ภาพรักร้อยใจ

-

เขียนโดย Annakan

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.23 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,670 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 00.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอน 1-6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 1

        “น้องดาวครับ” วาโยเรียกคนรักที่เดินห่างออกไป ดุจดาวกำลังเอากิ่งไม้วาดรูปทรายบนหาด

        “อย่าเพิ่งมาค่ะ พี่โยหยุดอยู่ตรงนั้นก่อน” คนตัวเล็กร้องห้ามแล้วโบกกิ่งไม้ในมือไปมา

        “มาได้แล้วค่ะ” เวลาผ่านไปหลายนาทีดุจดาวจึงเรียกพี่โยของเธอ

        “ดาวรักพี่โยนะคะ” หญิงสาวยิ้มแป้นอวดรูปหัวใจดวงโตที่มีชื่อของเธอกับเขาอยู่ข้างใน

        “พี่ก็รักน้องดาวครับ” วาโยรวบเอวคนรักไปแนบชิดร่างตัวเองแล้วจูบไปที่เรือนผมหอมๆ ดุจดาวได้แต่ยิ้มและเขินกับการชิดใกล้เพราะเธอกับเขายังไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันทั้งที่คบกันมาเป็นสิบปี พี่โยยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะไม่ล่วงเกินทำให้เธอเสียหายจนกว่าจะแต่งงาน

        “อือ” เสียงครางในลำคอของชายหนุ่มหลุดออกมาพร้อมๆ กับมือที่เลื่อนไปกุมขมับด้วยความเคยชิน พักหลังๆ วาโยมักจะปวดหัวเป็นระยะๆ เพราะการงานมันเครียดเหลือเกินไหนจะความหมองหม่นกับเหตุการณ์ที่อาม่าจากไปอีก

        “กลับเข้าบ้านพักดีกว่าค่ะ พี่โยหน้าซีดมากเลย” ดุจดาวประคองคนรักเดินช้าๆ เธอเองก็ไม่น่าติดเล่นเป็นเด็กๆ เลย แดดร้อนปานนี้พี่โยคงไม่ชอบแน่ๆ และเธอเองก็รู้ว่าเขาเครียดเรื่องงานร่างกายก็เลยไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก หัวหน้าของพี่โยคอยเขม่นตลอดเพราะผลงานดี การจะก้าวหน้าในอาชีพได้บางครั้งแค่เก่งมันไม่เพียงพอแต่ต้องเป็นคนโปรดของหัวหน้าด้วยไม่อย่างนั้นงานเด่นๆ โปรเจค ดังๆ ก็จะโดนหัวหน้าจอมเห็นแก่ตัวชุบมือเปิบไปส่งให้ผู้บริหารแบบหน้าตาเฉย

        “ขอโทษนะน้องดาวเลยหมดสนุกเลย ขอพี่ไปนั่งพักแปบเดียวนะแล้วค่อยกลับมาเล่นต่อ”

        “ไว้เย็นๆ ค่อยมาดีกว่าค่ะ ตอนนี้ดาวอยากดื่มน้ำหวานให้ชื่นใจแล้วก็อ่านหนังสือค่ะ”

        “ได้ครับ” วาโยรู้ว่าดุจดาวเป็นห่วงตนเอง ผ่านมาเป็นสิบปีมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตที่เขาดีใจเหลือเกินที่ประสบความสำเร็จคือทำใจกล้าเข้าไปขอคบเธอ น้องดาวเป็นคนรักที่ดีพร้อมทุกอย่างระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่วัยมัธยมจนมาถึงช่วงชีวิตของการทำงานเพื่อสร้างตัวไม่ได้ทำให้ความรักของเขากับน้องดาวลดน้อยลงสักนิดมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน

        “นั่งรอตรงนี้นะครับเดี๋ยวพี่ไปหยิบน้ำให้”

        “ดาวขอไปนั่งชิงช้าได้ไหมคะ”

        “ได้ครับแต่ใส่หมวกนะถึงอยู่ในร่มไอร้อนมันก็ยังมีอยู่” วาโยหยิบหมวกที่วางไว้ตรงเก้าอี้หน้าบ้านมาสวมให้คนรัก

        “ติ๊ดๆๆๆ” เสียงมือถือของวาโยดังขึ้น

        “เรื่องงาน” ชายหนุ่มทำหน้าเจื่อนเพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำงานระหว่างที่มาพักผ่อนด้วยกันแต่มันคงด่วนจริงๆ คนที่ออฟฟิศถึงโทรมา

        “รับเถอะค่ะมันคงสำคัญจริงๆ ดาวไปรอที่ชิงช้านะคะ” สาวน้อยหอมแก้มคนรักแล้ววิ่งไปที่ต้นไม้ต้นใหญ่ บนกิ่งอันแข็งแรงของมันมีชิงช้าผูกไว้หนึ่งอัน

        ดุจดาวไกวชิงช้าด้วยความเบิกบานเพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวช่างสดใสเหลือเกิน ทะเลตรงหน้าสวยจนหาคำบรรยายไม่ได้หาดทรายขาวละเอียดยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการไว้เสียอีกและชิงช้าไม้ตัวนี้เหมือนกับที่เธอเคยเห็นในเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเลย ถ้าจะบอกว่าทิวทัศน์ตรงหน้าสวยเหมือนภาพถ่ายก็คงไม่ผิดนัก

        “นานไปแล้วนะพี่โย” ผ่านไปเกือบสิบนาทีวาโยก็ยังไม่มา ดุจดาวจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก

        “พี่โย อยู่ไหนคะเนี่ย” หญิงสาวมองไปรอบๆ บ้านหลังเล็กก็ไม่เจอใคร จึงเดินเข้าไปในห้องนอนเผื่อพี่โยจะเผลองีบแบบไม่รู้ตัว

        “พี่โย ฮือๆๆ” วาโยนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นในมือของเขามีแหวนเพชรหนึ่งวง ดุจดาวเรียกรถพยาบาลทันทีแต่คนรักของเธอก็จากไปแบบไม่มีวันกลับหลังจากทีมแพทย์พยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ

        ดุจดาวยืนตัวชาไร้ความรู้สึกอยู่อย่างนั้นเธอไม่อยากเชื่อเลยว่าคนรักจากไปแล้วจริงๆ พี่โยไม่อยู่แล้วเขาทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง…ต่อจากนี้เธอจะมีชีวิตต่อไปยังไง

 

ตอนที่ 2

        ชีวิตที่โปรยไปด้วยกลีบกุหลาบเป็นอันพังทลายในพริบตา หน้าที่การงานของดุจดาวและวาโยกำลังไปได้ดีวาโยเองก็เป็นพนักงานระดับสูงส่วนดุจดาวถึงจะเป็นน้องใหม่แต่ผลงานและความมุ่งมั่นก็เข้าตาผู้บริหารเพียงแต่ตอนนี้คนที่ยังอยู่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เลยแค่ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันมันก็ยากเย็นแสนสาหัส

        ดุจดาวไม่เคยรักใครนอกจากวาโยชีวิตตั้งแต่วัยแรกสาวจนมาถึงวัยทำงานของเธอมีแค่เพียงวาโยเท่านั้นชายหนุ่มเองก็ไม่เคยรักใครเช่นกัน ทั้งสองเป็นคู่แท้ของกันและกันแต่โชคชะตากลับไม่ได้กำหนดให้คนสองคนเคียงคู่กันไปจนวันสุดท้ายของชีวิต หญิงสาวที่ไม่เคยพบความสูญเสียไม่รู้ว่าจะก้าวข้ามความทุกข์ทรมานนี้ไปได้ยังไงร้อยคำเห็นใจพันความห่วงใยจากผู้คนรอบข้างก็ไม่ช่วยให้เธอดีขึ้น

        “หนูดาว กินอะไรบ้างสิลูก” เพ็ญนภานำข้าวต้มร้อนๆ มาให้ลูกสาวถึงเตียงนอน หัวอกคนเป็นแม่ทุกข์กว่าลูกเป็นร้อยเป็นพันเท่าที่เห็นลูกเป็นแบบนี้ ลูกดาวซูบผอมลงเรื่อยๆ จนเธอกลัวว่าลูกจะหยุดหายใจไปเองไม่มีคำพูดไหนที่ช่วยให้ลูกสาวของเธอหายจากความหมองหม่นและเธอรู้ว่าจะไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวของลูกเอง

        “หนูไม่อยากกินเลยค่ะ” ดุจดาวตอบแล้วเบือนหน้าไปที่ผนังห้อง ความรู้สึกที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้คือเหมือนลมหายใจมันขาดห้วงไม่ว่าจะหายใจเข้าไปลึกเพียงใดก็เหมือนมันเข้าไปแค่ครึ่งเดียว เธอเหนื่อยแม้จะนอนอยู่บนเตียงแทบจะทั้งวันก็ตาม เธอไม่อยากรับรู้ความเป็นไปของโลกใบนี้อีกเลย ใครจะอยู่ใครจะตายแม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่มีความสำคัญอะไรกับเธออีกแล้วเพราะตั้งแต่พี่โยจากไปจิตวิญญาณของเธอก็หลุดลอยไปเช่นกัน…ที่เหลืออยู่ตอนนี้มันก็แค่ร่างกายที่รอวันตายเท่านั้นเอง

        “ดาว ลูก อย่าทำแบบนี้กับแม่หนูคือชีวิตของแม่นะ” เพ็ญนภานั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วกอดลูกสาวไว้เมื่ออ้อมแขนสัมผัสกับตัวเล็กๆ คนเป็นแม่ก็ร่ำไห้ด้วยความรวดร้าวใจ เธอไม่เจออะไรเลยนอกจากซี่โครงแข็งๆ พวงแก้มที่เคยชมพูฝาดสดใสก็ซูบตอบอย่างน่าเวทนา ดวงตาที่เคยเปล่งประกายก็เลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด

        “ดาว ฮือๆๆ อย่าทิ้งแม่ไป” เพ็ญนภาไม่รู้จะทำยังไง เธอทั้งพูด ทั้งกล่อม ตะคอกก็ทำมาแล้วแต่ลูกดาวก็ไม่ดีขึ้นความหวังเดียวของเธอตอนนี้คือพาลูกไปพบจิตแพทย์

        “แม่ขา ดาวยังอยู่” ดุจดาวบีบมือของมารดาเบาๆ คำว่าอย่าทิ้งแม่ไปเมื่อสักครู่กระทบโสตประสาทและมันทำให้รู้ว่าแม่ทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ เดือนกว่าแล้วที่เธอไม่ออกจากห้องนอนเลยไม่ว่าพ่อหรือแม่จะพูดจะปลอบยังไงเธอก็ไม่รับฟังเธอคิดแค่ว่าเธอทุกข์อยู่เพียงลำพัง ขนาดอลิสาเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็กเธอยังไม่เหลียวแล

        “ดาว ลูก ฮือๆๆ” เพ็ญนภายิ่งสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อลูกยอมพูดด้วย เธอรู้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจจะทรมานให้ปวดร้าวเป็นเธอเองก็คงจะทำใจไม่ได้ถ้าคนที่รักสุดหัวใจมาด่วนจากไปเสียก่อนแต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

        “หนูขอโทษ” ดุจดาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเพราะลำคอแทบไม่ได้เปล่งคำใดๆ ออกมาเลย

        “ค่อยๆ ลูก” เพ็ญนภาเอาหมอนตั้งขึ้นเพราะลูกจะได้นั่งพิง

        “หนูขอโทษ” ดุจดาวโผเข้าหาอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของมารดา เธอรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอและมันคงจะปวดร้าวเหลือกำลังที่ลูกสาวเพียงคนเดียวมานอนง่อยเปลี้ยแบบนี้

        “ไม่เป็นไรลูกแม่เข้าใจ” เพ็ญนภาทั้งจูบทั้งหอมลูกไปทั่วใบหน้า อย่างน้อยลูกก็ได้สติแล้ว

        “แม่ป้อนข้าวนะ หนูกินหน่อยได้ไหม” มารดาเอ่ยถามลูกสาว น้ำเสียงและแววตาของเธออ้อนวอนแบบสุดหัวใจเพราะถ้าลูกยังไม่ยอมกินข้าวกินปลาแบบนี้คงได้หามเข้าโลงแทนโรงพยาบาลแน่ๆ

        “ค่ะแม่” ดุจดาวเอ่ยแล้วอ้าปากช้าๆ รสข้าวต้มค่อยๆ แผ่ซ่านไปบนลิ้นและความอบอุ่นก็กระจายไปทั้งตัวมันไม่ได้เกิดจากอุณหภูมิของสิ่งที่เข้าปากแต่มันเกิดจากความรักของมารดาที่ถ่ายทอดมาถึงหัวใจของเธอ

        “เก่งมากหนูดาวของแม่ กินอีกคำนะลูกนะ” มารดาป้อนข้าวต้มอุ่นๆ ให้ลูกสาวพร้อมดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เธอได้แต่ขอบคุณเทวดาฟ้าดินที่เมตตาพาลูกให้กลับมาสู่อ้อมอก

        “ขอโทษค่ะแม่ หนูอิ่มแล้วจริงๆ” ดุจดาวบอกเมื่อข้าวต้มพร่องไปครึ่งชาม

        “เท่านี้ก็ดีแล้วลูกดื่มน้ำนะ วันนี้แม่ต้มน้ำมะตูมด้วย”

        “ขอบคุณนะคะ” เด็กสาววางแก้วน้ำลงแล้วมองมารดาที่ใบหน้าอิดโรยไม่ต่างกัน เธอรู้ดีว่าเธอคือหัวใจของพ่อกับแม่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีสักครั้งที่เธอจะทำให้ท่านต้องทุกข์ใจเธอเป็นหนูดาวที่เรียบร้อยและแสนดีของท่านมาเสมอแต่สิ่งที่เผชิญอยู่ตอนนี้มันไม่ง่ายที่จะก้าวข้ามไป

        “ดาว ไปหาหมอได้ไหมลูก ทำเพื่อแม่สักครั้งได้ไหมตั้งแต่เล็กจนโต แม่ แม่ ไม่เคยขออะไรหนูเลย” เพ็ญนภาจับมือบางๆ ของลูกมากุมไว้ เธอคุยกับลูกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะน้ำตามันคอยจะไหลอยู่ทุกนาที

        “พ่อกับแม่จะไปกับหนูทุกครั้ง หนูไม่ต้องกลัวนะหนูแค่ป่วยก็ต้องได้รับการรักษา” เธอกลัวว่าลูกจะคิดว่าตัวเองเป็นบ้าเพราะพ่อกับแม่จะจับไปหาหมอ การไปพบจิตแพทย์คนทั่วๆ ไปก็พบได้ไม่จำเป็นต้องมีอาการทางประสาทอย่างเดียวเท่านั้น

        “มันจะเจ็บไหมคะแม่” เสียงเล็กๆ เอ่ยถามด้วยความหวาดกลัวเพราะเธอกลัวเข็มฉีดยามากๆ

        “ไม่ลูก ไม่เจ็บเลย แม่ถามแล้วเราแค่ไปคุยกับคุณหมอแล้วรับยามากินหนูไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลด้วยแค่ไปตามที่เขานัดไว้” เพ็ญนภาอธิบายให้ลูกฟัง

        “พ่อกับแม่ต้องไปกับหนูนะคะ อย่าทิ้งหนูไปคนเดียวนะ”

        “แม่สัญญาลูก ดาวก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อกับแม่ไม่เคยผิดคำพูดกับหนูสักครั้ง”

        “รู้ค่ะแม่”

        “คนดีของแม่ เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะลูกเราสามคนจะไม่ปล่อยมือจากกันอีกตกลงไหม”

        “ค่ะแม่ หนูจะพยายาม” ร่างบางๆ ที่ยังคงเหนื่อยล้าไม่หายเอนลงช้าๆ ไปที่ตักอันแสนอบอุ่น มือนิ่มๆ ที่ปกป้องเธอมาทั้งชีวิตลูบอยู่ที่ผมดำขลับแค่ไม่กี่นาทีดุจดาวก็หลับสนิท

ตอนที่ 3

        “รออะไรหรอคะ” หลังจากเกลี้ยกล่อมพูดคุยและสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกันอยู่หลายครั้ง ในที่สุดดุจดาวก็ยอมไปพบจิตแพทย์ วันนี้คุณแม่ขึ้นมาช่วยแต่งตัวแล้วก็ถักเปียเหมือนตอนที่เธอยังอยู่ชั้นประถมไม่มีผิด ในใจลึกๆ เธอก็ละอายและเสียใจที่กลายเป็นภาระของพ่อกับแม่ จากการประเมินเบื้องต้นเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและถ้าไม่รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาการก็จะยิ่งแย่ลง

        “รอหนูสาไงจ๊ะ” เพ็ญนภาเตือนความจำและนี่ก็คือหนึ่งในผลข้างเคียงจากโรคที่ลูกสาวของเธอเป็น ลูกดาวหลงๆ ลืมๆ จำอะไรต่ออะไรสับสนไปหมด ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยอยากแต่ก็ยังดีกว่าเดือนแรกๆ ที่ลูกไม่เตะต้องอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่าและเธอต้องคอยป้อนให้

        “จริงด้วยหนูลืมอีกแล้ว” ดุจดาวบอกแล้วทำหน้าเศร้า เธอลืมได้ยังไงทั้งที่เมื่อคืนยังดีใจอยู่เลยว่าจะได้เจอเพื่อนรัก

        “หนูป่วยอยู่ มันเป็นอาการข้างเคียงพอหายแล้วหนูก็จะกลับมาเป็นปกติจ้ะ” มารดาให้กำลังใจลูกสาว

        “ไหนพ่อดูสิ ใครผูกโบว์ให้นะสวยเชียว” สุทัศน์จับเปียยาวๆ ของลูกมาชื่นชมแล้วรอคำตอบเขาอยากทดสอบว่าลูกจะจำได้ไหม

        “คุณพ่อผูกให้แต่คุณแม่เป็นคนถักค่ะ”

        “เก่งมากเลยหนูดาวของพ่อ” สุทัศน์จูบหน้าผากแก้วตาดวงใจแล้วกอดไว้อย่างแสนรัก การสูญเสียวาโยไม่ได้นำพาความเสียใจมาให้ลูกดาวเท่านั้นแต่มันทำให้ครอบครัวของเขาเสียหลักกันไปหมดเพราะวาโยก็เหมือนลูกชายคนนึง เขาเห็นเด็กหนุ่มมาตั้งแต่สมัยเด๋อๆ หัวเกรียนจนเข้ามหาลัยแล้วก็กลายเป็นผู้ชายเต็มตัวอีกไม่กี่ปีวาโยก็จะกลายเป็นผู้นำครอบครัวที่สมบูรณ์แต่ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน

        “นั่น หนูสามาแล้วมั้งลูก” มีเสียงรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน เพ็ญนภาจึงบอกให้ลูกออกไปรับเพื่อน

        “วะ หวัด…” อลิสาจะกล่าวทักทายเพื่อนแบบเป็นทางการเพราะเธอเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าดุจดาวจะอยู่ในอารมณ์ไหนแต่เธอก็ไม่ได้พูดเพราะโดนรัดซะแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

        “ขอโทษนะแก” ดุจดาวกล่าวพร้อมสะอื้นออกมาเบาๆ ก็เธอเองที่ใจดำและแสนร้ายกาจ อลิสามาหาตั้งหลายครั้งเธอก็ไม่พูดด้วยแถมยังตวาดไล่เพื่อนเหมือนหมูเหมือนหมาอีกตอนที่อลิสามาหาครั้งสุดท้าย

        “ฉันไม่ได้โกรธแกนะแต่ที่ไม่มาหาเพราะอยากให้แกสบายใจที่สุด” หลังจากโดนไล่ครั้งนั้นอลิสาก็ไม่มาหาดุจดาวอีกแต่เธอก็ยังถามไถ่อาการของเพื่อนรักจากพ่อกับแม่ไม่เว้นแม้สักวัน

        “ขอบใจนะสา ฉัน ฉันจะพยายาม แกต้องเป็นกำลังใจให้ฉันนะ”

        “แน่นอนอยู่แล้วจ้ะคุณหนูดุจดาว” อลิสาบอกเพื่อนแล้วจูงมือกันไปหาผู้ใหญ่ที่รออยู่ในบ้าน

 

ตอนที่ 4

        ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่ดุจดาวเข้ารับการรักษาโรคซึมเศร้าจากแพทย์อย่างใกล้ชิด หญิงสาวยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเพราะจิตใจของเธอได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักบวกกับตัวเธอเองที่ยังปล่อยให้เหตุการณ์ในอดีตคอยตามหลอกหลอนอยู่ไม่มีวันไหนเลยที่ดุจดาวไม่คิดถึงคนรักวาโยยังคงอยู่ในความฝันและยามตื่นของดุจดาว คนส่วนมากต่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เธอเป็นแต่โชคดีที่พ่อแม่ของเธอเข้าใจ

        “หนูดาววันนี้ช่วยแม่ปั้นทอดมันได้ไหมจ๊ะ” โชคดีอีกอย่างคือเพ็ญนภาเป็นแม่บ้านเธอจึงมีเวลาดูแลลูกได้เต็มที่และโชคดีอีกชั้นคือหน้าที่การงานของสุทัศน์มั่นคงพอจะเลี้ยงดูคนสามคนให้อยู่รอดได้

        “ได้ค่ะแม่” ร่างบางๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปทางห้องครัว เธอเองก็ไม่อยากเป็นภาระของพ่อกับแม่แบบนี้แต่การทำใจให้ยอมรับความจริงว่าคนรักจากไปแล้วมันยากเหลือเกิน

        ตั้งแต่พี่โยไม่อยู่เธอก็เลิกสนใจสิ่งรอบตัวอะไรที่เคยชอบทำก็เลิกชอบไปโดยสิ้นเชิงไม่ต้องรวมถึงหน้าที่การงานที่กำลังรุ่งโรจน์ที่เธอทิ้งมันไปแบบไม่รู้สึกเสียดายสักนิดเพราะเธอไม่เหลือความรู้สึกอะไรแล้วนอกจากความทุกข์ทรมานแค่การหายใจเข้าออกมันยังยากสำหรับเธอเลย

        เธอกำลังต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ในใจอยู่ในหัวและความฝันอย่างทุลักทุเลเพราะโรคซึมเศร้าทำให้เธอเป็นแบบนี้บางครั้งแค่ท้องฟ้าอึมคลึมเธอก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรทั้งที่คนทั่วไปเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ไม่น่าจะเอามาเป็นอารมณ์ใดๆ แต่สำหรับคนป่วยแบบเธอแค่สิ่งเร้าเล็กๆ หรือเหตุการณ์ธรรมดาของคนอื่นกลับสร้างความทรมานให้เธออย่างแสนสาหัส

        “ปั้นเป็นรูปดาวดีไหมลูก” เพ็ญนภาชวนลูกสาวคุยเพราะลูกจะได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ บ้าง ไม่ใช่แค่นั่งหรือนอนเท่านั้น

        “ค่ะแม่” เด็กสาวตอบแล้วปั้นทอดมันให้เป็นรูปดาวห้าแฉกตามที่มารดาต้องการ เธอไม่รำคาญเลยในเวลาปกติที่แม่สั่งให้ทำนั่นทำนี่เธอเข้าใจว่าแม่หวังดีอยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไวๆ แต่ถ้าแม่มาสั่งตอนที่อารมณ์แกว่งหรืออาการป่วยกำเริบเธอก็ออกท่าทางไม่พอใจกระฟัดกระเฟียดไปจนถึงชักดิ้นชักงอที่พื้นด้วยความขัดใจ มันไม่ง่ายที่คนนอกจะเข้าใจสิ่งที่เธอเป็นแต่พ่อกับแม่ของเธอเข้าใจและรับมือกันมันได้อย่างเข้มแข็งที่สุด

        หลายๆ ครั้งในหนึ่งวันอารมณ์ของเธอจะขึ้นๆ ลงๆ เดาอะไรไม่ได้สักอย่างและมันก็มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่เหมือนกลับไปเป็นตัวเองช่วงนั้นเธอมักจะมองมารดาแล้วสงสารจับหัวใจมันต้องใช้ความอดทนปริมาณแค่ไหนกันในการดูแลเธอ อาการป่วยของเธอมันสมกับที่คุณหมอบอกจริงๆ คือต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในครอบครัว ความเอาใจใส่ความรักและการเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นถึงจะทำให้เธอหายจากโรคนั้นได้

        “โอ้โห ดาวทอดมันสวยจริงๆ หนูดาวของแม่ก็สวยเหมือนกัน” เพ็ญนภารับทอดมันไปชื่นชมแล้วหอมแก้มลูกสาวเพื่อให้รางวัล สองแม่ลูกสบตากันแล้วก็ยิ้มออกมาทั้งคู่เข้าใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด เพ็ญนภายินดีจะอุทิศทั้งชีวิตให้ลูกสาวขอแค่เธอกลับมาเป็นปกติจะช้าจะนานแค่ไหนเธอก็จะรอ ดุจดาวเองก็กำลังตะเกียกตะกายออกจากหลุมดำที่คอยแต่จะฉุดเธอลงไปที่เก่าและเธอรู้ว่าพ่อกับแม่จะพาเธอผ่านพ้นมันไปได้อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้แต่เธอก็จะกลับไปเป็นดุจดาวคนเก่าในสักวัน

 

ตอนที่ 5

5 ปีต่อมา

          ณ บ้านพักริมหาดที่หัวหินชายหนุ่มคนนึงกำลังนั่งชื่นชมบรรยากาศที่แสนสดใสตรงหน้าด้วยความสบายใจเพราะเขาตกงานอยู่สามเดือนเต็มและเพิ่งได้งานใหม่ อีกไม่กี่วันก็จะไปเริ่มทำวันแรกเขาจึงถือโอกาสช่วงที่ยังว่างมาเที่ยวพักผ่อนเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเอง

        อาทิตย์ ไพเราะดีหรือซัน คือชายหนุ่มวัยเลขสองปลายๆ และแน่นอนว่าตอนเด็กๆ เขาโดนล้อเรื่องนามสกุลบ่อยมากใครเห็นใครได้ยินก็ขำไปซะทุกคนรวมถึงตัวเขาเองด้วยและมันเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ไม่รู้เพราะเขาก็รักเสียงดนตรีเอามากๆ เรียกว่ากินนอนกับเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่ามาตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ผิดนัก

        ซันชอบตีกลองแต่เขารักการดีดกีตาร์เพราะมันพกพาง่ายแถมสาวๆ ก็ชอบมากกว่า จริงอยู่ว่ามือกลองก็เท่แต่มันจะเท่แค่ในวงแคบเพราะใครจะบ้าหอบกลองทั้งชุดไปไหนมาไหนไม่เหมือนกีตาร์ที่พาไปไหนก็ได้อยากดีดเมื่อไหร่ก็แค่ไปหยิบมาตั้งสายตั้งท่าให้ดูชิคๆ แล้วเริ่มบรรเลง

        แน่นอนอยู่แล้วที่การมาพักผ่อนครั้งนี้ชายหนุ่มต้องนำกีตาร์คู่ใจมาด้วยและมือของเขาก็กำลังเกากีตาร์เคล้าไปกับเสียงของสายลมและเกลียวคลื่นแต่สายตากลับมองไปที่ชิงช้าอันใหญ่ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ตรงหน้าหาด

        “ห้าปีแล้วสินะ” ชายหนุ่มวางกีตาร์ลงแล้วเดินไปหยิบรูปถ่ายใบนึง เมื่อห้าปีก่อนเขามาพักที่โรงแรมนี้แถมเป็นบ้านหลังเดียวกันด้วยแต่มากับครอบครัว ตอนนั้นเขาตั้งใจจะถ่ายรูปทะเลแต่ก็ติดชิงช้ามานิดนึงและนาทีนั้นเหมือนเวลามันหยุดเดิน เขามัวแต่ตะลึงกับหญิงสาวที่นั่งอยู่บนชิงช้าเพราะรู้สึกคุ้นตาเหลือเกินแม้จะเห็นจากด้านข้างเขาก็มั่นใจว่าเคยเจอเธอมาก่อน

        อาทิตย์มองรูปถ่ายในมือและปักใจเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าผู้หญิงบนชิงช้าต้องเป็นน้องดาวที่เคยเจอเมื่อตอนไปดูฝนดาวตกแน่นอน ใครจะรู้ว่าแค่ชั่วนาทีที่ได้คุยกันมันกลับสร้างความผูกพันและความรู้สึกต่างๆ ไว้ในจิตใจของเขามากมาย รูปถ่ายดำๆ มืดๆ ในคืนฝนดาวตกเขายังเก็บไว้เป็นอย่างดีแม้มันจะทั้งเก่าทั้งเหลืองแล้วก็ตาม

        ชายหนุ่มนำรูปไปเก็บไว้ที่เดิมแล้วมานั่งเกากีตาร์อีกครั้งและเพลงโปรดที่เป็นเพลงในการหัดเล่นก็คือเพลงดาวของคริสติน วัยรุ่นสมัยก่อนน่าจะรู้จักเพลงนี้กันทุกคนเพื่อนของเขาใช้เพลงนี้จีบสาวสำเร็จตั้งหลายรายแต่ไม่ใช่สำหรับเขาหรอกตั้งแต่เป็นหนุ่มจนป่านนี้เขายังไม่เคยคบกับใครจริงจังเลย

        หน้าตาของอาทิตย์ก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไรเรียกว่าหล่อก็คงไม่ห่างไกลนักเพราะตอนเรียนก็มีสาวๆ มาชอบอยู่หลายคนแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงคนไหนเลย…ไม่มีสักคนที่ทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้นยามที่ได้สบตากัน ในความทรงจำมีแค่เพียงน้องดาวเท่านั้นที่ยังชัดเจนอยู่แม้มันจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม

 

ตอนที่ 6

        “แน่ใจหรอหนูดาว” สุทัศน์ถามลูกสาวอีกครั้งเพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นความคิดที่ดี

        “ไปเถอะค่ะคุณ” แต่สำหรับเพ็ญนภาเธอกลับคิดไม่เหมือนสามีเธอมั่นใจว่าการไปหัวหินครั้งนี้จะทำให้ลูกหลุดพ้นจากบ่วงที่พันธนาการไว้ ดุจดาวลูกสาวของเธออาการดีขึ้นเรื่อยๆ โรคซึมเศร้าก็ยังคงรับการบำบัดอยู่แต่หยุดยาไปแล้วเพราะแน่นอนว่ากินยาต่อเนื่องเป็นเวลานานย่อมมีผลเสียกับร่างกาย สามคนพ่อแม่ลูกตกลงกันว่าให้ลดยาน้อยลงเพราะดุจดาวมีความตอบสนองต่อสิ่งอื่นมากกว่านั้นก็คือการวาดรูปและฟังดนตรี

        เพ็ญนภาสังเกตว่ายามลูกได้ยินเสียงเพลงลูกจะผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดเธอจึงนำข้อสังเกตนี้ไปแจ้งคุณหมอและนั่นก็เป็นการต่อยอดการบำบัดแบบใหม่โดยไม่ใช้ยา ดุจดาวไปเข้าคลาสวาดรูปและเข้ากลุ่มดนตรีบำบัดซึ่งการรักษาให้ผลที่น่าพอใจมากแต่ความหวาดระแวงของเธอเพียงเรื่องเดียวที่ยังแก้ไม่หายก็คือดุจดาวกลัวทะเล

        ทุกครั้งที่ได้เห็นทะเลไม่ว่าจากช่องทางไหนเธอจะกลัวและเหงื่อซึมไปทั้งกายเพราะความทรงจำสุดท้ายกับทะเลมันแสนโหดร้ายแต่เธอก็พยายามจะกำจัดความกลัวนั้นออกไปและวันนี้ดุจดาวก็เลือกการหักดิบด้วยการกลับไปที่เก่า…ที่คนรักจากไป

        “แน่ใจค่ะคุณพ่อ หนูว่าหนูพร้อมแล้ว” ดุจดาวตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ทะเลเป็นสถานที่สุดโปรดของเธอมาเสมอเธอจะไม่ยอมให้มันกลายเป็นดินแดนต้องห้ามไปตลอดชีวิตที่เหลือแน่ๆ ถ้าพี่โยรู้ว่าเธอไม่ไปทะเลอีกเลยคงจะเสียใจเพราะพี่โยเองก็ชอบทะเลเช่นกัน เธอกับเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งช่วงที่คบกัน เธอจะกลับไปเป็นดุจดาวคนเก่าให้ได้เหลืออีกแค่อย่างเดียวเธอก็จะหายเป็นปกติแล้ว

        สามชีวิตออกเดินทางเอาตอนสายๆ แต่ละคนตกอยู่ในห้วงความคิดอันล้ำลึกของตัวเอง สุทัศน์หวาดหวั่นและกลัวจนหัวหดว่าลูกจะอาการแย่ลงเพราะลูกไม่ได้ร้องจะไปแค่ทะเลเท่านั้นแต่เธอยืนยันว่าจะไปนอนบ้านพักหลังเดิมที่เคยไปกับคนรัก เพ็ญนภาและดุจดาวรู้สึกว่ามีสิ่งดีๆ รออยู่ สองแม่ลูกเชื่อมั่นลึกๆ ว่าสายรุ้งที่สุดแสงดาวกำลังจะเกิดขึ้น

        “ห้องสุดท้ายพอดีเลยค่ะ ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อนนะคะ” พนักงานของบ้านพักยื่นกุญแจพวงเล็กส่งให้ลูกค้าและมันก็บังเอิญมากที่บ้านพักหลังสุดท้ายคือห้องที่วาโยกับดุจดาวมาด้วยกัน เมื่อเช้ามีชายหนุ่มคนนึงมาเช่าแต่เลือกบ้านข้างๆ แทน

        หญิงสาวในชุดกระโปรงเดินช้าๆ ไปตามทางที่แสนคุ้นเคยแม้จะไม่ได้มาถึงห้าปีแต่เธอกลับจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ ทางเดินโรยด้วยหินกรวดทอดยาวไปเรื่อยๆ จนถึงหาดทราย ทะเลเบื้องหน้ายังคงสวยงามเหมือนเช่นที่เป็นมา

        “สวยไหมคะคุณพ่อ” ดุจดาวชวนบิดาคุยตอนนี้เธอต้องบำบัดอาการกังวลให้บิดาซะแล้ว

        “สวยจ้ะหนูดาว” สุทัศน์ตอบ

        “ทางนี้ค่ะคุณพ่อ” เรียวขาเพรียวระหงเดินนำหน้าและเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกอีกนิดเดียวก็ถึงบ้านพักแล้ว

        “เพราะจัง” เมื่อมาถึงประตูไม้เล็กๆ สิ่งแรกที่ดุจดาวได้ยินก็คือเสียงกีตาร์คลอด้วยเสียงร้องนุ่มหูและเหตุการณ์มันช่างเหมาะเจาะลงตัวเหลือเกินเพราะว่าเพลงที่ได้ยินคือเพลงดาว…เพลงนี้พี่โยเล่นให้เธอฟังบ่อยมาก

        เพ็ญนภากับสุทัศน์ได้แต่แปลกใจกับการนิ่งชะงักดั่งต้องมนต์ของลูกสาว ดุจดาวไม่ได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดสาดเลยสักนิดในโสตประสาทของเธอมีแค่เสียงร้องเพลงอันแสนไพเราะและเสียงกีตาร์ที่แสนคุ้นเคย

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา