Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               มานะทำตาโตมองไปรอบๆ ตัว เขาดูตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ด้วยกิริยาที่ไม่ผิดเพี้ยนจากคำว่าบ้านนอกเข้ากรุงเลยสักนิดเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยจากบ้านไปไหนเลย จนสิตาผู้เป็นป้าต้องสะกิดเบาๆ ให้ลงจากรถแท็กซี่คันสีดำใหญ่เทอะทะเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

                ชายหนุ่มที่แบกเป้ใบใหญ่บนหลังเดินตามหญิงสาววัยกลางคนเข้าไปในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง  เขากวาดตามองฝรั่งตัวโตไปตลอดทาง สิตาต่อสายหาใครสักคนก่อนจะวางสายแล้วพาหลานชายตรงเข้าลิฟต์ไปยังห้องพักห้องผู้ป่วยบนชั้นห้า

                ภายในห้องนั้นมีคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง มีชายกลางคนผมบลอนด์ร่างสูงใหญ่ เด็กฝรั่งอายุราวสิบขวบ และหญิงชราแก่งอมนั่งอยู่บนโซฟาข้างห้อง

                อยู่ๆ ขาของมานะก็หนักอึ้งขึ้นมา มันก้าวไม่ออก ได้แต่เพียงยืนมองป้าคุยกับฝรั่งพวกนั้นด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าเขาฟังไม่ออกสักคำ ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นสามีใหม่ของแม่พาเด็กชายมายืนที่ตรงหน้าเขา ฝรั่งคนนั้นรัวคำพูดบางอย่างมาแล้วยื่นมือให้เขาจับ มานะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ยื่นมือไปสัมผัสด้วยเบาๆ ก่อนจะหันไปทำหน้าเหรอหรามองป้าด้วยแววตางุนงงขั้นสูงสุด

                “นี่คือโรเบิร์ต สามีใหม่แม่ ส่วนเด็กนี่ก็น้องของโม่ชื่อจัสติน แล้วนั่นคุณย่ามอลลี่ เค้าบอกว่าดีใจมากที่ได้เจอเธอ และก็ขอบคุณมากๆ ที่เธอมา” ป้าสิตาแปลให้ฟัง มานะพยักหน้าอย่างเข้าใจถ่องแท้ แววตากระจ่างขึ้นบ้าง

                โรเบิร์ตและจัสตินเดินไปที่ข้างเตียงฝั่งหนึ่งแล้วกวักมือเรียกมานะ ชายหนุ่มยืนนิ่งจนถูกคุณป้าจูงไปยืนข้างเตียงชายหนุ่มมองคนไข้หน้าซีดเผือดที่นอนหลับสนิทอยู่ หัวใจมานะแทบหยุดเต้น เนื้อตัวเย็นวาบยามได้มองใบหน้าที่เขาพร่ำบอกตลอดว่าเกลียดเธอที่สุด นี่เองหรือคนที่ทิ้งเขาไป ผู้หญิงที่มีดวงหน้างดงามเหมือนเจ้าหญิงที่ใกล้หมดลมหายใจคนนี้หรือ ขอบตาชายหนุ่มร้อนผ่าว รื้นด้วยหยาดน้ำใส

                เพียงครู่เดียวเปลือกตาของคนที่นอนอยู่ก็ค่อยๆ หรี่เปิดขึ้นมา เธอกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมมันขึ้นเต็มที่ ดวงตาที่แสนอ่อนล้าจับใบหน้าคมเข้มแบบชายไทย แม้จะจากกันเนิ่นตาหากเธอก็ยังจดจำเขาได้ชัดเจน น้ำตาไหลพรูลงมาทางหางตาทั้งสองข้าง ใบหน้าอิดโรยเต็มไปด้วยความรู้สึก เธอหยัดตัวขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี สิตาช่วยประคองให้นั่งสาวให้นั่งพิงหมอนไว้

                “โม่” น้ำเสียงแผ่วเบาสั่นไหว เธอค่อยยกมืออันสั่นเทามาสัมผัสหน้าเขา น้ำตายิ่งไหลพร่าออกมาอย่างหนักหน่วงยามใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ลูกชายคนโตที่เธอคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้เห็นเขาอีกแล้ว มือแห้งหยาบลูบไล้สัมผัสไปทั่วใบหน้าอย่างถวิลหาสุดใจ

                มานะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ฝืนกลั้น ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมามันเหมือนดวงตาคู่ที่สองของเขา ดวงตาของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากของแม่เลยอย่างที่ป้าบอก ความรู้สึกที่เคยแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีค่อยๆ กลับเข้ามาประสานกันใหม่อีกครั้ง เขาอยากรู้จังว่าอ้อมกอดของแม่จะให้ความรู้สึกแบบไหน มันจะอึดอัดไหม หรืออบอุ่นแค่ไหน ชายหนุ่มโผเข้ากอดมารดา รู้สึกไปถึงความสั่นของร่างกายเธอ เสียงร่ำไห้ดังขึ้นบาดหัวใจ เธอลูบผมเขาไปมาอยู่แบบนั้นนานแสนนาน

                “โม่... แม่... แม่ขอโทษนะ... ขอโทษที่ทิ้งลูก ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ลูก... โม่รู้ไหมไม่มีวันไหนเลยนะที่แม่จะไม่คิดถึงลูก... แม่รู้สึกผิดตลอดเวลาที่ไม่เคยทำหน้าที่ของคนเป็นแม่... อยากทำกับข้าวให้ลูกกิน อยากสอนลูกเขียนหนังสือ อยากไปส่งลูกโรงเรียน อยากกอดลูก... ฮือ แต่ก็ทำไม่ได้... ฮือ แม่ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอหน้าลูก... เพียงแค่นี้... ต่อให้ต้องตายพรุ่งนี้แม่ก็ยอม ฮือ”

                “แม่ครับ ผมคิดถึงแม่” มานะเสียงสั่นเครือ น้ำตาร่วงเผาะลองมา เขาอาศัยไหล่ของแม่เช็ดมันออก ชายหนุ่มผละออกหลังจากที่เสียงสะอื้นไห้ของแม่เงียบลงแล้ว

                “ขอบใจนะโม่ ที่มาหาแม่” สกาวเอ่ยอย่างอ่อนโยน มานะยิ้มเบาๆ ให้เธอใช้มือเช็ดคราบน้ำตาให้ และดูเหมือนว่าดวงตาอ่อนคู่นั้นจะรื้นน้ำใสขึ้นมาอีกระลอก ชายหนุ่มจึงใช้มือวางเบาๆ ไว้ที่ใต้ดวงตาคู่นั้น พร้อมเช็ดเสมอหากมันไหลออกมา

                “ผมจะไม่ทิ้งแม่เหมือนที่แม่เคยทิ้งผม”

                “โธ่ ลูกแม่” น้ำตาเธอล่วงอีกแล้วแต่ถูกมือลูกชายเช็ดออกไป มิให้ไหลลงผ่านแก้มเนียนตอบซูบ

                ความรักนั้นแปลกเหลือเกินสามารถล้างความโกรธเกลียดที่ฝังอยู่ในใจของเขามาตลอดหลายปีให้ออกไปอย่างหมดจด นี่สินะคือสายใยความรักของลูกกับแม่ ได้กอดแม่แล้วรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

 

หลังจากปรึกษาและถกเถียงกันอยู่นานตั้งแต่บ่ายจนใกล้เย็น เพชรงามและรุตเดินทางมาอยู่ในย่านแหล่งธุรกิจแห่งหนึ่ง ทั้งคู่กำลังเดินมุ่งหน้าไปเข้าไปในตัวตึกที่มีป้ายอิเล็กทรอนิกส์ติดไว้ตรงด้านหน้าด้วยข้อความเคลื่อนไหวสีสันสดใสว่า Sand Times

สุดท้ายก็ได้มติเป็นเอกฉันท์ว่าการเผชิญหน้ากันตรงๆ ก่อนอาจเป็นการเริ่มต้นหาทางออกที่ดี

                “ผมมาพบคุณธานีครับ”รุตเอ่ยบอกเมื่อเดินมาถึงโต๊ะเคาน์เตอร์

                “ไม่ทราบว่านัดไว้หรือเปล่าคะ” โอเปอร์เรเตอร์สาวถามเสียงใส

                “ไม่ครับ”

                “ให้บอกว่าใครมาพบคะ”

                รุตหันไปมองหน้าเจ้านายก่อนตอบ “คุณเพชรงามครับ”

                “สักครู่นะคะ” ว่าจบเธอก็ต่อสายหาเลขาฯ ของประธานบริษัท เมื่อวางสายไปก็หันมาบอกแขกที่สองที่จดจ่อรอฟัง “ขอโทษด้วยค่ะ ท่านประธานกำลังจะกลับบ้านแล้ว มีธุระอะไรให้ฝากไว้ก่อนค่ะ”

                หนุ่มสาวสบตากันอย่างผิดหวัง หากก็ยังไม่ยอมหมดหวังง่ายๆ

                “เขากำลังลงมาใช่ไหมคะ” เพชรงามถาม ภาวนาขอให้ธานียังอยู่ในบริษัทด้วยเถิด

                “ค่ะ”

                ครู่หนึ่งซึ่งไม่นานนักชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ ท่าทางภูมิฐาน หน้าตาเกลี้ยงเกลามีเค้าความเจ้าเล่ห์ฉายออกมานิดๆ ก็เดินลงมา รุตที่รออยู่อย่างกระวนกระวายรีบเขาไปขวางชายหนุ่มคนนั้นไว้ รุตใช้สายตาบอกเพชรงามว่าชายคนนี้คือคนที่ทำให้ทุกอย่างที่เธอตั้งใจทำพังทลายลง

                คราแรกธานีทำท่าจะโวยวายแต่ครั้นพอได้จ้องมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาชัดๆ แววตระหนกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

                “ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณเพชรงาม” ธานีเป็นฝ่ายทักทายก่อน

                “อย่ายินดีเลย มันไม่ใช่เรื่องดีหรอก”

                “เฮอะ” แค่นหัวเราะในลำคอกับคำพูดของหญิงสาว “มีธุระอะไรหรือครับ ถึงมาที่นี่ได้ อ้อ ก่อนอื่นเสียใจด้วยนะครับที่โดนปลดตำแหน่งสายฟ้าแลบ”

                “แน่ใจหรือ ว่าจะคุยธุระตรงนี้กัน”

                “งั้นเชิญทางนี้” เจ้าถิ่นผายมือให้ แล้วเดินนำเข้าไปในห้องประชุมเล็กๆ ทางด้านในสุดของชั้นล่าง

                ภายในห้องนั้นมีผ้าม่านปิดทึบไว้รอบด้าน มีเพียงแสงจากหลอดไฟเท่านั้นที่ทำให้ทั่วห้องสว่างไสว ตรงกลางมีโต๊ะกระจกทรงกลมตัวใหญ่ตั้งอยู่ คนทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองกันด้วยสายตาแน่วแน่

                “มีเรื่องอะไรงั้นหรือครับ” ธานีเริ่มเปิดบทสนทนา

                “มีความสุขมากหรือ กับการครอบครองของคนอื่น” รุตว่าขึ้นเสียงแข็ง

                “คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ” น้ำเสียงดูงุนงง ทว่าแววตาวาววับ

                “ไม่เข้าใจแต่ก็รู้อยู่แก่ใจ” รุตกระชากเสียง

                “อะไรเนี่ย ก็บอกว่า...”

                “หยุดเถอะ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เพชรงามเอ่ยขัดนิ่งๆ น้ำเสียงเธอยังคงวางอำนาจแม้อำนาจที่เคยมีจะหมดลงแล้ว หญิงสาวถอดนาฬิกาที่สวมอยู่ไปวางตรงหน้าธานี

                “ว้าว นี่อดีตประธานเฟรนซีซื้อของแซนด์ไทม์ใช้ด้วย น่าภูมิใจจริงๆ” ชายหนุ่มยิ้มเหยียด

                “ดูยังไงถึงมองว่ามันเป็นของแซนด์ไทม์” ดวงตาเธอลุกโชน “รูปทรงและดีไซน์มันคือของเฟรนซี คุณไม่สังเกตหรือว่าคนออกแบบใส่ดีเทลเก่าๆ ที่บ่งชัดว่ามันมาจากเฟรนซี คนที่ติดตามเราตลอดดูออกอยู่แล้ว”

                ธานีหน้าขรึมขึ้น เขาวางนาฬิกาที่หยิบขึ้นมาดูกลับคืนเจ้าของ “ทำไมนาฬิกาของผมถึงมีโลโก้และชื่อของเฟรนซีติดอยู่ล่ะ ไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าพวกคุณจะก๊อป...”

                “ก๊อปเหรอ!” รุตขึงตาวาววับ รู้สึกเหลืออดเหลือทนกับความด้านหนาของธานีเต็มทน “พวกเราคือเจ้าของนาฬิกานี่ต่างหาก”

                ธานีหัวเราะลั่นราวกำลังฟังเรื่องตลกที่น่าขบขัน

“ตลกน่า ความคิดของคนเรามันเหมือนกันได้นะ อาจเป็นความบังเอิญหรือเวรกรรมบางอย่าง เอ้อ ความจริงผมไม่จำเป็นต้องมาคุยอะไรกับพวกคุณเลยนี่” เขาหันไปมองเพชรงาม “ตอนนี้คุณก็แค่ผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่ประธานบริษัทใหญ่เจ้าของแบรนด์เฟรนซีแล้วนี่นา”

                “มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” รุตชี้หน้าคนที่กำลังคุกคามเจ้านายของเขาด้วยสายตา ธานีละจากเพชรงามมามองรุตอย่างไม่ยอมเช่นกัน

                “อย่าชี้หน้าฉัน!”

                หญิงสาวหน้านิ่งมองปรามลูกน้อง ให้เขาลดมือลง ก่อนมองไปที่ชายอีกคน “ฉันจะพูดกับคุณดีๆ นะ ยอมรับซะว่าคุณเลียนแบบงานของเฟรนซี แค่บอกทุกคนไป ฉันอาจจะพอลดโทษให้คุณได้บ้าง”

                คนฟังหัวเราะอีกครั้งทว่าเป็นเสียงหัวเราะที่เหี้ยมโหดและเยือกเย็น “คุณนี่ตลกเป็นบ้า เรื่องอะไรผมต้องทำแบบนั้น เซ็ตฟรุตตี้แซนด์ไทม์มันคือความคิดและความสำเร็จที่ผมสร้างมากับมือ”

                “หน้าด้าน” รุตตะโกนลั่นอย่างไม่ไว้หน้า

                ธานีพยักหน้าอย่างชั่วร้าย ขยับกายลุกขึ้นอย่างสงบ

“เอาล่ะ ผมเสียเวลากับคนไร้ค่าอย่างพวกคุณนานเกินไปแล้ว ขอตัวนะ แล้วอย่าได้เสนอหน้ามาที่นี่อีก!” เขาว่าเรียบนิ่ง เน้นประโยคสุดท้ายด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก ก่อนจะเดินออกไป

                “เดี๋ยว” เพชรงามลุกขึ้นตาม “ใครคือหนอนบ่อนไส้” เธอเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงที่หันหลังให้ “มันเป็นใคร”

                ธานีแสยะยิ้มพึงใจในคำถามของหญิงสาว

“คนใกล้ตัวคุณนั่นแหละ ใกล้มากจนนึกไม่ถึง” เขาหันตัวกลับมาประจันหน้ากับเธอ “ใครๆ ก็อยากยิ่งใหญ่ อุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ต้องกำจัดมันทิ้งให้หมด และตอนนี้คนคนนั้นกำลังยิ่งใหญ่ ผมจะเตือนคุณด้วยความหวังดีนะ เลิกหวังว่าจะกลับไปอยู่ที่เดิมได้แล้ว” เขาก้มลงไปกระซิบให้รู้กันสองคน “ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่เหลือให้เธอสาวถึงตัวฉันได้หรอกสาวสวย”

 

                เพชรงามเดินอยู่คนเดียวบนทางฟุตบาท ส่วนการ์ดรุตแอบขึ้นไปค้นหาหลักฐานในห้องของธานีต่อ พอเธอบอกจะไปด้วยก็ห้ามด้วยเหตุผลว่าจะเป็นตัวเกะกะเสียเปล่า หญิงสาวจึงเดินกลับมาก่อน ไม่รู้แสงแดดมันจ้าเกินไปหรือเปล่าเธอถึงมองเห็นทางข้างหน้าเป็นสีขาววาบไปหมด หญิงสาวเพ่งมองถนนเมื่อเห็นว่าไม่มีรถแล้วจึงข้ามไปอีกฝั่ง ขณะสาวเท้าอยู่กลางถนนนั่นเองเสียงบีบแตรรัวๆ ก็ดังขึ้นเสียดหู หัวใจเธอเต้นรัว แสงสว่างวูบวาบเข้ามาบดบังทัศนการมอง เสี้ยวต่อมาการรับรู้ของเธอก็มลายหายไปพร้อมสติ

                เปลือกตาที่ไร้การแต่งแต้มกระตุกไปมาก่อนจะเปิดออกเผยให้เห็นดวงตาเรียวสวยนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของคนที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย เพชรงามดึงสติกลับมาได้พร้อมกับที่ได้ยินเสียงแชะจากกล้องถ่ายรูป เสียงนั้นมาจากกล้องโพราลอยด์ในมือชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายมือข้างหนึ่งของเขากำลังสะบัดรูปภาพใบเล็กที่ออกมาจากกล้อง เขาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับรูปในมือ ก่อนจะยื่นมันมาตรงหน้าเจ้าของรูป

                “สวยไหม” นี่คือประโยคแรกที่เขาใช้ทักทายคนแปลกหน้า เพชรงามหยัดกายขึ้นมามองเขาอย่างฉงน

                “คุณเป็นใคร ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

                “ผมชื่อทัน เป็นคนขับรถคันที่คุณเดินมาตัดหน้า แต่ผมไม่ได้ชนนะคุณเป็นลมไปซะก่อนผมก็เลยพามาที่นี่” ธวัชบอกเสียงทุ้ม เวลายิ้มข้างแก้มของเขาปรากฏลักยิ้มขึ้นมาด้วย

                “ฉันจะกลับแล้ว” ว่าพลางตวัดผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองออก หย่อนขาลงข้างเตียงแต่ก็มีมือหนารั้งไหล่ไว้เสียก่อน เธอปัดมือเขาออกทันที

                “หมอบอกว่าร่างกายคุณอ่อนเพลีย พักอีกสักหน่อยสิ”

                หญิงสาวก้มดูนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มกว่าก็ทำให้ต้องรีบยิ่งกว่าเดิม ป่านนี้รุตคงตามหาเธอแย่แล้ว ร่างบางลงมายืนบนพื้นไม่ทันไรก็เซจนธวัชต้องเข้ามาพยุงไหว เพชรงามคว้าเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาเทใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

                “ชำระค่าพยาบาลที่ไหน”

                “ผมจัดการให้แล้ว นี่ยา” ว่าพลางหยิบถุงยาบนโต๊ะยื่นให้หญิงสาว

                “ขอบคุณค่ะ” ว่าจบก็รับถุงยามาแล้วเดินผ่านตัวชายแปลกหน้าไปทันที

                ธวัชรู้สึกราวตกอยู่ในภวังค์ เป็นไปได้ยังไงที่เธอไม่สนใจเขา ตั้งแต่เล็กจนโตมีแต่หญิงล้อมหน้าล้อมหลังไม่เคยมีใครเมินเฉยใส่เขาอย่างเธอเลย แค่รอยยิ้มก็ไม่ปรากฏให้เห็น ไม่ได้การล่ะ

               “เดี๋ยว” ธวัชเร่งฝีเท้าตามไปจนมาเดินเคียงคู่หญิงสาว “คุณชื่ออะไร”

               “ไม่ต้องรู้หรอก เราคงไม่เจอกันอีกแล้ว”

               “ให้ผมไปส่งไหม”

               “ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”

               “เริ่มค่ำแล้วเนี่ย กลับคนเดียวอันตรายนะคุณ”

               “ไปกับคุณแล้วฉันจะปลอดภัยหรือไง”

               “สาบานเลยผมไม่ทำอะไรคุณแน่ ผมรู้สึกถูกชะตากับคุณนะ”

               “ฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”

               “ผมไปส่งคุณแลกกับการที่คุณบอกชื่อ โอเคไหม”

               ทั้งคู่เดินออกจากตัวตึกของโรงพยาบาลมาแล้ว เพชรงามนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ไดมอนด์”

 

               รถสปอร์ตสีบรอนซ์เงินค่อยๆ เลียบจอดลงบริเวณหน้าแฟลตแห่งหนึ่ง เจ้าของรถส่งสายตาสำรวจดูความซอมซ่อของอาคาร

“ขอบคุณค่ะ” เพชรงามเอ่ยขอบคุณพลางเปิดประตู

                “อยู่ที่นี่จริงๆ หรือ ตอนกลางคืนเคยเจอผีไหม” เขาว่าก่อนหันมามองหน้านิ่งเฉยของหญิงสาว “งั้นผมลงไปด้วยแล้วกัน”

                “ไม่ต้อง” เธอก้าวลงจากรถ

                “ผมปวดฉี่ ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” ว่าแล้วรีบหุนหันชิงออกจากรถอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถอนหายใจก่อนเดินนำชายหนุ่มเข้าไปในที่พักของตนลางสังหรณ์บอกว่านายคนนี้ไว้ใจไม่ได้แน่ๆ

                เดินไปได้สักพัก หญิงสาวก็กลับหลังไปมองคนที่เดินตามมา จังหวะพอดีกับที่คนด้านหลังกดถ่ายภาพ

                “ถ่ายทำไม” ถามเสียงดุ

                ธวัชลดกล้องในมือลง คลี่ยิ้มหวาน “แค่อยากเก็บความทรงจำเอาไว้ดู เดินต่อสิ”

                “ห้ามถ่าย”

                “ห้ามได้เหรอ” ยักคิ้วกวนๆ เพชรงามชักสีหน้าแล้วเดินต่อไป

                “หยุดถ่ายได้แล้ว” เธอหันมาบอกเขาอีกรอบตอนเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว “รีบไปเข้าห้องน้ำสิคะ ตรงนั้นน่ะ”

                ชายหนุ่มวางกล้องตัวโปรดไว้บนโต๊ะเยื้องประตู ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปตามที่หญิงสาวชี้มือบอก ไม่นานนักเขาก็เดินออกมา

                “กินยาแล้วพักผ่อนด้วยนะครับ” เอ่ยบอกหญิงสาวที่ยืนดื่มน้ำอยู่ “เอ่อ จริงด้วย คุณยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยใช่ไหม งั้นเราไป...”

                “คุณจะยุ่งกับฉันมากเกินไปแล้วนะ”

                “ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนก่อนไหม บรรยากาศที่นี่มันวังเวงชอบกล” เขาหาเรื่องมาอ้างเพื่อขออยู่ต่อ

                “ออกไปเดี๋ยวนี้”เธอเดินไปเปิดประตูเชิญให้คนนอกออกไป ใจลึกๆ ก็กลัวว่าเกิดเขากระโจนใส่เธอขึ้นมาจะทำอย่างไร

                “แต่...” ชะงักคำพูดไปเมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของหญิงสาว “โอเค กลับก็ได้” ชายหนุ่มทำท่าจะยอมกลับไปหากสุดท้ายก็กลับเปลี่ยนใจ “ไดมอนด์ ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ”

                “ฉันไม่อยากมีเพื่อน ออกไปสักที” น้ำเสียงกดต่ำ

                “เออ ก็ได้” เบ้ปากแง่งอนแล้วเดินจากไป หญิงสาวถอนหายใจ เดินไปกดล็อกประตูแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

                ห้านาทีถัดมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนทราลึกพลิกตัวไปมาก่อนจะสะบัดผ้าห่มออกอย่างทนเสียงรบกวนไม่ไหว

                “ใคร” เธอครางเสียงถามขณะเดินไปอยู่หน้าประตู สายตาเหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ เพชรงามถือกล้องขึ้นมา คงเป็นเจ้ามันที่มาเอาคืน ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที

            หากเมื่อประตูเปิดออกแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่เจ้าของกล้องตัวนี้ ชายร่างกำยำ ผิวคล้ำแดง หนวดเครารุงรังคือคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นแอลกอฮอล์โชยหึ่งออกมาจากตัวเขา มือเรียวรีบผลักประตูปิด ทว่าก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อชายฉกรรจ์คนนั้นดันประตูเอาไว้

                “ออกไป อย่าเข้ามานะ ออกไป!” ชายหนุ่มย่างสามขุมข้ามผ่านประตูมา เพชรงามใจคอสั่นไหวไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัวและหวั่นเกรง เธอถอยกรูดทิ้งระยะห่างจากเขา ส่งเสียงร้องลั่นให้คนช่วย

                “หุบปากน่าน้องสาว เรามาสนุกกันดีกว่า” เพียงไม่กี่ก้าวของคนตัวโตเขาก็ประชิดตัวเธอได้สำเร็จ “มามะ มาเป็นของพี่” มือหนาสากตะปบจับไหล่เธอเอาไว้ทั้งสองข้าง

                หญิงสาวหอบหายใจรวบรวมสติเอาไว้ ปัดมือสากน่าขยะแขยงออกจากไหล่ของตน “เอางี้นะ นายเข้าไปอาบน้ำก่อน ฉันจะรออยู่ตรงนี้แหละ” พยายามใช้เล่ห์กลหลอกล่อ

                “ม่าย พี่ใจร้อน พี่อยากสนุกแล้ว” คนตัวโตเลียปากตัวเองสีหน้าเริ่มมีอารมณ์ ชวนให้คนมองรู้สึกสะอิดสะเอียน ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อร่างบางก็ถูกผลักลงไปกลางเตียง พร้อมด้วยคนกามที่คร่อมตัวตามลงไป

                เพชรงามตะโกนร้องสุดเสียงชนิดไม่สนใจอะไรแล้ว มือไม้สะเปะสะปะทุบตีชายฉกรรจ์ ทว่าดูเหมือนแรงของเธอจะไม่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้าเลยสักนิด

                ใบหน้าน่าขยะแขยงก้มต่ำลงมาเรื่อย หญิงสาวฮึดแรงทุกซอกมุมในร่างกายที่มีอยู่ยกเท้ายันเขาออกไป รีบผุดตัวลุกขึ้นแล้วใช้กล้องอันเล็กที่กำไว้แน่นฟาดไปที่ศีรษะของคนร้ายจนเลือดอาบลงมา ก่อนจะตามด้วยแจกัน รองเท้าและอุปกรณ์มีน้ำหนักมากมายอันที่เธอทุ่มใส่ตัวเขา ร่างบางที่สั่นเทิ้มรุดไปจับลูกบิดประตูทว่าก็ถูกคนตัวโตรวบเข้าจากทางด้านหลัง เธอดีดดิ้นรุนแรงจนถูกเหวี่ยงตัวไปตกบนเตียงอีกครั้ง

                “ดูสิ คราวนี้เลือดใครจะออกมากกว่ากัน” ชายหน้าขมึงถึงคร่อมลงไปบนร่างบางอีกครั้ง หมายจะจูบปากระงับเสียงร้องลั่นของเธอ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น... ความบริสุทธิ์ของเธอจะถูกพรากไปตลอดกาล

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา