Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) หมูกระทะจะเยียวยาทุกอย่างเอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               ทันทีที่กลับมาจากบริษัทเพชรงามก็รีบสาวเท้าเข้าไปในตัวบ้านทันที บิดาเรียกพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอมานั่งเคลียร์ปัญหากันหลังจากเธอออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวภาวนาในใจตลอดทั้งวันว่าขอให้เรื่องผ่านไปด้วยดี ขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม แม้ที่ผ่านมาจะไม่ใช่ชีวิตที่สุขสมทว่าเธอก็ไม่อยากให้มันเลวร้ายลงไปกว่านี้

                หญิงสาวเอ่ยถามแม่บ้านว่าบิดาของเธออยู่ไหน เมื่อได้คำตอบก็ตรงเข้าไปหาเขาทันที ชายชรารูปร่างสมบูรณ์นั่งจัดดอกไม้ในโหลแก้วเล็กๆ ตรงม้านั่งในซุ้มดอกมะลิที่ส่งกลิ่นหอมชื่นอวลไปทั่วหลังบ้าน หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามเขาแล้วเอ่ยถาม

                “พ่อคะ เรื่องเป็นยังไงบ้างคะ” คนเป็นพ่อยังไม่ทันตอบ ลูกสาวก็เอ่ยต่อ “เจ้าแฝดไปไหนคะ ยังไม่กลับจากโรงเรียนอีกเหรอ หรือออกไปเที่ยวที่ไหนกัน”

                “ไปแล้ว” เขาตอบสั้นๆ แล้ววางอุปกรณ์จัดสวนจำลองในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้

                เพชรงามพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ในเมื่อทุกอย่างมันชัดเจนพอสำหรับความรู้สึกสูญเสีย

                “ไดมอนด์ ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนนะลูก ถึงเราจะรักและเป็นห่วงเค้ามากแค่ไหนแต่เราก็ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหัวใจของพวกเขา เมื่อทั้งสองพอใจที่จะจากกันเราก็ต้องยอมรับมัน” บิดาว่าเสียงเรียบอย่างเอ็นดูลูกหลาน

                “แล้วพิกเลทกับทิกเกอร์...”

                “ตอนแรกเราตกลงว่าจะแบ่งกันเลี้ยง พ่อเลี้ยงคนหนึ่ง แม่เลี้ยงคนหนึ่ง แต่เจ้าสองคนนั่นไม่ยอมแยกจากกัน นารีก็เลยรับเลี้ยงเอาไว้”

                “ไหนพ่อบอกว่าสองคนนั้นเป็นหลานพ่อ แล้วทำไมพ่อถึงยอมปล่อยหลานไปง่ายๆ ละคะ” เธอว่าใส่อารมณ์ด้วยความเสียใจ

                “พ่อเป็นปู่ จะไปสู้อะไรกับคนเป็นพ่อเป็นแม่” ชายชราว่าอย่างจนใจ

                “ขอตัวนะคะ” ลุกเดินออกไปด้วยท่าทางของคนผิดหวังและน้อยใจ สิงห์ภพมองตามหลังลูกสาวไปพลางส่ายหน้าเบาๆ บางความรู้สึกหากไม่เจอเองก็ไม่เข้าใจหรอก โดยเฉพาะความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่

                เพชรงามเดินมาสูดอากาศสงบจิตใจที่สวนหน้าบ้าน เธอเตะตะกร้าสานใบใหญ่ที่ใส่ใบไม้แห้งอัดไว้เต็ม มันกระเด้งกระดอนไปจนเศษใบไม้กระจายเรี่ยราด

                แสงแดดยามพลบค่ำส่องโรยราอย่างอิดโรย อีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็ลาลับกลับเข้าบ้านของมัน แล้วทำไมพวกนั้นไม่กลับเข้าบ้านกัน? จิตใจและอารมณ์ของเธอตอนนี้ก็เปรียบเหมือนใบไม้สีน้ำตาลแห้งเหี่ยวที่หมดซึ่งเรี่ยวแรงและลมหายใจที่เกลื่อนอยู่บนพื้น หลานทั้งสองนั้นเธอเองก็รักพวกเขาเหมือนลูก เคยอาบน้ำให้ ป้อนข้าว กล่อมนอน วิ่งเล่น ไปเที่ยว และอีกหลายกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน ความผูกพันผูกเอาดวงใจเรามาไว้รวมกัน จากที่เห็นกันอยู่ทุกวันก็ไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ก็จริงอยู่ที่สามารถไปมาหาสู่กันได้ แต่มันก็ไม่สามารถเจอกันได้ทุกวันเหมือนที่ผ่านมา พอบ้านไม่มีเด็กมันก็เหงาหงอยยิ่งนัก เธอพยายามที่จะเข้าใจสัจธรรมของโลกว่ามีพบก็ต้องมีพราก แต่ทว่ารสชาติแห่งการสูญเสียก็ยังเป็นสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด

                เพชรงามเดินไปนั่งใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่อาศัยร่มเงามันช่วยบดบังแสงแดด มือเรียวเอื้อมคว้าตะกร้าตั้งไว้แล้วเก็บใบไม้ที่ตนเองทำเรี่ยราดใส่ตะกร้าดังเดิมด้วยสายตาเหม่อลอย

                “เจ้านาย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะเข้ามานั่งลงช่วยเธอเก็บใบไม้ใส่ตะกร้า แค่มองสีหน้าซังกะตายนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอทราบเรื่องที่เขาเพิ่งได้ฟังมาจากแม่บ้านแล้ว “ขยันจังครับ”

                เธอเงียบนิ่ง แววตายังคงเหม่อลอยระคนเศร้าโศกเหมือนเดิมจนรุตไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินเสียงเขาหรือไม่ และรับรู้ไหมว่าเขาอยู่ตรงนี้

                “อยากร้องก็ร้องออกมาสิครับ” เขาว่าอย่างคนที่รู้จักกันมานาน จะว่าไปแล้วสิบปีกว่าที่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยเห็นน้ำตาหล่นจากดวงตาคู่สวยของเธอเลยสักหยด เขาไม่เชื่อหรอกว่าเพชรงามจะเข้มแข็งขนาดนั้น เธอคงจะเก็บเอาไว้แล้วไปร้องตอนอยู่คนเดียวแน่นอน

                “ทำไมต้องร้อง” เธอถามเสียงเนือย ราวไม่ต้องการคำตอบใดๆ

                “จะได้ปลดปล่อยไงครับ ปล่อยมันออกมาทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจ” ว่าด้วยน้ำเสียงห่วงใย

                “ฉันชอบที่จะเก็บมันเอาไว้” เพชรงามหลุบตาต่ำ เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น

                “...แล้วรอเวลาให้มันระเบิดตูม” ว่าติดตลกอย่างรู้ดี แล้วหัวเราะน้อยๆ “หมักหมมไว้นานก็มีแต่เน่าเสีย ละมันออกมาทิ้งบ้างสิครับ จะได้ปลอดโปร่ง”

                “วางมันไว้ที่เดิมเดี๋ยวมันก็สูญสลายไปเอง”

                “สูญสลายกลายเป็นฟอสซิลที่ติดอยู่ในใจไปตลอดกาลหรือครับ โยนมันทิ้งไปไกลๆ ก็สิ้นเรื่อง”

                “ทำต่อด้วยนะ” เอ่ยฝากงานเสร็จก็ลุกเดินจากไปทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิ้งให้รุตเบ้หน้าใส่ตามหลังไป

 

                บางวันหลังเลิกงานเพชรงามก็จะแวะไปเยี่ยมหลานที่บ้านยายของพวกเขา มีของติดไม้ติดมือไปฝากเสมอไม่ว่าจะเป็นขนมหรือของเล่น บางวันก็พามาเล่นที่บ้านด้วย พอตกค่ำหน่อยก็พาไปส่งคืนที่เดิมเพราะนารีทั้งกำชับทั้งขอร้องว่าไม่ให้นอนค้างที่บ้านนี้ ส่วนพี่ชายของเธออย่างฐานิชก็เมาหัวราน้ำแทบทุกวัน บางวันที่ทันกลับมาเจอลูกก็กอดหอมราวจะเก็บทั้งคู่ไว้ในอ้อมแขนไม่ให้หายไปไหน จนบิดาต้องเข้ามาแยกออกเขาถึงยอมปล่อย

                ช่วงนี้ที่บริษัทงานงอกบานเบอะขึ้นมาเยอะมาก ทั้งต้องจัดการกับสินค้าตัวใหม่ที่ใกล้ปล่อยออกมา ต้องกำหนดการโฆษณาและกลไกการตลาดให้สมบูรณ์แบบที่สุด แถมยังมีการติดต่อเจรจากับลูกค้าที่ต้องการร่วมธุรกิจอีกหลายสำนักหลายหน่วยงาน

                หญิงสาวหวังว่าหากพ้นช่วงวุ่นวายนี้ไปชีวิตมันคงจะดีขึ้นนะ แต่หากว่าไม่ดีขึ้นก็ขออย่าให้เลวร้ายลงเลย

                หากใครเลยจะรู้ว่าคืนวันเลวร้ายอาจกำลังคืบคลานเข้ามา...

 

                หลังจากยกหน้าที่ขายสร้อยให้เด็กมีน้ำใจสองคนนั่นรับไปทำ มานะก็วิ่งวุ่นไปหางานพิเศษทำต่อ หลังเลิกงานห้าโมงเย็นเขาก็เข้าไปรับจ้างเพนท์แก้วเซรามิกที่โรงงานเล็กๆ แถวบ้านซึ่งให้ค่าจ้างโดยนับจำนวนแก้วที่ได้ในแต่ละวัน โรงงานปิดประมาณห้าทุ่ม เขาเองก็เพิ่งประจักษ์ว่าสิ่งที่เขาคิดว่ามันเคยเป็นแค่ชิ้นงานที่ส่งเพื่อเอาคะแนน แท้จริงมันก็คือความรู้แขนงหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถนำมาประกอบอาชีพได้ งานอื่นอาจไม่ได้เรื่องแต่งานศิลปะนั้นขอให้บอก

                กว่าจะงีบนอนได้ก็ตีสามตีสี่ทุกวันพอแปดโมงเช้าก็ต้องไปปรากฏตัวอยู่ในที่ทำงานให้ทัน พอว่างจากการส่งของก็ฉวยเอาลูกปัดมาร้อยไว้

                อีกห้าวันต่อมาอารีก็โทรมาบอกมานะว่าขายหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามนัดกันมาที่ร้านหมูกระทะบรรยากาศดีแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านของมารดาสินบดี มานะจำต้องยอมหยุดงานที่โรงงานเซรามิกหนึ่งวัน นับเป็นวันที่ชายหนุ่มมีโอกาสได้หายใจเต็มปอดจริงๆ เสียที

                “นัดมานี่ใครเลี้ยงเหรอ” มานะที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายหย่อนตูดลงบนเก้าอี้ยาวข้างลูกชายเจ้าของร้านแล้วเอ่ยถาม

                “จ่ายเองสิ” สินบดีตอบ

                “อ้าว” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าผิดหวัง

                “เดี๋ยวอิงเลี้ยงพี่เอง” หญิงสาวกระดี๊กระด๊าทำใจป๋า

                “น้อยๆ หน่อยเถอะลิง” เด็กหนุ่มว่าแค่นเพื่อนสาวที่นั่งตรงข้ามเขา “ผมเลี้ยงเองพี่ วันนี้วันเกิดแม่พอดี แม่บอกว่าจะพาเพื่อนมาเลี้ยงกี่คนก็ได้”

                มานะทำหน้าเนือยๆ พยายามจะเชื่อคำพูดของคนที่พูดกับเขาแต่สายตามองแต่เด็กสาวข้างหน้า เอาเขามาเป็นข้ออ้างจีบสาวล่ะสิ แต่ก็ดีแค่ได้กินฟรีก็โอเค

                “อ่ะนี่ พี่โม่เงินที่ขายได้” อารีเลื่อนถุงเงินส่งให้ชายหนุ่ม มานะยิ้มกว้างแล้วรับมันมาใส่ไว้ในกระเป๋าเป้

“ขอบใจนะ”

                “ด้วยความเต็มใจค่ะ” เธอเขินตัวบิดกับคำพูดพร้อมรอยยิ้มหวานของชายหนุ่ม “อิงอยากขายอีก พี่โม่ทำแล้วเอามาให้อิงช่วยขายอีกนะคะ หรือจะให้อิงช่วยทำด้วยก็ได้”

                “จริงเหรอ อิงอยากช่วยพี่จริงๆ เหรอ” ว่าอย่างดีใจ “น่ารักจังเลย เดี๋ยวพี่ร้อยมาให้นะ อืม แต่ความจริงพี่ก็เกรงใจเรานะ” มานะเอ่ยเกรงใจอย่างไม่ค่อยจริงใจนัก

                “ไม่เป็นไรหรอกพี่โม่ คิดซะว่ามันเป็นธุรกิจครอบครัว เราต้องช่วยกัน” ออกตัวแรงมัดมือชกชายหนุ่มไว้

                “ครอบครัวเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันช่วยด้วยคนนะ อยากเป็นครอบครัวด้วย” สินบดีอาสาด้วยคน สายตาจิกไปที่เพื่อนสาวอย่างไม่ชอบใจนัก

                “ยุ่งอีกแล้ว” อารีแหวใส่คนที่เข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวในมโนของเธอ

                “คนมีน้ำใจ” ยักไหล่บอก

                “งั้นอิงไปตักของมาให้แล้วกันนะ” เธอบอกมานะและสะบัดหน้าใส่สินบดีก่อนจะลุกเดินไปยังโซนที่มีอาหารมากมายให้เลือกตักได้ไม่อั้น

                “รู้นะว่าคิดอะไร” มานะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

                “คิดอะไรพี่” หันมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ

                “คิดแบบ...” ว่าอย่างมีเลศนัย

                “อะไรเล่า ผมไม่คิดไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ” ว่าตะกุกตะกัก

                “อย่าทำไก๋” มานะมองตาสินบดีอย่างรู้ทัน เด็กหนุ่มย่นจมูกใส่แล้วเบนสายตาไปอีกทาง ชายหนุ่มโคลงศีรษะนั่งเงียบอยู่นานก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “เฮ้ โทรชวนอานายมาด้วยสิ”

                เขาไม่ได้เจอหญิงสาวมานานหลายวันแล้ว แทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วด้วย เพชรงามนี่ก็เป้าหมายเงินทองของเขาเหมือนกันนี่ แต่ถึงวันนี้เขาว่าตัวเขาเองควรล้มเลิกความคิดจะจับเธออย่างจริงจังได้แล้ว

                ณ ปลายอุโมงค์อันมืดมิดไม่มีแสงสว่างใดส่องให้เห็นทางเลยสักนิด...

                เด็กหนุ่มหันมามองแววตาฉงนก่อนจะกลายเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ “อาผมมีตั้งหลายคน ให้ชวนคนไหนล่ะ”

                “คนที่เป็นผู้หญิงน่ะ”

                “ไหนตอนนั้นบอกไม่อยากให้ผมช่วย” เด็กหนุ่มย้อน “อย่ากลืนน้ำลายตัวเองสิ”

                “นายช่วยฉัน ฉันช่วยนาย” ประโยคหลังเขาหันไปมองเด็กสาวที่ยืนตักหมูหมักใส่จาน “โอเค๊?”

                “ดีล” ตอบสั้นๆ แล้วลุกไปจัดการตามคำขอของชายหนุ่ม โดยการโทรไปถามคุณอาสาวว่าอยู่แห่งหนตำบลไหน เมื่อทราบความก็บึ่งรถไปหาทันที

                เนื้อสัตว์ที่ย่างบนเตากระทะร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยขึ้นยั่วยวนจมูก ควันและเสียงฉ่าที่ออกมาจากเนื้อย่างบอกให้รู้ว่าไฟถ่านจากเตานั้นร้อนแรงเพียงใด

                มานะพลิกเนื้อบนเตาไปมาก่อนจะส่งชิ้นแรกลงในถ้วยของเด็กสาว หัวใจผู้รับเต้นตึกตักด้วยความยินดีปรีดา แค่เพียงการให้เล็กๆ จากคนที่เราชอบก็เหมือนเขาได้มอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรา

                “พี่โม่ป้อนอิงหน่อยสิ” สำหรับเธอเมื่อได้คืบแล้วต้องเอาศอกด้วย มานะยิ้มให้ก่อนจะคีบเนื้อที่สุกกำลังดีขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนแล้วยื่นมันไปที่ปากเด็กสาว เธองับมันด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ อยากจะอมชิ้นเนื้อที่หวานชื่นชิ้นนี้ให้นานที่สุด ไม่กล้ากลืนกินมันลงไปด้วยซ้ำ

                “เฮ้ย ทำอะไรกัน” สินบดีที่เพิ่งกลับเข้ามาในร้านอีกรอบเดินพรวดเข้ามาถึงโต๊ะที่มีหนุ่มสาวนั่งกันอยู่สองต่อสอง วินาทีนั้นลืมสนใจหญิงสาวที่ไปอัญเชิญมาเสียสนิท

                “อ้าว ท่านประธานมาด้วยหรือฮะ ไม่เจอกันนานเลยเนอะ” มานะเมินเฉยต่อคำถามของลูกชายเจ้าของร้านแล้วหันไปทักทายหญิงสาวหน้านิ่งที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มแทน เธอหรี่ตามองเขานิดหนึ่งก่อนจะปรับเป็นเย็นชาดังเดิม

                สินบดีดันตัวอาสาวที่ตนถ่อไปรับมาจากบ้านให้นั่งลงข้างอารี ส่วนเขาก็หย่อนก้นลงข้างมานะพร้อมมองชายหนุ่มตาขุ่นอย่างไม่ไว้ใจ

                “ทำไมนั่งโต๊ะนี้ล่ะ ไหนบอกพามาเลี้ยงสองคน” เพชรงามเอ่ยถามหลานชายตัวดีด้วยท่าทางเค้นคำตอบ มองผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนอย่างอึดอัดใจ

                “แฮมรมควันของชอบอาไดมอนด์ เดี๋ยวผมตักให้นะ” เด็กหนุ่มผู้มีชนักติดหลังแสร้งว่าเสียงร่าเริง หยิบตะเกียบมาคีบแฮมย่างให้คุณอาสาวอย่างเอาอกเอาใจ

                “สิน เปลี่ยนโต๊ะ” เพชรงามบอกแกมสั่ง

                สินบดีวางถ้วยใส่แฮมตรงหน้าคนหน้านิ่ง แล้วหันมาจัดการคีบเนื้อย่างบนกระทะร้อนๆ ใส่ถ้วยให้ตัวเอง ไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้จึงได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศคุมะเข้าปกคลุม

                “อาจะกลับแล้วนะ” เพชรงามบอกเสียงเรียบที่เจืออารมณ์หงุดหงิด หากก่อนจะได้ลุกขึ้นอย่างใจหมายก็มี...

                “อ้าว น้องไดมอนด์” สาลีมารดาของสินบดีเดินเข้ามาทักทายด้วยน้ำเสียงเจี๊ยวจ๊าวอันเป็นเอกลักษณ์ ทุกคนบนโต๊ะยกมือไหว้เธออย่างเคารพ “จ้ะ สวัสดีๆ ตาสินชวนเพื่อนมาแค่นี้เองหรือลูก แหม นี่กะจะมากันเป็นคู่ๆ ใช่ไหมล่ะ น่ารักไม่หยอกเลย แฟนตาสินก็หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเชียว แฟนน้องไดมอนด์ก็หล่อเหลือร้ายเหมือนกันนะคะ เดี๋ยวอยู่ทานเค้กกับแม่ด้วยนะ ถ้าไม่อยู่รอจะตามถึงบ้านเลย งั้นไม่กวนแล้วนะ ทานกันเต็มที่เลยจ้า”

                ว่าจบนางก็เดินซวนเซออกไป

                “แม่กินเหล้าใช่ไหมเนี่ย” สินบดีถามเสียงดัง ปกติแม่เขาไม่ได้ปากลื่นขนาดนี้

                “นิดหน่อยลูก” คนเป็นแม่ตะโกนตอบ

                “เอ่อ โทษทีนะแม่เราเมาน่ะ” สินบดีขอโทษคนที่โดนกล่าวอ้างมาเป็นแฟนของเขา

                “เราเสียหายนะ พี่โม่อย่าเข้าใจผิดหรือน้อยใจอิงนะ”

                “ครับ” มานะตอบรับ

                “อากลับแล้วนะ” เพชรงามลุกขึ้นยืน

                “เดี๋ยวสิครับ แม่บอกให้รอกินเค้กด้วยกัน อาอย่าเพิ่งรีบกลับสิ” สินบดีลุกขึ้นไปยืนข้างเพชรงาม

                “จะมานั่งขวางความรักของสองคนนี้ทำไม อาอึดอัด” ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบกับหลานชาย

                “ไม่ใช่” สินบดีรีบปฏิเสธเสียงดัง “สองคนนี้ไม่ได้เป็นแฟนกันนะครับ”

                มานะเมื่อได้ยินคำพูดของสินบดีก็เสริมขึ้น “ผมยังโสดสนิทครับ ท่านประธานวางใจได้” หากมิวายเข้าข้างตัวเองให้ได้รับสายตาขุ่นเขียวจากหญิงสาว

                “คิดว่าอยู่กับเพื่อนกับน้องนะอา เดี๋ยวแม่ถามถึงอาจะให้ผมตอบว่าไง ในเมื่อแม่กำชับให้พวกเรารอขนาดนั้น” สินบดีอธิบายโน้มน้าว

                “พี่สาวรังเกียจเราเหรอ” เด็กสาวเงยหน้าเอ่ยถามเธอ เพชรงามส่ายหน้าโดยพลันแล้วนั่งลง ลูกชายเจ้าของร้านก็เดินไปนั่งเช่นกัน

                ทั้งสี่ช่วยกันปิ้งย่างอย่างขันแข็ง เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เจอมากับตัวเองหรือรับฟังจากบุคคลอื่นให้เพื่อนร่วมโต๊ะฟังอย่างออกรสออกชาติ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีทั้งเห็นด้วยและขัดแย้งกัน เพชรงามเป็นคนเดียวที่นั่งนิ่งไม่ยอมปริปากหลุดคำใดออกมา มีเพียงการแสดงสีหน้าเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเธอยังไม่ได้หูหนวก ยังคงรับรู้บรรยากาศบนโต๊ะอยู่บ้าง

                “ท่านประธานยกขันมาให้หน่อยสิครับ” มานะว่าเสียงหวาน พยายามทำให้เธอส่งเสียงออกมาให้ชื่นหูบ้าง

                “ไหน” เพชรงามหันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอขันน้ำเลยสักใบ

                “หาสิครับ ขันหมากน่ะ” จบคำเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ส่งเสียงฮิ้วขึ้นมารับมุข อารีงอแงอยากให้มานะใช้มุขนี้กับเธอบ้าง ทว่าคนที่โดนเช่นเพชรงามกลับตีหน้าขึงขังบอกบุญไม่รับ

                สินบดีเดินขึ้นไปหยิบขวดเครื่องดื่มมาเพิ่มเมื่อของเดิมหมดไปแล้ว เขากลับมาพร้อมน้ำอัดลมหนึ่งขวดและเบียร์อีกสองขวด

                “เปิดไหมพี่” ชูขวดเบียร์สะกิดมานะ หลังจากที่นั่งกรอกน้ำอัดลมมาเกือบชั่วโมงก็อดใจไม่ไหว

                “เป็นเด็กเป็นเล็ก... เต็มแก้วน้อง” มานะกระแทกแก้วลงตรงหน้าสินบดี

                “ขอด้วย” อารียื่นแก้วไปบ้าง

                “ไม่ได้ เธอยังเด็กอยู่” สินบดีปรามขณะเทเบียร์ลงในแก้วของเขากับมานะ

                “เราก็อายุเท่านายนะ” เธอเถียง

                “เธอเป็นผู้หญิง เดี๋ยวเมาคอพับขึ้นมาเป็นภาระของคนอื่นอีก”

                “ไม่ต้องห่วงน่า เราเคยกิน ถ้ารู้ว่าไม่ไหวเราจะหยุดทันทีเลย” ว่าตาปริบ จนสินบดีต้องยอมใจ

                “อาว่าอย่ากินเลยดีกว่า แอลกอฮอล์มันไม่ได้ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นนะ มันจะทำให้ร่างกายเรา...” นับเป็นครั้งแรกที่เพชรงามเปิดปากพูดได้เป็นประโยคยาว ทุกคนฟังเธอด้วยความเข้าใจแต่หาได้ใส่ใจไม่ หลานชายสุดรักส่งเบียร์แก้วหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าคุณอา แต่แทนที่เธอจะดุใส่หลานชายกับเอาไปลงที่แมสเซ็นเจอร์หนุ่ม “นายนี่โตซะเปล่านะนายรู้จักห้ามปรามเด็กเลย”

                “อ้าว” อุทานยิ้มๆ พลางยกเบียร์ขึ้นจิบก่อนจะเทไหลใส่ปาก

                “ก็เพราะมีผู้ใหญ่แบบนายไง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็ก เด็กมันก็ทำตามจนเสียผู้เสียคน เห็นอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควรแทนที่จะห้ามกลับสนับสนุนส่งเสริม สิ่งที่จะทำให้ประเทศย่ำแย่ลงหนึ่งในนั้นก็คือนาย”

                “ท่านประธานครับ” เขาลากเสียงยาว หน้าตากวนโอ๊ย “เด็กสมัยนี้ห้ามแล้วฟังด้วยเหรอ ยิ่งห้ามก็ยิ่งดื้อรั้นยิ่งจับไว้เขาก็ยิ่งออกไปไกล สู้ปล่อยให้เขาลองเองดีกว่า จะได้รู้ไงครับว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ชอบแบบไหนไม่ชอบแบบไหน เราจะเอาความคิดตัวเองไปคิดแทนเด็กมันไม่ได้”

                “อย่าทำเป็นพูดดี บอกให้ปล่อยแล้วเด็กมันกระเจิดกระเจิงใจแตกขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ คนหนึ่งคนถ้าเป็นอะไรไปไม่ใช่จะมีแค่เขาคนเดียวนะที่สูญเสีย แต่มันยังสร้างความเสียใจให้คนรอบข้างเขาอีกมากมาย คนเหล่านั้นอาจอยู่ไม่ได้หากไม่มีเขา กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ อย่าคิดอะไรตื้นๆ”

                “ต้องคิดลึกๆ ใช่ไหมครับ” เมื่อเห็นสีหน้าปั้นตึงของหญิงสาวเขาก็หุบยิ้มทันที “แต่ยิ่งเราจำกัดสิทธิเขามากขึ้นความต้องการของเขาก็มากขึ้น เมื่อถึงวันนั้นเราอาจทนแรงดันที่รอทะลักออกมาจากตัวเขาไม่ได้ จนกลายเป็นว่าตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้เขาเป็นเช่นนั้น และเมื่อนั้นเราจะเสียใจมากกว่าการปล่อยให้เขาเรียนรู้เองหลายสิบเท่า”

                “เท่สุดๆ อิงยอมให้พี่หมดทุกอย่างเลยจริงๆ” ว่ากล่าวอย่างชื่นชม

                “เธอก็ยัดเยียดตัวเองให้ผู้ชายจริงๆ นะยายลิง หัดทำหวงเนื้อหวงตัวเหมือนอาไดมอนด์บ้างสิ”

                “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวหาสามีไม่ได้”

                “เธอก็ยัดเยียดตัวเองให้ผู้ชายจริงๆ นะยายลิง หัดหวงเนื้อหวงตัวเหมือนอาไดมอนด์บ้างสิ”

                “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวหาสามีไม่ได้”

                “หาได้สิ” สินบดีตอบก่อนจะหันมามองอาของเขา “ผมคนหนึ่งล่ะที่ชอบผู้หญิงแบบอา” สองอาหลานยิ้มให้กันด้วยสายใยแห่งความรักและความผูกพัน

                “ผมด้วยอีกคน” มานะแทรกขึ้นมาด้วย เรียกสายตาขุ่นขมึงจากเพชรงามได้เป็นอย่างดี

                “โอ๊ะโอ” สินบดีทำเสียงล้อเลียนก่อนจะลุกขึ้นเข้าไปในร้านแล้วหยิบกีตาร์ตัวงามออกมา เขาวางมันไว้บนตักแล้วดีดเป็นทำนองเพลงที่ไม่เคยเล่นจบเลยสักเพลง

                “ถ้าแค่คิดจะเล่นเอาเท่ก็วางมันลงเหอะย่ะ รำคาญหู”

                “อย่าดูถูกคนอย่างฉันนะ เธอจะเอาเพลงอะไรว่ามาเดี๋ยวจัดให้”

                คนหนึ่งดีดกีตาร์คนหนึ่งร้องเพลงและแน่นอนว่าไม่มีใครที่สามารถควบคุมดนตรีให้ไพเราะเสนาะหูได้ ยิ่งเวลานานไปเท่าไรแอลกอฮอล์ที่พากันกรอกลงคอก็เริ่มออกฤทธิ์แรง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเบียร์จำนวนห้าหกขวดก็ตั้งอยู่บนพื้นใต้โต๊ะด้วยการสวาปามของคนสามคน

                “พี่โม่ ฝากหน่อย ง่วง” สินบดียื่นกีตาร์ไปไว้ที่มานะ แล้วก้มหน้าฟุบกับโต๊ะทันทีอย่างไม่อาจฝืนเปลือกตาหนาหนักไว้ได้อีกต่อไป

                “เฮ้ย ไรวะ ลุกขึ้นมาเลยนะ คออ่อนจัง ลุกๆ งืม” อารีโวยวายขยี้ผมเพื่อนเล่นก่อนจะฟุบหน้าลงไปอีกคน

                “สินๆ อิงๆ” เพชรงามเขย่าเด็กวัยรุ่นทั้งสองที่พากันหมดสภาพไปอย่างน่าเห็นใจ เธอทำหน้าขึงเครียดระคนระอายใจ โคลงศีรษะแล้วยกมือนวดกระหม่อม ผิดกับมานะที่นั่งอมยิ้มดวงตาใสแจ๋ว แก้มแดงเป็นปื้น ก่อนจะใช้ปิ๊กดีดลงไปบนสายกีตาร์ ความจริงเขาก็เคยชื่นชอบการเล่นกีตาร์ ตอนสมัยเรียนอยู่มัธยมมักจะยืมกีตาร์เพื่อนมานั่งดีดตอนคาบว่างตั้งวงร้องเพลงกันไป ทว่าจากตอนนั้นถึงตอนนี้เขาก็ห่างหายจากเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปเกือบสิบปีแล้ว เขาดีดเบาๆ ขยับนิ้วตามคอร์ดและคีย์บนคอกีตาร์อย่างรื้อฟื้นทบทวนความทรงจำ ก่อนจะเริ่มต้นเพลงเพลงหนึ่งที่ชอบใช้จีบสาวสมัยเรียน 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา