Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) อยู่บนโลกกลมๆ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเพชรงามกับรุตก็มานั่งปรึกษากันอีกครั้งที่ม้าหินอ่อนหลังบ้าน ข้อสรุปสั้นๆ ที่ได้คือวันนี้พวกเขาจะนำหลักฐานที่ได้มารวบรวมไว้ให้เรียบร้อยเพื่อนำส่งให้ตำรวจในวันพรุ่งนี้ แต่คุยกันได้ไม่นานธวัชก็ออกมาบอกให้รุตไปเอาเอกสารในออฟฟิศมาให้

                แม้จะเป็นวันหยุดแต่ก็ยังมีงานมากมายให้ได้สะสาง ธวัชและเพชรงามอพยพตัวเองมานั่งหลังขดหลังแข็งในห้องทำงานของชายหนุ่ม ป้าบัวเอาน้ำและขนมเข้ามาให้เป็นระยะๆ เพชรงามซวนเซนิดหน่อยตอนลุกขึ้นไปเปิดเครื่องพริ้นต์อาการเดิมกำเริบอีกครั้งคือแสงสว่างวูบวาบสะท้อนจ้าเข้ามาในดวงตา สิ่งแวดล้อมรอบตัวพร่าเบลอ เธอรอคอยเอกสารที่พริ้นต์ออกมาอย่างใจเย็น ค่อยๆ หลับตา ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนลืมตาขึ้นเมื่ออาการได้เอกสารครบแล้วจึงจัดเรียงใส่แฟ้ม ลุกขึ้นนำไปส่งให้เจ้านาย

                เสียงแฟ้มเอกสารหล่นลงบนโต๊ะดังตุบ เจ้าของโต๊ะที่ตั้งคอแข็งมองจอคอมพิวเตอร์สะดุ้งโหยงพร้อมสบถลั่นเพราะสมาธิที่ใช้อยู่กระเจิงหายไป เงยหน้าหันมองคนต้นเหตุ

                “ชอบความรุนแรงจริงๆ นะเรา” น้ำเสียงตำหนิกึ่งหยอกเย้า “ทีหลังแต่งหน้าบ้างก็ดีนะ ซีดเป็นไก่ต้มเชียว”

                คนที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มกะพริบตาถี่ๆ อ้าปากเผยอเล็กน้อย ก่อนจะล้มตึงลงไปกับพื้น

                “เฮ้ย!” ธวัชที่กำลังหัวเราะชอบใจกับคำพูดของตัวเองตกใจสุดขีดรีบถลันลุกไปประคองหญิงสาว เขย่าเธอเบาหวังเรียกสติ ก่อนจะช้อนร่างบางอุ้มไปวางไว้บนโซฟา วิ่งไปบอกป้าบัวให้ช่วยหายาหอมยาดมมาให้

                “ต้องพาไปหาหมอไหม” ธวัชเอ่ยถามรุตที่ใช้กระดาษพัดให้เพชรงาม

                “ไข้ไม่มี หายใจปกติ คงแค่อ่อนเพลียเฉยๆ ถ้าให้นอนพักเดี๋ยวคงหายเอง” หน้าตาคนบอกเองก็ไม่สู้ดีนัก

                “กลับไปทำงานกันเถอะครับ”หลังจากดูอาการสักพักธวัชก็บอกให้รุตและป้าบัวแยกย้ายไปได้

                ธวัชนั่งมองใบหน้าหญิงสาวอยู่บนพื้นข้างโซฟา มือหนาขาวอังบนหน้าผากหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะลูบไล้ไปมาบนแก้มนวล พลันรอยยิ้มละมุนก็ปรากฏบนใบหน้า เขาค้างมืออยู่ตรงนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงผละออกไปคว้าแฟ้มเอกสารแล้วกลับมานั่งพิงหลังกับโซฟาทำงานต่อไป

 

                สองชั่วโมงผ่านไปเพชรงามสะลืมสะลือตื่นขึ้นมา คนที่กอดเข่าด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือแผ่นกระดาษที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับการตลาดวางกระดาษลงแล้วหันตัวไปหาเธอ หญิงสาวผงกหัวจะลุกแต่ถูกธวัชดันหน้าผากให้กลับไปนอนต่อ เธอขึ้นมาอีกเขาก็ผลักลงไปอีก หญิงสาวแกะมือเขาออกแล้วลุกนั่งพลางยกมือกุมศีรษะที่ยังมึนงง

                “เป็นไงมั่ง” ธวัชลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ ใกล้มากจนอีกฝ่ายต้องกระเถิบตัวหนี

                “ขอน้ำหน่อยได้ไหมคะ” ชายหนุ่มเดินไปหยิบขวดน้ำมายื่นให้

                เพชรงามกระดกน้ำดื่มไปครึ่งขวดในคราเดียว นั่งหายใจนิ่งๆ เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุล เธอไม่ได้ตอบอะไรไปเพียงแต่ทอดสายตาอ่อนมองเขาอย่างขอบใจ

                “คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ นะ เกิดเป็นลมล้มพับอีกร่างกายจะไม่ไหวเอา เมื่อคืนบอกให้เข้านอนก็เอาแต่โอ้เอ้จนเกือบเที่ยงคืน ไปนอนเถอะนะ ให้ร่างกายได้พักเต็มที่บ้าง” ธวัชพูดด้วยน้ำที่ห่วงใยจับใจ ไม่รู้ทำไมถึงกลัวหญิงสาวที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเป็นอะไรนักหนา

                “ขอบคุณนะคะ” เพชรงามลุกขึ้นยืน

                “เดี๋ยวผมไปส่ง” ลุกขึ้นไปพยุงตัวหญิงสาวแต่เธอถอยตัวออก

                “ฉันไหว”

                ธวัชเดินตามไปข้างๆ เพชรงาม พอเดินเข้าไปใกล้หน่อยเธอก็ขยับหนีจนชายหนุ่มอดที่จะโคลงศีรษะให้ความรักนวลสงวนตัวที่มีมากเกินไปของเธอไม่ได้

                คนที่ดูเหมือนจะตั้งใจทำงานจำต้องทิ้งเอกสารในมือลง เมื่อแท้จริงแล้วจิตใจเขาจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาในชีวิต คนที่รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอ คนที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้ยามสบตา คนที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ธวัชยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่าเพชรงามเป็นใครกันแน่        

                เวลาที่เราชอบใครสักคนจะรู้สึกเหมือนมีวิญญาณนักสืบวิ่งเข้าร่าง อยากค้นหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย

                หลังทานอาหารเย็นเสร็จ รอให้ข้าวย่อยพอเป็นพิธีธวัชก็ชวนรุตมาก๊กเหล้ากันสองคน ส่วนป้าบัวกับเพชรงามนั้นแยกย้ายเข้าห้องกันแล้ว คนอ่อนวัยกว่าจัดการผสมเหล้ากับโซดาเทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งก่อนยื่นมันให้อีกฝ่าย

                “นึกไงถึงชวนดื่มครับ” คนที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมยื่นมือไปรับแก้วน้ำสีอำพันมาแต่โดยดี

                “ทำงานเหนื่อยก็อยากผ่อนคลายน่ะพี่” ธวัชเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกรุตเพื่อสร้างความสนิทสนมากขึ้น

                “ก็ดีเหมือนกันช่วงนี้ชีวิตมีแต่เรื่องบัดซบ” รุตว่าแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มไปหลายอึก

                ธวัชชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย เขายิ้มกริ่มเมื่อรุตดื่มน้ำเมาเข้าไปจนได้ที่แล้ว ส่วนตัวเขาเองผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วยังได้แก้วกว่าๆ อยู่เลยส่วนมากแล้วจะแกล้งเสไปหยิบกับแกล้มมากกว่าจะตั้งหน้าดื่มจริงจัง เมื่อเริ่มเรื่องจนหอมปากหอมคอแล้วธวัชก็ชักเข้าประเด็นสำคัญเสียที

                “ถามจริงๆ เลยนะ พวกพี่เป็นใครมาจากไหน”

                คนแก้มแดงตาเยิ้มฉ่ำกระแทกแก้วเหล้าลง “คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เอางี้ รู้จักคุณสิงห์ภพ มงคลสกุลไหม”

                “เจ้าของนาฬิกาแบรนด์เฟรนซี พ่อผมกับลุงสิงห์เป็นเพื่อนกัน” ตอนเด็กๆ คุณสิงห์ภพมักมาเที่ยวหาพ่อเขาบ่อยๆ ทว่าตั้งแต่พ่อเขาเสียไปเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับชายแก่ใจดีคนนั้นอีกเลย แล้วคุณสิงห์ภพเกี่ยวอะไรกับคนทั้งสองนี่ละ ธวัชที่นั่งท่าขัดสมาธิบนเก้าอี้ขยับตัวเข้ามาอย่างสนใจ

                “คุณท่าน... คุณสิงห์ภพน่ะเป็นพ่อของเจ้านาย ส่วนผมก็เป็นคนดูแลเจ้านายตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”

                ธวัชทำตาโตกับความจริงที่ได้รับฟัง เพชรงามเป็นลูกสาวของคุณสิงห์ภพ! เขาไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่าเธอจะเป็นคนใกล้ตัวเพียงนี้ ตอนนั้นเขาเคยเล่นกับลูกชายสี่คนของคุณสิงห์ภพ จำได้ว่าท่านมีลูกสาวอีกหนึ่งคนแต่เธอไม่ชอบออกจากบ้าน เขาก็เลยไม่เคยเจอ ที่แท้ก็คือหญิงสาวที่เขาตกหลุมรักคนนี้นี่เอง โลกนี้ช่างกลมนัก

                “คุณลุงรวยล้นฟ้าขนาดนั้นแล้วทำไมปล่อยลูกสาวไว้แบบนี้ล่ะ”

                “ไม่ได้ปล่อยแต่เจ้านายเลือกออกมาเอง พูดแล้วก็แค้นใจ” ยกแก้วเหล้าขึ้นซด “พี่ชายของเจ้านายเอาดีไซด์สินค้าใหม่ของบริษัทไปขายให้คู่แข่ง ไอ้แซนด์ไทม์เฮงซวย”

                ธวัชสะดุ้งโหยงกับคำว่าแซนด์ไทม์ เรื่องราวที่คิดว่ามันห่างไกลกันกลับเข้ามาเชื่อมโยงอย่างคิดไม่ถึง

                “ไอ้ธนามันเปลี่ยนคำว่าเฟรนซีไปเป็นแซนไทม์ ชิงเปิดตัวสินค้าตัดหน้าเรา ทีนี่เงินที่ลงทุนไปก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไอ้คุณฐาต่อว่าเจ้านายผมจนเจ้านายต้องออกมาหาหลักฐานลากตัวผิด จนถึงตอนนี้เราก็ยังคว้าน้ำเหลวกันอยู่เลย” รุตใช้กำปั้นทุบโต๊ะก่อนจะฟุบหน้าลงไปตาม

                “ไอ้เทน!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายดังออกมาจากปากของคนที่ยังมีสติครบถ้วน ธวัชยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ดี...

                เด็กชายธวัชที่อายุได้เพียงสิบขวบเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนหมายจะเดินเข้าครัวไปหาอะไรทานรองท้องก่อนออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าไว้ เงื้อหูฟังบทสนทนาของคนใช้ที่ดังมาจากข้างในครัว

                “ป้าจ๋าคุณเทนกับคุณทันไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ หรอกหรือ” สาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยถาม

                “พ่อเดียวกันแต่คนละแม่” หญิงสูงวัยตอบ คันปากอยากเล่าเต็มที “คุณนายคนนี้เป็นแม่คุณเทน ส่วนแม่คุณทันเสียไปตั้งแต่คุณทันอายุได้แค่ขวบสองขวบแล้ว ตรอมใจตายน่ะ”

                “หึ ทำไมถึงตรอมใจล่ะจ้ะ” เอ่ยถามพลันด้วยความอยากรู้

                “ข้ากำลังจะเล่าเองอย่าเพิ่งขัดสิ คือคุณผู้ชายน่ะแต่งงานกับแม่คุณทันก่อน ก็เห็นอยู่กันหวานชื่นนะ แต่ไปมายังไงไม่รู้แม่คุณเทนเดินดุ่มๆ เข้าบ้านบอกว่าท้องกับคุณผู้ชาย คราวนั้นล่ะทะเลาะกันบ้านแตก แม่คุณทันถึงขั้นจะขอเลิกราตัดขาดแต่คุณผู้ชายรักเธอมากก็อ้อนวอนใหญ่บอกสำนึกผิดงั้นงี้ แกรู้ไหมเรื่องจบตรงไหน ตรงที่เมียหลวงบอกให้ผัวรับเมียน้อยเข้ามาอยู่ด้วย จนลูกเมียน้อยโตมาได้สี่ห้าขวบนู่นแหละเมียหลวงถึงตั้งท้อง แกเอ้ยคิดดูนะจะมีผู้หญิงที่ไหนที่ทนเห็นผัวตัวเองรักลูกรักเมียอีกคนได้วะ ถึงจะใจดีใจกว้างยังไงแต่ของของใคร ใครก็รัก คุณนายใหญ่คงเจ็บช้ำมานานในที่สุดก็ตรอมใจตาย”

                “โธ่ ยังกะนิยาย” สาวใช้ทำหน้าสลด “แต่คุณนายก็ดูรักใคร่คุณทันนะคะ”

                “คงรู้สึกผิดที่ทำให้แม่เขาตายน่ะ ตอนคุณนายใหญ่ตายเธอก็ล้มป่วยไปหลายวันเหมือนกันนะ”

                “แล้วคุณทันรู้ไหมคะว่าทำไมแม่ตัวเองถึงตาย”

                “จะรู้อะไรล่ะเด็กตัวแค่นั้น”

                ตั้งแต่นั้นมาธวัชก็จำฝังใจมาตลอดว่าฆาตกรที่ทำให้แม่เขาตายก็คือสองแม่ลูกคู่นั้น พอโตขึ้นหน่อยพ่อก็มาจากไปอีกคน หลังจากบ้านนั้นไม่มีพ่อให้ทดแทนบุญคุณเขาก็ย้ายออกมา ข้าวของทุกชิ้นรวมทั้งบริษัทของพ่อเขาก็ไม่คิดแตะต้องด้วยไม่อยากมีสัมพันธ์ยุ่งเกี่ยวกับสองคนนั้นอีก

                แต่เห็นทีคราวนี้คงต้องยุ่งเกี่ยวกันสักหน่อยแล้ว!

 

                หลังจากที่เมื่อวานพักผ่อนมาทั้งวันเพชรงามก็ตื่นได้เต็มตาเสียที เช้าวันนี้สดใสกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมา เธอคิดเอาเองว่าคงจะมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น เหตุใดไม่รู้สมองก็ฉายภาพใบหน้ายิ้มแย้มของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เธออยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าคิดถึงมาก ไม่นานภาพของมานะก็อันตรธานไปแล้วแทนที่ด้วยภาพของธวัชที่เปิดประตูเข้ามา

                “ตื่นแล้วเหรอ ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวซะ” เขาเอ่ยบอกคนที่ยังนั่งหัวกระเซิงอยู่บนเตียง

                “คุณผลีผลามเข้าห้องคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงคะ”

                “คุณไม่ล็อกประตูเองนี่”

                เพชรงามทำหน้ายุ่งเมื่อเถียงไม่ออก เธอคงเพลียมากจนลืมล็อกประตู “แต่คุณก็ควรเคาะประตูบ้างสิ”

                “บ้านผม” ชายหนุ่มใช้เหตุผลเดิมพร้อมยักคิ้วกวนๆ ให้ “ลุกเร็วสิ หรือต้องให้มอร์นิ่งคิสก่อน”

                หญิงสาวขึงตาวาววับก่อนลุกขึ้นยืน “คุณก็ออกไปสิ”

                “นี่บ้านผมนะ” ยิ้มแฉ่งแล้วเดินออกไป

 

                การเดินทางไปทำงานของเช้าวันนี้คงเป็นไปตามปกติหากธวัชไม่เลี้ยวรถเข้าไปในบริษัทแซนด์ไทม์เสียก่อน รุตหันมาสบตากับเพชรงามพร้อมพากันขมวดคิ้ว

                “คุณมาที่นี่ทำไม” รุตที่นั่งเคียงคู่คนขับเอ่ยถาม

                “เดี๋ยวก็รู้” ธวัชขับรถเข้าไปจอดในที่จอดของบุคคลระดับใหญ่โตของบริษัทตัดหน้ารถเก๋งคันใหญ่ที่ตรงเข้ามา คนในรถเก๋งบีบแตรไล่แต่พอธวัชก้าวเท้าลงไป เสียงบีบแตรก็เงียบลงก่อนจะเคลื่อนไปจอดที่อื่น

                เพชรงามและรุตเดินออกมายืนเคียงข้างกัน ไม่อยากขยับขาตามธวัชที่เดินนำไปก่อนแล้วด้วยเพราะปัญหาเก่ายังไม่ทันสาง มิใช่ว่ากลัวแต่การจะพบศัตรูตัวฉกาจก็ควรมีการเตรียมตัวให้ดีก่อน ธวัชหันกลับมามองคนทั้งสองก่อนจะเดินกลับมาจูงเพชรงามให้ตามไป รุตเองก็ต้องตามไปเช่นกัน

                ธวัชไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาเดินเข้าไปในบริษัทโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ กับใครสักคำ เขาตรงเข้าไปกระชากประตูห้องประธานบริษัทอย่างไม่เกรงกลัว แต่ทั้งห้องกลับมีเพียงหญิงสาวที่ทำหน้าเจ๋อตกใจอยู่คนเดียว

                “ไอ้เทนอยู่ไหน!” เขาใช้น้ำเสียงเหี้ยมขรึมอย่างที่ชายหญิงที่ตามมาไม่เคยได้ยินมาก่อน

                “คะ... คุณเป็นใครคะ” เธอถามเสียงสั่น

                “ไอ้เทนอยู่ไหน!” เขาตะคอกถามคำเดิม

                “ทะ... ท่านประธานประชุมอยู่ค่ะ”

                ธวัชหุนหันออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เดินไปยังห้องประชุมใหญ่อย่างชำนาญทางแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่มีใครทันห้าม เลขาของธนาเหงื่อแตกพลั่กเมื่อชายหนุ่มเข้าไปขัดจังหวะการประชุม

                บุคคลร่วมยี่สิบคนที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่หันมองคนมาใหญ่เป็นตาเดียวอย่างทั้งงุนงงและตกใจ ผู้อาวุโสหลายคนที่รู้จักลูกชายคนเล็กของเจ้าของแซนด์ไทม์เผลออ้าปากค้างอย่างไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะเจอเขาอีก

                “หวัดดีพี่ชาย” ธวัชปล่อยมือเพชรงามก่อนเดินไปฉีกยิ้มให้คนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะประชุม

                “ทัน” ธนาพึมพำชื่อน้องชาย ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมายืนจ้องธวัช แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาหมัดหนักๆ ของคนเป็นน้องก็หล่นลงมาบนข้างแก้มเขาอย่างจัง เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงอุทานจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ ธนามิได้ตอบโต้อะไรเพียงแต่ถอยออกมาเล็กน้อย

                “ไอ้นั่นทำอะไรท่านประธานน่ะ เรียกรปภ.สิ” เสียงแหลมของผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งดังขึ้นทว่าก็ไม่มีใครทำตามคำสั่งเธอเลย

                “บางคนคงยังไม่รู้ว่าผมเป็นใครสินะ ผมคือธวัช ธรรมนิติกุล ลูกชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของธรณิน ธรรมนิติกุล” สิ้นเสียงชายหนุ่ม เสียงฮือก็ดังระงมขึ้นทั้งห้อง

เพชรงามจ้องธวัชไม่วางตา เวลานี้ชายหนุ่มดูไม่ใช่ธวัชที่เธอรู้จัก แววตาและท่าทางของเขาดูแข็งกร้าวและคร่ำเคร่งจนน่าเกรงขาม “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทรัพย์สินหกสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทนี้เป็นของผม ความจริงผมก็ไม่ได้ต้องการมันหรอกนะ ถ้ามีใครมาดูแลสิ่งที่พ่อสร้างด้วยความรักและสุจริตผมก็ยินดีมอบให้ ไม่ใช้ดูแลแบบหมาๆ อย่างนี้”

                ธวัชตวัดตามองธนาอย่างโกรธแค้น ถ้าธนาตัวเล็กเท่าลูกไก่เขาคงจะจับมาขยำให้แหลกคามือไปแล้ว

                “นายพูดอะไร นายเองไม่ใช่เหรอที่ทิ้งทุกอย่างของพ่อไป” ธนาย้อนกลับ

                “เพราะฉันคิดว่าแกจะเป็นคนดีกว่านี้ไงไอ้เลว” ว่ากระโชกกระชั้น เขาหันไปมองจอโพรเจกเตอร์ด้านหน้าที่ฉายภาพนาฬิกาตัวล่าสุดอยู่พร้อมด้วยแผนที่ประเทศซึ่งคาดว่าคงจะส่งสินค้าออกไปขาย ก่อนจะหันไปถามเพชรงาม “นี่ของของคุณใช่ไหม”

                หญิงสาวที่เรียบเรียงทุกอย่างได้แล้วขยับตัวเชิดขึ้นนิดแล้วพยักหน้า

                “นาฬิกาตัวนี้ความจริงแล้วเป็นของเฟรนซี” เสียงแตกฮือดังขึ้นอีกระลอกกับคำพูดของธวัช

                “เป็นไปได้ยังไง นั่นพวกเราสร้างมากับมือนะ” ใครคนหนึ่งแย้ง

                “ใครสร้าง? ใครกันเป็นคนออกแบบเรียกมาพบผมหน่อยสิ” เสียงทั้งห้องเงียบไป

                “ก็ท่านประธานเอาแบบมาให้พวกเราดูตั้งแต่ก่อนส่งผลิตแล้วนี่ ตอนนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายเฟรนซีจะทำอะไร”

                คราวนี้รุตออกมายืนข้างธวัช “ก็เพราะพวกเราซุ่มทำกันเพื่อต้องการสร้างความแปลกใจให้ลูกค้าทีเดียวไงครับ แต่ก็มีหมาที่ไหนไม่รู้ไปแอบคาบมาได้”

                “เฮ้ย มึงว่าใคร” ธนาว่ากระชากเสียงพลางกระโจนเข้าใส่รุต แต่ถูกธวัชดันออกไปเสียก่อน ทว่าเขาก็ไม่ยอมถูกกล่าวหาเช่นนั้น “แน่จริงเอาหลักฐานมาสิ ว่าไงล่ะ คนอย่างฉันไม่ลดตัวไปขโมยของใครหรอก ทันนายกำลังโดนไอ้พวกนี้หลอกนะ”

                เพชรงามเดินนิ่งๆ เอาโทรศัพท์ที่เคยอัดเสียงธนาไว้จ่อใส่ไมโครโฟนให้ได้ยินหลักฐานกันทั้งห้อง

‘เอาล่ะ ผมเสียเวลากับคนไร้ค่าอย่างพวกคุณนานเกินไปแล้ว ขอตัวนะ แล้วพวกคุณอย่าได้เสนอหน้ามาที่นี่อีก!’

                ‘เดี๋ยว ใครคือหนอนบ่อนไส้ มันเป็นใคร’

                 ‘คนใกล้ตัวคุณนั่นแหละ ใกล้มากจนนึกไม่ถึง ใครๆ ก็อยากยิ่งใหญ่ อุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ต้องกำจัดมันทิ้งให้หมด และตอนนี้คนคนนั้นกำลังยิ่งใหญ่ ผมจะเตือนคุณด้วยความหวังดีนะ เลิกหวังว่าจะกลับไปอยู่ที่เดิมได้แล้ว ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่เหลือให้เธอสาวถึงตัวฉันได้หรอกสาวสวย’

                “ไม่จริง มันไม่จริงนะครับ นังนี่มันใส่ร้ายผม มันตัดต่อคลิปเสียงนี้เอง แก!” ธนารีบปฏิเสธลุกลี้ลุกลน เข้าไปบีบต้นแขนเพชรงามแต่ก็ธวัชกระชากออกแล้วเสยหมัดเข้าให้อีกครั้ง

                “อย่าแตะต้องคนของฉันแม้แต่ปลายเล็บ” เขาประกาศก้อง

                “คนของนาย?!” ธนาทวนคำก่อนแสยะยิ้ม “นายคงโดนผู้หญิงคนนี้หลอกแล้วล่ะ นายอย่าปล่อยให้ความรักมาบังตาจนทำให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวสิ เพชรงามกำลังหลอกให้นายรักแล้วเป่าหูแกอยู่นะ”

                “หยุดทำตัวเป็นคนดีสักทีเหอะ รำคาญ” ความเคียดแค้นเกลียดชังของธวัชเพิ่มขึ้นเป็นทวี “ฉันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ถึงไม่มีใครมาบอกฉันก็รู้ว่านาฬิกานี่ไม่ใช่ของแซนด์ไทม์ มันก็จริงอยู่ว่านาฬิกาเหมือนกันทั่วโลก แต่นั่นมันสำหรับคนที่คิดแค่ว่าขอให้มันดูเวลาได้ก็พอ พ่อสอนฉันตั้งแต่เด็กว่าให้สังเกตลายเส้นบางอย่างที่บ่งบอกความเป็นแซนด์ไทม์ซึ่งมันมีอยู่ทุกรุ่นที่เราออกแบบเอง เมื่อคืนฉันโทรหาทีมดีไซด์ของบริษัทเค้าบอกไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนาฬิกาอันนี้เลย ถ้าแกได้คลุกคลีและสนใจกับนาฬิกามากกว่านี้ แกก็คงไม่โง่แบบนี้”

                ธนาเงียบไป มิใช่ยอมแพ้แต่กำลังคิดหาทางสู้

                “อย่าทำเป็นอวดเก่งเลยไอ้ทัน แกไม่เคยสนใจใยดีธุรกิจของพ่ออยู่แล้ว แล้วแกจะรู้ดีกว่าฉันได้ยังไง ฉันต่างหากที่รู้ทุกอย่างและก็รู้ด้วยว่าฉันไม่ได้ขโมยของใครมา”

                “พูดกับคนเจ้าเล่ห์อย่างแกนี่คันไม้คันมือฉิบหาย” ธวัชพยายามข่มใจ “ฉันมีสองทางให้แกเลือก หนึ่งหน้าด้านแบบนี้ต่อไป สองยอมสารภาพทุกอย่าง แลกกับ...”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา