My wonder girl มหัศจรรย์เรียกรัก

9.3

เขียนโดย ฤดูฝนพรำ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.34 น.

  7 ตอน
  7 วิจารณ์
  15.70K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) การเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

อคิราภ์ลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยอารมณ์บูดบึ้งก่อนจะควักเงินจ่ายค่ารถไป ซึ่งคนขับรถหนุ่มก็รับเงินอย่างรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติหญิงสาวจะยิ้มแย้มเสมอ แต่วันนี้กลับหน้าบึ้งตั้งแต่เดินมาขึ้นรถ จนกระทั้งลงรถแล้วก็ยังมีสีหน้าคงเดิม

          “น้อง วันนี้เป็นอะไร ทำไมไม่ยิ้มเลย ยิ้มหน่อยสิ หน้าสวยๆนั่นจะสวยขึ้นกว่าเดิม” เขาพยายามแซวยั่วยุให้หญิงสาวยิ้มตามที่คำแนะนำ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล

          “บ่าย 3 มารับหน้าหมู่บ้านนะพี่” เธอสั่งพร้อมกับเดินไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน คนขับรถหนุ่มจึงขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างงุนงงกับสถานการณ์ไร้การตอบโต้จากเธอ

          เหตุที่เธอเป็นอย่างนี้ เพราะว่าก่อนหน้าที่เธอจะมาบ้านของโภคิน เธอก็ได้แวะไปรับโทรศัพท์ที่ร้านซ่อม ปรากฏว่า ทางร้านคิดค่าซ้อมไปสองพันบาท ซึ่งสำหรับเธอแล้ว มันแพงมาก แพงถึงขนาดซื้อเครื่องใหม่ได้เลย โดยทางร้านก็ได้อ้างว่าเปลี่ยนอะไหล่ที่สำคัญหลายตัวเลยต้องคิดแพงเป็นธรรมดา

          จะไม่จ่ายก็ไม่ได้ โทรศัพท์เครื่องนี้มีข้อมูลหลายอย่างที่จำเป็นมาก ถ้าไม่มีเธอก็จะติดต่อใครไม่ได้เลย จึงจำใจต้องจ่ายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

          เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้านจนลืมเอะใจไปว่าประตูมันไม่ได้ล็อก มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่รู้สึกว่าตนถูกมองอยู่ โดยชายร่างสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลำลอง ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยไรหนวดเครา ผมสั้นสีเข้มก็ยุ่งเหยิง คล้ายกับคนพึ่งตื่นนอน แต่เธอรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะพึ่งตื่น

          อคิราภ์กลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก พอๆกับระบบทางเดินหายใจที่เหมือนจะติดขัด หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา แต่ที่เธอเห็นว่าเขาดูเป็นอย่างไร ก็เพราะการเผลอกวาดตาไปมองใส่ครู่เดียวเท่านั้น

          “อ้อ...คุณอยู่บ้านหรอกหรอคะ...ฉันคิดว่าคุณออกไปแล้วเสียอีก” เธอพูดพร้อมกับแสร้งมองไปทางอื่นจนเจอกับหนังสือเล่มหน้าของตัวเองบนโต๊ะกาแฟตัวเล็กหน้าโซฟา

          โชคดีของเธอที่มันมาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่นอกบ้านอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรกถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

          “เธอมาสาย...นั่นคือสิ่งที่เธอทำเสมอเหรอ” โภคินเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงข้างหน้าของหญิงสาว โดยที่เธอไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่

          “ฉันไปเอาโทรศัพท์ที่ร้านซ่อมมาค่ะ ก็เลยช้าไปนิดหน่อย” เธอเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือของชายหนุ่มก็เห็นว่า ขณะนี้ปาไป 10 โมงกว่าแล้ว ซึ่งถือว่าสายมากๆ เธอไม่เคยสายถึงสองชั่วโมงเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ

          “ขอตัวไปทำความสะอาดก่อนนะคะ”

          หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบไปเพื่อที่จะเดินไปอีกทาง แต่เขาก็เข้ามาขวางไม่ยอมให้เธอไป พร้อมกับยื่นแก้วกาแฟเซรามิคสีขาวให้ เธอรับมาอย่างมึนงง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปสบตาเป็นเชิงถาม และก็ต้องผงะเพราะจากระยะนี้เธอกับเขาอยู่ใกล้กันมากจนแทบจะ....

          ดวงตาโตคมสีเข้มสบตาเธอนิ่งอย่างไร้ความรู้สึก ผิดกับเธอที่ตอนนี้หัวใจเต้นรัวเป็นกลองจนจะวายตายอยู่แล้ว เธอจึงถอยหนีไปหนึ่งก้าวให้มันดูเหมาะสมระหว่างผู้ช่วยกับเจ้านาย

          “ไปชงน้ำขิงมา” เขาสั่งก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานข้างห้องครัว

          “ให้ตายสิ” เธอพูดพร้อมกับผ่อนลมหายใจเพื่อสงบสติอันเตลิดเปิดเปิง จากนั้นจึงค่อยๆเดินไปที่มุมห้องครัว ก็เห็นว่าเขานั่งพิมพ์อะไรสักอย่างตรงคอมพิวเตอร์

          เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกมองจึงหันมามองเธอตอบ เธอจึงรีบเมินหน้านี้พลางเปิดตู้เก็บของหากล่องขิงชงสำเร็จรูป ซึ่งเธอไม่รู้ว่า เขาเก็บไว้ตรงตู้ไหนกันแน่

          “ตู้ที่สามถัดจากซ้าย กล่องสีเหลือง” หญิงสาวเปิดตู้ที่สามตามคำบอกเล่าของโภคินและก็เจอกล่องสีเหลือง จึงรีบหยิบออกมาเปิดชงใส่แก้ว

          เมื่อโคนผงขิงจนกระทั่งละลายไปกับน้ำร้อนแล้ว จึงนำจานรองแก้วมารองพร้อมกับยกเข้าไปเสริฟชายหนุ่มในห้องทำงาน โดยเอาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของเขา

          เธอคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้นมีเพียงน้ำขิงอย่างเดียว แต่มันไม่ใช่แค่นี้ “ขนมกินคู่ล่ะ”

          “ห๊า” อคิราภ์เผลอร้องออกไปเต็มเสียง ก่อนจะถามกลับ “ต้องมีด้วยเหรอคะ”

          โภคินยืดตัวขึ้น เชิดหน้ามองเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดแจ้ง เธอจึงยิ้มเก้อและตอบเสียงหวานอย่างเอาใจ “จะไปหามาให้เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”

          กี่ตู้ต่อกี่ตู้เก็บของ มันก็ไม่มีขนมที่จะสามารถกินคู่กับน้ำขิงได้เลย ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรนอกจากน้ำเปล่า นี่ก็ผ่านมาตั้งสองมื้อแล้ว เขายังไม่ได้ออกไปจ่ายตลาดซื้อของมาไว้เลยหรือยังไงกัน

          “คุณโภคินคะ ในบ้านยังไม่มีของกินเลยนะคะ แล้วฉันจะเอาของกินคู่กับน้ำขิงมาจากไหน”

          “เธอก็ไปซื้อสิ” บางทีเธออาจหูแว่วฟังผิดไปก็ได้ เขาคงไม่ได้สั่งเธอย่างนั้นหรอก

          “อะไรนะคะ”

          เขาเงยหน้าขึ้นจากคีย์บอร์ดแป้นพิมพ์อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาหงุดหงิดที่เธอกวนใจเขาในเวลาทำงาน ก็มันช่วยไม่ได้ เขาเรื่องมากเอง เธอไม่ผิดเสียหน่อย “ฉันบอกว่า เธอก็ไปซื้อของมาสิ ไปจ่ายตลาดน่ะ ฟังรู้เรื่องรึยัง หรือต้องให้อินเตอร์พูดเป็นอังกฤษเธอถึงจะรู้เรื่อง”

          ‘บอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องแดกดันกันเลย’ อคิราภ์เถียงเขาในใจ เริ่มรู้สึกอึกอัดที่พูดเถียงว่าเขาไม่ได้

          “แต่ฉันไม่มีรถนะคะ จะให้ฉันไปยังไงได้”

          “เธอจะเดินไปก็ได้ ฉันไม่ได้ห้าม แต่เธอต้องกลับมาให้ทันก่อนที่น้ำขิงแก้วนี้จะเย็น แค่นั้น!”

 

 

ในเมื่อเขาไม่ได้ให้ทางเลือกกับเธอเลย จึงช่วยไม่ได้ที่เธอจะต้องโทรไปหาแพรวรินทร์ พร้อมกับทำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจให้แพรวรินทร์สงสาร จนต้องรีบไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อให้ อคิราภ์ก็เลยไม่ต้องออกไปซื้อของเอง แต่เธอก็แสร้งว่าออกมาจริงโดยการหลบมาอยู่แถวรั้วของบ้านข้างๆ

          ไม่กี่อึดใจ รถมินิคูเปอร์สีดำล้วนก็แล่นเข้ามาจอดตรงบริเวณที่เธอนัดหมายกับแพรวรินทร์ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนรุ่นน้องพร้อมกับกอดอย่างดีใจกับความช่วยเหลืออันมากล้นในครั้งนี้

          “พี่ราโอเคแน่นะ” แพรวรินทร์ถามทันทีหลังจากรับอ้อมกอดของอคิราภ์ ซึ่งดูได้จากสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของหญิงสาว“พี่คินใจร้ายกับพี่ราขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

          อคิราภ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เหนื่อย แต่นี่มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เธอสังหรณ์ในว่า โภคินจะต้องหาเรื่องมาให้เธอทำอีกแน่ และแต่ละงานก็จะเรื่องเยอะมากความขึ้น เรื่อยๆกว่าเดิม

          “คงเพราะพี่คินรู้ว่าพี่ราเป็นเพื่อนของแพรวรึเปล่า ถึงได้แกล้งพี่ราแบบนี้ บ้ารึเปล่าจะให้เดินไปซื้อของ เดี๋ยวแพรวจะจัดการพี่คินให้ละกัน” สีหน้าของแพรวรินทร์บ่งบอกว่าโกรธแทนอคิราภ์มาก แม้ว่าคู่กรณีจะเป็นถึงพี่ชายแท้ๆของตนก็ตาม

          “อย่าเลยแพรว เพราะถ้าเขารู้ว่าพี่มาฟ้องแพรว มีหวังได้มาเล่นงานพี่แน่” เพื่อนรุ่นน้องพยักหน้าเหมือนคิดได้ ก่อนจะขอตัวกลับก่อนเพราะมีเรียนต่อ อคิราภ์จึงต้องกลับไปเผชิญโชคอีกครั้งในบ้านหลังน้อยของหมาใหญ่หน้าโหดอย่างโภคิน

          โภคินแปลกใจที่เธอกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ พร้อมกับคุกกี้ในจานเล็กวางลงคู่กับน้ำขิงที่ยังอุ่นอยู่นิดหน่อย เท่าที่ดู เขายังไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่น้อย คงรอเครื่องเคียงจริงๆ อดทนใช่ย่อย

          แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงาน เสียงอันทรงอิทธิพลก็ร้องเรียกรั้งเธอเอาไว้อีกครั้ง

          “เดี๋ยว”

          อคิราภ์หันกลับไปยิ้มอย่างฝืนๆบวกกับเสียงกรีดร้องในใจ เขาจะหาเรื่องอะไรมาให้เธอทำอีก

          “วันนี้แดดดี ซักผ้าให้ฉันด้วย” แอบโล่งใจที่เขาไม่ได้ใช้ให้ออกไปไหนอีก แต่ใช้เธอไปซักผ้า ซึ่งมันเป็นงานที่ง่ายมากสำหรับเธอ “ซักมือนะ เพราะเสื้อผ้าฉันไปลุยโคลนในป่ามา สกปรกมาก”

          ทั้งที่มีเครื่องซักผ้าอยู่ แต่ดันใช้เธอมาซักมือจนหลังขดหลังแข็งอยู่ในห้องน้ำ มีกะละมังแต่ไม่มีเก้าอี้เล็กให้นั่ง เธอเลยตั้งนั่งยองๆจนเหน็บกินขาเจ็บไปหมด

          เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยโคลนอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้จริงๆ จนเธอแอบคิดว่าเขาไปเดินป่าหรือไปทำนามากันแน่ ถึงได้เปื้อนขนาดนี้ แปรงซักผ้าก็ไม่มี ต้องใช้มือซัก ขยี้ผ้าจนมือแทบหัก ไม่ได้การแล้ว เธอต้องจดรายการสิ่งของที่ขาดไปในบ้านนี้ เพื่ออนาคตในการทำงานที่สบายขึ้นของตัวเธอเอง

          “เฮ้ย!” จู่ๆ โภคินก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ และเจอเข้ากับอคิราภ์ที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ เธอเองก็ตกใจไม่ต่างกัน “มาซักอะไรตรงนี้เนี่ย ไม่มีที่อื่นให้ซักหรอ”

          “ก็ในห้องน้ำมีก๊อกน้ำ ฉันก็เลยซักในนี้ค่ะ” เธอตอบเขาไปตามจริง

          “ข้างนอกทางหลังบ้านก็มีก๊อกน้ำ ไปซักตรงนู้นสิ ทำไมเธอถึงได้บื้อขนาดนี้”

          เธออ้าปากเกือบจะเถียงกลับแต่ก็ต้องหยุดไว้ เพราะนึกถึงบัญญัติ 8 ประการข้อที่ 7และข้อ 8 ห้ามเถียงเขา แม้เขาจะด่าว่าเธอยังไง เธอก็ต้องยิ้มรับ

          “นี่เธอกินยาลืมเขย่าขวดเหรอ ถึงได้ยิ้มอยู่ได้ ฉันกำลังด่าว่าเธออยู่นะ” หญิงสาวก็ยังคงยิ้มสู้ไม่ยอมหุบยิ้ม หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นสิ่งที่กวนประสาทเขาสุดๆ

          “คุณโภคินยังอยากทำธุระในห้องน้ำอยู่รึเปล่าคะ ฉันจะได้ออกไปรอข้างนอก” เธอลุกขึ้นพร้อมกับล้างมือเอาคราบผงซักฟอกออก จากนั้นก็ยิ้มส่งท้ายให้เขาและเดินออกจากห้องน้ำไป

 

 

วันนี้ชายหนุ่มต้องบ้าเป็นประสาทตายแน่ๆ หมดกันแผนจะเอาคืนที่คิดเอาไว้ อุตส่าห์จะแกล้งให้ลำบากออกไปซื้อของ คาดว่า เธอจะต้องกลับมาด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจนทนไม่ไหวต้องขอลาออก แต่เจ้าหล่อนยิ้มร่าเริง แถมยังมีการแอบเอามือมาอังแก้วน้ำขิงของเขาว่ายังร้อนอยู่รึเปล่า ด้วยความหมั่นไส้ เขาจึงใช้ให้เธอไปซักผ้าที่สุดแสนจะสกปรก

          เขาอ้างว่าเสื้อผ้าที่ใช้เธอซักนั้น เขาได้ใส่ไปเดินป่ามา นั่นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะเขาลงทุนเอาไปชุบโคลนแถบหลังบ้านมาด้วยให้ได้สกปรกมากกว่าเดิม เพื่อที่เธอจะซักลำบากขึ้น จึงได้เอาเก้าอี้เล็กไปซ่อนพร้อมกับแปรงซักผ้า แต่ไม่คิดว่า เธอจะซื่อบื้อไปซักผ้าในห้องน้ำ ทั้งที่ก๊อกน้ำด้านนอกบ้านก็มี

          และในตอนนี้ เสียงสลัดผ้าก็ดังเสียเหลือเกิน ดังจนเขาไม่มีสมาธิพอจะเขียนคอลัมน์ต่อแล้ว เพราะยายผู้ช่วยพลังช้างดันมาตากผ้าทางด้านนอกซึ่งตรงกับห้องทำงานที่เขานั่งอยู่พอดี

          หน้าต่างบานไม่ใหญ่มากของห้องทำงานเผยให้เห็นสัดส่วนของหลังบ้านนิดหน่อย เป็นทิวทัศน์เวลาที่เขาต้องการพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือว่าคิดอะไรไม่ออก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เขาเห็นยายผู้ช่วยพลังช้างกำลังสลัดผ้าเต็มๆเต็มตา ซึ่งมันกวนใจเขาเหลือเกินจะบรรยาย

          เหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเขา เพราะเธอตากผ้าเสร็จแล้ว และกำลังเปิดประตูทางหลังบ้านเข้ามาข้างใน

          “เธอ” เขาเรียกสั้นๆ แต่น้ำเสียงน้ำบ่งบอกการมีอำนาจที่เหนือกว่า

          คนโดนเรียกเดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับตะกร้าเปล่า ใบหน้าสวยมีเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะทำให้ชายหนุ่มถึงกับลืมสิ่งที่จะพูดไปครู่หนึ่ง

          “มีอะไรคะ” เธอถามเขากลับด้วยน้ำเสียงออกจะรำคาญ แต่ก็ยังฉีกยิ้มเสแสร้งใส่เขา

          เขารวบรวมความคิดกลับมาจนคิดออกว่าเขาจะสั่งอะไร “ข้าวเที่ยงของฉันล่ะ”

          อคิราภ์รีบก้มมองนาฬิกาบนข้อมือของตนแล้วพบว่า นี่แค่ 11 โมงครึ่ง ยังไม่ทันจะถึงเวลาเที่ยงอย่างที่ชายหนุ่มบอกเลย วูบหนึ่งเขาคิดว่าเธอจะเถียงเขากลับ แต่ไม่ เธอยังคงยิ้มแล้วตอบรับคำสั่งของเขาดั่งเดิม

          “ฉันพึ่งซื้อของเข้ามา คุณโภคินอยากทานอะไรดีคะ ฉันจะได้ทำให้”

          “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำตรงหน้าทางเข้าหมู่บ้าน” ได้ผล เธอค้างไปแล้ว คงหน้าแตกที่เขาไม่กินอาหารฝีมือของเธอ แถมเธอยังต้องเดินไปซื้ออีกต่างหาก “ทำไม แค่นี้เดินไปซื้อให้ไม่ได้เหรอ”

          เธอถอนหายใจพร้อมกับหันไปมองแสงแดดจากทางนอกหน้าต่าง วันนี้แดดร้อนมาก น่าเสียดาย ที่ผิวสวยๆของเจ้าหล่อนจะต้องโดนมันเผาจนเกรียมเพราะแผนแกล้งเอาคืนจากเขา

          “ได้สิคะ” แม้ว่าเธอจะมีการพูดจาไพเราะและฉีกยิ้มทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่เขาก็แอบสังเกตว่าเธอนั้น ดูเหนื่อยล้าและฝืนมันเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น เพราะเธอคงรู้แน่ ว่าเขาต้องการให้เธอเหนื่อยจริงๆ

          และจะยิ่งเหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเมื่อเดินไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าทางเข้าหมู่บ้านแล้วร้านดันปิด ซึ่งโภคินเองก็รู้ด้วยว่าร้านปิดวันนี้ แต่เพื่อความสะใจส่วนตัว เขาจึงใช้เธอไปอย่างนั้น

          ในขณะเดียวกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่า ตัวหญิงสาวเองก็มีแผนคิดหลบหนีเช่นกัน เพราะคิดว่า ยังไงวันนี้ก็คงทำงานที่โภคินสั่งอีกต่อไม่ไหว จึงแสร้งว่าจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ตามความต้องการของชายหนุ่ม

          เมื่อคิดถึงสีหน้าการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อของชายหนุ่ม ว่าเมื่อไหร่เธอจะโผล่ไปพร้อมกับอาหารที่เขาต้องการเสียที เธอก็แอบสะใจมิใช่น้อย ที่เขาจะต้องรอเก้อ แถมตอนนี้เธอก็เดินออกมาจากหมู่บ้านเรียบร้อย และยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวที่โภคินสั่งให้ตนมาซื้อ

          “ปิดทุกวันอาทิตย์” และวันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ นั่นทำให้เธอตัวชาจนแทบจะเข่าทรุดกับพื้นถนน เขาแกล้งเธอ ได้อย่างเจ็บปวด หลอกให้เธอเดินออกมาซื้อทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าร้านปิด

          “ไอ้บ้าโภคิน!!!” อคิราภ์ร้องลั่นออกมาอย่างต้องการระบายความอึดอัดอั้นที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่เช้า

          แต่แล้ว เธอก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น ว่าแทนที่เธอจะหนีกลับอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก เธอจะต้องหาทางเอาคืนคนอย่างเขาก่อนให้หายเจ็บแค้นนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา