รอวันฟ้าใส

3.3

เขียนโดย จาริน

วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.03 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,316 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 13.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ยื่นคำขาด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     อาจเป็นเพราะว่าเมื่อวานมีเรื่องกวนใจมากมายฟ้าใสจึงตื่นสายกว่าปกติ เมื่อจัดการกับกิจวัตรประจำวันแล้ว หญิงสาวเลือกเครื่องแต่งกายสบาย ๆ ด้วยเสื้อยืดสีเหลืองสดกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีขาวสะอาด ผมสีน้ำตาลแก่ของเธอนั้นถูกถักเป็นเปียเดี่ยวง่าย ๆ ฟ้าใสเดินลงบันไดมาชั้นล่างแล้วตรงเข้าครัว ตั้งใจว่าจะเจียวไข่กินเป็นอาหารเช้า หญิงสาวเกือบผงะเมื่อเห็นบิดานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว ณรงค์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์แล้วเอ่ยทักบุตรสาว
     “อ้าว... ตื่นแล้วหรือ... กินกาแฟกับพ่อหน่อยไหมล่ะ”
     “วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือคะ” ฟ้าใสถามอย่างแปลกใจ
     ปกติ นอกจากบิดาของเธอจะกลับบ้านดึกจนเป็นวิสัยแล้ว ในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เช่นนี้เขาเป็นต้องปร๋อออกไปตีกอล์ฟกับเพื่อนหรือลูกค้าเป็นประจำ หรือไม่เช่นนั้นณรงค์ก็มักพาเพื่อนสาวออกเที่ยวต่างจังหวัด บางทีก็ไม่กลับบ้าน น้อยครั้งนักที่ฟ้าใสจะได้เห็นพ่ออยู่บ้านในตอนสาย ๆ เช่นวันนี้
     ณรงค์ปิดหนังสือพิมพ์ มองหน้าลูกสาวแล้วยิ้มน้อย ๆ ณรงค์เป็นผู้ชายหน้าตาดี สูง ร่างกายกำยำเพราะหมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ แม้จะมีอายุเกือบห้าสิบปีแล้วแต่ยังดูเยาว์กว่าอายุจริงอยู่หลายปี ผมดกที่เคยดํามีสีเทาแซมอยู่เป็นแห่ง ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ณรงค์ดูแก่ลงเลย มันกลับเสริมบุคลิกให้เขาดูภูมิฐานขึ้น ในยามขรึม ณรงค์จะแลดูน่าเกรงขาม แต่ถ้ายิ้ม ใบหน้าจะแลดูสดใส สว่างไสว เป็นเสมือนขั้วแม่เหล็กที่สามารถดึงดูดผู้คนรอบข้าง (โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ) ฟ้าใสเหมือนพ่อที่รอยยิ้มนี่เอง
     “อ้าว... จะไล่พ่อแล้วหรือ... วันนี้คิดจะพักผ่อนอยู่กับบ้านสักหน่อย”
     “แหม... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ... แล้วนี่หิวข้าวหรือเปล่าคะ ฟ้ากําลังคิดจะเจียวไข่กินอยู่พอดี ฟ้าจะทําเผื่อ”
     “อืม... ได้ก็ดีเหมือนกัน”
     ฟ้าใสเดินไปเปิดตู้เย็น เตรียมตัวลงครัว ข้าวสวยเพียงแค่ต้องเอาไปอุ่นเพราะหุงเผื่อไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ณรงค์ถามขึ้นลอย ๆ ว่า
     “ฟ้าได้ข่าวนายเมฆบ้างหรือเปล่า”
     “เมฆเพิ่งโทรมาเมื่อคืนนี้เองค่ะ”
     “นายเมฆเป็นยังไงมั่งล่ะ” ณรงค์ถามเรียบ ๆ
     “เมฆให้ฝากบอกพ่อว่าปิดเทอมช่วงปีใหม่นี้ไม่กลับบ้านค่ะ เห็นบอกว่าอยากเที่ยวในอังกฤษกับเพื่อน ตอนนี้ก็กําลังเตรียมตัวสอบไฟนัลเป็นยกใหญ่” ประโยคหลังนี่พูดเกินความจริงไปสักหน่อย
     “อ้าว... ทุกทีเห็นกลับบ้านทุกปีนี่... อย่างงี้ปีนี้ก็ไม่ต้องเจอกันพอดีสิ” ณรงค์บ่น
     “เด็กผู้ชายก็อย่างนี้ล่ะค่ะ ติดเพื่อน แถมยังใกล้เรียนจบแล้ว คงอยากเที่ยวให้มากที่สุด” ฟ้าใสแก้ต่างให้น้องชาย
     “แล้วเงินมีพอใช้ไหมล่ะ ฟ้าส่งไปให้น้องสมํ่าเสมอหรือเปล่า”
     “ไม่หรอกค่ะ... บางเดือนฟ้าก็แอบเก็บเข้ากระเป๋าสตางค์แฟบ ๆ ของฟ้าด้วย” ฟ้าใสหยอกทั้ง ๆ ที่ยังง่วนอยู่หน้ากระทะ ณรงค์รู้ดีว่าลูกสาวล้อเล่น ฟ้าใสไม่มีวันปล่อยให้น้องชายลำบากหรอก ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูลูกสาวก่อนปรารภว่า
     “ถ้าไม่ค่อยมีเงินนักทำไมฟ้าไม่หางานที่มันมั่นคงกว่านี้ทําดูล่ะ พ่อไม่เห็นว่าไอ้งานนักเขียนอะไรนี่มันจะดีตรงไหน พ่อไม่อยากจะรบเร้าหรอกนะ แต่พ่อว่าฟ้ามาทํางานกับบริษัทของเพื่อนพ่อดีกว่า เขาบอกพ่อว่ากําลังหาคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้อยู่พอดี” โถ... พ่อยังอุตส่าห์จําได้ว่าเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้
     “งานล่าม งานเลขา ฟ้าไม่อยากทําหรอกค่ะ” ฟ้าใสย่นจมูก
     “สมัยนี้เราจะมัวแต่เลือกงานว่างานนี้อยากทํางานนี้ไม่อยากทําน่ะไม่ได้หรอกนะยายฟ้า” ผู้เป็นบิดาตักเตือน
     ฟ้าใสลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะแล้วหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ บิดาพลางเอ่ยว่า
     “ฟ้าแค่อยากลองทําสิ่งที่ฟ้าอยากทําดูเท่านั้นล่ะค่ะ ฟ้ารู้ว่าฟ้าคงดูเหมือนเรื่อยเฉื่อย ทําอะไรล่องลอย ไม่มีจุดหมาย แต่ฟ้ามีความสุขในสิ่งที่ฟ้าทําอยู่ จะคิดว่าฟ้าไม่มีความทะเยอทะยานก็ได้ แต่แค่นี้ฟ้าก็พอใจแล้วล่ะค่ะ”
     “เอาเถอะ... ฟ้ายังอายุน้อย... ฟ้าอยากทําอะไรพ่อก็ไม่อยากจะห้าม แต่ถ้าลูกอยากลองหางานอื่นทำอย่าลืมนะว่าปรึกษาพ่อได้เสมอ” ณรงค์ไม่วายย้ำ
     สองพ่อลูกทานข้าวไปอย่างเงียบ ๆ ครู่เดียวณรงค์ก็เอ่ยถามลูกสาวขึ้นว่า
     “ตอนนี้นอกจากเขียนนิยายอะไรนั่นแล้วฟ้าทําอะไรอยู่นะ จําได้ว่าเคยบอกแต่พ่อก็ลืม ๆ ไปแล้ว”
     “ฟ้าสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติอยู่ที่โรงเรียนสอนภาษาค่ะ”
     “งั้นเหรอ... แล้วช่วงปีใหม่มีวันหยุดบ้างหรือเปล่า”
     “มีหยุดหนึ่งเดือนค่ะ”
     “งั้นพ่อว่าฟ้าไปเยี่ยมน้องที่อังกฤษหน่อยไหม พ่อมีเพื่อนทํางานประจําอยู่ที่สายการบินบริติช แอร์เวย์ เขาออกตั๋วเครื่องบินราคาลดได้ตั้งครึ่ง พ่อจะขอให้... เอาไหมล่ะ” บิดาของฟ้าใสมีเพื่อนเยอะ แต่เพื่อนของพ่อที่สนิทสนมพอที่จะขออะไรได้ง่าย ๆ แบบนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงแทบทั้งนั้น
     “แหม... ฟ้ากําลังคิดจะไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ออสเตรเลียอยู่เลยค่ะ” ฟ้าใสว่าอย่างไม่ค่อยสนใจข้อเสนอของบิดา
     “จองตั๋วเรียบร้อยแล้วเหรอ”
     “ยังเลยค่ะ”
     “อ้าว... ป่านนี้ตั๋วไม่เต็มหมดแล้วหรือ” ณรงค์ถาม
     “ฟ้าว่าจะจองวันนี้อยู่พอดีเลยค่ะ”
     เป็นอย่างที่ณรงค์ว่า ฟ้าใสพยายามหาตั๋วตามเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าตั๋วเต็มหมดทุกเที่ยวบิน ตั๋วที่เหลือเป็นตั๋วชั้นหนึ่งหรือไม่ก็ชั้นธุรกิจ ราคาแพงจนไม่มีปัญญาซื้อ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไปหาน้องชายที่อังกฤษอย่างที่บิดาแนะ เพราะเมื่อเอากลับไปนั่งทบทวนดูอีกที ฟ้าใสก็ชักเริ่มคิดถึงน้องชายคนเดียวของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อบอกตกลงกับบิดาแล้ว ณรงค์เพียงแค่หมุนโทรศัพท์คุยกับ”เพื่อน” เดี๋ยวเดียวก็หันมาบอกฟ้าใสว่าได้ตั๋วชั้นประหยัด เดินทางจากกรุงเทพไปแมนเชสเตอร์กลางเดือนธันวาคม ราคาต่ำกว่าราคาปกติเกือบครึ่งอย่างที่คุยเอาไว้ได้จริง ๆ
 
     วันรุ่งขึ้นฟ้าใสนั่งรถเมล์ไปหาเพื่อนสนิทที่เปิดร้านขายเครื่องประดับและงานหัตถกรรมอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่ง หญิงสาวมีกระเป๋าคู่ใจใบโตที่ตอนนี้บรรจุสิ่งที่เธอประดิษฐ์เองขึ้นมา คราวนี้เธอมีสร้อยคอและกําไลมือที่ร้อยจากเปลือกหอยเล็กกระจ้อยร่อยสีขาวข้น เนื้อละเอียดราวแป้งเด็ก และหินสีชนิดต่าง ๆ ที่น้ำทะเลกัดกร่อนจนเนียนเรียบ บางก้อนเป็นสีโทนเดียว บางก้อนมีจุดสีเข้มประปราย วัตถุดิบพวกนี้ฟ้าใสเก็บมาเมื่อตอนไปเที่ยวชายหาดที่หมู่เกาะสิมิลันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมานี้เอง
     ฟ้าใสยิ้มร่าเมื่อเห็นเพื่อนนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับเครื่องคิดเลขในร้าน และเพราะเห็นว่าไม่มีแขกในร้านจึงร้องทักขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยอย่างเสียงดังฟังชัดว่า
     “ไฮ้... มิสคอตต้อน”
     นุ่นหรือนิรมล เพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ในร้านที่ตบแต่งไว้อย่างเรียบหรูและเป็นไทยอย่างงดงาม
     “อ้าว... ฟ้าเหรอ... นึกว่าฝรั่งเพี้ยนที่ไหน” นิรมลทักตอบเสียงใสเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร “แล้วฉันชื่อนุ่นนะจ๊ะ ไม่ใช่สำลี” นิรมลแสร้งทำค้อน
     “มันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละน่า” ฟ้าใสตอบอย่างถูไถ “ว่าไงจ๊ะ... วันนี้ธุรกิจเป็นไงมั่งล่ะ แขกเข้าร้านเยอะมั้ย”
     “แขกน่ะเข้าร้านฉันทุกวันแหละย่ะ แต่จะซื้อไม่ซื้อน่ะอีกเรื่อง” นิรมลตอบพลางเลื่อนเก้าอี้สามขาจากข้างหลังเคาน์เตอร์ออกมาให้เพื่อนสาว ก่อนหันไปสั่งเด็กที่ทำงานในร้านว่า
     “ส้มโอ... ถ้าแขกเข้าร้านก็ช่วยรับหน้าก่อนนะ ฉันจะคุยกับยายฟ้า”
     เด็กในร้านรับคำก่อนเดินไปจัดของหน้าร้าน นิรมลหันมาทางเพื่อนสาว
     “วันนี้นั่งรถเมล์มาอีกล่ะสิ หน้าดําเขม่าควันมาเชียว” นิรมลหยอกเพราะรู้ว่าฟ้าใสมักใช้บริการขนส่งมวลชลกรุงเทพเป็นประจำ ส่วนในกรณีเร่งด่วนนั้น เพื่อนของเธอก็จะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทำให้เพื่อน ๆ พากันเสียวไส้แทน ฟ้าใสนั่งลงโดยไม่สนใจคำหยอกเย้าของเพื่อนแล้วถามอย่างเป็นงานเป็นการว่า
     “ของที่ฉันขายเธอคราวที่แล้วขายหมดหรือยัง”
     “หมดเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง คราวนี้มีอะไรมาล่ะ”
     ฟ้าใสวางกระเป๋าลงแล้วรูดซิปหยิบเอากล่องพลาสติกกล่องหนึ่งออกมา เธอเปิดฝากล่องแล้วหยิบสร้อยคอกับกําไลมือขึ้นมาอวดเพื่อน
     “แบบนี้ขายออกหรือเปล่านุ่น ฉันทําสร้อยคอกับกําไลมือมาอย่างล่ะห้าชิ้น”
     “โอ๊ย... น่ารักอะ” นิรมลชมจนฟ้าใสยิ้มแป้น “ฝรั่งชอบพวกเปลือกหอยแบบนี้กันจะตาย”
     “งั้นเหรอ... ดีใจจัง” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผู้ชายทักขึ้นมาจากข้างหลังด้วยสำเนียงไทยที่ไม่ชัดเจนนัก
     “ครูฟ้า” ฟ้าใสหันหลังไป เห็นผู้ชายผมสีทอง ตาสีนํ้าทะเล ร่างสูงยืนยิ้มอยู่ในร้าน ส้มโอเดินมารับหน้า แต่ชายผมบลอนด์คนนั้นก็บุ้ยใบ้ว่าเขาจะเข้ามาคุยกับคนที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ ส้มโอถอยออกไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเจ้าของร้านทักทายชายหนุ่มอย่างยิ้มแย้ม
     “อ้าว... คริส... มาทําอะไรอยู่ที่นี่ล่ะ”ฟ้าใสถามขึ้นเป็นภาษาไทย แต่คริสตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า
     “กําลังคริสต์มาสช้อปปิ้งน่ะ อีกสองอาทิตย์ผมจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ซิดนีย์แล้ว แต่ผมยังซื้อของไปฝากญาติได้ไม่ครบคนเลย... ครูฟ้าล่ะ”
     เมื่อคริสถามกลับ ฟ้าใสก็ถือโอกาสแนะนําว่า
     “คริส... นี่เพื่อนฉันชื่อนุ่น เป็นเจ้าของร้านเครื่องประดับร้านนี้ แล้วนี่... คริส... เป็นนักเรียนที่ฉันสอนภาษาไทยอยู่” คริสยื่นมือมาจับมือทักทายนิรมลตามมารยาทของชาวตะวันตก ซึ่งนิรมลก็จับมือตอบอย่างไม่ขัดเขิน คริสคุยกับนิรมลตามมารยาทสองสามคําแล้วหันมาถามฟ้าใสว่า
     “ตกลงปีใหม่นี้ครูฟ้าจะไปเที่ยวออสเตรเลียหรือเปล่า แล้วจะแวะมาเที่ยวที่บ้านผมได้ไหม... น้องสาวผมอยากปรึกษาคนไทยเรื่องมาเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่”
     “ขอโทษทีคริส... ฉันหาตั๋วไปออสเตรเลียไม่ได้เลย ตั๋วเต็มทุกเที่ยวบิน” ฟ้าใสตอบอย่างเสียดาย “แต่คริสลองถามเขาสิว่าอยากถามอะไร จดมาให้ฉันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะตอบเท่าที่รู้เป็นข้อ ๆ ไป”
     เหตุผลที่ฟ้าใสต้องเสนอวิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้ก็เพราะว่ากฎเหล็กข้อหนึ่งของสถาบันสอนภาษาคือห้ามให้ครูและนักเรียนแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือติดต่อกันเป็นส่วนตัวนอกสถานที่อย่างเด็ดขาด ฉะนั้นฟ้าใสจึงไม่สามารถให้เบอร์ติดต่อของเธอไปแก่เขา ส่วนเรื่องที่จะเจอกันที่ออสเตรเลียนั้นไม่ผิดกฎเนื่องจากไม่ใช่เป็นการติดต่อกันเป็นการส่วนตัวเพราะจะมีคนอื่นในครอบครัวของเขาอยู่ด้วย
     คริสทําสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเข้าใจแล้วเปลี่ยนเรื่องมาถามฟ้าใสกับนิรมลว่า
     “ผมกําลังหาซื้อของขวัญคริสต์มาสไปฝากพี่สาวกับน้องสาวอยู่พอดี คุณสองคนช่วยแนะนําให้ผมหน่อยได้ไหม ผมไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงเขาชอบอะไร” นิรมลได้ทีจึงรีบเสนอแนะว่า
     “อย่าหาว่าฉันยัดเยียดร้านตัวเองเลยนะคะ แต่ฉันว่าขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ร้อยทั้งร้อย ต้องชอบเครื่องประดับกันทั้งนั้นแหละค่ะ” นิรมลว่าพลางหยิบเอาสร้อยคอกับกําไลมือที่ฟ้าใสเพิ่งเอามาฝากขายสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาโชว์ “สองอย่างนี้ ฟ้าเขาทําเองกับมือนะคะ คุณซื้อไปฝากพี่สาวกับน้องสาวคุณดีไหมคะ”
     “โอ้โห... นี่ครูฟ้าทําเองหรือ” คริสอุทาน พลางหยิบสร้อยกับกำไลจากมือนิรมลมาพิจารณา “งั้นผมซื้ออย่างล่ะสองชิ้นละกัน”
     เมื่อร่ำลากันหลังจากที่คริสได้ชำระเงินและรับของฝากที่นิรมลจัดการห่อกล่องด้วยกระดาษสาและเชือกป่าน อย่างเก๋ไก๋แล้ว ฟ้าใสก็กระทุ้งศอกแหย่เพื่อนว่า
     “ได้โอกาสก็รีบตะครุบนักเรียนของฉันมาเป็นเหยื่อ เอ๊ย... ลูกค้าเลยนะจ๊ะ”
     “แหงล่ะสิ... ฉันทํางานค้าขายนี่... ว่าแต่ว่าเธอกับเขามีอะไรกันหรือไงถึงกับจะไปเที่ยวบ้านเขาน่ะ” นิรมลหรี่ตามองเพื่อนอย่างเจ้าเล่ห์ แกล้งทำเหมือนไม่ไว้วางใจความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสอง
     “นี่ยายนุ่น... อย่ามามองฉันอย่างนั้นนะยะ คริสน่ะนักเรียนของฉันนะ” ฟ้าใสปฎิเสธขึงขัง
     “แหม... ล้อเล่นหน่อยเดียวทำเป็นโกรธ รู้หรอกจ้าว่าเธอมีแฟนแล้ว” นิรมลลากเสียงอย่างล้อเลียน “เออ... แล้วเธอกับพี่วินยังรักกันดีอยู่หรอกเหรอหรือว่ายังมีเรื่องทะเลาะกันไม่เว้นวันเหมือนเดิม”
     “ก็ทะเลาะกันบ่อย ๆ เหมือนเดิมแหละ” ฟ้าใสตอบเสียงเบื่อ ๆ “คราวที่แล้วก็บ่นเรื่องที่ฉันชอบนั่งรถเมล์นี่แหละ พี่วินเขาบอกว่าเป็นห่วง อยากให้ฉันซื้อรถมาขับเพราะปลอดภัยแล้วก็สะดวกสบายกว่า”
     “มันก็จริงของพี่วินเขานี่นา” นุ่นเข้าข้างเพื่อนแฟนของเพื่อน
     “แต่ฉันไม่อยากขับรถนี่นา รถก็ติด น้ำมันก็แพง นั่งรถเมล์รถไฟฟ้าอย่างนี้ฉันก็ไม่เห็นว่าลำบาก ถูกดีด้วย” ฟ้าใสทำหน้างอ “เนี่ย... เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงก็มีนัดกับเขา ว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันแถวนี้แหละ”
     “เหรอ... ก็ดีแล้วนี่... แสดงว่ายังสวีทกันอยู่” นุ่นกล่าวยิ้ม ๆ
     “ไม่รู้สินะนุ่น สวีทหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าพอเขาโกรธหรือดุอะไรฉัน เขาจะต้องบอกว่าที่ว่าที่เตือนน่ะก็เพราะเขารักเขาเป็นห่วง แต่ทำไมฉันไม่ยักรู้สึกซาบซึ้งเลย กลับเบื่อ ๆ ยังไงไม่รู้ นี่เธอว่าฉันแย่มากไหมนุ่น” ฟ้าใสถามเพื่อนรักอย่างจริงจัง
     “เฮ้อ... ฉันก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรนะฟ้า” นุ่นถอนหายใจ “บางทีอาจเป็นเพราะเธอกับเขาคบกันนานเกินไป นี่ก็คบกันมาตั้งสี่ซ้าห้าปีแล้วนี่ แล้วอย่าหาว่าฉันจุ้นจ้านเลยนะ แต่เมื่อไหร่พวกเธอจะแต่งงานกันสักทีล่ะ บางทีถ้าแต่งกันไปแล้วมันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็ได้นะ”
     “หรืออาจจะแย่กว่าเดิมจนต้องหย่ากันในที่สุด”
     “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ... เออ... ว่าแต่ว่า... พี่วินเขาคุยกับเธอหรือยังว่าจะวางแผนแต่งงานกันเมื่อไหร่” นุ่นถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ฟ้าใสถอนหายใจ ก่อนตอบว่า
     “เรื่องแต่งงานน่ะ พี่วินเขายืนกรานว่าจะไม่แต่งจนกว่าฉันจะเลิกพยายามเป็นนักเขียนมืออาชีพแล้วก็หันไปทำงานที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน เขาบอกว่าถ้าฉันยังทำตัวเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ ก็แสดงว่าฉันยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต สรุปคือความสัมพันธ์ของเราไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้า” ฟ้าใสสรุป
     “แล้วเธอจะปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วแต่ยถากรรมอย่างนี้เหรอฟ้า หรือเธอคิดว่าเขาจะยอมใจอ่อนภายหลัง” นุ่นเท้าคางถาม
     “ก็ไม่รู้เหมือนกันสินุ่น” ฟ้าใสมองออกไปนอกร้านอย่างเหม่อลอย “แต่ฉันคงต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างเร็ว ๆ นี้แหละ... ไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้เหมือนกัน”
     หลังจากที่นั่งคุยกับนิรมลจนไม่สามารถรบกวนเวลาทำงานของเพื่อนได้อีก ฟ้าใสก็ร่ำลาเพื่อนสาวแล้วไปเดินดูหนังสือที่ร้านขายหนังสือในห้างเป็นการฆ่าเวลา หาหนังสือที่อยากอ่านมาได้สองเล่มก็ใกล้เวลาที่นัดกับแฟนหนุ่ม หญิงสาวรีบออกมานั่งรอเขาที่ร้านอาหารที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเดียวกันนี้เอง ร้านอาหารที่นัดกันไว้นี้เป็นร้านอาหารไทย ตบแต่งได้อย่างคลาสสิกและมีรสนิยมและเป็นร้านอาหารที่กวินท์ค่อนข้างโปรด ฟ้าใสมาถึงก่อนเวลานัดนิดหนึ่งเพราะรู้ดีว่ากวินท์ไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลา หญิงสาวสั่งน้ำอัดลมมาดื่มเล่น นั่งแกว่งเท้ารอแฟนหนุ่มพลางคิดอะไรไปเพลิน ๆ ได้สักครู่ ก็เห็นชายหนุ่มร่างโปร่งที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีเดินเข้ามาในร้าน  กวินท์อยู่ในชุดสูทสีเข้มและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เขาเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบและสุภาพ เหมาะสมกับงานที่ต้องพบปะกับลูกค้าเป็นประจำอย่างตำแหน่งเออีของบริษัทโฆษณาชื่อดังที่เขาดำรงอยู่ ผมเผ้าตัดสั้นแต่ทันสมัย หน้าตาไม่ถึงกับหล่อมาก แต่คราบของคนจริงจัง เอางานเอาการเห็นได้ชัดในดวงหน้านั้น
     ฟ้าใสยิ้มแล้วโบกมือให้กวินท์ เขายิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นผู้ที่มานั่งรออยู่ก่อน แล้วเดินเขามานั่งตรงข้ามหญิงสาว
     “รอนานไหม” เขาถามพลางหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดู
     “ไม่หรอกค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อครู่เอง วันนี้พี่วินงานไม่ยุ่งเหรอถึงมีเวลาเจอกับฟ้า”
     “ฮื่อ... ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งมาก” กวินท์ไม่ขยายความ “ฟ้าจะกินอะไร พร้อมสั่งหรือยัง”
     “ฟ้าของ่าย ๆ ละกัน เอาแกงเผ็ดหน่อไม้กับปลาทอดราดพริกนะ”
     “เอาจำพวกปลานึ่งดีไหม กินอาหารทอดมากไปเดี๋ยวอ้วนนะ“กวินท์เสนอแนะ แล้วเมื่อปรายตาไปเห็นแก้วที่บรรจุน้ำอัดลมตรงหน้าฟ้าใสก็ดุขึ้นมาว่า “แล้วนี่ กินน้ำอัดลมอีกแล้ว มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ รู้ไหม”
     “โธ่ พี่วิน ฟ้าไม่ได้กินอย่างนี้ทุกมื้อนะ” ฟ้าใสทำเสียงเข้มใส่
     “เอาเหอะ ไม่เชื่อพี่ก็ช่าง” กวินท์ตัดบทห้วน ๆ หันไปเรียกบริกรหญิง สั่งอาหารสองสามอย่าง ปลาทอดของฟ้าใสถูกกวินท์เปลี่ยนเป็นปลานึ่งมะนาวแทน กวินท์หันกลับมาเห็นหญิงสาวทำหน้าบูด ๆ เลยเอื้อมมือไปกุมมือของแฟนสาวแล้วเอ่ยชวนยิ้ม ๆ อย่างเอาใจ
     “ปีใหม่นี้เราไปเที่ยวบ้านพี่ที่เชียงใหม่กันนะ คุณแม่พี่บ่นคิดถึงฟ้าใหญ่เลย บอกให้พาไปพบบ้าง”
     ฟ้าใสใจเต้นโครมคราม แต่ไม่ใช่อาการตื่นเต้นเพราะมีมือเรียวราวมือผู้หญิงมากุมมือของเธออยู่หรอก เพราะทั้งคู่ก็คบกันมานานถึงขั้นที่จะมีอะไรมากไปกว่าการจับมือถือแขนกันแล้ว แต่ที่ใจเต้นผิดจังหวะอยู่นี่ก็เพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่จะต้องตอบออกไปจะเป็นสิ่งที่ทำให้กวินท์ไม่พอใจมากไปกว่าที่เขาไม่พอใจเรื่องปลาทอดและน้ำอัดลมเมื่อครู่นี้เสียอีก
     “เออ... ฟ้ากำลังจะบอกพี่วินอยู่เลย ปีใหม่ปีนี้ฟ้าคงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ พ่อให้ฟ้าไปเยี่ยมนายเมฆที่อังกฤษ” ฟ้าใสกล่าวพลางหวังว่าการมีบิดาของเธอมาเป็นข้ออ้างจะทำให้แฟนหนุ่มไม่โกรธหนักเท่าครั้งที่แล้วที่เธอไปหาเพื่อนที่อเมริกา หญิงสาวไม่แปลกใจเมื่อกวินท์ปลดมือออกจากมือของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ
     “จะไปหามันทำไม ก็เพิ่งเจอกันเมื่อปีใหม่ที่แล้วนี่เองนี่ แล้วนี่เดี๋ยวกลางปีหน้ามันก็เรียนจบแล้วก็กลับมาไม่ใช่เหรอ”
     “ก็พ่อเป็นคนบอกว่าฟ้าน่าจะไปนี่ พ่อคงเป็นห่วงนายเมฆละมั้ง แล้วพ่อก็จองตั๋วเครื่องบินให้ฟ้าแล้วด้วย เงินก็จ่ายแล้ว”
     กวินท์ทุบมือลงบนโต๊ะอย่างไม่แรงนัก คงพอนึกเกรงใจอยู่บ้างว่าอยู่ในที่สาธารณะ
     “โธ่เว้ย... ร้อยวันพันปีไม่เห็นพ่อเธอเคยห่วงไอ้น้องชายตัวแสบของเธอเลยนี่ แล้วนี่นึกยังไงขึ้นมา” ชายหนุ่มกระฟัดกระเฟียด สรรพนามที่ใช้เรียกฟ้าใสก็เปลี่ยนไปในทันที
     “พี่วิน... ที่จริงพ่อห่วงนายเมฆนะ แต่พี่วินก็รู้ว่าสองคนนี้เขาระหองระแหงกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วปีนี้นายเมฆกลับนึกไม่อยากกลับบ้าน พ่อเลยใช้ให้ฟ้าไปดูน้องให้ไง” ฟ้าใสพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงรอมชอมทั้ง ๆ ที่ใจจริงของ ผู้เป็นพี่สาวจะรู้สึกขัดหูกับวาจาที่คู่รักใช้กล่าวถึงผู้ที่เป็นน้องชายคนเดียวของตัวเองเป็นอย่างที่สุด จะว่าไปแล้วเธอก็ควรจะชินได้แล้วกับการที่กวินท์เป็นแบบนี้ ในเมื่อก็รู้ ๆ อยู่ว่าสองคนนั้นเกลียดกันเข้าไส้ เมฆไม่ชอบที่กวินท์เจ้ากี้เจ้าการและพยายามบงการทุกฝีก้าวของพี่สาว และเมฆก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่มีต่อกวินท์ น้องชายของเธอแสดงออกให้กวินท์เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับในคนที่อาจจะมาเป็นพี่เขยมากขนาดไหน ทั้งด้วยท่าทีและคำพูดก่อกวนและเสียดสีต่าง ๆ นานา ซึ่งนั่นก็ทำให้กวินท์ไม่พอใจเมฆเป็นอย่างมาก หาว่าเมฆไม่มีสัมมาคารวะ ก้าวร้าว และสองคนจะต้องมีปากเสียงทุกครั้งที่เจอกัน
     “แล้วน้องเธอมันยังเป็นเด็กอมมืออยู่หรือไงถึงต้องตามไปดูถึงที่น่ะ โตเป็นควา... จนจะเรียนจบอยู่แล้วนะ” กวินท์ยั้งคำพูดไว้ทัน
     “พี่วิน... เมฆจะเด็กหรือไม่เด็ก เขาก็เป็นน้องคนเดียวของฟ้านะ” เสียงของฟ้าใสแข็งขึ้นด้วยโทสะ กวินท์เงียบเสียงไปครู่เพราะจังหวะนั้นบริกรเริ่มทยอยเอาอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่ออาหารมาครบชุดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาวก่อนถามอย่างใจเย็นขึ้นมานิดหนึ่งว่า
     “แล้วนี่จะไปเมื่อไหร่ ไปนานแค่ไหน แล้วจะไปอยู่ยังไงล่ะ”
     “กลางเดือนธันวานี่แหละค่ะ ไปสามอาทิตย์ แล้วก็จะไปพักกับเมฆ แล้วก็คงพากันเที่ยวในอังกฤษสักสองอาทิตย์” ฟ้าใสให้ข้อมูลครบถ้วน
     “ไปนานขนาดนี้แล้วฟ้าไม่มีกะจิตกะใจที่จะปรึกษาพี่ก่อนเลยใช่ไหม” กวินท์พูดเหมือนน้อยใจ แต่ฟ้าใสกลับไม่แน่ใจว่าเขาน้อยใจหรือตั้งใจกล่าวโทษเธอกันแน่...
     “พี่วิน... ฟ้าขอโทษ... คราวหน้าฟ้าจะถามพี่วินก่อนละกันนะคะ” ฟ้าใสประนีประนอม
     “ให้มันจริงนะฟ้า” กวินท์ไม่วายกระแทกเสียงใส่
     มันก็เข้าอีหรอบนี้ทุกที ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เจอกัน กวินท์จะต้องมีเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจในตัวเธออยู่ร่ำไป
     ฟ้าใสอดไม่ได้ที่จะนึกกลับไปถึงตอนที่เธอได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ใหม่ ๆ ตอนนั้นเธอเป็นน้องใหม่ปีหนึ่งเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนกวินท์นั้นเป็นรุ่นพี่อยู่ปีสี่ ครั้งแรกที่ฟ้าใสได้รู้จักกับเขาผ่านรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง เธอนึกชื่นชมในความที่เขามีลักษณะของผู้นำ เป็นผู้ใหญ่ พูดจามีเหตุมีผล และเมื่อตัวผู้ชายเองก็ให้ความสนใจในตัวเธอและตามจีบเธออยู่หลายเดือน หญิงสาวก็ตกลงปลงใจคบหากับเขา และเมื่อกวินท์เรียนจบแล้วออกไปทำงานที่บริษัทโฆษณา เขาก็ไม่เคยละเลยที่จะไปมาหาสู่กับเธอ เขามอบความมั่นคงสม่ำเสมอให้กับเธอมาโดยตลอด ทว่าพอกวินท์ทำงานไปได้สักสองปีเศษ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาได้รับเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าทีมงานอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาก็เริ่มที่จะเข้มงวดเคร่งครัดกับการปฎิบัติตัวของทั้งตัวเองและแฟนสาว ตอนแรกฟ้าใสคิดว่าคงเป็นเพราะเขาเครียดกับหน้าที่การงาน เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่านานวันชายหนุ่มก็จะยิ่งเคร่งครัดกับเธอมากขึ้นทุกที
     กวินท์ขับรถมาส่งฟ้าใสที่บ้านหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จ เขาส่งถึงหน้าบ้านแล้วบึ่งรถกลับออกไป ฟ้าใสส่ายหน้าตามหลัง มันก็เป็นอย่างนี้ทุกทีแหละนะ พบปะกันทีไรต้องมีเรื่องที่จะต้องขัดใจกันแทบจะทุกทีไป เธอรู้สึกเหนื่อยและหน่ายที่จะต้องคอยขอโทษกวินท์ ทั้ง ๆ ที่บางทีเธอก็ไม่แน่ใจว่าทำอะไรผิด
     ฟ้าใสเปิดประตูบ้านเข้าไป ชะงักเมื่อเห็นรองเท้าส้นสูงปรี๊ดคู่หนึ่งวางอยู่ นั่นไม่ใช่รองเท้าของเธอแน่ ๆ เพราะไม่ใช่รสนิยมที่จะใส่ส้นสูงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าผู้เป็นบิดาพาผู้หญิงเข้าบ้าน... ฟ้าใสกำลังยืนคิดอยู่ว่าจะกลับออกไปเดินเล่นหน้าปากซอยหรือเข้าไปมุดตัวอยู่ในห้องนอนตัวเองดี พอดีที่เห็นสาวใหญ่ผมหยิกฟูคนหนึ่งเดินอมยิ้มอย่างครึ้มใจลงบันไดมาจากชั้นบน ร่างกายของเธอมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวนวลของฟ้าใสพันตัวอยู่ เจ้าหล่อนสะดุ้งจนต้องชะงักเมื่อเห็นฟ้าใสยืนตัวแข็งอยู่ที่หน้าประตู
     “อุ๊ย...” เงียบกันไปทั้งสองฝ่าย จนผู้หญิงผมหยิกคนนั้นต้องเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “เอ่อ... มาเอาน้ำแป๊ปเดียวค่ะ” ว่าแล้วเธอก็เดินคอแข็งเข้าไปยังห้องครัว ไม่มีอาการระริกระรี้เหมือนเมื่อครู่ ฟ้าใสพูดเสียงเย็นชาตามหลังเจ้าหล่อนขึ้นมาว่า
     “นั่นผ้าเช็ดตัวของฉัน”
     สาวผมฟูคนนั้นหันมา ตอนแรกทำท่าคล้ายจะโกรธที่ลูกสาวของคู่ขาไร้มารยาทและทำเสียงปั้นปึ่งใส่เพราะถือว่าตัวเองอาวุโสกว่า แต่แล้วก็อาจจะสำนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดูดีนัก และดวงตาของฟ้าใสที่จ้องเป๋งมาที่เธอนั้นเห็นชัดว่าเอาเรื่องแน่ สาวผมฟูจึงได้แต่ตอบเสียงเบา ๆ เรียบร้อยขึ้นมาทันทีว่า
     “แล้วจะซักคืนให้นะคะ”
     “ไม่ต้อง” ผู้อาวุโสน้อยกว่าเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ พลางปรายตามองผู้อาวุโสมากกว่าด้วยสายตาที่ตำหนิชัดเจน “เธอเอาไปทิ้งขยะได้เลย” ว่าแล้วฟ้าใสก็หันกลับไป กำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอกอีกครั้งเมื่อมีเสียงบิดาเรียกดังมาจากข้างหลัง
     “ฟ้า... เข้าบ้านก่อนสิลูก”
     ฟ้าใสนิ่งไปก่อนตอบออกมาโดยไม่เหลียวหลังมามองหน้าว่า
     “ไว้รอให้พ่ออยู่ในสภาพที่ไม่ทุเรศแบบนี้ก่อนดีกว่ามั้งคะ” บุตรสาวกระแทกเสียงและเดินออกจากบ้านไปพร้อมกระแทกประตูดังปังตามหลัง
     ฟ้าใสออกมาเดินตุปัดตุเป๋อยู่ที่ถนนใหญ่หน้าปากซอย เวลามืดค่ำแล้วแต่ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่ ร้านแบกะ ดินเรียงรายอยู่ตามทางเท้า นี่ถ้าไม่ได้ขัดใจกับกวินท์มาเธอจะหันหน้าพึ่งเขาได้ไหม ฟ้าใสตอบตัวเองไม่ได้ จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอใช้เวลาอย่างสบายใจกับกวินท์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หวนนึกไปถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที ผ้าเช็ดตัวของเธอแท้ ๆ ทำไมพ่อให้เอามาใช้ มันทำให้เธออดนึกไปถึงวันเกิดเหตุที่แฟนของพ่อใส่สร้อยทับทิมของแม่ไม่ได้ วันที่เมฆถูกพ่อผลักจนเกิดอุบัติเหตุ วันที่สร้อยของแม่อันตรธานหายไปกับผู้หญิงคนนั้นทั้ง ๆ ที่พ่อบอกว่าแค่ให้ยืม
     ฟ้าใสเดินใจลอยอยู่จนกระทั่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้น เห็นชื่อและหมายเลขว่าเป็นบิดาของตน แม้จะยังไม่อยากคุยด้วย แต่เธอก็ผลักดันความรู้สึกนั้นออกไปแล้วรับสายอย่างเสียไม่ได้
     “ฮัลโหล”
     “ฟ้า... พ่อเองนะ”
     “ค่ะ” ฟ้าใสสงวนคำพูด
     “เรื่องเมื่อครู่ … เอ่อ … พ่อขอโทษ” ณรงค์เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “พ่อนึกว่าฟ้าจะกลับดึกเสียอีก เห็นว่าไปเที่ยวกับตาวินเขานี่”
     “จะกลับดึกกลับเช้ายังไงพ่อก็ไม่น่าทำอย่างนั้นนะคะ ฟ้าเคยขอพ่อกี่ครั้งแล้วคะว่าอย่าพาผู้หญิงเข้าบ้าน” น้ำเสียงฟ้าใสเริ่มมีโมโหและดังขึ้นตามลำดับ “ฟ้าเคยขออะไรพ่อมากไหมคะ ทำไมฟ้าขอแค่นี้พ่อทำให้ฟ้าไม่ได้” ไม่มีเสียงตอบกลับมา ฟ้าใสเองก็เบรกแตก “แล้วผ้าเช็ดตัวผืนนั้นก็เป็นของฟ้า เอาไปใช้ทำไม ฟ้าไม่ชอบ ฟ้าขยะแขยง เข้าใจไหมคะ”
     “พ่อเข้าใจ พ่อผิดเอง ฟ้ากลับบ้านเถอะลูก เขากลับไปแล้ว”
     “เอาเป็นว่าฟ้าขอพ่ออีกครั้งนะคะ พ่อจะไปทำอะไรกับใครที่ไหนก็เรื่องของพ่อ ฟ้าเป็นแค่ลูก ฟ้าไม่มีสิทธิ์ห้ามหรือว่าพ่ออยู่แล้ว แต่บ้านเรานี่ก็เป็นบ้านของฟ้าเหมือนกันนะคะ ฟ้าขอล่ะค่ะ... อย่าพาใครมาทำอะไรที่บ้านอีก เพราะถ้าฟ้าจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลยก็แสดงว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของฟ้า และถ้ามันไม่ใช่บ้านของฟ้า ก็หมายความว่าฟ้าไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกต่อไป” ฟ้าใสเสียงแข็งยื่นคำขาด     

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา