สยบรักเมียบำเรอ

7.2

เขียนโดย Phaky

วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.23 น.

  41 ตอน
  3 วิจารณ์
  35.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 13.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) คนงานใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 
“ฉันต้องการใช้ห้องที่เธออยู่ให้โรสพัก เธอจะมีปัญหาไหมถ้าฉันจะให้เธอย้ายไปอยู่ห้องอื่น”
สั่งแม่บ้านเสร็จ อาชาวินก็หมุนใบหน้ากลับมามองช่ออัญชันอีกครั้ง นึกขัดใจที่แม่คุณเอาแต่ก้มหน้า มือซ้ายจึงปล่อยมือจากผิวแก้มของเรนุกาเพื่อใช้มันดันปลายคางมนของผู้หญิงในอ้อมแขนให้แหงนเงย อยากเห็นว่าช่ออัญชันจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อรู้ว่าเขาจะยึดห้องพักของเจ้าหล่อนไปให้ผู้หญิงคนอื่นแทน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ที่ไหนก็ได้”
“ก็ดี” นี่เมียกูจะเชื่องเกินไปหรือเปล่าวะ!
อาชาวินได้แต่ถอนหายใจฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นท่าทีไม่พอใจจากเมียสาว จากที่คิดว่าจะได้โต้เถียงกันบ้างกลับทำได้เพียงกัดฟันแน่นๆระงับอารมณ์ เพราะข้าวของของช่ออัญชันมีไม่มาก ไม่นานสาวใช้ดวงกุดคนเดิมก็เดินก้าวถี่ๆลงมาจากบันไดแล้ววิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาอาชาวินที่กำลังรอคอยผลงาน ในมือของสาวใช้มีกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมสีซีดจางบ่งบอกว่าอายุการใช้งานของมันนานโคตรๆเพียงใบเดียว เมื่อเดินมาอยู่ตรงหน้านายน้อยสุดหล่อ สาวใช้คนนั้นจึงรีบยื่นกระเป๋าผ้าของช่ออัญชันส่งให้อาชาวิน
“วางไว้ที่พื้น สกปรก!”
นอกจากชายหนุ่มจะไม่คิดยื่นมือออกมารับกระเป๋าสัมภาระของช่ออัญชันทั้งที่ตอนออกคำสั่งทำเหมือนอยากได้มันหนักหนา อาชาวินยังใช้หางตามองมันแล้วเหยียดปากใส่ แสดงออกให้รู้ไปเลยว่าเขาทำท่าทางแบบนั้นเป็นเพราะเขารังเกียจ! หรือแม้แต่เรนุกาเองยังเหยียดสายตามองกระเป๋าใบนั้นด้วยสายตาขยะแขยงทำเหมือนว่ามันคือแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี สายตาของหญิงสาวที่มองเหมือนต้องการพูดว่า ‘อี๋! นั่นมันขยะชัดๆ!’
ส่วนเจ้าของกระเป๋าใบนั้นน่ะเหรอ หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้าเศร้าๆมองพื้นสลับกับมองกระเป๋าใบเก่งของตัวเองอย่างจุกในอกที่ใครๆก็พากันรังเกียจมันทั้งที่มันไม่ได้สกปรกอย่างที่อาชาวินกล่าวหาสักนิด สายตาของเธอเห็นว่าสีของมันซีดมากและเก่าสุดๆนั่นเพราะมันคือกระเป๋ามือสองราคาถูกที่เธอเจียดเงินซื้อมาจากตลาดนัดตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่เธอก็นำมันมาซักจนสะอาด สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นได้แค่ขยะ แต่สำหรับเธอมันคือกระเป๋าคู่ใจที่เธอเอาไว้หอบหิ้วสัมภาระยามไปเรียนหรือเดินทาง เพราะฉะนั้นมันคือสิ่งสำคัญและมีคุณค่ากับจิตใจเธอมาก
“พาอัญชันไปพักที่เรือนเล็ก ห้องริมสุด”
“เรือนเล็ก? ห้องริมสุด? แต่ห้องนั้นมัน…”
“หรือเธอมีปัญหา”
อาชาวินตวัดสายตาคมมองเมื่อเห็นท่าทางลังเลของสาวใช้ เจอแววตาเหี้ยมดุของนายน้อยจ้องเขม็งขนาดนั้นใครเล่าจะกล้าหือ สงสารก็แต่นายหญิงที่อยู่ดีๆก็ถูกย้ายจากห้องนอนบนบ้านใหญ่ไปนอนที่เรือนเล็ก ซึ่งก็คือเรือนคนใช้ที่สร้างแยกจากบ้านใหญ่อยู่ทางด้านหลัง และคนที่ใจร้ายทำเช่นนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ‘สามี’ ที่เพิ่งเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรสร่วมกันหมาดๆ
ที่สำคัญ! อาชาวินยังพาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาอยู่ในบ้าน แถมยังเจาะจงว่าจะต้องพักที่ห้องนอนของช่ออัญชันเสียด้วยทั้งที่ในบ้านยังมีห้องว่างอีกมากมาย จะให้ผู้หญิงคนนี้หรือช่ออัญชันย้ายไปนอนห้องอื่นก็ได้ แต่นายน้อยกลับไม่ทำ  ทำแบบนี้อาชาวินต้องการแกล้งเมียตัวเองชัดๆ แต่เธอก็แค่คนใช้ ต่อให้สงสารแค่ไหนก็ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือนายหญิงน้อยได้เลย
“มะ..ไม่มีค่ะนายน้อย นายหญิงคะ ตามฉันมาค่ะ”
 “จ้ะ พี่บัว”
ช่ออัญชันตอบรับไม่มีอิดออด นาทีนี้เองที่ร่างบางจึงถูกปล่อยจากพันธนาการอึดอัดของอาชาวิน เมื่อถูกปล่อยช่ออัญชันจึงก้มตัวหยิบกระเป๋าคู่ใจมากอดไว้แนบอกอย่างรักใคร่หวงแหน และเดินตามแม่บ้านไปยังเรือนคนใช้อย่างว่าง่าย ง่ายเสียจนทำให้อะดรีนาลีนในร่างกายของอาชาวินพุ่งพรวด นึกโมโหนักที่ไม่สามารถทำให้ยายตาใสหลุดคอนเซ็ปต์หญิงสาวผู้น่าสงสารแห่งปีออกมาได้
“เอากระเป๋าเน่าๆของเธอไปเก็บ เสร็จแล้วรีบมาหาฉันตรงนี้”
“ค่ะ คุณอาชา”
คนสั่งยืนกอดอกจ้องมองเขม็ง มองจ้องไปจนช่ออัญชันกับสาวใช้ชื่อบัวเดินลับเข้าไปทางหลังบ้าน ข้างกายของเขามีเรนุกายืนขนาบและใช้สายตาหยิ่งยโสลอบมองช่ออัญชันด้วยความสงสัยและรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย เรนุกาไม่รู้ว่าผู้หญิงแต่งตัวมอซอหน้าตาซีดเซียวเหมือนซากศพคนนี้เป็นใครและมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอาชาวิน ผู้ชายที่เคยชนแก้วกันในผับเมื่อเดือนก่อนแต่พลาดโอกาสได้ร่วมเตียงหวุดหวิดเพราะเขาติดธุระ
แต่เมื่อสักครู่เธอได้ยินนังคนใช้มันเรียกยายผู้หญิงสกปรกนี่ว่านายหญิง แสดงว่ามันเป็นเมียของอาชาวินงั้นสิ แต่ทำไมอาชาวินถึงทำเหมือนมันไม่ใช่เมียล่ะ แต่งตัวก็สกปรกมอซอไร้ราศีคุณนายชะมัด จะใช่หรือ? หรือว่าเขาเกลียดมันไม่อยากได้มันเป็นเมีย เพราะอย่างนี้ใช่ไหมเมื่อคืนที่บังเอิญเจอกันที่ผับเขาถึงเอ่ยปากชวนเธอมาอยู่ที่บ้าน เพราะเขาอยากให้เธอมาทำหน้าที่ภรรยาแทนยายหน้าจืดนี่แน่ๆ นี่แสดงว่าอาชาวินชอบเธอ หรือไม่ก็ชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งที่แล้ว พอเจอกันอีกทีเขาก็เลยชวนเธอมาอยู่กับเขาเสียเลย แถมยังไล่เมียไปนอนเรือนคนใช้เพราะต้องการยืนยันให้เธอรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอ ไม่ไช่แม่นั่น!
สุดยอด! นี่เธอกำลังจะได้เป็นคุณนายแมคคานน์เหรอเนี่ย โชคดีอะไรอย่างนี้ยายโรสคนสวย
ไม่ใช่แค่คิดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่เรนุกายังแสดงออกมาทางการกระทำ หญิงสาวสอดแขนกอดรัดท่อนแขนแข็งแรงของอาชาวินอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ เชิดหน้าบ่าตั้งตรงจิกสายตามองทุกคน ประกาศให้คนงานในไร่และพวกแม่บ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้รู้เสียเลยว่าเธอคือผู้หญิงคนสำคัญของอาชาวิน เพราะฉะนั้นทุกคนที่นี่ต้องก้มหัวให้เธอ
“เดี๋ยวโรสขึ้นไปพักผ่อนนะครับ ผมขอเข้าไปดูงานในไร่ก่อน”
“ค่ะอาชา โรสจะรออาชาอยู่ที่นี่นะคะ จุ๊บ”
อาคันตุกะสาวยิ้มพรายเมื่ออาชาวินหันมาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นึกดีใจที่เขาไม่ชวนเธอเข้าไปในไร่ทั้งที่แดดตอนนี้ร้อนเปรี้ยง แต่ก่อนเข้าบ้าน เรนุกาเห็นช่ออัญชันกำลังจะเดินมาถึงที่อาชาวินยืนอยู่ หญิงสาวจึงหมุนตัวกลับแล้วเขย่งปลายเท้าเพื่อจูบปากของอาชาวินหนักๆโชว์สิทธิ์ที่คิดไปเองว่ามีเหนือกว่าเสียเลย จากนั้นจึงรีบเดินเข้าบ้านเพราะรู้สึกร้อนจนเกรงว่าผิวจะเสีย
“ชอบห้องพักห้องใหม่หรือเปล่า?”
ทันทีที่ช่ออัญชันมาอยู่ตรงหน้า อาชาวินก็เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าอารมณ์ดีพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มสาแก่ใจมาให้ สะใจเล็กๆที่ได้เห็นใบหน้าของช่ออัญชันสลดลงต่อหน้าต่อตา แต่ความรู้สึกสะใจทั้งหมดกลับถูกริบคืนอย่างรวดเร็ว เมื่อคนที่อาชาวินหวังว่าจะได้เห็นท่าทางอาละวาดไม่พอใจทำเพียงพยักหน้ารับเรียบๆ นี่แม่นางบำเรอตีทะเบียนของเขาไม่คิดจะใช้สิทธิ์ที่มีเรียกร้องหรือโวยวายสักหน่อยเหรอวะ ผู้หญิงบ้า!
“ค่ะ”
“ก็ดี รีบไปขึ้นรถได้แล้ว งานในไร่รอเธออยู่”
น้ำเสียงกับท่าทางที่อาชาวินใช้กับช่ออัญชันเหมือนเจ้านายกับลูกน้องมากกว่าที่จะเป็นคู่สามีภรรยา แต่คนถูกสั่งกลับไม่เคยน้อยใจ เพราะในความเป็นจริง ต่อให้เซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรสต่อหน้าพยานหลายคน ช่ออัญชันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองคือภรรยาของอาชาวิน ไม่กล้าแม้จะเอ่ยชื่อตัวเองแล้วตามด้วยนามสกุลของเขาด้วยซ้ำ
 เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้เต็มใจ หากคุณอัลเฟรดไม่บังคับ คนอย่างอาชาวินคงไม่ลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับผู้หญิงไร้หัวนอนอย่างเธอ เพราะฉะนั้นเธอจึงวางตัวอยู่ในบ้านแมคคานน์อย่างคนอาศัย เจียมเนื้อเจียมตัวและช่วยทำงานบ้านอย่างคนใช้คนหนึ่ง และหากตอนนี้อาชาวินจะโยนตำแหน่งคนงานในไร่เข้าใส่ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“นายน้อย นี่มันอะไรกันคะ จะพานายหญิงไปไหน”
ป้าเนียมที่เพิ่งรู้เรื่องจากบัวเมื่อครู่รีบวิ่งตึงๆจนพุงกระเพื่อมเข้ามาดักหน้าก่อนที่อาชาวินจะพาช่ออัญชันขึ้นรถกระบะเข้าไปในไร่สับปะรด สมองตอนนี้จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ทันรู้ว่าอาชาวินกลับเข้าบ้านมาตอนไหน แต่พอได้ยินว่าช่ออัญชันถูกย้ายไปนอนที่เรือนคนใช้และกำลังจะถูกพาไปทำงานในไร่ แกก็ทิ้งงานในมือแล้วรีบวิ่งออกมาจากครัวทันที
“อัญชัน!”
“คะ?” ป้าเนียมทำคิ้วขมวดสงสัย เมื่อเธอถาม แต่อาชาวินกลับตอบกลับมาเป็นชื่อเล่นของนายหญิงน้อย
“ต่อไปเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า ‘อัญชัน’ ไม่ใช่ ‘นายหญิง’ ”
 ปากคุยกับหัวหน้าแม่บ้าน แต่สายตากลับมองนิ่งอยู่ที่ช่ออัญชัน อาชาวินทำเหมือนต้องการย้ำเตือนให้ภรรยาตีทะเบียนของตัวเองรู้ว่าเขาไม่เคยเต็มใจมอบตำแหน่งนี้ให้เจ้าหล่อน แม้แต่สรรพนามแทนตัว เขาก็ไม่อนุญาต
“แต่ว่า…”
“ป้าเนียมมีปัญหาอะไรเหรอครับ”
“เฮ้อ ป้าเป็นแค่แม่บ้านแก่ๆ คงไม่มีปัญญามีปัญหากับนายน้อยหรอกค่ะ”
ป้าเนียมถอนหายใจหนักๆแล้วเอ่ยประชดให้อาชาวินรู้เสียเลยว่าแกไม่เห็นด้วยนักกับการกระทำของเจ้านายหนุ่ม แต่ด้วยความที่เป็นเพียงแม่บ้าน แม้จะทำงานรับใช้ตระกูลแมคคานน์มานมนานแต่เธอก็ไม่เคยคิดตีตัวเสมอนาย ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาชาวินเธอกับคนงานคนอื่นๆก็ต้องทำตาม แต่ก็อดประชดประชันสักนิดสักหน่อยไม่ได้
“ขอบคุณครับป้า ยืนมองอยู่ทำไม ไปขึ้นรถสิ!”
“แต่นายน้อยคะ นายหญิง… เอ่อ…หนูอัญชันกำลังไม่สบาย”
“อัญไหวค่ะป้าเนียม นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว ป้าเนียมไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
ช่ออัญชันฝืนส่งยิ้มสดใสให้แม่บ้านแสนใจดีเลิกเป็นกังวล จริงๆเธอยังมีอาการปวดแปลบที่หน้าขาเพราะถูกอาชาวินเล่นงานอย่างหนักรุมเร้า เนื้อตัวยังร้อนๆหนาวๆสลับกันไปมา อีกทั้งยังรู้สึกปวดศีรษะอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดมันคงเป็นผลมาจากเรื่องคืนนั้นนั่นแหละ แต่ทำอย่างไรได้ หากเธอไม่ไป ป้าเนียมอาจต้องเดือดร้อนเพราะออกหน้าแทนเธอ
“ป้าได้ยินแล้วใช่ไหมครับ ไปได้แล้ว ยืนเรียกร้องความสงสารอยู่ได้ เสียเวลา!”
พูดจบอาชาวินจึงกระชากร่างเล็กแทบปลิวไปตามลมของช่ออัญชันติดมือ เดินเร็วจนคนที่ยังบาดเจ็บตรงหน้าขามีอาการปวดแปลบกำเริบ เจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า แต่หญิงสาวก็พยายามกลั้นเอาไว้ด้วยหากใครรู้เข้าเธอคงอับอายจนวางหน้าไม่ถูก เมื่อพากันเดินมาถึงรถกระบะสีดำคันใหญ่ที่เอาไว้ใช้ในงานไร่โดยเฉพาะ อาชาวินก็รีบสะบัดมือออกอย่างแรงคล้ายรังเกียจ ส่งผลให้ร่างบางที่ยังทรงตัวลำบากเซไปกระแทกกับตัวรถ ตอนนี้นอกจากเจ็บหน้าขา ช่ออัญชันยังจุกที่หน้าท้องจนแทบทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น แต่ที่ทำได้คือใช้สองมือเกาะกระบะรถประคองตัวเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลง
“ใครสั่งให้นั่งตรงนี้ ไปนั่งข้างหลัง!”
เสียงตะคอกทั้งดังทั้งหนักแน่นน่ากลัวจนช่ออัญชันแทบกระโดดลงจากหน้ารถไม่ทัน  หลังจากฝืนความเจ็บปวดของร่างกายเดินไปยังหน้ารถ เพียงแค่เธอเปิดประตูยังไม่ทันได้โหนตัวขึ้นไปนั่งเลยด้วยซ้ำ อาชาวินก็ตะเพิดไล่ทำเหมือนเธอคือหมูหมาตัวเปื้อนโคลนน่ารังเกียจ ช่ออัญชันได้แต่ก้มศีรษะหลายๆครั้งขอโทษขอโพยในความไร้สมองแล้วปิดประตูตาม มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาแห่งความน้อยใจที่กลั้นไม่ไหวทิ้งไป ก่อนรีบปีนขึ้นไปนั่งที่ท้ายกระบะด้วยความทุลักทุเลเพราะมันสูงและร่างกายเธอยังไม่สมบูรณ์เท่าไรจะก้าวขาจะข้ามแต่ละทีก็ลำบาก กว่าจะขึ้นมานั่งบนรถได้สำเร็จก็เล่นเอาเจ็บร้าวไปทั้งตัว
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
‘ถอนเถาวัลย์พวกนี้ให้หมด’
นี่คือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่อาชาวินจะขับรถจากไป หลังจากที่เขาพาเธอเข้ามาในเขตไร่สับปะรดที่อยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณสี่ถึงห้ากิโลเมตร กระทั่งกระบะคันแกร่งฝ่าละอองฝุ่นและทุ่งหญ้ารกๆข้างทางเข้ามาด้านหลังของคลองจ่ายน้ำที่อาชาวินขุดเอาไว้ใช้ในการเกษตร ก็เจอกับพื้นดินว่างเปล่าที่ถูกไถหน้าดินเตรียมเอาไว้สำหรับการเพาะปลูกในครั้งต่อไป แต่มันคงถูกปล่อยให้ว่างนานเกินไปหน่อยถึงได้มีไม้เลื้อยอย่างกอเถาวัลย์ ต้นเสือหมอบ และวัชพืชอีกหลายชนิดขึ้นคลุมดิน แน่นอนว่าหากมีเจ้าพืชเหล่านี้เป็นจำนวนมาก พื้นที่ตรงนั้นจะไม่สามารถใช้เพาะปลูกอะไรได้ อาชาวินจึงมอบหมายให้ช่ออัญชันเป็นคนกำจัดวัชพืชไร้ค่าพวกนั้น
นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะงานหนักกว่านี้ช่ออัญชันก็เคยผ่านมันมาแล้ว
แต่ปัญหาคืออาชาวินสั่งให้เธอถอนวัชพืชพวกนี้ด้วยมือเปล่าและพื้นที่ทั้งหมดที่ว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสามไร่! มันกว้างมาก ถึงจะกว้างและคงต้องออกแรงไม่น้อย แต่ช่ออัญชันก็ไม่คิดขัดคำสั่ง เมื่ออาชาวินสั่งให้ทำ หญิงสาวก็พยักหน้ารับพร้อมทั้งเริ่มทำงานของตัวเองทันที ร่างเล็กย่อตัวลงนั่งยองๆ มือบางไร้ความนุ่มนิ่มทั้งสองช่วยกันถอนหญ้าเถาวัลย์กอแรกที่อยู่ตรงฝ่าเท้าที่มีเพียงรองเท้าแตะราคาถูกสวมใส่จึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อเถาวัลย์ที่ขึ้นรกเลื้อยคลุมดินพวกนี้มีความเหนียว อีกทั้งกลิ่นเหม็นฉุนชวนปวดหัวอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ใครหลายคนพากันส่ายหัว แต่ช่ออัญชันไม่มีทางเลือก มือบางจึงช่วยกันดึงมันออกมา ดึงแล้วดึงเล่าจนกระทั่งกิ่งเถาวัลย์หลุดติดมือออกมาบางส่วน แต่ด้วยความที่ออกแรงมากไป ยามยอดเถาวัลย์หลุดติดมือ ร่างบางก็หกคะเมนหงายหลังก้นกระแทกพื้นตามไปด้วย เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่ง…
‘เหมือนจะหายใจไม่…ออก’
ด้วยกลิ่นที่เหม็นฉุนรุนแรงทำให้ช่ออัญชันเริ่มมีปัญหากับเจ้าไม้เลื้อยพวกนี้ เพราะออกแรงถอนได้เพียงสามกอ หญิงสาวก็เริ่มเวียนศีรษะจนต้องทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น อาการเวียนศีรษะกำเริบรุนแรงจนต้องหลับตาขับไล่ความมึนเวียน แต่กลิ่นฉุนที่อยู่รอบๆตัวและติดอยู่กับสองมือทำให้เป็นไปได้ยากที่จะรู้สึกดีขึ้น ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่หญิงสาวก็มีอาการไข้เล่นงานค่อนข้างหนักอยู่แล้ว กอปรกับแสงแดดร้อนเปรี้ยงในช่วงใกล้เที่ยงที่แผดเผาร่างกาย เพราะหญิงสาวไม่ทราบว่าอาชาวินจะให้เธอเข้าไร่ ช่ออัญชันจึงไม่ได้เตรียมเรื่องเครื่องแต่งกายให้พร้อม หญิงสาวสวมเสื้อยืดครึ่งแขนสีชมพูจางๆกับกางเกงขาห้าส่วนเข้ารูปเนื้อผ้าธรรมดาไม่หนาไม่บาง รองเท้าบูทไม่มี ถุงมือไม่มี หมวกสวมกันแดดไม่มี!
 สรุปแล้วคือสภาพของช่ออัญชันตอนนี้ไม่ได้มีอะไรเหมาะในการอยู่กลางไร่ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงที่เหมือนจะสามารถย่างสดสิ่งมีชีวิตนี่ได้เลยสักอย่าง อาชาวินเพียงพามาปล่อยทิ้งไว้ สั่งงาน แล้วก็ขับรถจากไป ชายหนุ่มไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เลย ไม่มีจอบ ไม่มีเสียม ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดให้เธอไว้ดื่มยามกระหาย
“ทำไมรอบตัวเราถึงกลายเป็นสีเทาแบบนี้ล่ะ”
นั่นคือคำถามที่ช่ออัญชันพยายามใคร่ครวญหาคำตอบ หลังจากที่นั่งหอบหายใจทางปากเพราะรู้สึกเหมือนรูจมูกมันตันจนอากาศไม่สามารถผ่านได้สะดวกเหมือนเคย ช่ออัญชันพยายามทรงตัวลุกขึ้นเพื่อกลับไปทำหน้าที่ต่อไป ด้วยกลัวว่าหากอาชาวินกลับมาแล้วเห็นว่างานไม่เดินเธอจะถูกตำหนิ
“อดทนไว้นะอัญชัน เธอต้องทนได้” เสียงกระซิบแผ่วเบาให้กำลังใจตัวเอง นั่นคือประโยคที่คุ้นชิน ยามตกอยู่ในสถานการณ์ท้อแท้หรือเหนื่อยล้าจนร่างกายทนแทบไม่ไหว ช่ออัญชันมักพูดคำนี้ปลอบใจตัวเองเสมอ
ร่างบางกัดฟันแข็งใจอีกเฮือกใช้สองมือยันกับพื้นสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดแล้วยืดตัวขึ้น แต่หญิงสาวคงรีบเกินไปจึงทำให้ร่างซวนเซจนล้มลงไปนั่งกองบนพื้นดินอีกครั้ง สองตาที่เริ่มแสบด้วยหยดเหงื่อเค็มๆจากขมับไหลเข้าตาพยายามปรือขึ้นแล้วมองฝ่าไอแดดร้อนผ่าวไปข้างหน้า แต่สิ่งที่เห็นกลับมีแต่แสงสีเทารายล้อมตัว ไม่ว่าจะมองอะไรข้างซ้ายหรือขวา โลกทั้งใบของเธอก็กลายเป็นสีเทาไปหมด และสีที่ว่าก็ค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆ เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีดำมืดสนิท มืดมิดจนช่ออัญชันมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
***************************************************

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา