รสสวาทเจ้าสาวป้ายแดง (สนพ.โรแมนติค)

10.0

เขียนโดย คิมปัด

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.

  5 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,148 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 20.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ยัยตัวแสบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2

ยัยตัวแสบ

 

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เมลินีก็ค้นกระเป๋าซึ่งใส่ของใช้ส่วนตัว…แป้วออกไปแล้วหลังจัดชุดแขวนไว้ในตู้เสร็จ ตอนนี้จึงเท่ากับว่าเหลือเพียงหล่อนอยู่ในห้องตามลำพังเท่านั้น

หญิงสาวนำกระปุกครีม เครื่องประทินโฉมวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบกรอบรูปออกจากกระเป๋าขึ้นมองในระดับสายตา… คนในภาพคือผู้ชายวัย 17 ปีที่กำลังโอบอุ้มเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีชมพูบานเป็นชั้น

ใบหน้าของทั้งคู่อิ่มเอิบ มีรอยยิ้มประดับที่ริมฝีปาก บ่งบอกถึงความสุขที่เป็นอยู่

หนุ่มน้อยวัย 17 ปี คือภัตติพงษ์ที่ยังคงสวมชุดนักเรียนมัธยมปลาย ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง ผิวของเขาขาวใส แก้มเป็นสีระเรื่อ ยิ้มกว้างขวาง

ส่วนเด็กหญิงร่างป้อมคือตัวหล่อนเองซึ่งอยู่ในวัยเพียง 3 ขวบเท่านั้น

เมลินีนำกรอบรูปตั้งวางบนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วถอยมานั่งแปะบนเตียงกว้าง ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมความคิดที่เริ่มล่องลอยสู่อดีต…

หล่อนกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เล็ก มีเพียงแม่และน้าสาวที่ช่วยเลี้ยงดู จวบจนหล่อนอายุครบ 3ปี ก็ประสบอุบัติเหตุพร้อมแม่ แม่เสียชีวิต ส่วนหล่อนต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ได้แต่นอนอยู่บนเตียง…ไม่รู้สึกตัว ไม่ได้สติ และไม่ลืมตาขึ้นมานานนับสามเดือน

3 เดือนที่คนเป็นน้าอย่างมนสิชาต้องวิ่งวุ่นเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลหล่อน จนหล่อนฟื้นขึ้นมาเพราะได้รับการช่วยเหลือจากเขมปัจน์ซึ่งแต่งงานกับมนสิชา

มนสิชากับเขมปัจน์รับหล่อนเป็นลูกบุญธรรม และถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะมีลูกด้วยกันอีก 1 คน แต่ความรักที่มีต่อหล่อนซึ่งเป็นลูกนอกไส้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

อรจิราซึ่งเป็นแม่ของเขมปัจน์ได้มาพบรักกับอดีตเพื่อนเก่าอย่างแคล้ว ซึ่งแคล้วเองก็มีลูกติดอยู่คนหนึ่งคือภัตติพงษ์

ช่วงที่ภัตติพงษ์อายุ 17 ปี เป็นวัยรุ่นแล้ว แต่หล่อนยังเป็นเด็กน้อยตัวกลมที่มักติดเขาเป็นตังเม หลายต่อหลายครั้งที่หล่อนรบเร้าให้มนสิชาพาหล่อนไปเที่ยวหาภัตติพงษ์

หล่อนรู้แค่ว่า…หล่อนผูกพันกับเขามาตั้งแต่เด็ก ชอบที่จะออดอ้อนเขาด้วยคำว่า

“คุณอาคะ…คุณอาขา”

และเขาเองก็เหมือนจะเอ็นดูหล่อนไม่น้อย เราสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องในไส้ แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม จวบจนหล่อนโตเป็นสาวสะพรั่งวัย 18 ปี กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะเล่นเย้าแหย่กับเขามากเกินไปจนเกิดเรื่อง ทำให้อรจิราเข้าใจผิด และจับให้หล่อนหมั้นกับภัตติพงษ์

เขาคงโกรธที่หล่อนเป็นต้นเหตุให้เขาต้องหมั้นหมายกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก จึงหลบหน้าหล่อนมาซื้อที่ดินทำไร่ไกลถึงต่างจังหวัด ส่วนหล่อนเองก็ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

เนิ่นนานเหลือเกิน…4  ปีแล้ว ที่ไม่ได้พบเขา นึกว่าวันนี้เจอกัน เขาจะดีใจมากเสียอีก แต่ที่ไหนได้…เขากลับทำท่าเหมือนไม่พอใจนักที่หล่อนถือวิสาสะบุกรุกสถานที่ที่แสนเงียบสงบของเขา

หล่อนได้ยินอรจิรามักพร่ำบ่นว่าลูกเลี้ยงของตนคนนี้ เห็นทีจะเป็นเกย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะวันๆไม่เห็นเคยคบหาหญิงใด เอาแต่ตีหน้าเคร่ง ทั้งๆที่สมัยวัยรุ่นยังเป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริงสดใส ทว่าเวลาที่ผ่านไปกลับเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยอารมณ์ดี ให้กลายเป็นหนุ่มใหญ่มาดขรึมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าจะถามว่าหล่อนรักเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งหรือเปล่า…หากเป็นวัยเด็ก หล่อนคงตอบว่า‘ใช่’ แต่ตอนนี้หัวใจของหล่อนมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

4 ปีที่อยู่ห่างไกลจากเขา มันทำให้หล่อนรู้ตัวว่าเห็นเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่อาตามศักดิ์ที่หล่อนใช้เรียก

และถ้าหากเขาเป็นเก้งกวางจริงๆ หล่อนนี่แหละที่จะเป็นคนทำให้เขาหันมาชอบผู้หญิง !

ร่างบางถอนหายใจยาวอีกครั้ง หล่อนลุกยืน บิดตัวเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ ก่อนออกนอกห้อง วิ่งลงบันไดตามหาภัตติพงษ์ ทว่ากลับไม่พบเขาแม้เงา มีเพียงแป้วที่กวาดพื้นห้องโถงอยู่

“พี่แป้วคะ เห็นคุณอาของเมหรือเปล่า” หล่อนร้องถาม และก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า

“เข้าไร่ไปแล้วค่ะ จริงสิ…คุณเมก็ลองไปเดินเล่นในไร่ดูสิคะ อากาศสดชื่นเลยทีเดียว”

“ดีค่ะ เมอยากไปดูอยู่พอดี ว่าแต่คุณอาทำไร่อะไรคะ”

“ทำหลายอย่างเลยค่ะ ปลูกผัก ทำไร่ข้าวโพด ข้าวก็ปลูกนะคะ มีสวนผลไม้อีกหลายอย่างด้วย มีผลผลิตให้เก็บขายตลอดทั้งปี อ้อ…เลี้ยงม้า เลี้ยงหมูด้วยนะคะ”

“ว้าว ! เลี้ยงม้าด้วยเหรอคะ ?” หญิงสาวตาโต ท่าทางตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว อดไม่ได้ที่จะวาดภาพในจินตนาการตามประสาสาวช่างฝัน…

ถ้าหากหล่อนใส่ชุดแสนเซ็กซี่ นั่งบนหลังม้าสีขาวดุจเจ้าหญิง โดยมีภัตติพงษ์นั่งจับบังเหียนซ้อนอยู่ด้านหลัง…แนบชิด และพูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆนาๆ และมีหลายครั้งที่หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

อ๊าย…แค่คิดก็ฟินแล้ว

พอคิดได้ดังนั้น หล่อนจึงยิ้มมั่น กำมือแน่น แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า

“ถ้างั้นเมจะไปขี่ม้า”

“ขี่เป็นเหรอคะคุณเม” แป้วร้องถาม ขณะที่เมลินีเดินฉับๆออกนอกประตูบ้าน โดยไม่ลืมที่จะตะโกนตอบว่า

“ไม่เป็นค่ะ แต่คิดว่าคงไม่ยากหรอก เคยเห็นนักแสดงขี่ม้าในละคร ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลยค่ะ !”

สาวใช้ได้แต่นิ่งอึ้งแล้วส่ายหน้า มองตามหลังเมลินีไปจนลับ…ท่าทางผู้หญิงคนนี้จะร้ายใช่ย่อยเลยทีเดียว เห็นทีงานนี้เจ้านายสุดหล่อของหล่อนคงต้องรับศึกหนักแล้วล่ะ !!

 

‘ไร่ภูผาคอยจันทร์’ มีอาณาเขตกว้างขวางนับพันไร่ ตอนแรกมีพื้นที่เพียงร้อยกว่าไร่เท่านั้นที่บิดาและแม่เลี้ยงให้เงินภัตติพงษ์มาซื้อ

แต่เขาได้เอาเงินส่วนตัวมาซื้อเพิ่ม และขยับขยายเขตที่ดินไปเรื่อย จนบัดนี้…ที่ดินของเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ปากทางเข้าโรยด้วยยางมะตอยสีดำสนิท มีป้ายไม้อันใหญ่ติดไว้สูงเด่นว่า ‘ไร่ภูผาคอยจันทร์’

บ้านปูนสองชั้นหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออก เยื้องๆไปทางฝั่งซ้ายมือ ด้านหลังตัวบ้านคือที่ดินกว้างไกลที่แบ่งแยกเป็นสัดส่วน ปลูกผลไม้หลากหลายชนิด มองเป็นทิวแถว จนมองไม่เห็นว่าไร่แห่งนี้จะไปสิ้นสุดลงตรงไหน

ทันทีที่เมลินีเดินพ้นจากตัวบ้าน หล่อนก็หันซ้ายหันขวา เดินลัดเลาะไปทางด้านหลัง แล้วต้องผิวปากหวือ…

ตอนที่อรจิราให้คนขับรถมาส่งหล่อนที่นี่ หล่อนไม่รู้เลยว่าไร่ของภัตติพงษ์จะน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้…กลิ่นอากาศสะอาดสดชื่น คล้ายมีกลิ่นอ่อนๆของรวงข้าวโชยมาแตะจมูก

มีโรงจอดรถขนาดใหญ่ พร้อมสรรพด้วยรถไถ รถกระบะหลายคัน รถจักรยานยนต์ รถเก๋ง หรือกระทั่งรถจักรยานก็ยังมี หล่อนแวะไปด้อมๆมองๆ อยากขับรถยนต์ แต่ติดตรงที่ไม่มีกุญแจเลยต้องตัดใจ ใช้ขาตัวเองเดิน…และก็เดิน

ระยะทางไกลกว่า 100 เมตร ในที่สุดหล่อนก็เห็นไร่กะหล่ำปลีขนาดใหญ่ มีคนงานเดินไปเดินมา และสายตาทุกคู่ก็เบนมามองหล่อนอย่างพร้อมเพรียง

หล่อนเองก็ไม่คิดจะอายเลยแม้แต่น้อยเพราะพกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เลยฉีกยิ้มหวาน ตามด้วยโบกมือว่อนประดุจนางงาม มีหลายคนโบกมือตอบหล่อน บางคนก็หัวเราะ…ซึ่งหล่อนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหัวเราะอะไรกัน

“คุณอาบาสอยู่ไหนคะ” หล่อนป้องปากร้องถาม

“อยู่ตรงนาข้าวหอมมะลิครับ ไปทางซ้ายมือเรื่อยๆสักร้อยเมตรก็จะเจอ” หนึ่งในนั้นตอบหล่อน ตามด้วยคำถามใหม่ “เป็นหลานสาวคุณบาสเหรอครับ”

“ค่ะ เพิ่งมาจากกรุงเทพวันนี้ อยากจะเที่ยวชมไร่สักหน่อย จะเอารถออกก็ไม่มีกุญแจ ไม่ได้ขอคุณอาไว้”

“ถ้างั้นขี่ม้าเป็นไหมครับ ถ้าขี่เป็นล่ะก็…ในคอกมีอยู่สามตัว ตัวสีดำเชื่องสุดล่ะครับ”

“ก็ดีค่ะ ขี่ม้าไปดีกว่า เดินมากๆชักจะปวดเท้า” หล่อนตอบไปเช่นนั้น แล้วมองตามมือคนงานที่ชี้บอกทางให้ พอเห็นคอกม้าอยู่ไกลลิบๆ หล่อนจึงเดินเข้าไปใกล้ทันที

ผนังคอกเป็นปูนทึบสูง พื้นเป็นปูนแต่มีแผ่นยางปูรอง รวมทั้งมีฟางและแกนปอสับปูรองนอนให้ม้าด้วย ม้าสายพันธ์ลิปิซานเนอร์ยืนเด่นสง่าในคอกที่กั้นไว้เป็นสัดส่วน คนดูแลม้าที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดคอกได้หันมาถาม

“มาดูม้าเหรอคะ คุณ…เอ้อ”

“เมค่ะ เป็นหลานนอกสายเลือดของคุณอาบาส อยากได้ม้าสักตัว สะดวกไหมคะ”

“ได้ค่ะ ตัวสีดำนะคะ เชื่องที่สุด” คนดูแลม้าที่ชื่อ‘ก้อย’แนะนำ ขณะที่เมลินีพินิจดูม้าทั้งสามตัวอย่างละเอียด

ตัวแรกมีสีขาว แต่ที่ใบหน้าและบั้นท้ายเป็นสีน้ำตาล ตัวที่สองมีสีดำสนิท ท่าทางเงื่องหงอยเหมือนม้าเอ๋อๆ ส่วนตัวสุดท้าย มีสีขาวปลอดทั้งตัว

“ตัวสีขาวดีกว่าค่ะ” หล่อนตัดสินใจทันที…ก็แหงล่ะ ตอนวาดฝันในจินตนาการ ม้าสีขาวงามสง่าน่าจะเหมาะสมกับหล่อนที่สุด

“แต่ว่ามัน…” ก้อยตั้งท่าจะค้าน ทว่าหญิงสาวกลับเน้นเสียงหนัก

“เมจะเอาตัวสีขาวค่ะ ม้างามๆแบบนี้คงไม่พยศหรอก”

“แต่…”

“ขอตัวสีขาวให้เมด้วยค่ะ มันชื่ออะไรคะ”

“ชื่อสโนไวท์ค่ะ” ตอบพลางจูงม้าตัวที่เมลินีต้องการออกมาจากคอก

“ว้าว…ชื่อสวยสมตัวเลยจริงๆ ว่าแต่ตรงไหนคะที่ปลูกข้าวหอมมะลิ”

“ไปทางโน้นเลยค่ะ ไปเรื่อยๆก็จะเจอเอง ข้าวกำลังออกรวงสวยเชียว”

“อ๋อ ค่ะ…ขอบคุณนะคะ” หล่อนยิ้ม แล้วโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า “ไปสิสโนไวท์ วิ่งโลด”

และมันก็วิ่งให้สมใจหล่อนจริงๆ ขาทั้งสี่ข้างขยับแล้วออกตัวพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง

ฮี้ๆๆ

“เดี๋ยวๆ เบาๆหน่อยก็ได้” หล่อนตกใจจนแทบช็อก ร่างเล็กกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้า ตากลมเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีดที่ไม่อาจห้ามมันได้

“ว้าย ! เบาๆหน่อย” หญิงสาวตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่มันก็ไม่หยุดวิ่ง จนกระทั่งย่ำเข้าไปในนาข้าวที่กำลังออกรวงสีทองเป็นทิวแถว พื้นดินมีน้ำอยู่เล็กน้อย…ซ้ำยังมีโคลนทั่วบริเวณ

ร่างของหล่อนเกือบจะหล่นอยู่แล้ว เพราะมือชาจนจับบังเหียนไว้ไม่ค่อยอยู่

“ว้าย ! กรี๊ด ! ช่วยด้วย” เมลินีแหกปากลั่น ผสานกับเสียงร้องของม้าสายพันธ์ดี

ฮี้ๆๆๆ

เพราะจู่ๆก็มีหญิงสาวในชุดสายเดี่ยวกับกางเกงสั้นแค่คืบ ผมสีชมพูเด่นชัดนั่งบนหลังม้าวิ่งโทงๆเข้ามาในนาข้าว ทำเอาภัตติพงษ์ที่กำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มเพื่อพักเหนื่อยอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ถึงกับสำลักน้ำจนแสบจมูกเลยทีเดียว

พรวด !

“แค่กๆ”

ชายหนุ่มไอติดกันหลายครั้ง เขม้นตามองให้ชัดว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป…ใช่จริงๆด้วย เมลินีควบม้าย่ำนาข้าวของเขา

“เฮ้ย ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอจะทำให้อาเจ๊งเหรอไง”

“เม…เมหยุดไม่ได้ค่ะคุณอา” หล่อนร้องบอก มึนศีรษะจนแทบจะอาเจียนเพราะกระแทกอยู่บนหลังม้าเป็นเวลานาน

“บัดซบ !” ภัตติพงษ์สบถ วิ่งบุกเข้าไปในนาข้าว หมายจะช่วยหญิงสาว แต่ช้าไปเสียแล้วเมื่อร่างบางหล่นจากหลังม้าต่อหน้าต่อตาเขา

“ว้าย ! กรี๊ด” เสียงแหลมหวีดลั่น ส่วนม้าขยับถอยหนี ก่อนจะเลิกพยศเมื่อชายหนุ่มจับหน้าของมัน แล้วปลอบว่า

“หยุด…หยุดเสียสาวสวย”

เท่านั้นแหละ…มันก็ยอมยืนนิ่งๆแต่โดยดี จากนั้นภัตติพงษ์ก็หันมาเท้าสะเอวมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้นอนหงายอยู่บนโคลนสีน้ำตาลเข้ม ผมสีชมพูเปื้อนคราบโคลนเป็นหย่อมๆ แก้มนวลเต็มไปด้วยน้ำตา เสื้อผ้าเลอะเทอะจนหาสภาพเดิมไม่เจอ

“เป็นไงบ้างยัยตัวเล็ก” เขาถามกลั้วหัวเราะ

“คุณอาหัวเราะทำไมคะ”

“หัวเราะความเปิ่นของเราน่ะสิ ดีนะที่พื้นเป็นโคลนมีน้ำขัง ไม่งั้นเธอจะเจ็บหนัก นึกยังไงถึงขึ้นเจ้าสโนไวท์ล่ะ ก้อยไม่ได้บอกเหรอไงว่ามันยอมอาแค่คนเดียวน่ะ”

“ก็…ก็เห็นสีขาวมันสวยดีนี่คะ ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ โอย…ตายแล้ว ทำไมความเป็นจริงช่างแตกต่างจากในฝันที่หล่อนคาดหวังไว้ซะเหลือเกิน

ในฝัน…คิดว่าตัวเองคงเหมือนเจ้าหญิงผู้งามสง่าบนหลังม้า

ทว่าในความจริง…หล่อนกลับกลายเป็นสาวน้อยตกโคลน แสดงความเปิ่นต่อหน้าผู้ชายที่หล่อนปลื้ม !

“เอ้า…ลุกได้แล้ว จะนั่งจมโคลนแบบนั้นอีกนานแค่ไหน” ชายหนุ่มยื่นมือไปให้ ซึ่งหล่อนก็คว้าหมับที่มือใหญ่แล้วลุกขึ้น…และในช่วงนั้นเองที่หล่อนเกิดเสียหลัก เกือบเซล้มอีกครั้ง

“ว้าย !”

เคราะห์ดีที่ชายหนุ่มรั้งร่างหล่อนไว้ได้ทัน…ตาต่อตาประสานกัน ใบหน้าใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกคน

เมลินียิ้ม…ใจเต้นตึกตัก ขณะที่เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้วปล่อยมือจากแขนหล่อน ทำให้ร่างบางหงายหลังล้มใส่โคลนตมอีกครั้ง

แผละ !

“ว้าย คุณอา ! แกล้งเมเหรอคะ”

“ไม่ได้แกล้ง แต่อาเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรช่วยเหลือเด็กดื้ออย่างเธอ” เขาทำเสียงเข้ม เอามือไพล่หลัง แล้วเทศนาต่อ

“ต้นข้าวโดนม้าย่ำจนเละ แล้วไหนจะตัวเธออีกที่ทำให้ข้าวของอาเสียหายไปเยอะ มีอะไรจะพูดไหม”

“มีค่ะ” หล่อนพูดเสียงเฉียบ ลุกยืนประจันหน้ากับเขา

“มีอะไร” เขาปรายตามองหล่อน

“เมมาพักผ่อนสมองที่นี่เพราะคิดถึงคุณอา และก็อยากหาข้อมูลเขียนนิยายด้วย แต่เมไม่คิดเลยว่าการกระทำของเมจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณอา เมขอสัญญาว่าต่อไปนี้เมจะไม่ขี่ม้าเข้านาข้าวอีกแล้ว”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะเม” ดวงตาคู่คมจริงจังจนหญิงสาวนึกหวั่น “ต่อไปนี้…ห้ามเธอขี่ม้าเด็ดขาด”

“คุณอา !” หล่อนแผดเสียงลั่น

“สิ่งมีชีวิตที่มีบุคลิกเหมือนกัน มักจะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ดังนั้นเธอห้ามขี่ม้าอีก”

“คุณอาหมายความว่า ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง อ้าปากค้าง…

“หมายความว่าเธอเหมือนม้าดีดกะโหลกไง”

เท่านั้นแหละ หล่อนก็กระทืบเท้าเร่าทันที “คุณอา ! ทำไมว่าเมแบบนี้”

“เธอก็เลิกโวยวายแล้ว จะย่ำโคลนให้เลอะกว่าเดิมไปทำไม หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“คุณอาจอมเผด็จการที่สุด”

“เธอก็ดื้อรั้นที่สุด ไปๆ ไปล้างเนื้อล้างตัวออกซะ”

“ก็ได้ค่ะ เมจะกลับแล้ว” หล่อนทำแง่งอน จะหันหลังเดินกลับ แต่ถูกมือใหญ่ฉวยไว้ได้ทัน

“เดี๋ยว…ถ้ากลับทั้งที่มีสภาพแบบนี้ เธอคงเป็นตัวตลกในสายตาคนงาน”

“แล้วจะให้เมทำยังไงล่ะคะ”

ภัตติพงษ์กระตุกยิ้มตรงมุมปาก เดินจูงม้าไปมัดผูกติดใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วเดินกลับมาจับร่างบางขึ้นพาดบนบ่าราวกับหล่อนเป็นเพียงกระสอบนุ่นที่ไร้น้ำหนัก

“คุณอา จะพาเมไปไหน”

“พาไปล้างเนื้อล้างตัวไง” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เดินเทิ่งๆท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า ผ่านสวนดอกดาวเรืองที่บัดนี้กำลังบานสะพรั่งอวดสีเหลืองสด

แม้ว่าหล่อนจะหัวห้อยโทงเทงเพราะโดนเขาจับตัวขึ้นพาดบ่า แต่ก็ไม่วายกวาดตามองแล้วพูดด้วยเสียงตื่นเต้น

“ว้าว ! ทำสวนดาวเรืองด้วยเหรอคะ กี่ไร่กัน”

“ทำแค่ 5 ไร่ ปลูกดอกดาวเรืองขายได้ราคาดีเหมือนกัน”

“สวยจัง น่าไปยืนกลางไร่แล้วถ่ายรูป”

“อย่าเลย…ขืนเธอไปยืนกลางไร่ มองไกลๆอาคงนึกว่ามีตัวคิตตี้ผุดขึ้นมาท่ามกลางดอกดาวเรือง”

“คุณอาหมายความว่าไงคะ ?” คิ้วเรียวขมวดฉับ ด้วยไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดมานั้นหมายความว่าอย่างไร

“สีผมของเธอไง มองไกลๆเหมือนไม่ใช่คน”

“เอ๊ะ ! นี่สีแฟชั่นนะคะ คุณอานี่เต่าล้านปีจริงๆ” หล่อนว่าให้เช่นนั้น และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา

“อายอมรับว่าหัวโบราณ แต่เธอเป็นผู้หญิงก็ควรวางกิริยามารยาทให้เหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย” ภัตติพงษ์ร่ายยาว เขาเดินตัดผ่านไร่ดาวเรืองไปทางซ้ายมือ ที่นั่นมีสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีดอกบัวหลวงมากมาย บ้างก็บานสะพรั่ง และก็มีบางส่วนที่ยังตูม รอวันที่จะเบ่งบานสะสวย

“ให้ล้างตัวที่นี่เหรอคะ ไม่เอานะ น้ำคงไม่สะอาด” หล่อนโวยวาย แต่เขาก็ยังดึงดันความคิดเดิม

“เอาน่า ก็ยังดีกว่าให้เธอกลับไปทั้งๆที่ยังตัวเลอะนั่นแหละ เอ้า…ลงไปซะ” ชายหนุ่มจับหล่อนโยนลงสระ

ตูม !

“ว้าย !” เมลินีหวีดร้องลั่นเพราะไม่ทันตั้งตัว “คุณอาเล่นอะไรบ้าๆคะ”

“ที่กล้าเล่นเพราะรู้ว่าเธอว่ายน้ำเป็นน่ะสิ ล้างเนื้อตัวให้เอี่ยมเข้า จะได้ขึ้นสระ” เขาออกคำสั่ง พลางยกมือขึ้นกอดอกไว้…แต่จะว่าไป บริเวณแขนกับอกเสื้อของเขาก็เลอะโคลนเป็นหย่อมๆเหมือนกันเพราะแบกหล่อนมา

“เร็วๆสิ” เขาเร่งเสียงดัง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวหน้างอหงิก…ความคิดเจ้าเล่ห์บางอย่างได้ผุดขึ้นในสมอง

หล่อนนึกออกแล้วว่าจะพิสูจน์ยังไงเพื่อให้ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า !

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา