Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) ติสท์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               ชายหนุ่มในเสื้อฮุดสีดำตัวใหญ่ใหม่เอี่ยมกำลังยืนมองหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างเบาบางผ่านหน้าต่างกระจกของห้องพักผู้ป่วย มันให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเบาบางเหลือเกิน

                “โม่” เสียงแผ่วเบาดังจากบนเตียง เจ้าของชื่อละสายตาจากสายหิมะเดินไปหาผู้เรียกที่ยิ้มละมุนมาให้เขา “ชอบไหมลูก”

                มานะพยักหน้ารับ แม้จะเข้าใจกันมากขึ้นหากเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจเขายังไม่สนิทใจพอกับความรักของคนเป็นแม่

                “เหนื่อยไหมลูก นอนเฝ้าแม่มาหลายคืน กลับไปนอนกับน้องไหม” มานะหันไปมองน้องชายที่นั่งเล่นรถถังอยู่บนพื้น ไอ้เด็กบ้านี่ชอบพูดอะไรก็ไม่รู้ อยู่กับมันเขาคงประสาทกินแน่ๆ

                “ผมอยากอยู่กับแม่ฮะ”

                “คิดถึงเมืองไทยไหมลูก” สกาวถามเสียงอ่อนโยน

                “คิดถึง... คนที่นั่นมากกว่า”

                “มีแฟนหรือยังล่ะเรา โตเป็นหนุ่มแล้วนะ”

                “ยังครับ”

                “แล้วพ่อเป็นยังไงบ้าง”

                “ตอนแรกพ่อกินแต่เหล้าทุกวัน หลังๆ มานี่ต้องป่วยหนักจนต้องเข้าโรงบาล เลิกเหล้าได้สุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ”

                “พ่อรักโม่มากนะ ตอนแม่เลิกกับพ่อ แม่ตั้งใจจะเอาโม่มาเลี้ยงด้วย แต่พ่อเขาไม่ยอม เขาอ้อนวอนขอร้องแม่ว่าขอให้ลูกอยู่กับเขา เขาสัญญาว่าจะดูแลโม่เอง เขาดูแลลูกดีอย่างที่รับปากใช่ไหม”

                มานะนิ่งไปครู่ ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเขากับพ่อ ‘ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่งเล่น ดูสิเลือดไหลเป็นทางเลย ถ้ายังดื้อชอบเจ็บตัวแบบนี้อีก ฉันนี่แหละจะตีแกซ้ำ’ช่วงเวลามากมายที่มีทั้งขื่นขมและสุขสม “ครับ พ่อดูแลผมดีทุกอย่าง”

                จัสตินเดินมากระตุกชายเสื้อมานะ “I’m going to a bakery. Do you want anything?”

                มานะมองน้องชายเลิ่กลั่ก กัดปากแน่น พลางหันไปหามารดาที่ส่งยิ้มให้น้อยๆ “น้องจะไปร้านขนม ลูกอยากได้อะไรไหม”

                “อ๋อ” พยักหน้าเข้าใจ ก่อนหันไปทางน้องชายตัวเล็ก ชี้ที่ปากตัวเองแล้วตอบเน้นๆ อย่างภูมิใจในทักษะการพูดภาษาอังกฤษของตัวเอง “โนว”

                จัสตินกระพริบตาปริบๆ แล้ววิ่งไปหาแดดดี้

 

                ทันทีที่เลิกงานเพชรงามกับรุตก็สบตากันแล้วเดินไปยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของธวัช รุตเป็นฝ่ายเอ่ยบอกชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านาย

                “พวกเรากลับก่อนนะครับ จะไปทำธุระต่อ”

                “ธุระอะไร” ธวัชเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วถาม

                “ธุระส่วนตัว” รุตตอบบ่ายเบี่ยง

                “ไปด้วยได้ไหม” เขาหันไปมองเพชรงามด้วยสายตาอ้อนๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาธวัชชอบส่งสายตามาก่อกวนหญิงสาวตลอดเวลา จนเธอรู้สึกรำคาญและหงุดหงิดทุกครั้งที่สบกับดวงตาคู่นั้น

                “ไม่ได้” บอกเสียงเรียบ เฉียบขาด

“งั้นเดี๋ยวไปส่งนะ ส่งฟรีไม่มีค่าบริการ”

“ไม่ต้องค่ะ ขอตัวนะ” แล้วเดินออกไปทันทีพร้อมการ์ดส่วนตัว

                “ไปไหนกัน?” สถาปนิกหนุ่มพึมพำเบาๆ กับตัวเอง อยากรู้ก็ตามไปสิ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วตามคนทั้งสองไป

                ร่างสูงที่นั่งหลังพวงมาลัยทอดสายตาผ่านแว่นกันแดดสีดำไปมองหนุ่มสาวที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ แล้วเดินเข้าไปในบริษัทแห่งหนึ่ง เขาเหยียบคันเร่งตามเข้าไปช้าๆ เห็นคนทั้งสองหยุดยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่ตรงมุมนานสองนานก่อนจะพากันเข้าไปข้างใน ธวัชจอดรถใต้ร่มไม้ยังไม่ทันดับเครื่องสายตาของเขาก็เหลือบไปมองเห็นป้ายอิเล็กทรอนิกส์บนตัวตึกเสียก่อน พลันริมฝีปากหนาได้รูปก็เหยียดออก แม้สายตาจะยังสอดส่ายหาเพื่อนร่วมบ้านทั้งสองแต่เท้ากับมือก็บังคับรถให้ออกไปจากบริเวณนั้นทันที ยอมให้ตัวเองจมอยู่กับความอยากรู้ดีกว่าต้องมาเหยียบถิ่นของคนอย่างมัน!

                ผู้บุกรุกอาศัยจังหวะที่พนักงานกำลังชุลมุนกันออกจากออฟฟิศแทรกตัวผ่านผู้คนเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มที่เคยสำรวจเส้นทางไว้ก่อนแล้วกดลิฟต์ไปที่ชั้นห้าทันที เมื่อประตูเปิดออกรุตก็ย่องนำไปยังห้องริมสุดซึ่งเป็นห้องควบคุมไฟฟ้า มือหนากดเปิดเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ เพชรงามยกมือปิดหูเพราะเสียงหวอที่กังวานไปทั่ว ครู่หนึ่งรุตก็สับคัทเอาท์ไฟฟ้าลงทำให้ไฟดับไปทั้งตึกโดยพลัน คนทั้งสองยิ้มพอใจเมื่อรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นข้างล่าง ดวงตาเรียวสวยมองประตูห้องเป้าหมายที่เปิดออกอย่างจดจ่อ ร่างสูงของธนาเดินงุ่มง่ามออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกระคนยุ่งเหยิงเกินทน เขาเดินลงบันไดหนีไฟไปแล้วพร้อมกับหญิงสาวที่คาดว่าคงเป็นเลขาฯ ของเขา

                เพชรงามกวักมือเรียกรุตให้ตามเข้าไปในห้องธนา หญิงสาวปิดประตูโดยไม่ลืมที่จะล็อกมันไว้ ทั้งสองถลาไปอยู่บริเวณโต๊ะทำงานใหญ่ก่อนจะแยกกันปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้ เพชรงามค้นหาโทรศัพท์มือถือของธนาแต่ก็ไม่พบ  ขณะที่กำลังถอดใจอยู่นั้นเองเสียงครืดๆ จากการสั่นของอะไรสักอย่างก็ดังขึ้น หญิงสาวตามเสียงนั้นไปก็พบมามันมาจากมือถือที่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือ มือเรียวคว้ามาถือไว้ ใจเธอกระตุกวูบยามมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อคนที่โทรเข้ามา ‘ฐา’

                มือสั่นๆ กดรับก่อนยกขึ้นแนบหู ในใจภาวนาของอย่าให้เป็นพี่ฐา... พี่ชายของเธอ “เฮ้ยเทน คืนนี้ไปดื่มกันไหม ที่นายบอกว่าไดมอนด์มันมาหานั่นยังไงวะ หวังว่าคงไม่กลับมาเป็นมารชีวิตฉันแล้วนะ อุตสาห์กำจัดมันไปได้แล้ว.... ว่าไงวะ ได้ยินไหมเนี่ย เฮ้ย ตอบสิไอ้เทน....”

เพชรงามกดวางพลางกัดปากแน่น ใช่พี่ชายของเธอจริงๆ ด้วย

                รุตเปิดโน้ตบุ๊คโน้ตด้วยมือสั่นเทา คลิกเมาส์เข้าหน้าเว็บอีเมลล์อย่างรวดเร็ว โชคดีที่ธนาล็อกอินอีเมลล์ค้างไว้ เขาเลื่อนหาชื่ออีเมลล์ที่ถูกส่งมามากที่สุด      

Thanit1234@hotmail.com  คือชื่อของคนปลายทางที่ส่งเมลล์มากที่สุด

“เจ้านายๆ นี่ใช่อีเมลล์ของคุณฐาหรือเปล่าครับ” เขารีบเรียกหญิงสาวที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นให้มาที่หน้าจอ เธอเดินมาดูชื่อเมลล์ที่การ์ดชี้

“ไม่แน่ใจ” เธอเลี่ยงที่จะตอบคำว่าใช่ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องมากกว่า อีเมลล์ของพี่ชายเธอคือชื่อของพวกเขาเองแล้วตามด้วยเลขที่แสดงว่าเขามีพี่น้องแค่สี่คน

รุตเสียบแฟลชไดร์แล้วทำการโหลดข้อมูลใส่ทันทีซึ่งก็กินเวลาไปนานแสนนาน จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้ามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพร้อมเสียงพยายามเปิดประตู

“เมษาคุณล็อกประตูทำไมเนี่ย” เสียงโหดเหี้ยมที่ดังเล็ดลอดเข้ามาบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงนั้นหัวเสียเต็มที

“เมจำได้ว่าไม่ได้ล็อกนะคะ” เสียงแหลมปฏิเสธละล่ำละลัก

“ประตูคงล็อกตัวเองได้หรอกนะ เอ้า ยืนเซ่อทำไมล่ะเปิดสิ!”

โจรทั้งสองเหงื่อแตกพลั่กใจเต้นระส่ำอย่างรุนแรง รุตรีบกระชากแฟลชไดร์ออกก่อนกดปิดเครื่องแล้วพับหน้าจอลง

ธนาผลักประตูเข้ามาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด เท้าที่ย่างเร็วๆ ชะงักกึกหรี่ตามองข้าวของบนโต๊ะที่กระจัดกระจายผิดปกติ ร่างสูงถลาไปที่โต๊ะทำงานสำรวจดูเข้าของว่ามีอะไรหายไปบ้างซึ่งทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ มือหนาเปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมา “เมษาคุณล้างอีเมลล์ให้ผมหรือยัง”

“เอ่อ ยะ ยังค่ะ” ก้มหน้ารับผิด

ธนาเปิดเข้าอีเมลล์ตัวเองแล้วก็สบถคำหยาบออกมาเมื่อพบว่าเพิ่งมีการใช้งานเมื่อครู่นี้เอง เขาดันโน้ตบุ๊คออกห่างอย่างไม่กลัวว่ามันจะพังเลยสักนิด เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาต่อสายหาใครบางคน

“ฉันว่าน้องสาวแกมันออกฤทธิ์แล้วว่ะ... มีคนบุกรุกห้องฉัน... แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วสิ... คิดจะตัดแกต้องตัดให้ขาด... ได้เลยเพื่อน.... แค่นี้นะมีสายเข้า” ธนากดรับอีกสายด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ครับ ขอโทษด้วยครับ... พอดีมีเรื่องนิดหน่อย ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”

ว่าจบเขาก็คว้าเสื้อสูทและกระเป๋าออกจากห้องไปทันทีพร้อมเลขาฯ สาว

รุตลุกออกมาจากมุมตู้วางหนังสือก่อนจะเดินไปเปิดประตูตู้ที่หญิงสาวซ่อนตัวเอาไว้ เพชรงามยังคงนั่งกอดเข่าไม่ไหวติง แววตาของเธอเศร้าสร้อยจนน่าสงสาร คงเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์ของธนาเมื่อสักครู่ที่ทำให้เพชรงามซึมไป แม้จะไม่ได้ยินเสียงคนปลายสายแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนร้ายที่หักหลังเธอคือพี่ชายคนใดคนหนึ่งของเธอเอง หรืออาจจะร่วมมือกันทั้งสี่คนเลยก็ได้ รุตถอดหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

 

อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางลงบนโต๊ะอาหารในเวลาเกือบสองทุ่มแล้วกว่าผู้อาศัยทั้งสองจะกลับมา ซึ่งเจ้าบ้านก็ยังยืนกรานจะรอทานพร้อมกัน พอเห็นสภาพเพชรงามและรุตที่เปียกโชกด้วยเหงื่อทั้งยังมีหน้าตาอ่อยเปลี้ยเพลียแรงอีกต่างหากธวัชจึงบอกให้คนทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นกันกันแล้วค่อยมาทานข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ธวัชจึงเริ่มมื้อค่ำด้วยการตักแกงจืดตำลึงหมูสับใส่ในจานให้เพชรงาม

                “แกงนี่เหมือนคุณเลย” เขาว่ายิ้มๆ เพชรงามหรี่ตามอง “จืด”

                หญิงสาวตักข้าวใส่ปาก น้อมรับคำนั้น

                “เขาว่ากันว่าอะไรที่ต่างกันมากๆ มารวมกัน มันจะเป็นอะไรที่แมชท์กันมาก เช่น ผู้หญิงจืดๆ แบบคุณกับผู้ชายแซ่บซ่าแบบผม” ชายหนุ่มว่าออกตัวอย่างโจ่งแจ้ง หญิงสาวนิ่งก้มหน้าทานข้าวอย่างไม่สนใจ “คุณเห็นด้วยไหมไดมอนด์”

                “ไม่ค่ะ” ตอบฉับพลันอย่างชัดเจน

                “โธ่ เป็นไรเนี่ย” มุ่นคิ้วมองใบหน้านิ่งเฉยที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเพชรงาม “ไปไหนกันมาเหรอ บอกได้ไหม”

                “ไปธุระ” เมื่อเจ้านายเงียบไปนานรุตจึงชิงตอบเอง

                “ก็รู้แล้ว แต่ธุระอะไร ที่ไหน ยังไง” ธวัชเซ้าซี้

                “ตอนเด็กคุณฝันอยากเป็นนักข่าวแน่เลยใช่ไหมครับ” รุตย้อนถามกึ่งประชดประชัน

                “ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ไม่อยากรู้ก็ได้” เจ้าของบ้านเบ้ปาก เหลือบมองหญิงสาวที่สีหน้าซีดลงทันตาเห็น “ไม่สบายเหรอไดมอนด์ ป้าบัวช่วยหายาให้ด้วยนะครับ”

                “ค่ะ” แม่บ้านรับคำ

 

                สีไม้ที่ถูกเหลาจนแหลมวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะทำงาน ดวงตาเรียวสวยมองสีเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนเลือกหยิบสีน้ำเงินขึ้นมาระบายผมของปีศาจในกระดาษ ปีศาจร้ายหน้าตาน่าเกลียดถูกส่งมาจากความรู้สึกที่เจ็บช้ำ ผิดหวัง และเสียใจของคนวาด ปีศาจที่เธอคิดว่ามันมีแค่ในการ์ตูนแต่วันนี้เธอรู้แล้วว่ามันมีอยู่ในชีวิตจริงด้วย

                “วาดสวยนี่” เพชรงามหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทุ้มด้านหลัง ธวัชคลี่ยิ้มหวานพลางวางแก้วนมไว้บนโต๊ะ ข้างภาพวาดที่หญิงสาวกำลังลงสี

                “ทำไมไม่เคาะประตู” เอ่ยถามเชิงตำหนิ

                “บ้านผม” เขาตอบง่ายๆ ชะโงกหน้าไปดูภาพวาดของหญิงสาว “เคยได้ยินว่าคนติสท์มักจะวาดรูปสวย มิน่าโลกส่วนตัวถึงได้สู๊งสูง”

                “จะติสท์หรือไม่ติสท์ ถ้าตั้งใจวาดมันก็สวย” เธอมันไม่เคยคิดว่ารูปที่วาดจะสวยหรือไม่สวย แค่มันออกมาตรงกับความรู้สึกในตอนนั้นได้ก็พอใจแล้ว

                “คุณวาดรูปเหมือนได้ไหม” เอ่ยถามขณะเดินไปลากเก้าอี้ไม้มานั่งข้างๆ หญิงสาว

                “ได้แต่ไม่เหมือน”

                ธวัชทำหน้างงกับคำพูดคลุมเครือนั้น “วาดรูปผมหน่อยสิ”

                “ยังไม่มีอารมณ์”

                “เดี๋ยวช่วยปลุกให้ไหมล่ะ” รอยยิ้มขบขันเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆ ทันทีที่เพชรงามส่งค้อนวงใหญ่มาให้ “ล้อเล่น แต่คุณต้องวาดรูปผมจริงๆ นะ”

                “ฉันวาดไม่เหมือน อยากได้คุณก็ไปให้ศิลปินจริงๆ วาดให้สิ”

                “ผมไม่ได้อยากได้รูปเหมือนแต่ผมอยากได้รูปที่คุณวาด” จู่ๆ สีที่เพชรงามกำลังระบายอยู่ก็หักกึกกลางคัน ธวัชหยิบกบเหลาแล้วยื่นให้ เขารู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช๊อตตอนที่ปลายนิ้วโดนกัน หญิงสาวเหลาสีเสร็จก็ระบายต่อราวไม่รู้สึกอะไร สร้างความผิดหวังเบาๆ ให้ชายหนุ่ม คนที่รู้สึกก่อนก็ต้องเจ็บก่อน

                ไร้เสียงสนทนาใดๆ ระหว่างคนทั้งสอง ธวัชนั่งมองหญิงสาวระบายสีไปเรื่อยๆ อย่างไม่นึกเบื่อ

 

                “ป้าบัวมีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ” เสียงใสแบบทุ้มนิดๆ เอ่ยถามแม่บ้านยามเดินเข้ามาในครัวตอนรุ่งเช้า ป้าบัวเงยหน้าขึ้นจากการตอกไข่ใส่ชามแล้วคลี่ยิ้มให้หญิงสาวท่าทางดีมีมารยาทที่เดินเข้ามายืนข้างๆ

                “จ้า งั้นช่วยหั่นต้นหอมผักชีหน่อยนะ” ป้าบัวบุ้ยปากไปทางผักสีเขียวที่นอนนิ่งอยู่บนเขียงเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพาร่างท้วมของตัวเองเดินไปเปิดเตาแก๊ส ตั้งกระทะใส่น้ำมันเตรียมทอดไข่“ป้าขอบคุณหนูมากนะ”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูมาอาศัยมีอะไรที่พอช่วยได้หนูก็อยากช่วย” ร่างบางเดินไปล้างมือ

                “ไม่ใช่เรื่องนี้ ป้าขอบคุณเรื่องที่หนูมาทำให้คุณทันเปลี่ยนไปต่างหาก”

                “คะ?”

                “ก่อนที่หนูจะมาอยู่ที่นี่คุณทันแกกลับบ้านไม่เป็นเวลาหรอก ฉุนเฉียวง่าย พูดก็พูดไม่เต็มคำ ยิ้มก็ยิ้มไม่เต็มที่ ไม่เคยหัวเราะแบบเต็มเสียงเลย แต่พอมีหนูมาอยู่ด้วย คุณทันดีขึ้นมากเลยนะ” แม่บ้านว่าอย่างปลื้มปริ่ม

                “เค้าก็ดูเป็นคนดีนะคะ”

                “ความจริงคุณทันเป็นคนดีนะ เป็นคนน่ารักมาก แต่ปัญหาหลายๆ อย่างทำให้เขาดูเป็นคนก้าวร้าวหน่อยๆ”

                “คุณทันเหรอคะก้าวร้าว หนูเห็นเขาอารมณ์ดีตลอดเวลาเลย”

                “คงเป็นเพราะช่วงนี้มีหนูอยู่ด้วยละมั้ง” ป้าบัวหัวเราะเบาๆ อย่างมีเลศนัย

                เพชรงามหยุดยืนตรงหน้าเขียง หยิบมีดเล่มบางขึ้นมา มืออีกข้างจัดทรงต้นหอมให้เป็นระเบียบ ทว่าทันใดนั้นเองมือหนาก็ทาบทับลงมาบนมือเธอข้างที่จับด้ามมีดอยู่ ธวัชยืนทำหน้านิ่งแบบกวนๆ อยู่ข้างๆ หญิงสาว

                ต่างฝ่ายต่างยื้อแย่งมีดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมกัน

                “อย่าค่ะ เดี๋ยวมีดบาด” หลังจากพลิกด้านไข่เจียวสีสวยเสร็จป้าบัวก็หันมาดูเหตุการณ์น่าหวาดเสียวของหนุ่มสาวทั้งสอง

                “ผมทำเอง” เสียงทุ้มเป็นฝ่ายเอ่ยพลางละมือออก

                เพชรงามพยักหน้า ส่งมีดให้ชายหนุ่มแล้วขยับตัวออกห่างให้ชายหนุ่มเข้าไปยืนแทนที่ ดวงตาเรียวใสจับจ้องดูมีดที่หั่นต้นหอมไปทีละน้อยอย่างเป็นจังหวะด้วยความสนใจ จึงไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่เธอเช่นกัน เจ้าของดวงตาคู่นั้นคือคนที่กำลังซอยต้นหอมอยู่ โดยไม่ทันระวังมีดคมก็เฉือนไปโดนนิ้วเข้าให้

                “โอ๊ย!” ธวัชสะบัดมือตัวเองข้างที่มีเลือดซึมอยู่

                “ว้าย! คุณทัน” ป้าบัวปิดเตาแก๊สก่อนกระวีกระวาดเข้ามาหาเจ้านาย จับมือเขาไปเป่าอย่างห่วงใย “ทำอะไรไม่ระวังเลยนะคะ เลือดตกยางออกจนได้ดูสิ”

                “นิดเดียวเองครับ จิ๊บจ๊อย” คนที่เพิ่งร้องเสียงหลงเมื่อครู่ยักคิ้วบอก ผละมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของมืออวบอูมแล้วยกนิ้วเข้าปากดูดเลือดตัวเอง แต่ทว่าก็โดนเจ้าของมืออวบอูมปรามไว้

                “หยุดเลยนะคะ” ตีแขนเขาเบาๆ “เป็นผีดูดเลือดหรือไง สกปรกออก ไปค่ะไปทำแผล”

                “ไม่เป็นไรครับ” ยิ้มกกว้างพลางหันไปมองคนที่ยืนกอดอกหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อนใดๆ “ทำแผลให้ด้วย”

                สำลีสีขาวสะอาดที่ชุ่มแอลกอฮอล์ค่อยๆ เช็ดลงไปบนแผลเล็กๆ แต่ยาวและลึกพอสมควรอย่างเบามือ เมื่อแผลสะอาดแล้วจึงป้ายสำลีชุบทิงเจอร์ลงไป พลันเธอก็คิดถึงตอนที่ทำแผลให้มานะขึ้นมา ตอนนั้นหมอนั่นร้องจนโลกแทบแตก ทั้งที่เธอก็เบามืออย่างสุดความสามารถแล้ว

                “แอบยิ้มเหรอ” ธวัชเอ่ยขึ้นมาขณะมองหญิงสาวบรรจงปิดพลาสเตอร์ให้ เพชรงามเหลือบมองเขานิดก่อนเก็บอุปกรณ์เข้ากล่อง “ก็แน่สิ ได้แต๊ะอั๋งจับมือผมอยู่ตั้งนาน”

                ธวัชยิ้มกริ่มพลางใช้มืออีกข้างลูบไล้มือข้างที่มีแผลอยู่

                “ฉันไม่คิดอยากจับหรอกค่ะ” ว่าอย่างเย็นชา

                “คุณนี่เป็นผู้หญิงประเภทไหนกัน ผู้ชายหล่อนั่งให้ท่าอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่คิดจะแลเลย” น้ำเสียงติดอาการน้อยใจ “ตอนนี้ผมชอบคุณขึ้นอีกหน่อยแล้วนะ รู้ไว้ด้วย”

                คนฟังทำหูทวนลม ถึงเขาจะชอบเธอมากขึ้นหรือน้อยลงยังไงเธอก็ไม่ชอบเขาอยู่ดี

                “มีงานอะไรให้ฉันทำอีกไหมคะ” ถามเปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งบริษัทของธวัชหยุดทุกคนเลยไม่ต้องไปทำงาน

                “กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ตัดหญ้า ล้างรถ รดน้ำต้นไม้”

                “ให้ฉันทำหมดนี่เลย”

                “ไม่ต้องทำสักอย่าง” พูดง่ายๆ พลางยิ้มกว้างอีกแล้ว “แค่นั่งเฉยๆ ให้ผมมองก็พอแล้ว”

                “ฉันไปช่วยป้าบัวต่อดีกว่า” เพชรงามผุดตัวลุกขึ้นพร้อมกับที่คนข้างๆ ที่ลุกขึ้นเช่นกัน

                “ไปด้วย”

                “อยู่เฉยๆ เหอะ” น้ำเสียงมีแววหงุดหงิดและออกคำสั่ง

                “จะไปๆ” ทำท่างอแง กระดิกนิ้วลงบนไหล่มนของคนร่างบาง

                เพชรงามทำสีหน้าปลงตก “ทำตัวเป็นเด็กคิดว่าน่ารักรึไง”

                “แล้วน่ารักไหมล่ะ” ชายหนุ่มฉีกยิ้มยิงฟันให้แบบที่คิดว่าตัวเองน่ารักที่สุด โดยไม่รู้เลยว่ามันทำให้อีกฝ่ายเห็นหน้าใบหน้าของคนอีกคนมาซ้อนทับเขาอยู่ “ว่าไง น่ารักป่ะ”

                “น่าชัง” เพชรงามกระพริบตาถี่ๆ ไล่อาการเบลอของตัวเองแล้วตอบไป

                “เกลียดแบบไหนได้แบบนั้นนะ” กอดอกพลางหรี่ตาลงอย่างคนเจ้าเล่ห์ “อยากได้ผมอ่ะดิ”

                “ฉันไม่เคยบอกว่าเกลียดคุณ” บอกนิ่งๆ แล้วลุกเดินจากไป

                “แต่ผมน่ะเกลียดคุณมากเลย เกลียดๆๆ เกลียดที่สุดในโลกเลย” ตะโกนบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา