Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ความลับที่อยู่ในใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               เสียงกีตาร์เพราะๆ ในทำนองเพลงที่คุ้นหู คลอด้วยเสียงร้องทุ้มนุ่มและติดแหบนิดๆ ในลำคอช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ชายหนุ่มหน้ากวนได้เป็นอย่างดี สายตาคมทว่าหวานชื่นมองเชื่อมไปที่หญิงสาวผู้เป็นนายพร้อมด้วยรอยยิ้มแพรวพราวที่เป็นอาวุธของเขาในการตรึงใจหญิง เนื้อเพลงนั้นบอกเรื่องราวการแอบชอบใครสักคนของชายหนุ่มและวอนให้เธอผู้นั้นเห็นใจมาช่วยรักตอบ

                เพชรงามอดยอมรับไม่ได้ว่าหัวใจเธอสั่นสะท้านขึ้นมายามได้มองและได้ฟังชายหนุ่มเล่นกีตาร์ร้องเพลง นาทีนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำสีหน้าอย่างไร สายตาของเขาเหมือนจ้องจับเธอเอาไว้ให้ตกอยู่ในภวังค์หวาน

                เสียงร้องเพลงและเสียงกีตาร์จบลงไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่จบคือสายตาของมานะที่มองไปยังเพชรงาม หญิงสาวเบนสายตาหนี ยกแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างมือขึ้นดื่มจนหมดแก้วในพรวดเดียว ไม่รับรู้รสชาติใดๆ ทั้งสิ้นในเมื่อหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดอยู่เช่นนี้

                “โหดจังท่านประธาน” มานะว่ายิ้มๆ พลางวางกีตาร์ลงไว้ข้างๆ

                เพชรงามขมวดคิ้วมองก่อนจะก้มดูแก้วในมือซึ่งมันเคยมีน้ำสีอำพันอยู่เต็มแก้ว หญิงสาววางมันลงแล้วยกมือลูบหน้าอย่างหงุดหงิดระคนหน่ายใจกับตัวเอง สักพักผ่านไปเธอก็ชี้นิ้วไปที่กีตาร์เป็นเชิงบอกมานะให้ยื่นมันให้เธอ

                เธอจับมันวางไว้บนตักอย่างได้ท่วงท่าแล้วหยิบปิ๊กที่มานะวางไว้มาดีดบรรเลงเป็นทำนองเพลงที่จับใจ การเล่นของเธอดูแพรวพราวด้วยเทคนิคต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ มานะมองอย่างอึ้งๆ ปลาบปลื้มใจกับฝีมือเหนือชั้นของสาวหน้านิ่ง เธอดูเท่จนเขาแทบละลาย

                เพชรงามวางกีตาร์ลงแล้วสะบัดหน้ากระพริบตาเพื่อไล่ความมัวเมา นั่งตัวงอคอตกเอียงเอนไปมา

                “ทำไมท่านประธานไม่ค่อยยิ้มเลยล่ะครับ มันเหมือนหุ่นสวยๆ ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ได้แค่มองแต่เข้าถึงไม่ได้” มานะเท้าคางถาม หญิงสาวเงียบนิ่งไม่ตอบใดๆ “ถามจริงๆ นะ ท่านประธานมีความรู้สึกไหมครับ”

                เพชรงามชักสีหน้าตอบ เก็บเสียงเอาไว้ราวกลัวดอกพิกุลทองจะร่วงออกมา จนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นอีก “ท่านประธานยิ้มหน่อยสิครับ ทำไมชอบทำหน้าเหมือนเกลียดผมด้วย เห็นแล้วใจมันหวิวนะ”

                “ฉันไม่ชอบหน้านาย” เธอกระชากเสียงตอบ รู้สึกมึนหัวขึ้นมา

                “แต่ผมชอบท่านประธานนะ ทำไมไม่ชอบผมล่ะผมออกจะหล่อเหลา” เขาพูดทีเล่นทีจริง ไม่มีใครรู้ได้ว่าคำพูดนั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดแม้แต่กับตัวผู้พูดเอง แววตาเพชรงามไหววูบชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะปรับให้มันนิ่งเรียบ

                “หลงตัวเอง” หญิงสาวแค่น อะไรบางอย่างในหัวหมุนติ้วๆ รับรู้ได้ถึงการประคองสติไม่ค่อยอยู่ของตัวเอง

                “หลงท่านประธานต่างหาก”  

                “อย่าพูดแบบนี้กับฉัน” ว่าเสียงดุ “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย”

                “อยากเป็นแฟนก็บอก” มานะว่ายิ้มๆ ศอกเลื่อนไถลลงกับโต๊ะจนเขาต้องก้มหน้ามาฟุบลงกับโต๊ะโดยมีหลังมือรองอยู่

                “ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้กับฉัน”

                “แล้วผมต้องพูดยังไงท่านประธานถึงจะชอบ”

                “เงียบ” ความเงียบสงบคือสิ่งที่เธอต้องการที่สุด ไม่มีอะไรที่จะสวยงามและเป็นสุขได้เท่าการสงบนิ่ง

                “เงียบ... งั้นผมจะพูดคำว่าเงียบกับท่านประธานตลอดเลยนะครับ”

                “อย่ากวนได้ไหม” เธอตวาดเสียง

                “พูดดีๆ สิครับ ผมตกใจขึ้นมาเดี๋ยวท่านประธานก็จะไม่ได้อยู่อย่างสงบหรอกครับ”

                “ทำไม” คิดว่าเป็นผู้ชายอกสามศอกแล้วเธอจะกลัวหรือไง ตอนเด็กๆ พ่อของเธอส่งไปเรียนทั้งคอร์สดนตรีและกีฬา ใครคิดจะเข้ามาเธอพร้อมสู้ยิบตาไม่มีถอย

                “ก็ท่านประธานอยู่ในใจผมไง” มานะยกใบหน้าขึ้นมา พิงหลังกับพนักเก้าอี้พลางกอดอก “หน้าแดงจัง เขินล่ะสิ”

                “เขินบ้านนายสิ” ตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า เกิดความเงียบขึ้นนาน มานะนั่งเฝ้ามองหญิงสาวที่นั่งไหล่ตกอกห่อต่างจากก่อนหน้านี้ที่นั่งวางมาดอกตั้งไหล่ตรงอย่างสง่า ดวงตาหวานที่ฉาบไว้ด้วยความดุดันเป็นนิจนั้นปรือลง จะหลับไม่หลับแหล่ แก้มใสสะอาดขึ้นสีแดงระเรื่อฝาดเลือด บ่งบอกให้รู้ชัดถึงอาการเมาแอลกอฮอล์ มานะแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือระอาแทน ดื่มไปแค่แก้วเดียวก็ออกอาการถึงเพียงนี้ คออ่อนเกินมนุษย์มนาแล้วแม่คุณ เด็กพวกนี้ไม่ไหวกันเลยจริงๆ ว่าแล้วมนุษย์คอเหล็กก็คว้าขวดเบียร์มาเทใส่แก้วต่อ แล้วนั่งจิบมันอย่างภิรมย์สมสุข

                “หื้อ” เสียงครางแผ่วเบาดังออกมาจากลำคอของเพชรงาม “อยากรู้ไหมทำไมฉันถึงไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูด” มานะขยับตัวเล็กน้อยอย่างสนใจและตั้งใจฟัง “ฉันเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แม้กระทั่งพี่ชายร่วมท้องก็ยังเกลียดและคอยผลักฉันให้ออกห่าง ฉันได้แต่เฝ้ามองพี่เขาหยอกเล่นพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ในมุมเงียบๆ ฉันไม่ชอบเสียงพูดคุยและรอยยิ้มของพวกเขาเลย ใช่... ฉันอิจฉาที่ไม่ได้มันบ้าง ชีวิตฉันก็มีแค่ความเงียบเท่านั้นแหละที่อยู่เคียงข้าง ฉันสงสัยมาตลอดจนถึงนาทีนี้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รักฉันบ้างทั้งที่ฉันก็เป็นน้องของพวกเขา”

                คำบอกเล่าที่บ่นเสียยืดยาวของหญิงสาวทำให้มานะมองคนเล่าที่ก้มหน้านิ่งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันแสดงถึงความเข้าใจและเห็นใจจากคนหัวอกเดียวกัน ความรักที่ไม่เคยได้รับ ความรักที่คาดหวังแล้วมีแต่ผิดหวัง

                เพชรงามอาจไม่ใช่ประธานบริษัทจอมอำนาจ หยิ่งยโส ไม่สนใจใครอย่างที่เขาคิด เธอต้องวางกิริยาของตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมาด้วยการทำเป็นนิ่งเฉย สุขุม เยือกเย็น ทุกคนย่อมมีความหลังบางอย่างที่ส่งผลต่อถึงปัจจุบัน

                เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วที่มานะตัดสินใจปลุกทุกคนให้ลุกขึ้นมา สาลีแจกมะนาวฝานไปให้คนละเสี้ยวใหญ่ๆ เพื่อนำไปเคี้ยวเพราะความเปรี้ยวของน้ำและความขมของเปลือกจะช่วยให้ตาสว่างสร่างเมาได้ชั่วครู่ เพชรงามกลับมาเป็นหญิงแกร่งที่ดูน่าเกรงขามดังเดิมหลังจากไปล้างหน้าล้างตามาแล้ว จากนั้นไม่นานสาลีก็ยกเค้กก้อนโตมาวางบนโต๊ะให้เด็กๆ ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ตัวเธอ ทานเค้กเป็นของหวานตบท้ายจนหนังท้องตึงแล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

                “Goodnight ครับ” มานะเอ่ยบอกท่านประธานของเขายามเดินผ่านเธอ หญิงสาวชายตามองนิ่ง ก่อนตวัดหางตามองเด็กสาวที่เกาะแขนมานะหนึบแล้วเบนไปทางอื่น ผู้ชายอะไรยอมให้ผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรเกาะติดจนจะสิงร่างแบบนี้ เห็นแล้วขัดหูขัดตาเสียจริง

 

                ภายในโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว นักเรียนบางส่วนก็เริ่มทยอยกลับขึ้นห้องเรียนมาเตรียมตัวสำหรับเรียนคาบบ่าย ที่โต๊ะตัวหนึ่งมีนักเรียนหญิงสี่ห้าคนกำลังมุงเลือกซื้อสร้อยลูกปัดกันอยู่ เมื่อได้เส้นที่ถูกใจแล้วก็เดินผละไป เด็กหนุ่มที่เฝ้ามองแม่ค้าจำเป็นอยู่นานเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเธอ

                “ทำไมต้องช่วยพี่โม่ด้วย”

                “ก็ชอบ” ตอบพลางเก็บสร้อยใส่ถุงไว้

                “ชอบมากเหรอ” เขาถามเสียงห้วน

                “ใช่”

                “คิดหน่อยก็ได้”

                “เสียเวลา”

                “ทำไมต้องชอบ...”

                “หล่อ เท่ กวน ยิ้มเก่ง ขี้เล่น อยู่ด้วยแล้วไม่อยากจากไปไหนเลย” อารีว่าอย่างเพ้อฝัน วางมือจากถุงสร้อยลูกปัด

                “เว่อร์ พูดเหมือนรู้จักเค้ามาเป็นสิบปี” สินบดีแค่นค่อน

                “เคยเจออะไรครั้งแรกแล้วคิดว่ามันใช่เลยป่ะ” เธอถามเสียงใส กึ่งเพ้อกึ่งจริงจัง

                “เขาใช่สำหรับเธอ แล้วถามเขายังว่าเธอใช่สำหรับเขาหรือเปล่า” น้ำเสียงเจือด้วยความเจ็บปวดที่กลั้นไว้ ทำไมเขาต้องมีรักแรกเป็นคนที่ชอบมอบหัวใจให้ใครไปง่ายดายเช่นเธอคนนี้ด้วย ตลอดห้าปีนี่ไม่รู้หรือไงว่าเพื่อนคนนี้รู้สึกอย่างไร

                “ตอนนี้ไม่ใช่สักวันก็ใช่เองแหละ แค่ต้องใช้เวลา”

 

                เข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางมาถึงเลขหนึ่ง เข็มยาวอยู่ที่เลขสิบสอง บอกเวลาบ่ายโมงตรงเป๊ะ เพชรงามลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่ เธอเดินออกไปนอกห้องเพราะความหิวเริ่มออกฤทธิ์ทำงาน ขณะนั้นเองที่เวนิสลุกขึ้นจากโซฟาสีฟ้าเดินเข้ามาหา

                “ไปทานข้าวกลางวันกันนะคะ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาระยับวับวาว หญิงสาวชักสีหน้าหน่ายใจอย่างไม่ใคร่พอใจ รุตบอกเธอตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าแล้วว่าเวนิสมารออยู่หน้าห้อง ซึ่งเธอก็ฝากบอกให้เขากลับไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่นึกว่าจะมานั่งอู้งานอยู่จนถึงป่านนี้

               “ไม่มีงานทำหรือคะ” เธอไล่ให้เขากลับไปทำงานด้วยประโยคสุภาพ แต่เขากลับตีความไม่ออก

                “มีครับ แต่เดี๋ยวค่อยทำ” เวนิสคิดว่าคำตอบของเขาอาจไม่ถูกหูเพชรงาม เมื่อใบหน้านิ่งๆ ของเธอทวีความขรึมมากขึ้น

                “ท่านประธานคร้าบ” เสียงยานคางลากเสียงยาวดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เดินตรงรี่เข้ามา “Good afternoon baby”

                คนไม่รู้กาลเทศะทักทายยิ้มแย้ม ยื่นแฟ้มเอกสารที่ถือมาส่งให้การ์ดรุต

                “แกเป็นใคร พูดกับน้องไดมอนด์แบบนี้ได้ยังไง” เวนิสหันไปฮึดฮัดใส่ผู้มาใหม่ ที่ดูจากสารรูปแล้วคงเป็นแค่พนักงานกระจอกๆ ไม่มีทางมาสนิทกับประธานบริษัทผู้ยโสได้แน่

                “เป็นเทพบุตร” ยักคิ้วตอบกวนๆ 

                “ไอ้โม่ หมดธุระก็กลับไปได้แล้ว” รุตปรามแกมไล่

                “แล้วนี่จะไปไหนกันครับ” มานะแกล้งทำหูทวนลม หันไปเอ่ยถามเพชรงามเพราะปกติเขาแทบไม่เห็นเธอออกจากห้องเลย

                “ฉันจะไปทานข้าวกับน้องไดมอนด์” เวนิสชิงตอบ น้ำเสียงเย้ยหยันบอกให้รู้ว่าตนเหนือกว่า

                “ใครบอกว่าฉันจะไปกับคุณ” เพชรงามว่าเสียงเรียบใส่คนที่คิดเองเออเอง เวนิสหน้าชา ก่อนจะมีเสียงเพล้งดังมาจากใบหน้าที่แตกร้าว

                มานะเปิดปากหัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับคำพูดของหญิงสาว ก่อนจะทำปากถุยเบาๆ ให้หนุ่มรูปงาม

                “สถุน ไม่รู้จักสมบัติของผู้ดี” เวนิสว่าเสียงกร้าวใส่

                “บังเอิญรู้จักแต่สมบัติ เมทะนี” มานะยังคงกวนหน้าตาย

                “แกอย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ” ว่าอย่างมีอารมณ์ เริ่มโกรธขึ้นมาจริงจังแล้ว

                “ลิ้นมันอยู่ในปาก จะเล่นทำไม สกปรกแย่”

                “แก” ฉับพลันเวนิชก็โถมตัวเข้าใส่มานะอย่างเหลืออด จนรุตต้องเข้ามารวบตัวเขาไว้ มานะบอกตัวเองว่าเขาพร้อมเต็มที่สำหรับศึกหน้านางครั้งนี้ เพชรเม็ดงามเขาไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก

                จังหวะนั้นเองที่เพชรงามปลีกตัวออกมาด้วยความรำคาญเต็มทน เธอก้าวฉับไปอย่างเร่งเร็ว มานะโบกมือลาเวนิสที่ดิ้นพล่านจากการถูกล็อกแล้วเดินจากไปเช่นกัน

                “ท่านประธานจะไปทานข้าวที่ไหนครับ” มานะวิ่งมายืนข้างๆ หญิงสาวเมื่อเธอเดินออกมาอยู่หน้าบริษัทแล้ว บ่ายวันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม เมฆสีดำคล้ายกลุ่มควันกำลังรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ปกคลุมไปทั่ว

                “กลับไปซะ” เธอว่าเสียงดุ ยังคงสาวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ

                “ผมเป็นห่วง รอพี่รุตตามมาแล้วผมจะกลับ”

                “ไม่ต้อง” เสียงห้วนโวยใส่ จะมายุ่งอะไรนักหนา

                “เหมือนฝนจะตกเลย” ว่าหน้าตาเฉย เพชรงามแหงนหน้ามองท้องฟ้าทะมึนน่ากลัวชวนวังเวง ก็ดีไม่มีแดด

 

                อีกฟากหนึ่งของถนนกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 18-25 ปี นั่งสูบบุหรี่ส่งควันขมฉุยออกมาจากปากและจมูกอย่างเคลิบเคลิ้ม อยู่ตรงมุมตึกซึ่งถูกปิดตายเอาไว้ ชายคนหนึ่งในนั้นเพ่งสายตามองยังถนนอีกฝั่ง ความแค้นคล้ายถูกสะกิดให้ลุกโชนขึ้นมา เขารีบหันไปหาลูกพี่ “พี่ ผมเจอไอ้ตัวนั้นแล้ว”

                “ไหนวะ” ชายร่างโกร่งมีลายสักเต็มตัวเอ่ยถามลูกน้องอย่างรู้กัน

                “คนที่ใส่หมวกสีดำ เดินกับผู้หญิงตรงนั้นน่ะ” ว่าพร้อมชี้มือบอก หัวหน้าแก็งส์ดูดควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ก่อนจะทิ้งมันลงข้างๆ ใช้เท้าเหยียบซ้ำให้ไฟที่ก้นบุหรี่ดับลงสนิท

                “งั้นลุยเลย” แววตาวาวโรจน์ประกายความสนุก

                “แต่มันโหดใช่เล่นนะพี่ เรียกพวกมาเพิ่มดีกว่า” ว่ากล้าๆ กลัวๆ อย่างเจ็บแค้น

                “มึงกลัวมันเหรอ แค่กูคนเดียวมันก็ปางตายแล้ว”

                “ยิ่งพวกเยอะยิ่งได้เปรียบนะพี่”

                “ก็ได้ เร็วๆ นะ กูคันไม้คันมือแล้ว”

 

                “ปล่อยนะ ปล่อยสิโว้ย” เวนิสโวยวายเสียงลั่น ฝ่ายรุตเมื่อเห็นเจ้านายและเพื่อนรุ่นน้องหายลับไปแล้วก็ปล่อยหมาบ้าออกให้เป็นอิสระ เวนิสหันมามองอย่างเอาเรื่องหากก็มิได้ทำอะไรคงเพราะตำแหน่งบอดี้การ์ดของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาหวั่นเกรงอยู่ จากนั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปยืนที่หน้าลิฟต์ รุตโคลงศีรษะก่อนจะเดินไปยืนข้างๆ หนุ่มรูปงามแต่ท่าทางไม่น่าดู

                เมื่อลิฟต์เปิดออกร่างสูงโปร่งหุ่นดีก็ก้าวออกมา เวนิสที่ไม่สนใจใครก้าวเข้าไปแล้วกดปิดทันที

                “ไดมอนด์ไปไหน” วิเชียรเอ่ยถาม

                “ไปทานข้าวครับ”

                “แล้วนายไม่ตามไป?” เขาหรี่ตาถาม ปกติเห็นตามกันไปทุกที

                “กำลังจะไปครับ”

                “นายช่วยหาเอกสารเกี่ยวกับสินค้าตัวหน้าให้หน่อยสิ ในห้องไดมอนด์น่ะ เอาที่สรุปแผนการทุกอย่างเลยนะ แล้วเอาไปให้ฉันที่ห้องด้วย ขอบใจ” ว่าด้วยน้ำเสียงคุณชาย รุตแอบเปรียบเทียบไม่ได้ว่าเสียงของวิเชียรอ่อนนุ่มน่าฟังเสียยิ่งกว่าน้องสาวอีก

                “คือเจ้านาย...”

                “ไดมอนด์ไม่ใช่สองขวบสามขวบนะ แค่ไปทานข้าวคนเดียวไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีปัญหาเดี๋ยวก็โทรมาเองแหละ” วิเชียรตบไหล่การ์ดหนุ่มก่อนกลับเข้าไปในลิฟต์ รุตพยักหน้าเดินคอตกเข้าไปในห้องทำงานใหญ่

 

                มานะนั่งส่ายเท้าเล่นอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อนหน้าร้านสเต็กที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัทนัก เขาหันไปมองกลุ่มชายวัยรุ่นราวยี่สิบคนที่เดินลุยเข้ามา นึกในใจว่าพวกนั้นจะยกพวกไปต่อสู้ขู่ขานสร้างความเดือดร้อนกันที่ไหน เด็กพวกนี้ไม่รู้จักคิดกันบ้างเลย ปล่อยให้ความเลือดร้อนและอารมณ์นำพาไป เพราะอย่างนี้ไงสังคมถึงย่ำแย่ลงทุกวัน เยาวชนหันไปทำแต่สิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ไร้ประโยชน์ ทำร้ายกันเอง แล้วอนาคตจะหวังพึ่งใครได้ อยากรักชาติก็ต้องรักคนที่อยู่ร่วมชาติของเราด้วย

                ความคิดเรื่องชาติของมานะหยุดลงแค่นั้นเมื่อกลุ่มวัยรุ่นอันธพาลมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับที่เพชรงามก้าวออกมาจากร้านหลังทานอาหารอิ่มแล้ว เธอทอดสายตามองนิ่งๆ ระหว่างกลุ่มวัยรุ่นและคนส่งของ มานะส่งสายตาที่มีเครื่องหมายคำถามไปยังพวกที่พากันจ้องเขาถมึงทึง นึกไม่ออกว่าตัวเองไปสะดุดขาผู้มีอิทธิพลที่ไหน

                “มึงจำไม่ได้เหรอว่าวันนั้นทำอะไรกับกูไว้” ชายผิวกร้านตัวผอมเดินออกมาเผชิญหน้า

                ไม่ต้องเสียวเวลาพินิจคิดนานมานะก็จำได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือคนที่มีเรื่องกับสินบดีและโดนเขาจัดการไป รอยช้ำยังเจือจางอยู่บนใบหน้า สงสัยอยากได้แผลใหม่เพิ่มล่ะสิ

                “ไอ้โม่” หัวหน้าแก็งส์เรียกชื่อคู่อริด้วยน้ำเสียงแค่นเยาะ “บังเอิญจังเลยนะ คนจะตายฝืนยังไงก็รั้งไม่อยู่จริงๆ”

                “แล้วกูไปทำอะไรไห้มึง” มานะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าไอ้คนที่ทำตัวกร่างที่สุดนี่เป็นลูกน้องของพิภพ

                “กูหมั่นไส้มึง ที่ผ่านมามีพี่พีคุ้มกะลาหัวมึงอยู่ แต่วันนี้มึงไม่รอดแน่”

                มานะทำท่าฮึดฮัด ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่เกรงกลัว ก็ให้มันรู้สิว่าใครเป็นใคร

                “กูขอโทษ” ท่าทางแข็งๆ ละลายปวกเปียก เอ่ยเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มแหยๆ “ถ้าทำอะไรให้พวกมึงไม่พอใจกูก็ขอโทษด้วยนะ เลิกแล้วต่อกันเถอะ เราคนไทยด้วยกันเนอะ”

                “แค้นแม่งต้องชำระโว้ยถึงจะหาย” ว่าเสียงเหี้ยม ไม่มีแววส่อว่าจะลดละ

                “แค้นไปก็เครียดเปล่า เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ” หัวเราะกลบเกลื่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเล่นด้วย จึงต้องทำเป็นแข็งขึ้นมาอีกครั้ง “ตะ... เตือนไว้ก่อนนะ มะ... ไม่อยากเจ็บตัวก็รีบถอยไป”

                มานะทำใจดีสู้เสือ ทั้งที่ในใจไม่ต่างอะไรจากเต่าที่กำลังจะหลุบหัวเข้าไปในกระดอง ดูจากจำนวนคนก็พอเดาสภาพตัวเองตอนเละเป็นโจ๊กได้แล้วแหละ เล่นยกโขยงกันมาทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ความยุติธรรมอยู่ไหน!

                เพชรงามที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ ไม่รู้อะไรว่าอะไรสั่งให้เธอก้าวขาออกไปยืนข้างมานะ ชายหนุ่มขยับปากไล่ให้เธอออกไป หากหญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “กลับได้แล้ว”

                “ครับ” แววตามีความลังเลครู่หนึ่งก่อน ก่อนจะฉวยมือหญิงสาวด้วยรอยยิ้มแล้วพาวิ่งเผ่นออกไป โดยมีกองทัพอันธพาลวิ่งตามหลังเป็นหมู่

                หัวใจอันสงบนิ่งเย็นยะเยือกของหญิงสาวเร่งเร้าจังหวะให้เต้นโครมครามด้วยความตระหนก มิทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนและไม่นึกฝันด้วยว่าจะเจอ ใจหนึ่งอยากสะบัดมือออกจากชายหนุ่มในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมต้องวิ่งหัวหดแบบนี้ด้วย หากอีกใจก็ไม่อยากให้เขาวิ่งไปคนเดียว แม้จะจุกท้องแทบบ้าจากการเพิ่งทานอาหารเสร็จแล้วต้องมาวิ่ง เธอก็ยอมวิ่งต่อไป

                เสียงฝีเท้ากระแทกพื้นและเสียงขู่คำรามกึกก้องสร้างความรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจหนุ่มสาวมากขึ้น มานะที่วิ่งอย่างสุดกำลังทั้งยังออกแรงฉุดให้คนข้างหลังวิ่งตามมาด้วยเริ่มหมดแรง จนกลุ่มอันธพาลเข้ามาล้อมวงรอบคนสองคนได้ไม่ยาก

                มานะและเพชรงามยืนหอบหายใจระรวยกลางวงล้อม ชายหนุ่มกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้นอีก

                คนที่มีเรื่องกับมานะตรงเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน หมายจะปล่อยหมัดลุ่นๆ ใส่ใบหน้ากวนนั้นเต็มแรง แต่มานะก็หลบไปได้ เกิดการต่อสู้ระหว่างคนสองคนซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนถูกล่าฝีมือเหนือชั้นกว่า คนอื่นๆ ที่อยู่ในวงล้อมต่างเข้าไปช่วยพวกของตน มานะอาศัยความคล่องแคล่วเฉพาะตัวหลบหลีกไปได้หลายหมัดหลายศอก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงห้านาที เขาก็ถูกตรึงแขนให้ยืนขึ้น จากนั้นหัวหน้าแก็งส์ก็เข้ามาเสยคางต่อและตามมาด้วยหมัดหนักๆ อีกหลายครั้ง จนใบหน้านั้นเปื้อนเกรอะกรังไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำ คนที่เรี่ยวแรงหมดพยายามดิ้นตัวไปหลุดจากพันธนาการหากก็ไม่สำเร็จ เขาเอี้ยวตัวไปปรือตามองหญิงสาวที่ลากมาด้วย เธอโดนผู้ชายสองคนจับต้นแขนเอาไว้ หญิงสาวดิ้นสะบัดสุดตัว ใบหน้าโมโหสุดขีด ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวพวกนั้นเลย ดูแล้วคงขยะแขยงมากกว่า

                “ปล่อยเธอ... ปล่อย... ไป” เสียงแผ่วดังออกจากจากปากที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

                “ปล่อยให้โง่” ว่าเสียงเหี้ยมโหด หันไปมองหญิงสาวแววตาวับวาวพราวระยับ

                “ไอ้พวกชั่ว” ตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่จะเปล่งออกมาได้ซึ่งก็ไม่ต่างจากเสียงกระซิบเลยสักนิด แล้วถ่มน้ำเลือดใส่หน้าคนชั่ว

                ชายฉกรรจ์เจ้าของลายสักน่ากลัวจ้องตาขวางมาที่มานะ ก่อนจะแสยะยิ้มน่ากลัว มือกร้านรวบกำปั้นแน่นก่อนจะง้างขึ้นกลางอากาศแล้ว...

                “เฮ้ย” เสียงๆ หนึ่งดังแทรกขึ้นมา เจ้าของเสียงเดินแทรกผ่านวงล้อมเข้ามาดู เพราะเห็นผ่านๆ ว่าพวกนั้นคือลูกน้องของเขา “ไอ้โม่!” เสียงนั้นเรียกอย่างตกตะลึง

                คนที่ง้างหมัดอยู่รีบปล่อยลงทันที ท่าทางกร่างใหญ่หายวับไปทันที แทนที่ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

                “มึงน่าจะมาเร็วกว่านี้อีกนิดนะเพื่อน” มานะทักทายเกลอเก่าเสียงอ่อน ก่อนจะถูกปล่อยตัวลงไปกับพื้นเช่นเดียวกับเพชรงาม หญิงสาวตรงเข้าไปประคองชายหนุ่มทันที

                “มึงทำอะไรเพื่อนกู” หลังจากตะลึงกับสภาพสะบักสบอมของเพื่อนรักแล้วจึงหันไปถามลูกน้องอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเข้าไปซัดหมัดให้ จนคนอวดเก่งในคราแรกหน้าซีดแผด มุมปากมีเลือดซึมออก “กูไม่เคยบอกให้พวกมึงรังแกคนอ่อนแอกว่า ไป จะไปไหนก็ไป แล้วก็เตรียมตัวรับโทษของพวกมึงไว้ด้วย”

                ฝูงวัยรุ่นอันธพาลเริ่มอันตรธานหายไปเพราะคำสั่งของลูกพี่ใหญ่ จนบริเวณนั้นเหลืออยู่เพียงคนสามคน

                “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” มานะถามเพชรงามน้ำเสียงห่วงใย หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                “ไปทำแผลกับกูก่อนไหม เดินกลับสองคนเดี๋ยวไอ้พวกนั้นกลับมาเล่นงานมึงอีก กูไม่ไว้ใจมัน” พิภพถามแกมเตือนเพื่อนด้วยความเป็นห่วง มานะมองหน้าหญิงสาวแล้วตอบ

                “ไม่เป็นไร กูไหว”

                “ไหวบ้านมึง เลือดออกซิบๆ ขนาดนี้” แค่นให้คนอวดเก่ง “เดี๋ยวกูกลับมาส่ง ตอนนี้ต้องรีบไปทำงาน”

                “ใกล้ๆ นี่เอง พามันไปทำแผลกับเราก่อนนะ” พิภพหันไปพูดกับเพชรงามด้วยภาษาเป็นกันเอง

                หญิงสาวมีสีหน้าอึกอัก มองคนส่งของที่จ้องเธอเป็นเชิงถาม ในใจหญิงสาวนึกอยากจะโทรบอกการ์ดของตัวเองทว่าก็ลืมเอาโทรศัพท์มาเสียได้ ระยะทางจากตรงนี้ถึงบริษัทก็หลายกิโลอยู่ อันธพาลพวกนั้นอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายอีก ท้ายที่สุดเธอก็พยักหน้าลงอย่างเสียไม่ได้

 

 

                                    

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา