Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) เรื่องจริงหรือนิยาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               คนไร้หนทางหลบมานั่งรักษาตัวอยู่ในร้านแฮมเบอร์เกอร์เจ้าเก่า เธอเลือกโต๊ะด้านในสุดซึ่งห่างไกลจากโต๊ะอื่นมากที่สุด คว้าหมอนอิงมาวางบนโต๊ะแล้วก้มหน้าลงไปซุกซ่อนให้แนบแน่นกับมันเพื่อพลั่งพรูสิ่งที่กลั้นไว้ให้ออกมา เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง จุดที่เกินกว่าการต้านทานของเรา เราก็ต้องปล่อยมันออกมา

                “ท่านประธาน” เสียงเรียกนั่นเธอรู้ดีว่าเป็นใคร แม้มันจะไม่ได้ร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้งที่เรียกก็ตาม

                มานะมองดูร่างที่ก้มหน้าสั่นเทิ้มนั้นด้วยความรู้สึกผิดสุดใจ เธอกำลังร้องไห้อยู่ใครก็รู้ แต่การที่เธอซ่อนน้ำตาและพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ทำให้เธอน่าสงสารไปอีกสิบเท่า

                ชายหนุ่มค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างหญิงสาว แตะไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมากุมมือข้างหนึ่งที่จิกหอนไว้แน่นให้คลายลง เวลาผ่านไปไม่น้อยเลยกว่าหญิงสาวจะยอมคลายมือข้างนั้นออกจากหมอนแล้วปล่อยให้มือหนาของใครอีกคนสอดนิ้วเข้ามาประสานกันไว้อย่างหนาแน่น

                ความอบอุ่นที่ได้จากความมั่นคง เชื่อใจ และเข้าใจของกันและกันถูกส่งผ่านฝ่ามือเข้าสู่หัวใจและแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย มันคือยาวิเศษที่ช่วยซ่อมแซม เสริมสร้าง และบำรุงความรู้สึกแย่ๆ ที่เพิ่งเผชิญมา ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบเป็นคำปลอบโยน

                “โอเคไหมครับ” ชายหนุ่มถามเสียงแผ่วด้วยความอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนิ่งเงียบไปแล้วพักหนึ่ง

                “อื้อ” ตอบเสียงอู้อี้ “นายออกไปก่อนได้ไหม”

                “ทำไม”

                “ฉันอยากล้างหน้า แต่ไม่อยากให้นายเห็นสภาพฉันตอนนี้” มิได้ห่วงสวยแต่อย่างใด เธอเพียงไม่อยากเผยมุมอ่อนแอของตัวเองให้ใครเห็น

                “อือ ก็ได้” คนว่าง่ายปล่อยมือออก แล้วลุกขึ้นเดิน

                เมื่อแน่ใจว่าเขาไปแล้วเพชรงามก็ผงกหัวขึ้นมาพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มตัว หากก็ต้องยืนทื่อผงะนิ่งเมื่อได้สบใบหน้าที่หล่อนคิดว่าเขาออกไปแล้ว ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แววตาที่มองมามันฉายถึงความรู้สึกมากมายประกายอยู่ในนั้น เขาคลี่ยิ้มจางๆ ออกมาก่อนจะเพิ่มระดับเป็นการฉีกยิ้มแป้นอย่างละมุนอุ่นใจ มือหนาเอื้อมมาสัมผัสพวงแก้มข้างหนึ่งของเธอ นิ้วยาวเกลี่ยไล่คราบน้ำตาออกไปอย่างบรรจง

                “ว้าย เด็กขี้แย มีน้ำมูกด้วยอ่ะ” ว่ากลั้วหัวเราะอย่างขบขัน

                เพชรงามปัดมือคนทะเล้นออกแล้วกลับหลังเดินเข้าไปหลังร้าน หลังจากจัดการตัวเองให้กลับมาอยู่ในสภาพสาวจอมเนี้ยบแบบเดิมได้แล้ว เธอก็เดินออกมาเพื่อจะได้พบกับใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างมานะ หญิงสาวทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามพวกเขา

                “เป็นไงบ้างครับเจ้านาย” รุตถามด้วยความเป็นห่วงสุดแสน

                “นายไม่ต้องคอยดูแลฉันแล้วนะรุต ตอนนี้ฉันคงเป็นเจ้านายของนายไม่ได้แล้ว” เธอพูดเรียบๆ แต่แววตาเชื่องซึมผิดถนัด

                “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมทิ้งเจ้านายไม่ได้หรอก”

                “จริงๆ นะ ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”

                “เหลือผมไง” การ์ดรุตรีบชิงบอก

                “ผมด้วย” มานะร่วมแทรกด้วย

                รุตหันขวับไปมองเพื่อนรุ่นน้องอย่างไม่ชอบใจระคนเคลือบแคลงสงสัยไอ้ตัวต้นเหตุปัญหาที่ทำให้เรื่องมันบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้ “ถามจริงๆ ไอ้โม่ เรื่องเมื่อเช้ามันเกิดอะไรขึ้น”

                มานะเล่าให้ทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นเรื่อง วิเชียรผลักเขาออกจากลิฟต์แล้วตะโกนเรียกคนอื่นเข้ามา พอฐานิชมาถึงก็เทกระเป๋าของวิเชียรที่เขาถืออยู่ วินาทีนั้นชายหนุ่มก็กระฟัดกระเฟียดปรักปรำว่าเขาเป็นไส้ศึก อธิบายเหตุการณ์ที่เขาได้กระทำออกมาเป็นฉากๆ ราวเป็นผู้วิเศษที่มีตาทิพย์ก็ไม่ปาน แต่เขาก็เถียงคอเป็นเอ็น จึงมีการตอบโต้กันไปมา จนกระทั่งเพชรงามเข้ามา

                “แกจะบอกว่าเอกสารพวกนั้นเป็นของคุณแจ็คงั้นเหรอ ตลกไปไหม” ฟังความจบรุตก็แค่นหัวเราะ

                “ถึงผมจะเป็นคนอารมณ์ดีเช่นเดียวกับหน้าตา แต่เรื่องนี้ไม่ตลก”

                “ถุย มั่นหน้าซะเหลือเกิน” การ์ดหนุ่มค้อนให้ จะไม่เชื่อมันก็เพราะอย่างนี้แหละ “เอาไงดีครับเจ้านาย”

                รุตยังลังเลที่จะเชื่อมานะอย่างสนิทใจ แต่ก็คิดไม่ตกเลยจริงๆ ว่าคนอย่างแมสเซนเจอร์คนนี้จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำเรื่องแบบนั้น

                “ฉันเชื่อว่านายโม่ไม่ได้ทำ และพี่แจ็คก็ไม่ได้ทำ”

                มานะกลอกตาเซ็งๆ กับคำพูดที่ไม่มีใครเชื่อเขา

                “ผมว่าเราตั้งหลักไปคิดหาวิธีที่บ้านกันเถอะครับ วันนี้เจ้านายเองก็เหนื่อยมามากแล้วด้วย” รุตเสนออย่างจนปัญญาจะหาทางออกในตอนนี้

                “ฉันจะไม่กลับบ้าน”

                “พักก่อนเถอะครับ ดีขึ้นแล้วค่อยลุกขึ้นมาใหม่”

                “เห็นด้วยครับ” มานะช่วยเสริม

                “ฉันรับปากพี่ฐาไว้แล้ว ไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง” ชายทั้งสองต่างแน่นิ่งกันไปกับคำปฏิญาณที่แน่วแน่ของเจ้านายผู้ใจเด็ด

                “อย่าใส่ใจคำพูดคุณฐาเลยครับ คุณฐาก็จ้องจะถีบส่งท่านประธานทุกครั้งที่มีโอกาสนั่นแหละ แรงอิจฉาล้วนๆ” ติฉินนินทาเจ้านายลับหลังด้วยความคันปากเหลือทน “เอ่อ... ผมว่าถ้าเรากลับไป...”

                “ไม่ใช่เรารุต แค่นายคนเดียว” เธอจ้องหน้าการ์ดคนสนิทราวจะฝากฝังความหวัง “เราต้องแยกกัน นายต้องคอยสอดส่องเรื่องราวอยู่ที่นั่น ส่วนฉันจะหาทางเข้าไปสืบจากแซนด์ไทม์เอง”

                “แต่...” รุตทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงตาปลาบคมที่ใช้ขอร้องแกมบังคับของเธอคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธลง “ก็ได้ครับ”

 

                ขณะนี้เหลือเพียงเพชรงามและมานะที่ยังนั่งปักหลักอยู่ที่เดิม ส่วนการ์ดหนุ่มนั้นโดนเจ้านายสาวไล่ให้กลับไปได้พักหนึ่งแล้วหลังจากตกลงเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเธอจะระเห็จระแหงไปอยู่แห่งหนใด เพราะหากรุตรู้เขาก็ต้องตามมาช่วยหรือแอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ เธออยากทดสอบศักยภาพของตัวเองว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ที่ผ่านมาชีวิตเธอสะดวกสบายมาตลอด ลองลำบากดูบ้างก็คงดีไม่น้อย

                “ท่านประธานจะทำยังไงต่อครับ” มานะโพล่งขึ้นมาหลังจากนั่งกลัดกลุ้มแทนหญิงสาวและถอนหายใจออกมาเป็นว่าเล่น

                หล่อนไม่ตอบแต่หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมานับจำนวนเงินสดที่มีอยู่ ก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงถามขึ้นมาว่า “เงินสองพันห้าทำอะไรได้บ้าง”

                “หือ” เหมือนคนฟังจะไม่เข้าใจ

                “รู้จักห้องพักถูกๆ ไหม”หล่อนเปลี่ยนคำถาม

                “ทำไมครับ”

                “แล้วรู้จักไหมล่ะ” ย้ำคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

                มานะส่ายหน้าให้กับความดื้อด้านและความใจแข็งของหญิงสาวที่นั่งทำหน้าเป็นศาลเจ้าน่าเคารพ กระนั้นเขาก็ยอมใจพาอดีตเจ้านายไปหาที่พักแต่โดยดี หากก็ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าหล่อนจะเปลี่ยนใจกลับบ้าน

                สถานที่ซึ่งมานะกำลังนำพาไปนั้นอยู่ห่างไกลจากบริษัทพอสมควร เมื่อออกจากร้านมาเพชรงามก็หันไปถามด้วยประโยคที่ทำให้คนฟังออกอาการอึ้งหน่อยๆ ว่า ไปรถเมล์ได้ไหม? เขาพยักหน้าเหลอหลาแล้วเดินตามหลังหล่อนไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ถัดไปเล็กน้อย เพียงครู่เดียวทั้งสองก็ขึ้นมาอยู่บนรถเมล์สายที่ต้องการ คงเป็นเพราะเวลาย่ำเย็นแล้วจึงทำให้มีผู้โดยสารแน่นขนัด ที่นั่งเต็มทุกเบาะ ร่างสูงจับมือร่างบางพาแทรกตัวเขาไปยืนโหนราวไว้

                เพชรงามออกอาการเงอะงะเล็กน้อยตอนเอื้อมมือจับราวไว้ ดึงมือข้างที่ถูกจับออกก่อนเหลือบตาขึ้นมองคนข้างๆ ซึ่งสูงกว่าหล่อนไม่มากนัก จึงเห็นว่าเขามองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตายิ้มขันอย่างเอ็นดู หล่อนรู้สึกไม่ชอบสายตาและการอยู่ใกล้กันในระยะประชิดเช่นนี้เลย มันทำให้การหายใจติดขัดอย่างไรชอบกล

                “ยืนแบบนี้แล้วท่านประธานก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย” มานะว่า ถ้าให้เดาความสูงของเธอหากเทียบจากความสูงของเขาก็คงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าได้ ไม่นานนักก็มีชายหัวล้านร่างท้วมคนหนึ่งเข้ามายืนเบียดเพชรงามโดยพยายามใช้ไหล่เอียงเข้าหา หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบทว่าชายผู้นั้นก็ขยับตามมา มานะเห็นท่าไม่ดีจึงก้าวไปกระแทกไหล่ชายร่างท้วมแล้วเข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองพลางใช้แขนพลาดไหล่ร่างบางแสดงความเป็นเจ้าของ “คิดจะทำอะไรแฟนพี่ไอ้น้อง”

                “เปล่าฮะ รถมันโงนเงน” ร่างท้วมยิ้มเจื่อนๆ แล้วหลบไปทางอื่น

                “แฟนใครให้มันรู้ซะบ้าง เนอะ” หันไปฉีกยิ้มให้คนข้างกาย

                “เอามือออกไป” คนแก้มแดงเรื่อบอกเสียงเข้ม

                “เมื่อยแขนจัง ขอวางสักพักนะครับ”

                “เดี๋ยวนี้!” สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องยอมจำนนกับคำสั่งของหล่อน

                ที่หมายคือแฟลตโทรมๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกเก่าโกโรโกโสสามชั้น บรรยากาศชวนวังเวงไม่น้อยคงเป็นเพราะผนังด้านนอกบางส่วนที่มีรอยตะไคร่น้ำเกาะอยู่เป็นแถบๆ หลายจุด แม้สภาพการณ์มิค่อยน่าวางใจหากสถานที่แห่งนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลความเจริญนัก ทั้งปากซอยที่เข้ามาก็มีสถานีตำรวจอยู่ด้วย ตลอดทางก็มีร้านค้าร้านรวงเรียงรายอยู่ ที่สำคัญลักษณะแบบนี้ค่าเช่าคงไม่แพงเท่าไรกระมัง

                มานะเดินนำเข้าไปใต้อาคาร ตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีหญิงชราผมสีเลาคนหนึ่งซึ่งนั่งพัดใบพัดจีนอยู่ด้วยใบหน้าที่สมภิรมย์ยิ่งกับการจ้องโทรทัศน์จอเล็กที่กำลังฉายรายการตลกอยู่

                “อาม่าฮะ” ชายหนุ่มเรียกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อก่อนเขาเคยรับจ๊อบอยู่ที่นี่ด้วยจึงรู้จักมักคุ้นดีกับอาม่า หญิงชราหน้าตาใจดีละสายตาจากหน้าจอมามองหนุ่มสาวพร้อมมอบรอยยิ้มละมุนมาให้

                “ว่าไงอาโม่” เสียงพูดไทยสำเนียงแปร่งๆ ดังออกจากปากที่มีฟันหลงเหลืออยู่ไม่กี่ซี่

                “มีห้องว่างไหมครับอาม่าสุดสวย”

                “ป้อยอเก่งจริงๆ เลยลื้อนี่” อาม่าทำท่าเขินอาย “ก็พอมีเหลืออยู่ 3-4 ห้องล่ะ ลื้อจะเอากี่ห้องล่ะ”

                “มากันสองคน ห้องเดียวก็พอฮะ” ตอบหญิงชราทว่าช้อนตามองหญิงสาวด้วยแววตากรุ้มกริ่มกระลิ่มกระเลี่ย

                อาม่าเดินพาแขกทั้งสองมาที่ห้องห้องหนึ่ง พร้อมรับเงินมัดจำจำนวนห้าร้อยบาทจากเพชรงามแล้วจึงปล่อยให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง ภายในเป็นห้องเดี่ยวที่มีโต๊ะพร้อมเก้าอี้สองตัว เตียงขนาดเล็ก ถัดไปหน่อยคือห้องน้ำ

                ชายหนุ่มถอดหมวกแล้วใช้นิ้วหมุนเล่นขณะยืนพิงหลังกับกำแพงมองดูหญิงสาวเดินสำรวจห้องเงียบๆ สักพักเธอจึงกลับมาล้มตัวนั่งบนเตียง

                “กลับไปเถอะ” กล่าวบอกพลางก้มหน้ายกมือกุมขมับ ไร้ซึ่งเสียงตอบรับหรือเสียงฝีเท้าของเขา ราวกับว่าทั้งห้องมีหล่อนเพียงคนเดียว แม้จะชอบความเงียบหากก็ไม่ใช่ความเงียบของผู้ชายคนนี้ และจังหวะที่หล่อนเงยหน้าขึ้นไปนั่นเองจึงเห็นว่ามานะมายืนอยู่ตรงหน้า

                เพชรงามขยับตัวเล็กน้อยตอนที่มือใหญ่เอื้อมมาลูบหัวเบาๆ

                “เหนื่อยไหม” ถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดูและอ่อนโยน

                หากเป็นเวลาก่อนหน้านี้หญิงสาวสาบานได้ว่าจะไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าไหนยกเว้นพ่อกับพี่ลูบหัวหล่อนแบบนี้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ตอนที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป หล่อนยอมยกเว้นให้มานะอีกคน

                “ขอมือหน่อย” ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้า คนที่มีท่าทางอิดโรยเต็มทียอมวางมือลงบนฝ่ามือนั้นด้วยความเต็มใจ “ตัดเล็บบ้างนะ”

                หญิงสาวถอนหายใจ พยายามยื้อมือกลับแต่เขากลับจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เสียงหัวเราะห้าวๆ ของชายหนุ่มดังออกมาพร้อมรอยยิ้ม

                “ท่านประธาน สู้ๆนะ” เพียงคำสั้นๆ ก็ทำให้หัวใจคนฟังพองโตขึ้นเป็นกอง

                “ขอบใจนะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งใดสั่งให้เธอยิ้มออกมา รู้ตัวอีกทีก็ยิ้มออกมาแล้ว

               

                นาฬิกาเดินทางมาบอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วตอนมานะเดินเข้ามายังห้องพักผู้ป่วยรวม เนื่องจากโดนเพชรงามขับไล่ไสส่งอยู่นานว่าให้กลับไป ไอ้เราก็อุตสาห์เป็นห่วงแท้ๆ

                เรื่องราววันนี้ก็ช่างแปลกดีเหมือนกัน ประธานบริษัทใหญ่โตต้องมาตกงานเพราะเด็กส่งของ ถ้าไม่รักกันจริงทำไม่ได้นะเนี่ย หรือเพชรงามจะเผลอปันใจให้เขาแล้ว คนหัวใจด้านชาแบบนั้นน่ะนะ คิดแล้วก็พลอยเศร้า ย้อนกลับมาคิดอีกเรื่องก็เจ็บใจเสียจริง บุคคลต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งคือนายวิเชียรนี่แหละ

                ชายหนุ่มยังคงคิดเรื่อยเปื่อยโดยหารู้ไม่ว่าเหตุการณ์สำคัญของวันนี้ยังไม่จบแค่นี้...

                มานะเดินตรงเข้ามายังเตียงที่พ่อเขาเคยอยู่ ซึ่งตอนนี้มันว่างเปล่าจนใจหายวูบ เขาชะเง้อไปรอบๆ เพื่อมองหาชายผู้คุ้นตาทว่าก็ไม่เจอ จึงเอ่ยถามพยาบาลสาวที่ตรวจคนไข้อยู่เตียงข้างๆ

                “คนไข้เตียงนี้หายไปไหนครับ” น้ำเสียงห่วงหาและกังวล

                “ย้ายไปห้องพิเศษค่ะ”

                “ห้องพิเศษ?” หรือว่าอาการกำเริบหนักจนต้องย้ายไปห้องพิเศษ พ่อ...

                “พอดีมีญาติคนไข้มาขอย้ายไปอยู่ห้องพิเศษน่ะค่ะ วีไอพีซะด้วย”

                “ขอบคุณครับ” พ่อเขามีญาติด้วยหรือ?

                มานะเดินไปสอบถามที่อยู่ของพ่อจากพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปหาด้วยความมึนงงตลอดทาง มือหนาหมุนลูกบิดประตูที่มีชื่อพ่อของเขาติดไว้หรา ก่อนเดินเข้าไปปะทะกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศและกลิ่นไอของผู้ดีที่ลอยคลุ้ง คนที่นอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงคือพ่อเขาแน่ ส่วนชายหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาคือใครนั้นเขาก็มิอาจทราบ

                ชายหญิงคู่นั้นหันมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาประกายแห่งความหวัง ผู้เป็นหญิงลุกขึ้นตรงมาหามานะพร้อมรอยยิ้มเครือๆ พลางเอ่ยถาม “โม่ใช่ไหมลูก”

                มานะมองแววตาที่คลอด้วยหยาดน้ำพราว ความรู้สึกบางอย่างกระแทกใจอย่างจัง เขาพยักหน้าหงึก “แม่เหรอ?”

                “เปล่าจ้ะ นี่ป้าเอง พี่สาวของแม่เธอ” คุณนายที่มีศักดิ์เป็นป้ายิ้มอ่อนให้ มันคุ้มค่าแล้วจริงๆ กับการที่ต้องขับตานั่งรอเขาจนดึกดื่นเช่นนี้ “ดวงตาเธอคล้ายแม่มากเลยนะ จมูกนั่นก็ด้วย”

                สิตาเอื้อมมือหวังสัมผัสใบหน้าหลานชายแต่เขากลับเบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินไปหาพ่อแทน

                “นี่มันอะไรกันพ่อ”

                บุญมีหยัดตัวขึ้น ความแข็งกร้าวที่เคยมีในแววตา บัดนี้มีเพียงความเฉยเมยเท่านั้น “ฉันโทรหาแกตั้งหลายรอบ ปิดเครื่องทำไม”

                “แบตฯ หมดน่ะ” ตอบห้วนๆ แววตายังเต็มไปด้วยความสงสัย “คนพวกนี้มาทำไมพ่อ”

                คนเป็นพ่อเงียบไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนสาย... ตอนที่อดีตพี่สะใภ้เดินเข้ามาแล้วถามหาหลานชาย เขาอาละวาดจนพยาบาลเข้ามาคุมตัวอยู่นาน แต่พอได้รู้เหตุผลที่คนพวกนั้นมาถามหามานะ เขาจึงกลายจากน้ำทะเลคลื่นแรงกลายเป็นน้ำนิ่งในบึง “แม่... แม่ของแกกำลังจะตาย”

                “แล้วไง” มานะอึ้งไปเล็กน้อยหากก็มิได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

                “โม่...” สิตาเดินเข้ามายืนข้างๆ หลานชาย พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “แม่เค้าอยากเจอโม่นะ”

                “ผมไม่อยากเจอเค้า” ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องอยากเจอคนที่ทิ้งเขาไป

                “แม่เค้าพูดถึงโม่ทุกวันเลยนะ อย่าใจร้ายกับแม่เลย”

                “ใครกันแน่ที่ใจร้าย ใครกันที่ทิ้งผมกับพ่อไป ที่ผ่านมาเราอยู่กันลำพังสองคนก็ไม่เห็นมีใครต้องการนี่ คนที่ไปดีแล้วจะมาเรียกร้องอะไรอีก” เขาว่าฉะฉานพร้อมกับความเจ็บแปลบปลาบจากห้วงลึกในใจ

                “แม่ไม่เคยทิ้งโม่นะ เธอรักลูกมาก ตอนคุณยายสั่งคนมาลากตัวเธอกลับบ้านเธอก็ร่ำไห้จะเอาโม่ไปด้วยแต่พ่อเราไม่ยอมให้” สิตาหยุดพูดแล้วเหลือบมองบุญมี แล้วพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจือน้ำตา “จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ป้าเคยเห็นน้องสาวตัวเองกราบเท้าผู้ชายเพื่อขอลูกของเธอคืน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ คิดดูสิเธอรักโม่มากแค่ไหน”

                “แล้วทำไมต้องลากตัวเธอกลับด้วย” เขาเริ่มใจอ่อนลงกับสิ่งที่สิตาบอกก็เป็นคนหวั่นไหวง่ายนี่นา

                “นายบุญมีมีหนี้สินมากมายซึ่งก็พลอยทำให้สกาวลำบากไปด้วย คุณยายเห็นอย่างนั้นก็สงสารลูก อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีจึงส่งเธอไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์หวังให้เธอตัดขาดจากลูกผัว แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า แต่นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้สกาวลืมลูกชายคนโต เธอคอยส่งของมาให้โม่เสมอไม่ขาดช่วง แต่ป้ากับคุณยายก็ไม่เคยส่งมันให้ถึงโม่เลย เพราะเรากลัวว่าโม่จะอยากตามหาแม่ขึ้นมาแล้วทำให้ชีวิตใหม่ของสกาวล้มเหลว สุดท้ายทุกอย่างที่เราทำมันก็พิสูจน์ให้รู้ว่าความรักของสกาวที่มีต่อโม่มันไม่มีสิ่งใดตัดขาดได้ แม้ใกล้หมดลมหายใจเธอก็ยังเรียกร้องที่จะเจอโม่ให้ได้สักครั้ง... ป้าขอโทษ อภัยให้ป้าแล้วกลับไปหาแม่นะ” น้ำตาคนที่พูดพร่ำอยู่นานไหลลงมาเป็นสายด้วยความรู้สึกผิด

                ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้าหามานะ มันคือเรื่องจริงหรือเขาแค่หลับฝันไป บางทีเขาอาจจะกวนเพชรงามมากไปจนเธอตีหัวเขาจนสลบไปก็ได้ แต่ทว่าทุกอย่างมันชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเพียงความฝัน เหมือนกำลังถือนุ่นที่ทำจากหินอยู่จะหนักก็ไม่หนักจะเบาก็ไม่เบา เหมือนมาอยู่กึ่งกลางทางแยกระหว่างสวรรค์กับนรก

                “ตอนนี้เธออยู่ไหน”

                “โรงพยาบาลที่สวิตฯ จ๊ะ” ตอบเสียงอ่อน แววตาขอความหวัง

                มานะใจเหี่ยวลงหน่อยเพราะสถานที่ที่อยู่ไกลกันเหลือเกิน เขาหันกลับมามองคนเป็นพ่อ บุญมีพยักหน้าให้เล็กน้อย

                “ไปดูใจแม่แกเถอะไอ้โม่ ฝากขอโทษเค้าแทนฉันด้วย”

                มานะทำสีหน้าลังเลลำบากใจ นานทีเดียวกว่าจะหันไปพยักหน้าให้คนเป็นป้า

                “ขอบใจนะโม่ ขอบใจมากจริงๆ” สิตาคว้ามือหลานชายมาเกาะกุมไว้ด้วยความปิติ

                “ป้ากลับไปพักผ่อนเถอะครับ ดึกมากแล้ว”

                “จ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าป้ามารับไปทำเรื่องก่อนเดินทางนะ”

                “ครับ สวัสดีครับ” สิตาเข้ากอดหลานชายก่อนจะเดินออกไปพร้อมผู้ช่วยที่นั่งคอยอยู่ คล้อยหลังคนเป็นป้ามานะล้มตัวนั่งบนโซฟาใหญ่ทันที พิงท้ายทอยกับพนักโซฟาสายตามองเพดาน “นี่มันเรื่องจริงเหรอพ่อ บอกสิว่ามันไม่ใช่นิยาย”

                “ขอโทษที่ทำให้แกรู้สึกไม่ดีกับแม่ ความจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ที่ผ่านมาฉันเห็นแก่ตัวเองพอเสียเธอไปก็ทำใจไม่ได้”

                “ไม่เป็นไรฮะ แต่ถ้าผมไปแล้วพ่อจะอยู่กับใคร”

                “ฉันอยู่คนเดียวได้ ไปทำหน้าที่ลูกที่ดีของแกซะ”

                “ผมก็เป็นลูกที่ดีของพ่ออยู่นี่ไง”

                “สำหรับฉันน่ะพอแล้ว ไปดูแลแม่แกบ้าง”

                “ทำไมวันนี้พ่อพูดดีจัง” หันไปสบตากับพ่อ บุญมีรีบหลบสายตาหนีทันที

                “ปิดไฟ กูจะนอน”

ชมเข้าหน่อยเข้าอีหรอบเดิมอีกแล้ว มานะลุกไปปิดไฟตามคำสั่งแล้วพาร่างอันเหนื่อยล้าของตัวเองไปชำระร่างกายในห้องน้ำ ก่อนกลับมานอนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟา

                โลกของเขาและเธอหมุนไปทางเดียวกันแน่หรือ ในขณะที่เพชรงามกำลังตกต่ำเขาก็เหมือนท่าว่าจะดีขึ้น เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาลังเลและว้าวุ่นใจอย่างหนักกับการไปหามารดาคือผู้หญิงเย็นชาคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เธอไม่มีใครเลย ถึงจะดูมาดแมนแข็งแกร่งแต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ตอนนี้มานะเข้าใจลึกซึ้งถึงอารมณ์ของพระเอกละครตอนต้องเลือกขาดระหว่างแม่กับเมียแล้ว ลำบากใจเสียยิ่งกว่าอะไร

                เว่อร์ไปละไอ้โม่ กว่าเค้าจะยอมเป็นเมียแกก็คงชาติหน้าตอนบ่ายๆ นู่นละหว่า

เสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิดของชายหนุ่ม มานะส่ายหน้าไปมาก่อนจะย้ายมือที่ก่ายหน้าผากมาเป็นกอดอกแล้วหลับตาลง

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา