Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ข้อสอบที่ยากที่สุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               มานะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเดินเท้า รู้สึกดีใจเป็นพิเศษที่วันนี้กระเป๋าสตางค์หนักกว่าทุกวันที่เคยมี เพราะวันนี้เป็นวันรับเงินเดือน ทว่าคงไม่นานเงินก้อนนี้จะต้องหายวับไปแน่ ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปในร้านขายผ้า

                “อิง แม่อยู่ไหม” เขาเอ่ยถามเด็กที่นั่งเล่นโทรศัพท์ เธอหันมามองขวับแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งมาเกาะแขนชายหนุ่มที่แอบปลื้ม

                “พี่โม่ คิดถึงพี่โม่ที่สุดเลย” ว่าเสียงอ่อนเสียงหวาน

                “พี่ก็คิดถึงเรา” มานะยิ้ม “สร้อยรอบนี้ขายหมดยัง”

                เด็กสาวตีหน้าเรียบลง ก่อนว่าอย่างกระเง้ากระงอด “คิดถึงอิงหรือคิดถึงเงิน”

                “สองอย่างนั้นแหละ คนก็สำคัญส่วนเงินก็ขาดไม่ได้”

                “เชอะ” ปล่อยมือออกจากท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อน้อยๆพอให้คนจับใจหวิว

                “เดี๋ยวพาไปเลี้ยงไอติมเป็นค่าจ้างเอาป่ะ”

                “จริงเหรอ เอาสิ” อารีฉีกยิ้มแรง ท่าทางราวกระดี่ได้น้ำ

                “เรียกแม่ออกมาก่อน” มานะบอก

                เด็กสาววิ่งเข้าไปด้านในก่อนไต่บันไดไปชั้นบน เพียงครู่เดียวเธอก็จูงหญิงร่างท้วมออกมาด้วย วิภามองมานะด้วยสายตาไม่ชอบใจ

                ชายหนุ่มหยิบเงินในกระเป๋าออกมาให้เจ้าหนี้ เงินก้อนนี้ได้มาจากงานหลักและงานเสริมที่ทำรวมกัน “ค่าเช่าบ้านสามเดือนครับ”

                วิภายื่นมือสั้นป้อมไปรับเงินมานับ มองชายหนุ่มใหม่ด้วยสายตาที่อ่อนลง “หวังว่าก่อนวันที่สามของเดือนหน้าแกจะมีจ่ายของเดือนนี้นะ”

                “แน่นอนฮะ คนอย่างไอ้โม่ ไม่เบี้ยวไม่เลท รับรองได้” ว่าอวดภูมิ ก่อนหันไปถามลูกสาวเจ้าหนี้ “ใช่ไหมอิง”

                “ใช่ค่ะ” อารียิ้มหวานอย่างหลงใหลใคร่รักให้มานะ ก่อนจะหันไปพยักหน้ายืนยันให้แม่ “แม่จ๋า ของเงินติดตัวสักสองร้อยได้ไหม”

                “เอาไปทำไมตั้งสองร้อยลูก” มองมานะอย่างไม่ไว้ใจ เกรงว่าจะมาหลอกปอกลอกลูกสาวเธอ ชายหนุ่มยิ้มแค่นเมื่อเดาความคิดผ่านสายตาของเธอออก

                “อาทิตย์นี้งบหมดแล้วแม่ ยังไงอิงก็ต้องขอแม่อยู่ดี”

                วิภาพยักหน้ายิ้มอ่อน แยกธนบัตรสีแดงสามใบให้ลูกสาว “แม่ให้ไว้สามร้อยเลยละกัน”

                “ขอบคุณค่ะแม่” พนมมือรับเงิน “ไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะคะ” จูงแขนมานะออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกคำถามและเสียงบ่นของแม่ หากกระนั้นก็ยังไม่ยินเสียงมารดาตะโกนว่าชายหนุ่มตามหลังมา

                “อดทนหน่อยนะพี่โม่ รักแท้ก็มีอุปสรรคแบบนี้แหละ” อารีว่าเสียงเศร้าหลังจากเข้ามานั่งในร้านไอศกรีมและสั่งเมนูแล้ว น่าโศกาจริงแท้ที่ชีวิตรักของเธอกับมานะต้องมีอุปสรรคที่เป็นก้างชิ้นโตอย่างแม่

                “ทำไมพ่อแม่ต้องหวงลูกสาวด้วย” ขนาดแม่ของอารียังหวงเธอขนาดนี้ แล้วพ่อของเพชรงามล่ะจะขนาดไหน ถ้าเขามีเงินทุกอย่างก็คงราบเรียบขึ้นบ้าง

                “เพราะรักไงคะเลยหวง อิงก็หวงพี่โม่นะ” ว่าเองเขินเอง ใช้ช้อนตักไอศกรีมที่ถูกนำมาวางตรงหน้า

                “ลืมชวนสินเลย เดี๋ยวโทรไปชวนดีกว่า” เปลี่ยนเรื่องฉับพลันพลางคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ยังดีที่ตอนสินบดีโทรมาชวนไปดูหนังเขาเมมเบอร์มันไว้ด้วย

                “ไม่ต้องชวนหรอกพี่โม่ ไอ้หมอนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักกระติ๊ดหนึ่ง” อารีเบ้ปากห้าม แต่คงไม่ทันเสียแล้วเมื่อได้ยินชายหนุ่มคุยกับคนปลายสายว่า

                “เฮ้ย มากินติมกันไหมน้อง... จะเลี้ยงขอบคุณวันนั้นไง... ใช่ นั่งหน้าบูดอยู่เนี่ย... น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า น้องช่วยพี่พี่ช่วยน้อง... น้าขงน้าเขยอะไร อย่าเรียกแบบนั้น เขินว่ะ... เออๆ รีบมา” มานะวางหูไปด้วยรอยยิ้ม ตักไอศกรีมเนื้อเนียนละเอียดไปละเลียดมาอย่างละเมียดในปาก

                “น้าเขย คือไรอ่ะ” อารีถามเสียงไม่พอใจระคนไม่สู้ดี “พี่โม่กับพี่ไดมอนด์... ไม่จริงนะ แล้วอิงจะอยู่ยังไง”

                “ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ นะ แต่พี่มีแค่หนึ่งใจพี่ต้องเลือกแค่หนึ่งคน” มานะพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าตามอย่างที่พระเอกในมิวสิกวีดีโอชอบพูด

                “พี่โม่อยากเห็นน้ำตาอิงมากใช่ไหม” ว่าเสียงกร้าวเด็ดขาด แต่ก่อนที่จะพากันออกทะเล มานะก็เบรกเอาไว้ก่อน

                “อย่าเวอร์น่ะอิง” เขาว่ายิ้มๆ ตามสไตล์ “อิงก็รู้ว่าระหว่างเรามันเป็นสองบวกสามเท่ากับหก”

                “อะไรอ่ะพี่โม่” เด็กสาวงุนงง

                “ก็เป็นไปไม่ได้ไงเล่า” คนที่เข้ามาใหม่เฉลยให้ก่อนจะนั่งลงร่วมโต๊ะ มานะยื่นมือไปจับคนที่มาทันเวลารับมุกพอดิบพอดี

                “ใจร้าย” หญิงสาวว่าเบะหน้า คนใจร้ายทั้งสองหัวเราะเข้ากันเป็นฉิ่งเป็นฉาบ สินบดียกมือสั่งเมนู

                “อิงพี่จะเลิกขายสร้อยอะไรนั่นแล้วนะ จากนี้ไม่ต้องลำบากแล้ว”

                “ทำไมอ่ะพี่โม่ โอเค ต่อไปอิงจะไม่ทำให้พี่อึดอัดแล้วก็ได้” คนที่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการตัดเธอออกจากชีวิตรีบชี้แจง แว่วเสียงถอนหายใจของเพื่อนร่วมห้องดังมา

                “ไม่ใช่แบบนั้น พี่จ่ายหนี้แม่อิงหมดแล้ว คงไม่จำเป็นต้องใช้เงินขนาดต้องรบกวนอิงหรอก อีกอย่างนั่งร้อยลูกปัดพี่กลัวใจว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปเป็นตุ๊ดเกย์อะไรเถือกนั้นเข้าสักวัน”

                “ไม่เอานะ อิงไม่ยอมให้พี่โม่เป็นเกย์หรอก ขืนพี่โม่รักผู้ชายอิงก็หมดสิทธิ์สิ” ว่าเสียงน่ารักน่าชัง

                “นี่ยังคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อีกเหรอ” สินบดีแค่น “คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ นี่ไม่ได้ซึมเข้าไปในสมองเธอเลยใช่ไหม”

                “นายว่าฉันสมองหนาเหรอ” อารีทำหน้าเหวอปากหวอกับคำพูดของเพื่อนที่ดูแรงเกิน

                “ฉันพูดแบบนั้นตอนไหน” ว่าพลางส่ายหน้ากวนๆ

                “ไปละนะเด็กๆ มีงานต้องทำต่อ” มานะว่าเมื่อทานไอศกรีมไปจนหมดถ้วยแล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ปล่อยให้เด็กทั้งสองนั่งเถียงกันเองตามลำพัง

 

                “เจ้านายครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ” เสียงทุ้มดังมาจากเครื่องอินเตอร์คอมเมื่อเวลาบ่ายสองโมงตรง หญิงสาวปิดแฟ้มเอกสารลงฉับ จัดเรียงแฟ้มสามสี่เล่มไว้ให้เป็นระเบียบ แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

                “ไม่ต้องตามไปหรอก” เพชรงามบอกการ์ดหนุ่มที่ลุกขึ้นยืน ห้องประชุมอยู่แค่ชั้นสามเอง

                พอเข้าไปในห้องประชุมเพชรงามก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นวิเชียรนั่งอยู่ด้วย

                “พอดีพี่ว่างน่ะ ขอนั่งฟังการประชุมด้วยคนได้ไหม” เขาส่งรอยยิ้มละมุนให้น้องสาว

                “ได้สิคะ” หญิงสาวตอบ แล้วเข้าไปนั่งประจำที่ พร้อมเริ่มประชุมเกี่ยวกับระบบงานควบคุมการผลิตและระบบงานวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต

                หนึ่งชั่วโมงต่อมาสองพี่น้องก็เปิดประตูออกมาจากห้องประชุม เป็นเวลาเดียวกับที่สุริยา ศิลา และวิเชียรเดินผ่านมาพอดี ทั้งสามหยุดเดินพร้อมส่งสายตาเหยียดหยันไปให้น้องสาว ก่อนจะมองน้องชายด้วยแววตาฉงน

                “แกเข้าประชุมด้วยหรือแจ็ค”พี่ใหญ่เอ่ยถาม

                “ครับ” รับคำอึกอัก

                “ที่แกไม่ไปกินข้าวกับพวกฉันเพราะอยู่ประชุมกับยายนี่หรือ เหอะ” ฐานิชแค่นว่า ท่าทางเอาเรื่อง

                “ผมแค่อยากมาดู เผื่อจะช่วยเหลืองานได้บ้าง” ตอบเสียงหงอ

                “เดี๋ยวนี้แกอยู่ข้างมันหรือไอ้แจ็ค” คราวนี้ศิลาว่าขึ้นบ้าง

                “เปล่าครับ คือ... ผมเพียงแต่อยากทำอะไรเพื่อบริษัทบ้าง”

                “นี่แกจะบอกว่าพวกฉันไม่ทำอะไรเลยใช่ไหม” ฐานิชขึงตาวาววับไปที่เพชรงามสีหน้าเธอยังคงนิ่งเฉยเป็นปกติ“...ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามช่วยมัน อยากจะดูน้ำหน้านักว่าถ้าไม่มีพ่อหนุนหลัง มันจะไปได้สักกี่น้ำ”

                สุริยาเหลือบมองหญิงสาว “ไม่ต้องห่วงนะว่าฉันจะไม่ทำอะไร เพราะฉันจะขึ้นมาหลังจากที่งานของเธอมันล้มเหลว"

                “รีบทำดีเอาหน้าซะนะ จะได้นั่งเก้าอี้ท่านประธานนานอีกหน่อย” จบคำพูดของศิลา ทั้งสามก็เดินจากไป โดยมีวิเชียรเดินตามหลัง

                เพชรงามนิ่งแผ่นหลังของคนทั้งสี่นิ่งๆ ด้วยใบหน้าลุ่มลึกก่อนจะเลี้ยวเดินไปอีกทาง

 “เฮ้” มานะที่แอบอยู่หลังประตูทางบันไดหนีไฟร้องตะโกนเรียกใครคนหนึ่ง เธอคนนั้นก้าวเดินต่อไปด้วยไม่คิดว่าจะมีคนเรียกเธอด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงห้วนห้าวเช่นนี้ “ท่านประธาน”

                และเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูนั่นแหละเพชรงามจึงกลับหลังไปมอง เธอชะงักฝีเท้าไว้ “อะไร”

                ชายหนุ่มกระดิกนิ้วให้เธอเข้าไปหา แต่หญิงสาวก็เพียงแต่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ สุดท้ายแล้วเขาจึงต้องออกมาลากเธอเข้าไปหลบหลังประตูด้วยกลัวคนอื่นจะมาเห็นเข้า เพชรงามดิ้นพรวดพราด ซุ่มเสียงที่เธอพยายามส่งออกมาถูกปิดไว้ด้วยฝ่ามือหนา จนในที่สุดเธอก็เข้ามาอยู่หลังประตูได้ตามเจตนาของอีกฝ่ายเมื่อนั้นเขาจึงปล่อยเธอเป็นอิสระ

                “ทำบ้าอะไรของนาย” เจ้าของเสียงดุชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ร่างสูง ก่อนจะเดินไปจับลูกบิดไว้เตรียมกระชากออก

                “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไปครับ” เขาจับมือเธอออกจากลูกบิด พร้อมแทรกตัวไปขวางระหว่างตัวหญิงสาวกับประตูไว้

                เพชรงามจ้องหน้าชายหนุ่มนิ่ง

                “ผมแค่จะเอาไอ้นี่มาให้” มานะหยิบเอาอมยิ้มมายื่นให้หญิงสาว เธอรับมันมาด้วยใบหน้าที่คลายลงมานิดหนึ่ง

                “นายจะให้ฉันทำไม ไม่ใช่เด็กแล้ว”

                “ก็เต็มใจจะให้ คนทุกคนก็ย่อมมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละครับ” ยกนิ้วจิ้มแก้มตัวเองแล้วฉีกยิ้มแรงๆ

                “แค่นี้ใช่ไหม หลบไปสิ” เพชรงามรีบผลักตัวเองออกจากมานะให้เร็วที่สุดก่อนจะเผลอไผลไปกับรอยยิ้มของเขา

                “เออ ขอถามเรื่องหนึ่ง” ย้ายนิ้วที่แก้มตัวเองมาชูตรงหน้ายิ้มสาว รอยยิ้มเริ่มมลายไป “ท่านประท่านกับพี่ชายดูไม่ค่อยถูกกันเลยเนอะ ผมไม่ได้แอบฟังนะ แบบบังเอิญไปได้ยินเอง จริงๆ”

                เพชรงามสบตาร่างสูงตรงหน้า แววตาเขาดูหวั่นๆ หากก็จริงจังในที อาจจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ว่าเขาคงเป็นห่วงเธอละมัง บรรยากาศเงียบไปชั่วครู่ใหญ่ก่อนที่หญิงสาวจะพาตัวเองมานั่งชันเข่าอยู่ตรงชานบันได

                “นายเคยน้อยใจในโชคชะตาบางอย่างไหม”

                คนถูกถามเดินมานั่งข้างเธอ ส่ายหน้าหวือ “ไม่ครับ น้อยใจไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตหรือจิตใจดีขึ้น ถ้าเอาแต่โทษนั่นนี่ชีวิตก็คงไม่เดินต่อไป” หันไปมองเสี้ยวหน้าหญิงสาว “ถามทำไมครับ”

                “ฉันไม่รู้ว่าทำอะไรผิดแต่พี่ชายฉันไม่เคยชอบฉันเลย” น้ำเสียงเธอเจือไปด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย

                “ความรู้สึกหลายอย่างมันไม่มีเหตุผลหรอก ยิ่งกับคนที่เกลียด ไม่ต้องไปนึกหาเหตุผลของเค้าหรอกครับ บางทีตัวเค้าเองอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเกลียดเรา” ว่าอย่างต้องการปลอบ ถึงใบหน้าเธอจะไม่แสดงความรู้สึกใดเขาก็เข้าใจดี “ใครไม่ชอบท่านประธานก็ช่าง แต่ผมชอบนะ”

                เพชรงามหันไปมองคนที่บอกว่าชอบเธอ หัวใจสั่นไหวขึ้นมายามสบตาหวานฉ่ำคู่นั้น

                “ฉันไม่แคร์หรอกว่าใครจะรู้สึกยังไงกับฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากถูกคนในครอบครัวเกลียด”

                “เฮ้อ ผมว่าก็เหมือนการทำข้อสอบแหละครับ ข้อสอบที่ได้คะแนนมากส่วนใหญ่จะเป็นข้อที่ทำยาก แบบเดียวกับการทำให้คนที่เกลียดกลายมาชอบ ตอนแรกอาจจะยากเย็นแสนเข็ญ พอถึงสุดท้ายก็จะได้ความรักที่มีค่ามากกว่าความรักธรรมดา ถ้าสามารถทำข้อสอบข้อนั้นได้นะ”

                “ฉันทำไม่ได้ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ ฉันคงได้แค่นั่งจ้องมันเฉยๆ แล้วรอให้เวลาหมด”

                “ก็เอาเวลาไปทำข้ออื่นที่ทำได้แล้วสามารถเอาคะแนนมาดึงข้อนี้สิ” เพชรงามกลับมามองมือตัวเอง เพิ่งฉุกคิดได้ว่าทุกวันนี้เธอไม่เคยนึกถึงเรื่องเวลาเลย ใช้ทุกนาทีไปกับงานและความคิดของตัวเอง ไม่เคยทำอะไรที่อยากทำจริงๆ เพราะเธอเฝ้าแต่รอ รอให้ถึงเวลาของมัน โดยลืมนึกไปว่าเวลาของเรามันมีเพียงพอถึงตอนนั้นหรือเปล่า เช่น การไปเที่ยวที่ไหนสักที่คนเดียว ซึ่งที่แห่งนั้นต้องมีขุนเขา เมฆหมอก และสายน้ำใหญ่แบบที่เคยวาดฝันไว้

                และอีกเรื่องที่เธอเพิ่งได้รับรู้เช่นกันคือมานะเหมือนเป็นโลกอีกใบของเธอเลย โลกที่มีพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างกว่า พระจันทร์และดวงดาวดวงใหญ่กว่า มีรอยยิ้มที่สดใจและจริงใจอยู่ตลอดเวลา เป็นดินแดนที่เข้าไปแล้วรู้สึกดีได้ทุกทีและสามารถชาร์จความสุขได้อย่างเต็มที่

                “รู้ไหมครับ ถ้าเราเดินขึ้นบันไดไปข้างบนจะเจออะไร” เขามองตามขั้นบันไดไปจนสุด

                “ไม่รู้สิ ความว่างเปล่ามั้ง”

                “ไม่มีใครรู้หรอกว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ไปหาคำตอบด้วยกันไหม” “มานะยื่นมือไปแบออกตรงหน้าคนข้างๆ

                เพชรงามนิ่งไปนิดก่อนจะวางมือของตัวเองลงไปบนมือที่ค่อนข้างซากนั้น เจ้าของมือหนากุมมือเธอไว้แน่น เจ้าตัวผุดลุกขึ้นก่อนจะออกแรงดึงอีกฝ่ายขึ้นแล้วเดินไต่บันไดขึ้นไปด้วยกัน หญิงสาวหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวเนื่องจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นฉับพลันของร่างกาย

                ครู่เดียวทั้งสองก็มายืนอยู่บนดาดฟ้าของตัวตึกเพื่อรับสายลมอ่อนๆ ของยามบ่าย แสงแดดดูล้าลงไปมากหากเทียบกับวันอื่นๆ มานะปล่อยมือออกจากเพชรงามแล้วเดินไปเกาะระเบียงดูวิวทิวทัศน์รอบ

                “สุดยอดไปเลย” อ้าแขนรับบรรยากาศแปลกใหม่ “มองลงแล้วเสียววาบเลย”

                “อย่ามองข้างล่างสิ” หญิงสาวเดินไปยืนข้าง มานะหันมามองเธอ

                “งั้นมองคนข้างๆ ก็ได้” ส่งยิ้มหวานไปให้

                “เพื่อนเล่นหรือ”

                “เอาจริงๆ ท่านประธานรู้ไหมว่าตัวเองเหมือนเปลวไฟเลย คงไม่มีใครกล้าเล่นกับไฟ”

                “นายกล้าไหมล่ะ” สายตาที่เธอมองมานะมันคือสายตาแห่งการท้าทาย

                “กล้าสิ” เขายืนยันเสียงหนักแน่น “ผมไม่กลัวหรอก เพราะผมจะเป็นน้ำที่ดับไฟเอง”

 

พอเลิกงานมานะก็แวะไปที่เยี่ยมเพื่อนที่เรือนจำหลังจากผัดวันประกันพรุ่งมานาน กะว่าจะอยู่เยี่ยมสักพักแล้วกลับไปทำงานต่อ

                เขาเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ไม่นานก็ได้มานั่งอยู่กับพิภพโดยมีซี่ลูกกรงกั้นกลาง ใบหน้าของพิภพดูซูบตอบ ดวงตาโปนเบ้าลึก เห็นแล้วก็อดหดหู่ใจไม่ได้ เขายื่นของเยี่ยมไปให้

                “มึงไม่ชอบโอเลี้ยงเลยซื้อโค้กมาให้ ส่วนข้าวแดงก็เปลี่ยนเป็นผัดไทย มึงจะได้เป็นไอ้คนคุกที่ดูไฮโซขึ้นมาหน่อย” มานะทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “ขอบใจ” รับไปแล้วยิ้มตอบ แววตาเศร้าสร้อยดูมีประกายบางอย่าง

                “ขาเป็นไงบ้างวะ”

                “ก็เป็นขาสิ จะให้เป็นแขนเหรอ”

                “ไอ้พี! ถ้าไม่ติดว่ากูไม่อยากเข้าไปอยู่กับมึงนะ ขามึงได้เป็นแขนจริงๆ แน่” มานะเอ็ดตะโรหน้าขมึงอย่างไม่จริงจังนัก

                “มึงก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนกูสิ แม่เอ๊ย โคตรเหงาโคตรเซ็งเลยว่ะ”

                “พูดยังกับชวนเข้าบ้าน ใครจะอยากอยู่ในคุกวะ” หัวเราะน้อยๆ ในลำคอ “แล้วมึงจะอยู่ในนี้ไปกี่ปี ออกมาคงต้องไปต่อบ้านพักคนชราแน่เลย”

                “สิบปี” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาวๆ อย่างปลงอนิจจังกับชีวิตต่อจากนี้อีกสิบปี

                “สบายเลยสิ อยู่ฟรี กินฟรี” ยื่นมือเข้าไปตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ อดสงสารใบหน้าหงอยเหงานั่นไม่ได้ แต่กระนั้นโทษที่มันได้รับก็สมควรแล้วกับความผิดที่มันได้ก่อไว้กับสังคม

                “กูไม่น่าไปยุ่งกับยาพวกนั้นเลย ถ้ากูเชื่อมึงสักนิด ฟังที่มึงพูดกรอกหูกูตลอด ชีวิตกูก็คงไม่มาจบอยู่ในสภาพแบบนี้”

                “มันก็แค่อดีตที่ผ่านไปแล้ว ตราบใดที่มึงยังหายใจชีวิตมึงก็ยังไม่จบหรอก”

                “กูต้องซึ้งไหม” พิภพแสร้งสะอึกสะอื้น มานะเลื่อนมือไปตบหัวเพื่อนเบาๆ แล้วรีบชักกลับออกมา “คิดถึงตอนเด็กๆ ว่ะ มึงอ่ะตบหัวกูเล่นทุกวันจนสมองกูแทบช้ำน่ะ”

                “อย่าเว่อร์ กูแค่ตบเบาๆ เหอะ” รีบปฏิเสธ “มึงเองก็เตะตูดกูทุกวัน จนมันบานไปหมดแล้วเนี่ย”

                “ว้าย ผู้ชายตูดบาน” สองเกลอหัวเราะกันคุกคิก พิภพค่อยๆ เงียบเสียงลง พูดถึงอดีตก็อดนึกถึงอนาคตด้วยไม่ได้ เขาเอ่ยถามเนิบช้า “อีกสิบปีข้างหน้าเราสองคนจะเป็นยังไงวะ”

                “ก็เป็นเพื่อนกันแบบนี้แหละ” มานะยิ้ม “จะเป็นแบบนี้จนถึงชาติหน้าโน่นเลย”

                “ขอบใจนะ” พิภพเอ่ยเบาๆ

                “ขอบใจเหมือนกัน”มานะว่าบ้าง “โอย เลิกทำซึ้งซะที กูไปต่อไม่ถูกแล้วนะ”

                “แฟนมึงเป็นไงบ้างวะ” พิภพช่วยเปลี่ยนเรื่องตามที่เพื่อนต้องการ มานะหลุบตาเก้อๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้

                “ผ้าเช็ดหน้าที่เธอให้มึงตอนนั้นอยู่ไหนวะ”

                “อยู่ที่กูเนี่ยแหละ”

                “มึงเก็บไว้ทำไม ทิ้งไปดิไม่งั้นก็เอามาให้กู”เราต้องรู้จักตัดไฟแต่ต้นลม แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวก็อาจเป็นสื่อรักให้คนสองคนได้ เขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก คนคิดมากทำหน้ามู่

                “หวงอิบอ๋าย ไม่ทิ้งแล้วก็ไม่ให้ด้วย กูจะเก็บไว้เป็นของที่ระลึก มันอาจเป็นสิ่งของมัดใจที่คนบนฟ้าส่งมาให้ก็ได้ เผื่อวันหนึ่งเราได้กลับมาเจอกันเพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น” พูดอย่างเพ้อๆ

                “หยุด! หยุดความคิดมึงเดี๋ยวนี้ กูเพื่อนมึง มึงห้ามแย่งของกู”

                “เออๆ ไอ้นี่ก็จริงจังไปได้”

                มานะมองดูนาฬิกาข้อมือ “ได้เวลางานต่อล่ะ งั้นกูกลับนะ”

                “เดี๋ยว” พิภพหยิบซองจดหมายสีขาวส่งให้ “ฝากให้แม่กูด้วย”

                “อะไร จดหมายลาตายหรือ” เย้าแหย่หน้านิ่ง

                “ปากมึงนี่นะ” คาดโทษด้วยสายตา “จดหมายขอโทษเว้ย”

                “แม่มึงไม่มาเยี่ยมเลยเหรอ”

                “มาสองสามครั้งล่ะ กูไม่กล้าพูดตรงๆ ว่ะ ฝากไปให้แบบนี้แหละ”

                “อือๆ ไว้จะมาเยี่ยมใหม่นะ” บอกลาแล้วเดินออกมา

                มานะกลับไปนั่งวาดลวดลายแก้วเซรามิกจนดึกดื่น แล้วจึงรับบทเป็นบุรุษไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งให้เพื่อน พอดีไปเจอแม่พิภพกำลังหอบกำเริบเลยช่วยหาหยูกยามาให้ แล้วอยู่เป็นเพื่อนแกจนอาการดีขึ้น เขารักแม่พิภพเหมือนแม่ของตัวเอง เธอเองก็เอ็นดูเขาเหมือนลูกมาตั้งแต่เด็ก มานะนั่งฟังเธอระบายความในใจเรื่องเพื่อนของตนอยู่นาน บางครั้งบางคราวก็ช่วยปลอบประโลม จนถึงเวลาที่เขาคิดว่าหญิงสูงวัยควรพักผ่อนได้แล้วส่งขอตัวกลับบ้านไปพักกายพักใจบ้างแล้ว

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา