Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) ชีวิตใหม่กับเรื่องเดิมๆ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               “ดูสิ คราวนี้เลือดใครจะออกมากกว่ากัน” ชายหน้าขมึงถึงคร่อมลงไปบนร่างบางอีกครั้ง หมายจะจูบปากระงับเสียงร้องลั่นของเธอ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนที่ร่างเขาจะถูกถีบส่งอย่างแรงจนตกเตียงไป ธวัชเข้าไปดึงเพชรงามให้ลุกขึ้น บีบมือเธอไว้แน่น ก่อนจะปล่อยออกแล้วเข้าไปอัดหมัดซ้ำให้คนที่พยุงตัวลุกขึ้นมา

                ดูท่าแล้วธวัชจะสู้ไม่ไหว เพชรงามจึงออกไปตะโกนเรียกคนมาช่วย มีผู้คนจากห้องข้างเคียงหลายคนที่เข้ามาช่วยกันรุมประชาทัณฑ์รวมทั้งรุตที่เพิ่งกลับมาด้วย เมื่อได้รับหลายมือหลายเท้าคนร้ายก็หมดสภาพไปในเวลาไม่นาน พลเมืองดีช่วยกันลากเขาออกไปจากห้องเพื่อพาส่งให้ตำรวจ

                ห้องเกิดเหตุเหลือคนอยู่เพียงสามคนพร้อมข้าวของที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ธวัชใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก พลางมองไปยังหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายที่ยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่นงันงก เขาเดินเข้าไปคว้าตัวเธอมากอดไว้แนบอก รู้สึกได้ถึงความสั่นเทิ้มของร่างกาย มือที่เพิ่งช่วยเธอจากขุมนรกลูบหัวหญิงสาวเบาๆ อย่างปลอบประโลม

                เพชรงามสบโอกาสนี้ใช้เสื้อของธวัชเป็นที่เช็ดน้ำตา วงแขนเรียวกอดตอบเขา ขอแค่ใครสักคนมาอยู่ข้างๆ ในยามที่รู้สึกหวาดกลัวที่สุด...

                “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะที่รัก” ธวัชว่าเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม

                เพชรงามผละออกจากตัวเขาทันทีกับสรรพนามแสลงหู

                “เจ้านายเป็นยังไงบ้างครับ ขอโทษนะครับที่ผมดูแลเจ้านายไม่ดี” รุตเอ่ยอย่างห่วงใยระคนรู้สึกผิด

                “ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก” ไม่มีใครรู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตอนไหน เธอหันไปทางคนแปลกหน้าที่รู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็มีบุญคุณกับเธออย่างเหลือหลาย “ขอบคุณมากนะคะ”

                “อือ ถือว่านี่เป็นหนี้แล้วกัน” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะเจ็บแผลที่มุมปาก “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไอ้สารเลวนั่นมันทำอะไรคุณบ้าง”

                “มันยังไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก คุณมาช่วยฉันทันพอดี” เธอยิ้มบางๆ ส่งให้

                “อย่ายิ้ม ผมละลายหมดแล้ว” บอกซุ่มเสียงขวยเขิน แต่ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับชายหนุ่มอีกคน “นี่ใครกัน เพื่อนหรือพี่”

                “ไม่ใช่ทั้งคู่” รุตชิงตอบแทนเจ้านาย

                “งั้นคงเป็นพ่อสินะ” ธวัชพยายามไม่คิดให้เป็นอย่างอื่น ที่เสี่ยงต่อการทรมานหัวใจตัวเอง

                “ไม่ใช่” คนเป็นลูกน้องปฏิเสธเสียงเข้ม

                “ญาติกันน่ะ” เพชรงามบอกนิ่งๆ

                “ก็ดี” อย่างน้อยก็เบาใจไปเรื่องหนึ่ง “ผมเป็นเพื่อนของไดมอนด์นะ ชื่อทัน ว่าแต่คุณสองคนพักอยู่ด้วยกันหรือ”คนที่ฉวยโอกาสสวมตัวเป็นเพื่อนมองรุตอย่างไม่ใคร่ไว้ใจ

                “เปล่า ผมพักอยู่ชั้นสาม”

                “ดีมาก” ชายหญิงอยู่ใกล้ชิดกันเกินไปอาจเกิดอันตรายได้

                เมื่อทำใจดีแล้วเจ้าของห้องก็ไปจัดการเก็บข้าวของต่างๆ ที่พังพินาศ ธวัชเดินไปจับแขนเธอไว้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วนะ”

                “ไม่เป็นไร เก็บกวาดเช็ดถูไปก็คงเหมือนเดิม”

                “ไดมอนด์ ผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ในที่แบบนี้มันอันตรายนะ ถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อกี้อีกจะทำยังไง”

                “ฉันจะระวังตัว”

                “ยังไงก็อยู่ไม่ได้” ชายหนุ่มเริ่มเอาแต่ใจ

                “ฉันไม่มีปัญญาไปหาที่อื่นที่ดีกว่านี้หรอกนะ แถมที่นี่ยังมีรุต ฉันเชื่อว่าเขาปกป้องฉันได้”

                “คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบเมื่อกี้อีก”รุตให้คำมั่น

                “ไปอยู่บ้านผม” ทั้งสองหันไปมองคนพูดอย่างพร้อมเพรียง “พูดจริงๆ นะ ให้รุตไปอยู่ด้วยก็ได้ บ้านผมก็กว้างพอๆ กับใจผมนั่นแหละ”

                “อย่าเลยค่ะ พวกเราสะดวกใจที่จะอยู่แบบนี้มากกว่า”

                “ไม่ต้องเกรงใจ บ้านผมมีแค่ผมกับป้าแม่บ้านเท่านั้นแหละ ถ้าไม่สะดวกใจคุณก็ช่วยทำงานแลกที่อยู่สิ”

                “ขอบคุณในความหวังดีนะคะ แต่ฉันคงต้องปฏิเสธ”รู้จักกันไม่ถึงวันชวนไปอยู่บ้านเสียแล้ว ทำไมเขาชอบทำตัวไม่น่าไว้ใจเรื่อยเลย

                “ปฏิเสธไม่ได้ ผมไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ คุณเป็นหนี้ผมนะ ผมช่วยคุณไว้”

                “ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เดินไปเก็บเศษอะไรบางอย่างบนเตียง

ธวัชหันมามองรุตอย่างขอความช่วยเหลือ “ดื้อเป็นบ้า คุณช่วยโน้มน้าวใจเธอหน่อยสิ”

                ยังไม่ทันที่รุตจะได้พูดอะไร เพชรงามก็ยื่นชิ้นส่วนประกอบของกล้องคืนให้เจ้าของ

                “ฉันขอโทษ ไว้ถ้ามีเงินแล้วจะซื้อคืนให้นะคะ”

                “โอ้ อะไรเนี่ย สุดที่รักของผม” เขาหันไปมองเพชรงามด้วยสายตากร้าวขึ้น “คุณรู้ไหมมันคือชีวิตจิตใจของผมเลยนะ ถึงจะได้ใหม่มันก็ไม่ใช่อันเดิม คุณต้องรับผิดชอบ”

                “ฉันขอโทษ”

                “ไปอยู่กับผม”

                “ฉัน...”

                “เจ้านายครับ” รุตว่าแทรก “ไปเหอะครับ อย่างน้อยมันก็คงปลอดภัยกว่า ที่นี่คนเยอะภัยก็ชุกชุม ผมว่าเขาก็ไว้ใจได้นะครับ” ประโยคหลังหันไปมองชายหนุ่มที่ยังคร่ำครวญกับกล้องตัวโปรด

                “แน่นอน” ไม่วายเขาหันมาย้ำให้เข้าใจ“เอาละ ผมให้เวลาพวกคุณไปเก็บของสิบนาทีนะ เร็วเข้าสิ”

                เขาละความสนใจจากกล้อง มองดูชายหญิงที่แยกกันไปเก็บของอย่างพึงใจ

 

                บ้านของธวัชเป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดกว้างขวางอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ ล้อมรอบไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ตัวบ้านมีผนังด้านหน้าเป็นกระจกสีชาสไตล์โมเดิร์น เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว ไฟสีเหลืองนวลที่สาดส่องออกมาก็ช่วยให้ตัวบ้านดูสวยงามขึ้นไปอีก พอเข้ามาในบ้านห้องแรกเป็นห้องรับแขกกึ่งห้องนั่งเล่น ตกแต่งด้วยข้าวของน้อยชิ้นเน้นทุกอย่างไปทางโทนขาวดำอย่างเรียบง่าย

                “ป้าบัว ป้าบัวครับ” เจ้าของบ้านตะโกนลั่น

                “อะไรคะคุณทัน” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนอยู่เดินออกมาตามเสียงเรียกนั่น“อ้าว แล้วนี่ใครกันคะ” เธอมองคนแปลกหน้าทั้งสอง เพชรงามและรุตยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า

                “นี่ไดมอนด์ นี่รุต พวกเค้าจะมาอยู่กับเราที่นี่ครับ” ธวัชแนะนำ ป้าบัวเบิกตาโต

                “มาอยู่?”

                “ใช่ครับ”ชายหนุ่มเน้นย้ำ “ป้าบัวช่วยปัดกวาดห้องเก็บของห้องริมสุดให้หน่อยครับ นายนอนห้องนั้นนะ” เขาหันไปบอกรุต

                “ค่ะ” แม่บ้านเดินกลับไปทำตามคำสั่ง

                “เดี๋ยวผมช่วยครับ” รุตว่าแล้วเดินตามป้าบัวไป เพชรงามทำท่าจะตามไปด้วยแต่ถูกธวัชรั้งไว้ก่อนด้วยการจับมือเธอ

                “ไปไหน จะนอนกับผู้ชายรึไง ห้องคุณอยู่นี่” ลากหญิงสาวให้เดินตามมา เขาเปิดประตูสีขาวนวล ข้างในคือห้องโล่งๆ ที่มีเพียงเตียงขนาดกลางปูด้วยผ้าสีครีม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะทำงาน ซึ่งก็ถือว่าครบครันแล้วสำหรับผู้เข้ามาอาศัยเช่นเพชรงาม

                ชายหนุ่มปล่อยมือออกแล้วคว้ากระเป๋าจากมือหญิงสาวไปโยนลงบนเตียง “เป็นไง อยู่ได้ไหม”

               เขาเอ่ยถามขณะล้มตัวนั่งบนเตียง

                “ได้ค่ะ” ความจริงแล้วมันยิ่งกว่าได้เสียอีก สำหรับตอนนี้ที่นี่ถือว่าสบายโขเลยทีเดียว เพชรงามยิ้มอ่อนๆ ให้เป็นเชิงขอบคุณ

                “แล้วชอบไหม”

                “ค่ะ”

                “หมายถึงผมนะ”

                เพชรงามตีหน้านิ่งดังเดิมธวัชยิ้มหน้ารื่น

                “ไปอาบน้ำก่อนเหอะ แล้วไปทานข้าวกัน” เขาบอก หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเก้ๆ กังๆ มองชายหนุ่มที่จ้องหน้าเธออยู่ไม่ไหวติง จนในที่สุดต้องเอ่ยออกไป

                “คุณออกไปก่อนสิ”

                “อ้าว ผมต้องออกด้วยเหรอ นี่บ้านผมนะ” ได้ฟังดังนั้นเพชรงามก็กลอกตาหน่ายๆ “โอเค ไปก็ได้” ธวัชลุกขึ้นเดิน มิวายตอนเดินผ่านร่างบางเขาก็โน้มหน้าเขาไปกระซิบใกล้ๆ แล้วหัวเราะร่าบันเทิงใจออกไป “ไว้ว่างๆ จะมานอนด้วยนะ”

 

                เสียงซดน้ำซุปดังซูดแสดงถึงความอร่อยถูกใจดังขึ้นแทรกความเงียบงันบนโต๊ะอาหาร “อร่อยจังฮะ เสน่ห์ปลายจวักของป้าบัวไม่มีใครเทียบติดเลยจริงๆ”

                ป้าบัวมิได้สนใจกับคำชมนั้น หล่อนมัวแต่จ้องมองแขกใหม่ทั้งสองไม่วางตาด้วยความหวาดระแวงและนึกใคร่สงสัย เพื่อนก็มิใช่ แล้วทำไมธวัชถึงยอมให้คนทั้งสองเข้ามาอยู่ในบ้าน

                เพชรงามลอบมองหน้าหญิงวัยกลางคนแล้วยิ้มบางๆ ให้ ก่อนจะเสมองจานข้าวด้วยความเกรงใจระคนอึดอัดเช่นเดียวกับรุต

                ธวัชมองผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามที่ถือช้อนและส้อมค้างอยู่ในมือ โดยไม่มีทีท่าว่าจะทานอาหารอยู่นาน เขาวางช้อนในมือลงแล้วเอื้อมไปแตะเบาๆ ที่แขนแม่บ้าน ยามนั้นเองที่ป้าบัวละสายตาจากอาคันตุกะทั้งสองได้

                “สองคนนี้เค้าเป็นเพื่อนห่างๆ ของผมเองครับ” ชายหนุ่มชิงตอบคำถามเมื่อเห็นสายตาของแม่บ้าน

                “ป้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” เพียงแต่เป็นห่วงในความปลอดภัยของธวัช ประสบการณ์ที่ได้จากการใจดีเกินไปของเขาคงไม่พอให้ชายคนนี้จดจำเลยสินะ

                “ผมไม่ได้ให้พวกเค้ามาอยู่ฟรีเสียหน่อย พวกเค้าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระป้าบัวไง ดีไหมครับ” เอียงหน้ามองเหมือนเด็กน้อยคนถูกมองมีสีหน้าผ่อนลง หากยังไม่ทันตอบอะไรหญิงอีกคนก็แทรกขึ้นเสียก่อน

                “ขอโทษนะคะถ้าทำให้ป้าบัวไม่สะดวกใจ” เธอเอ่ยเสียงเรียบแผ่ว “ถ้าพวกเราตั้งตัวได้แล้ว เราจะออกไปให้เร็วที่สุดค่ะ” ถ้าความสะดวกสบายที่เธอได้รับทำให้ใครอีกคนต้องอึดอัด เธอเองก็คงอยู่ไปโดยไม่มีความสุข

                “เปล่าจ้ะหนู” ป้าบัวรีบปฏิเสธทันควัน “ป้าแค่ไม่คุ้นชินกับการที่คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ด้วยเท่านั้นเอง”

                “จะรีบไปไหน อยู่ไปจนแก่เฒ่าเลยก็ได้นะ” ธวัชว่าพร้อมส่งสายตาระยิบระยับ จนรุตที่ทนหมั่นไส้เงียบๆ ไม่ได้ต้องกระแอมแทรกขึ้นมา

                การทานข้าวเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าเดิมเพราะมีธวัชที่ชวนเปิดบทสนทนาเรื่องสัพเพเหระเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน จบกระทั่งมื้ออาหารเสร็จสิ้นลง เพชรงามก็อาสาไปช่วยป้าบัวล้างจาน เหลือชายหนุ่มสองคนที่ยังนั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่บนโต๊ะอาหาร

                “ถามไรหน่อยสิ” ธวัชเอ่ยถาม มองชายอีกคนด้วยแววตาพินิจ “พวกนายเป็นญาติกันจริงๆ หรือ”

                “ครับ” ตอบอัตโนมัติ

                “แล้วทำไมต้องเรียกไดมอนด์ว่าเจ้านายด้วย” มันฟังดูขัดหูชอบกลตอนรุตเรียกเพชรงามว่า เจ้านาย อีกทั้งรูปลักษณ์และท่าทางของหญิงสาวยังสนับสนุนการเป็นเจ้าคนนายคนอย่างเต็มที่

                “ก็ไดมอนด์เป็นคนเก่ง มีความเป็นผู้นำ ผมเลยเรียกว่าเจ้านายจนชินปากมาตั้งแต่เด็ก” คนไหวพริบดีตอบข้างๆ คูๆ

                ธวัชพยักหน้าเบาๆ โดยยังไม่เชื่อสนิทใจนัก “งั้นอีกคำถาม ญาตินายมีแฟนยัง”

                “ไม่บอก” ส่ายหน้าปิดปากแล้วลุกขึ้น หากก่อนจะก้าวออกไปเขาก็หันมาบอกเจ้าของบ้านที่กอดอกทำหน้ามุ่ย “เจ้า... ไดมอนด์น่ะไม่ใช่คนที่คุณจะเล่นด้วยง่ายๆ นะ เผื่อใจไว้ให้มาก จะได้ไม่เจ็บมาก”

 

                ในวันรุ่งขึ้นเพชรงามตื่นขึ้นมาด้วยความเหงาหงอยเนื่องจากภาพเมื่อคืนยังติดตาคาใจเธออยู่มิจางหาย ความหวาดกลัวยังเกาะกุมความรู้สึกในส่วนลึก เธออยากรู้เหลือเกินว่าถ้ามีมานะอยู่ข้างๆ ในตอนนี้ตัวเองจะอ่อนแอเฉกเช่นนี้หรือเปล่า หากให้คาดเดาคำตอบเอง เธอจะไม่อ่อนแอแน่นอน ‘ท่านประธานสุดยอดเลย แข็งแกร่งยิ่งกว่าแอ่งโคราชซะอีก’

                อยู่ๆ คำพูดพร้อมรอยยิ้มกวนๆ ที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจก็ผุดพรายขึ้นมา หวนนึกถึงคำสุดท้ายที่เขาบอกไว้ในคืนสุดท้าย 'รักนะ' คำๆ นี้ยังคงชัดเจนในใจเสมอ วินาทีนี้เองที่เธอรู้ว่าตัวเองเพรียกพร่ำร่ำหาเขาเพียงใด... ฉันคิดถึงนายจัง

                ความคิดถึงคำนึงหาอบอวลเต็มดวงใจจนทำให้ละสิ้นทุกความรู้สึก ความคิดถึงทำให้ลืมเรื่องร้าย ทำให้มีความสุข และทำให้ทรมานอยู่ลึกๆ

                เพชรงามตื่นจากอาการเหม่อลอยแล้วลุกออกจากห้องไปด้วยเสียงเรียกของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ธวัชต้องออกไปทำงาน เขาชวนให้เพชรงามลองไปทำงานด้วยกันเพราะหญิงสาวบอกว่ายังไม่มีงานทำ ครั้นจะให้เธอปฏิเสธก็เกรงใจ อยู่บ้านเขาก็ควรช่วยเขาด้วย เพชรงามลากรุตไปด้วยเผื่อมีเวลาว่างจะไปสืบต่อแผนการที่ค้างไว้

                ธวัชเปิดบริษัทรับตกแต่งภายขนาดกลาง มีพนักงานร่วมสิบคน ทุกคนดูเป็นมิตรและมีความสุขกับชีวิตการทำงาน ไม่มีอาการตึงเครียด สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวสนใจกว่าการทำงานคือบริษัทของธวัชอยู่ถัดจากบริษัทของธานีไม่ไกลนัก

               เพชรงามและรุตเข้ามาเป็นผู้ช่วยให้ธวัชได้สองสามวันแล้ว เพชรงามชื่นชมการทำงานของที่นี่มาก ครั้งหนึ่งเธอได้เข้าไปนั่งฟังตอนพวกเขาประชุมกัน บรรยากาศรื่นเริงราวกำลังนั่งสังสรรค์เรื่องงานกันอยู่ ธวัชเป็นคนที่ยิ้มได้ตลอดเวลา ไม่มีความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้านายเลยสักนิดเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่คอยชี้แจงงานต่างๆ ให้น้องๆ มากกว่า กระนั้นเขาก็เป็นคนที่มุ่งมั่นและตั้งใจกับการทำงาน แม้ส่วนมากจะเป็นการพูดเล่นหยอกล้อกันแต่สุดท้ายงานก็ออกมาเสร็จสมบูรณ์

               ความตกต่ำมิใช่สิ่งเลวร้ายเสมอ มันสอนให้เราได้เห็นถึงมุมมองที่เคยมองข้าม เธอเพิ่งรู้ว่าเพื่อนร่วมงานสำคัญเพียงใดในชีวิตการทำงาน เจ้านายที่น่านับถือไม่ใช่คนที่แต่งตัวภูมิฐานเดินสุขุมด้วยท่วงท่าเท่ๆ แต่คือคนที่มีความเป็นมิตรและเข้าถึงพนักงานทุกคนจริงๆ เช่นธวัช และได้รู้ว่าหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันก็ควรหาอะไรที่ผ่อนคลายบ้างไม่ใช่ตรงกลับบ้านอย่างเดียว

                หากลองย้อนกลับมองดูภาพตัวเองตอนก่อนหน้านี้แล้ว ชีวิตเธอมันช่างดูแข็งทื่อไปซะทุกอย่าง หน้าตาเคร่งขรึมเป็นนิจที่เธอใช้ป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามามันคงเป็นกำแพงหนาชั้นดีที่ปิดกั้นผู้คนอื่นและโอกาสในการเรียนรู้มากมาย เมื่อไหร่กันที่กำแพงนั้นหลอมละลายลงทีละนิดทีละน้อย

                อาจเป็นตอนนั้น... ตอนที่ไอ้บ้าคนหนึ่งเข้ามากวนประสาททำให้เธอโกรธเกลียดและรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน

               

                ยามเที่ยงวันนี้ธวัชมีนัดออกไปทานข้าวกับลูกค้า ผู้ช่วยทั้งสองจึงต้องออกมาทานข้าวกันเองตามลำพัง ข้าวแกงหอมกรุ่นจานละสามสิบบาท มีข้าวสวยพร้อมกับข้าวสองอย่าง จานของรุตมีไข่พะโล้และผัดเครื่องในไก่ ส่วนของเพชรงามเป็นหมูทอดกระเทียมและผัดวุ้นเส้นใส่ไข่ ชายหนุ่มลอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้านายทานอาหารข้างถนนได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ก่อนจะก้มหน้าทานของตัวเอง สักพักหนึ่งหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

                “วันนี้เข้าไปแซนด์ไทม์เลยนะ” พวกเธอได้หลักฐานมาชิ้นหนึ่งแล้วคือเสียงที่อัดไว้ในโทรศัพท์เพชรงามจากการเข้าไปพบธนาครั้งนั้น

                “ครับ ดีเลย” รุตพยักหน้ากับแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะแอบเข้าไปดูข้อมูลการโทรจากโทรศัพท์และอีเมล์ของธนาเพื่อจะได้รู้ว่าเขาติดต่อกับใครในเฟรนซี “อยากรู้จังว่าไอ้กบฏคนนั้นมันเป็นใคร”

                “นายคิดว่าเป็นใคร ใครที่สนใจข้อมูลของเรา”

                รุตส่ายหน้าอย่างจนใจ เขาไม่นึกสงสัยใครทั้งนั้นเพราะทุกคนก็ดูตั้งใจทำงานเหมือนกันหมด คนที่เขายังลังเลอยู่ก็คงมีแค่มานะคนเดียว แต่ดูท่าแล้วคงไม่ใช่มันหรอก จู่ๆ รุตก็ใช้ช้อนเคาะจานอย่างเพิ่งนึกบางอย่างออก “ตอนที่เจ้านายหายไป คุณแจ็คมาขอข้อมูลเกี่ยวกับฟรุตตี้เฟรนซีไปแล้วก็ดูอยากรู้มากเป็นพิเศษด้วย”

                “พี่แจ็คเหรอ” เพชรงามทำหน้าไม่เชื่อ

                “แต่ผมว่าคุณแจ็คคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นเองหรอก คุณฐาสั่งมาแน่” รุตออกความเห็นต่อ

                “เดาไปก็ไม่ได้อะไร หาความจริงเองดีกว่า”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา