปีแล้วก็ยังไม่ล้มเลิกสินะ ไม่นึกเลยนะว่า…”

     “อย่าแตะต้องของๆ ฉัน ต่อให้เป็นเธอก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องพวกมัน แล้วก็รีบออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว”

     “ท่าทางจะยังไม่หายโกรธนะ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงด้วยสิ” สาวน้อยเริ่มหนักใจ ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับแสงสุทิน คงเพราะเขากำลังมองมาที่เธอเหมือนสงสัยในการตอบสนองของชิโอริ “เธอคือมนุษย์ที่อาศัยอยู่กับชิโอริมาได้หนึ่งเดือนแล้วใช่ไหม ช่วยพูดอะไรหน่อยสิ ทำอะไรก็ได้ให้ชิโอริกลับมาดีกับฉันเหมือนเดิม”

     “ฉันไม่รู้ว่าระหว่างพวกเธอมีเรื่องอะไรกัน คงช่วยไม่ได้หรอก”

     แสงสุทินตอบเสียงเหนื่อย คราวนี้เป็นชิโอริที่ตะลึงปนหวั่นใจ

     “เธอรู้เรื่องของแสงสุทินได้ยังไงกัน” ชิโอริหันไปมองฮิโรมิ อีกฝ่ายส่ายหน้ายกใหญ่ “ถ้าเธอไม่ได้รู้มาจากฮิโรมิ แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

     “ก็ต้องรู้สิ เพราะฉันจับตามองปฏิกิริยาของเธออยู่ แต่ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ ความเคลื่อนไหวของเธอแปลกไป ฉันก็เลยคิดเอาเองว่าต้องมีมนุษย์อยู่ใกล้กับเธอตลอดเวลา แต่ไม่นึกว่ามันจะเป็นเรื่องจริงนะ” สาวน้อยหันไปมองแสงสุทิน “เธอเพิ่งจะดึงมนุษย์เข้ามาเสี่ยงอันตรายนะ คงรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม”

     “รู้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ในเมื่อผู้ชายคนนี้รู้เรื่องของผู้รุกรานจากอวกาศแล้ว” ชิโอริหันมองแสงสุทิน “ว่าแต่เธอมาที่นี่ได้ยังไง แต่คิดว่าเธอคงไม่ได้รับหน้าที่มาจากสถานีวิจัยหรอก เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริที่มีความรู้ความสามารถเหนือกว่าเซย์ริทั้งหมดอย่างคุณฮานามิกลับกลายเป็นเซย์ริหนีทัพ อะไรดลใจให้เธอทำอย่างนั้นล่ะ แต่ก่อนอื่น ช่วยทำอะไรสักอย่างกับใบไม้พวกนั้นหน่อยเถอะ บ้านของฉันเลอะหมดพอดี”

     “ขอยืมหวีได้ไหม” สาวน้อยที่ชื่อ ฮานามิ ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง ปัดเศษใบไม้ที่ติดอยู่ตามตัว แล้วหวีผมให้เรียบ “แต่แองเจลอยด์ที่อ่อนแอที่สุดกลับหลบหนีจากสถานีวิจัย คงไม่มีใครคิดสั้นได้เท่านี้อีกแล้วล่ะ ทั้งที่ถ้าอยู่ทำงานต่อไปก็ไม่ต้องหลบซ่อน ทั้งที่ตัวเองได้รับการยกเว้นไม่ต้องไปต่อสู้อยู่แล้วแท้ๆ”

     ฮิโรมิได้ยินดังนั้นจึงพูดแทรกขึ้นอย่างแปลกใจ

     “ฉันปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านหูไม่ได้หรอกนะ เรื่องที่ว่าชิโอริได้รับการยกเว้นไม่ต้องต่อสู้ มันหมายความว่ายังไง ตกลงเธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับสถานีวิจัยกันแน่”

     “นั่นสิ เรื่องมันเป็นยังไงกันเหรอ เห็นพูดถึงสถานีวิจัยตั้งหลายครั้ง แล้วยังมีเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าใจอีก” แสงสุทินพูดขัดจังหวะจนถูกจ้องมอง เขาหลบสายตาเซย์ริพวกนั้น แล้วฮานามิก็ตอบคำถามของฮิโรมิ

     “เรื่องนั้น ถ้าเธอได้ลองอ่านสิ่งที่เขียนในนั้นก็อาจจะรู้นะ” ฮานามิชี้ไปยังกองกระดาษที่ชิโอริวางเอาไว้ที่มุมห้อง แสงสุทินสงสัยเรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที จนกระทั่งฮานามิยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

     “ฉันเล่าให้ฟังเอง ถามว่าทำไมฉันถึงมีสิทธิพิเศษเหรอ” ชิโอริลุกขึ้นไปหยิบกระดาษที่มัดเอาไว้กองหนึ่งกลับมาให้ฮิโรมิ ท่าทางเธอจะไม่ชอบฮานามิเอาเสียมากๆ “ลองอ่านเนื้อหาในนี้ดู หวังว่าถึงฉันจะไม่เล่าให้ฟัง เธอก็คงจะเข้าใจนะ เพราะฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นต่อหน้าฮานามิ”

     “การพัฒนาสายพันธุ์เทอร์รารอยด์” แสงสุทินนึกถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษ ฮานามิผุดยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น “มันเขียนอยู่ในกระดาษแผ่นไหนสักแผ่น ก่อนหน้านี้เธอก็เคยพูดถึงมันให้ฉันฟัง มันคืออะไรเหรอ”

     “แอบอ่านไปแล้วสินะ” ชิโอริถอนหายใจ “ก็อย่างที่แสงสุทินพูด ผลงานเก่าของฉันคือการสังเคราะห์เทอร์รารอยด์ขึ้นมาเป็นคนแรก แต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริร่วมกับริกะและเธอคนนี้ จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนพวกเรามีเรื่องไม่ลงรอยกันเล็กน้อย ฉันถึงได้ทิ้งงานแล้วหนีมาอยู่ที่นี่”

     “ใช่แค่นั้นแน่เหรอ” ฮานามิเหลือบมองเหมือนกำลังประชด

     “มีแค่นี้ที่ฉันจะเล่าได้ตอนที่ยังมีมนุษย์ฟังอยู่ แต่ถ้าเป็นนายในตอนนี้ ฉันก็คงเล่าให้ฟังหมดเปลือกได้สินะ”

     “ใจเย็นก่อน ขอที่ว่างให้ฉันเล่าเรื่องของฉันบ้างนะ” ฮานามิขัดขึ้นมาในจังหวะที่ชิโอริมีอารมณ์เต็มที่ “ไม่รู้ว่าใครในที่นี้พอจะคุ้นชื่อบ้างหรือเปล่า แต่อาวุธใหม่ล่าสุดของมนุษย์ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยสุดท้าย สิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้ใกล้จะเป็นจริงแล้วนะ”

     “ฉันไม่คาดหวังกับมันหรอก แต่เล่าให้ฟังได้ไหม” ชิโอริพูด

     “ถ้าอย่างนั้น ตั้งใจฟังให้ดีเลยนะ จากการพัฒนาอัลฟ่าเชสเซอร์เพื่อให้รองรับ…”

     ตั้งแต่ช่วงนี้ไป แสงสุทินไม่ได้อยู่ฟัง เขาขอตัวไปผ่อนคลายสมองที่ได้รับแต่เรื่องที่ม่เข้าใจให้กลับมาเป็นปกติ เดินขึ้นไปบนภูเขาจนเริ่มมองไม่เห็นบ้านของชิโอริ สีเขียวของใบไม้ช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น ทำให้แสงสุทินใช้เวลาอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น

     ผ่านมาสองเดือนแล้วตั้งแต่ที่รู้สึกตัวในยุคสมัยนี้ ทั้งที่เป็นแค่อดีต แต่หลายอย่างกลับดูก้าวหน้ายิ่งกว่าอนาคตที่เขาจากมาเสียอีก เขาเพิ่งรู้ว่ามีกลไกเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้างลงใต้ดิน ยิ่งเครื่องบินยิงเลเซอร์นั้นไม่รู้จักเลย จากวิชาประวัติศาสตร์ โลกในสมัยก่อนไม่ได้แบ่งเป็นเขตอยู่อาศัย ทั่วทุกแห่งบนโลกมีมนุษย์อาศัยอยู่ พวกเขารวมกันเป็นดินแดนใหญ่ที่เรียกว่าประเทศ เกือบทุกประเทศมีการใช้ภาษา วัฒนธรรมไม่เหมือนกันเลย กระทั่งมนุษย์ก็ยังแบ่งแยกกันตามประเทศที่อาศัยอยู่

     ความแตกต่างเหล่านั้นเป็นชนวนความขัดแย้งมานับครั้งไม่ถ้วน

     จนกระทั่งปี 2025 ทุกประเทศพร้อมใจประกาศสงครามต่อกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นมีชื่อว่า “สงครามโลกครั้งที่สาม”

     ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อสงครามจบลงก็คือ ประชากรมนุษย์ทั่วโลกลดลงเหลือแค่เจ็ดสิบล้านคนเท่านั้น หนังสือเรียนบอกว่าอาจมีความผิดพลาดในการนับจำนวน หลังจากที่ได้เห็นสภาพหลังสงคราม ผู้รอดชีวิตทั้งหมดเริ่มคิดได้และหันหน้าปรับความเข้าใจกัน ก่อนจะพร้อมใจกันละทิ้งเชื้อชาติ วัฒนธรรมและความต่างทางภาษา ซึ่งภาษาที่เหลือผู้ใช้มากที่สุดในตอนนั้นก็คือ ภาษาไทย จากการที่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมในสงคราม

     เรียกได้ว่าทุกอย่างที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ถูกกำจัดทิ้งไปจนหมด แล้วก็ถึงเวลาฟื้นฟูอารยธรรมที่ถูกทำลาย

     เมื่อความขัดแย้งทั้งหมดหายไป โลกก็เริ่มฟื้นฟู แต่อุปสรรคใหญ่หลวงก็คือ สงครามโลกครั้งที่สามทำลายแหล่งทรัพยากรเกือบทั้งหมด พืช สัตว์และแหล่งน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีจนใช้เป็นอาหารไม่ได้ แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอยู่ที่ใจกลางความเสียหายจนเข้าไปเอาไม่ได้ รวมถึงพื้นที่ที่ใช้อยู่อาศัยได้ก็เหลืออยู่เพียง 80 แห่งทั่วโลก ถึงในปี 2060 จะยืนยันพื้นที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็น 103 แห่ง แต่ก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนเหลือแค่ 101 แห่งในปี 2145

     เทคโนโลยีต่างๆ เริ่มพัฒนาขึ้นจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของมนุษย์ จนในปี 2170 นั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่มีบางสิ่งที่ทำให้วิทยาการถอยหลังกลับไปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งสุดท้าย

     …โศกนาฏกรรมครั้งที่สองที่เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2170…

     ถึงจะจำได้ไม่ชัด แต่เหตุการณ์ใหญ่ที่ลดจำนวนมนุษย์จนเหลือแค่สองแสนคนจะเกิดขึ้นในปีนี้แน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานอนเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้อีกแล้ว แสงสุทินอยากจะรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน แต่สายตากลับพร่ามัวจนมองไม่เห็นทาง เป็นเพราะน้ำตาที่ซึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา

     ถึงจะไม่เห็นใบหน้าและจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน แต่มือขวาของเขากลับรู้สึกทรมานขึ้นมา เหมือนกับว่ามันเคยสามารถเอื้อมไปยื้อไม่ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหลุดมือไปได้ แต่เขากลับล้มเหลวที่จะทำมัน ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตอนที่เผชิญหน้ากับผู้รุกรานจากอวกาศครั้งแรก และนี่เพิ่งจะเป็นครั้งที่สองเท่านั้น

     “เธอเป็นใครกัน ทำไมฉันถึงต้องเห็นภาพเธอตลอดเวลา ทั้งที่ฉันก็ไม่รู้จักเธอสักหน่อย”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา