ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ

-

เขียนโดย Richa

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) อนาคิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บนโต๊ะอาหารสำหรับค่ำคืนนี้ น้ามะปรางและครูวายุนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ครูวายุเคยเป็นชายหนุ่มขวัญใจสาวน้อยทั้งโรงเรียน แม้น้ามะปรางจะเป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเขาถึง 2 ปีแต่เธอก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าครั้งหนึ่ง เธอเคยปลื้มปริ่มกับนักเตะหนุ่มรุ่นน้องอย่างครูวายุอยู่ไม่ใช่น้อย น้ำและธารนั่งซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนทั้งคู่จึงต้องนั่งกินอาหารค่ำกันอย่างเงียบเชียบแอบฟังบทสนทนาอันแสนหวานของสองหนุ่มสาวรุ่นใหญ่ สองพี่น้องจึงทำได้เพียงจ้องมองหน้ากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ 

“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าครูวายุกับน้ามะปราง เคยมีอดีตชาติร่วมกันมา” น้ำพูดแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาทในขณะที่ครูวายุและน้ามะปรางกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน 

แม้ครูวายุจะเป็นครูประจำชั้นของธารและครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นครูประจำชั้นของเธอ แต่เธอก็ไม่ชอบใจนักที่ครูวายุมาสนิทสนมกับน้าสาวของเธอมากจนเกินไปขนาดนี้ เธอสัมผัสได้ถึงความพิเศษบางอย่างในตัวเขาว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เพียงแต่เธอและธารยังค้นหาตัวตนของเขาไม่พบเท่านั้นเอง 

“อดีตชาติที่ไหนกัน ก็ชาตินี้ล่ะ” น้ามะปรางยิ้มจนแก้มปริจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างบุ๋มลงไปอย่างชัดเจน 

“เราสองคนไม่เคยมีอดีตชาติร่วมกันมาก่อน ถ้าอยากจะมีความสัมพันธ์อันดีก็ต้องเริ่มกันชาตินี้และตอนนี้” ครูวายุหันมามองน้ำด้วยแววตาขึงขัง นัยน์ตาคู่นี้เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่งหนึ่งมานานแสนนาน แต่เธอจดจำมันไม่ได้ 

“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ” น้ามะปรางพูดออกไปอย่างเขินอาย ใบหน้าสีขาวเนียนนั่นเริ่มมีสีแดงก่ำอย่างขวยเขิน 

“ระวัง!! นั่นมันพริก! ขืนกินเข้าไปคุณจะกินอาหารต่อไม่ได้เลยนะ” ครูวายุเอื้อมมือมาจับข้อมือของน้ามะปรางเอาไว้ได้ทันก่อนที่อาหารคำโตจะเข้าถึงปาก 

“ตายจริง!! นี่ฉันเผลอตักพริกเหรอนี่” น้ามะปรางอุทานออกมาอย่างตกใจ พวงแก้มที่แดงก่ำอยู่แล้วก็เข้มขึ้นไปอีกจนเป็นสีแดงทั่วทั้งใบหน้า 

ครูวายุจ้องมองใบหน้าแสนสวยของน้ามะปราง นัยน์ตาที่คมเหมือนเหยี่ยวคู่นั้นจ้องมองเหมือนน้ามะปรางคือเหยื่ออันโอชะ อุ้งมือที่แข็งแรงของเขาวางทาบลงไปบนหลังมือของน้ามะปราง และค่อย ๆ กดมือน้ามะปรางอย่างลงช้า ๆ เขาใช้ส้อมของเขาเขี่ยจนพริกเม็ดนั้นร่วงหล่นจากช้อนของน้ามะปราง 

“น้ำอิ่มแล้ว จะเสียมารยาทมั้ยคะ ถ้าน้ำจะขอตัวไปพักผ่อน” น้ำพยายามจะปลีกตัวออกมา แม้เธอจะไม่ชอบใจนักกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่การอยู่เป็นก้างขว้างคอก็คงไม่ได้ผลแน่เพราะน้ามะปรางดูมีใจกับครูวายุเหลือเกิน 

“ไม่เสียมารยาทหรอก ครูกับน้ามะปรางของเธอมีเรื่องราวที่ต้องพูดคุยกันอีกยาว ... ตลอดทั้งคืน” นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองมาที่น้ำ เธอไม่รู้ว่าเธอมองเห็นอะไรในแววตาคู่นั้น มันมีความหมายอะไรบางอย่าง แต่เธออ่านมันไม่ออก 

“ผมก็อิ่มแล้ว ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร ผมก็ขอตัวเช่นกันครับ” ธารวางช้อนกับส้อมลงบนจานอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง 

“แบบนี้เขาเรียกว่าเสียมารยาท” ครูวายุหันมาตำหนิธาร 

“ธาร!!!” น้ามะปรางหันมาจ้องธารด้วยสีหน้าและแววตาที่ดุดันแต่มันใช้ไม่ได้ผลกับธาร ธารลุกออกจากโต๊ะอาหารไปอย่างไม่รีรอ และเร็วเกินกว่าที่น้ามะปรางจะอ้าปากตำหนิคำใดออกมา 

“ธาร รอพี่ด้วย” น้ำตะโกนเรียกพลางวิ่งตามน้องชายไปติด ๆ

“นายเป็นอะไร ทำไมนายถึงได้กลัวครูวายุ” น้ำเปลี่ยนจากเสียงตะโกนเป็นเสียงกระซิบในขณะที่เธอกำลังยืนอยู่ตามลำพังกับน้องชายหน้าห้องนอนของเขา 

ธารดึงมือพี่สาวเข้าไปในห้องน้ำอย่างรีบร้อน ชั้นบนของบ้านมีห้องน้ำทั้งหมด 2 ห้อง ห้องน้ำห้องแรกเป็นห้องน้ำส่วนตัวซึ่งอยู่ในห้องนอนของพ่อและแม่ ตอนนี้ห้องนอนนั้นก็ถูกปิดตายไปพร้อมกับทั้งสองคน และอีกหนึ่งห้องน้ำคือห้องน้ำที่ใช้ร่วมกันกับอีกสามห้องนอน ซึ่งมีห้องนอนของธาร น้ำ และห้องนอนสำหรับแขกคนสำคัญซึ่งน้ามะปรางมักจะมาครอบครองทุกครั้งที่มาพักที่บ้านหลังนี้ 

“พี่รู้สึกมั้ย ว่าครูวายุคนนี้ ไม่ใช่ครูวายุ” ธารกระซิบบอก ขณะที่เปิดก๊อกน้ำให้มีเสียงน้ำดังฟู่ ๆ 

“ถ้าครูวายุไม่ใช่ครูวายุแล้วครูวายุคนนี้เป็นใคร?” น้ำยังคงกระซิบถามให้เบาที่สุดพอที่ธารจะได้ยินผ่านเสียงน้ำที่เปิดจากก๊อก 

“ผมก็ไม่รู้ ผมไม่กล้าจ้องตาของเขา มันเหมือนมีเงาของใครบางคนหรืออะไรบางอย่างซ้อนทับอยู่ในนั้น ผมมองไม่เห็นแต่พ่อของเรามองเห็น” ธารมีแววตาครุ่นคิด 

“พ่อบอกอะไรนาย?” 

“พ่อไม่ได้บอกอะไรผมแต่ผมสังเกตเอา ทุกครั้งที่พวกเขาเจอกันต้องต่อสู้กันตลอด พี่ก็รู้แล้วว่าพ่อของเราเป็นใคร พี่อาจจะไม่เคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของพ่อด้วยตาตัวเอง แต่ผมเคยเห็นมันมาแล้ว ถ้าครูวายุไม่มีพลังอำนาจมากพอ เขาจะสามารถต้านทานพละกำลังของพ่อเราได้เหรอ” ธารตั้งข้อสงสัย 

“พี่เองก็คิดแบบนั้น เมื่อก่อนครูวายุเข้ามาในนี้ได้คงเพราะแม่เป็นคนเชิญ แต่วันนี้น้ามะปรางเป็นคนเชิญเขาเข้ามา” 

“ผมไม่รู้ว่าแม่มีธุระอะไรกับครูวายุ แต่เท่าที่ผมเดาออก น้ามะปรางต้องแอบชอบครูวายุมานานมากและกำลังโดนครูวายุหลอกใช้ จะด้วยเหตุผลอะไร เราต้องกีดกันทั้งคู่ออกไป” 

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น “น้ามะปราง เหรอคะ สักครู่นะคะ น้ำกำลังล้างหน้าค่ะ” หญิงสาวตะโกนออกไปพร้อมกับรีบใช้มือประคองน้ำที่ไหลซู่ ๆ จากก๊อกน้ำขึ้นมาประคบที่หน้าเพื่อทำให้เหมือนคนที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จ

“น้ามะปรางมีอะไรรึเปล่าคะ” น้ำเดินไปเปิดประตูขณะที่ธารกระโดดหลบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของประตู 

“ครูวายุ!!!” หญิงสาวสะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อคนที่เธอคาดหวังว่าจะเจอกลับไม่ใช่น้ามะปรางแต่เป็นอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอแทน “น้ามะปรางไปไหนคะ”   

“นี่คะ วายุ ผ้าขนหนู คุณใช้ผืนนี้ได้” น้ามะปรางเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูสีขาวสะอาดใหม่เอี่ยม มีกลิ่นหอมของน้ำหอมกลิ่นเดียวกับที่น้ามะปรางชอบใช้ติดมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนนั้นด้วย เหมือนน้ามะปรางคงจงใจหยดน้ำหอมคู่ใจนี้ลงไป 

“ห้องน้ำไม่ว่างเสียแล้วครับ เดี๋ยวผมลงไปอาบน้ำข้างล่างแล้วก็นอนที่โซฟาเลยแล้วกัน” ครูวายุรับผ้าขนมือจากมือน้ามะปรางไปพร้อมกลับหลังหันจะเดินลงไปบันไดไปด้านล่างโดยไม่สนใจว่าน้ามะปรางกำลังจะมีท่าทีอย่างไร 

“ไหนคุณบอกว่าจะขอนอนที่ห้องของพี่มะนาวกับพี่อาร์ท ... ไงคะ ห้องนอนนั้นก็มีห้องน้ำนะคะ” น้ามะปรางพูดพลางยืนทำหน้างงงวย แต่ช้าเกินไปครูวายุเดินหันหลังลงบันไดไปโดนไม่หันหน้ากลับมาอีกและอาจจะไม่ได้ยินที่น้ามะปรางพูดด้วยซ้ำ นอกเสียจากว่าเขาจะมีอำนาจหยั่งรู้พิเศษเหนือมนุษย์ 

“อย่าบอกนะคะ ว่าน้ามะปรางเชิญครูวายุให้มานอนค้างที่บ้านของเรา” น้ำเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเป็นตวาด 

“น้ารู้สึกแย่มากเลยนะ ที่หลาน ๆ ของน้าทำเหมือนน้าไม่ใช่ผู้ปกครองของพวกเขา วายุเป็นแขกของน้าและเขาก็เป็นอาจารย์ประจำชั้นของธาร ธารโดนไล่ออกเพราะทำตัวแย่!!! น้ากำลังหาวิธีช่วยเขาอยู่ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ธารที่ทำตัวแย่ น้ำเองก็เริ่มทำตัวแย่แล้วเหมือนกัน” น้ามะปรางสะบัดหน้าเดินเข้าห้องนอนไปด้วยท่าทีไม่พอใจปล่อยให้หญิงสาวต้องรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองอยู่หน้าห้องน้ำ

หญิงสาวล้มตัวลงนอนด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ เธอสับสนและวุ่นวายใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อของเธอคืออมนุษย์ น้องชายของเธอก็เป็นอมนุษย์ ชายแปลกหน้าที่ทำให้เธอว้าวุ่นใจเขาคนนั้นก็ยังคงเป็นอมนุษย์เช่นเดียวกัน และพวกเขาทั้งสามต่างก็ลึกลับ ความสับสนว้าวุ่นใจทำให้เธอนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงสปริงนุ่ม ๆ ในหัวสมองของเธอมีเรื่องราวมากมายให้ขบคิด เสียงฝนตกและฟ้าร้องที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกไม่อาจจะทำให้เธอตกใจจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้เพราะเธอยังนอนไม่หลับ สายฝนยังคงสาดกระหน่ำอยู่เช่นนั้น จนฟ้าเริ่มสาง นัยน์ตาที่อ่อนล้าของเธอจึงค่อย ๆ ปิดลง 

“พี่น้ำ ตื่นเร็วเข้า” เสียงที่ตะโกนเรียกอย่างร้อนรนพร้อมกับการถูกเขย่าตัวปลุกอย่างแรงทำให้หญิงสาวต้องต่อสู้กับความง่วงเหงาหาวนอนเพื่อลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับคนที่เรียกร้องให้เธอต้องตื่นนอน 

“ธาร? นี่นายเข้ามาในห้องของพี่ได้ยังไง” หญิงสาวเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงอู้อี้ของคนเพิ่งตื่นนอน 

“ผมเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อคืนพี่คงลืมปิดหน้าต่าง” ธารตอบ 

หญิงสาวชำเลืองมองไปที่หน้าต่าง ใช่แล้ว! เมื่อคืนนี้เธอคงลืมปิดหน้าต่าง เพราะฝนตกหนักและไฟดับทั้งเมือง อากาศภายในห้องของเธอร้อนอบอ้าวจนทำให้หญิงสาวต้องเปิดหน้าต่างไว้แล้วนอนฟังเสียงฝนจนใกล้สว่างกว่าจะเผลอหลับไป 

“นายปืนขึ้นมาเหรอ?” 

“ผมเลื้อยขึ้นมาต่างหากล่ะ ตื่นเร็วเข้าพี่น้ำ!! เมื่อคืนฝนตกหนักทั้งคืน เช้านี้แม่น้ำโขงขึ้นมาสูงมาก ถ้าน้ำขึ้นมาถึงพื้นที่ในรีสอร์ทของเรา สายน้ำก็จะซึมผ่านเกราะป้องกันที่พ่อของเราสร้างไว้เข้ามาด้านในได้ พวกพญานาคก็จะแปลงกายเป็นงูเล็กซึมผ่านสายน้ำเข้ามา” ธารบอกพี่สาวอย่างร้อนรน 

หญิงสาวลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ความง่วงเหงาหาวนอนได้มลายไปตั้งแต่นาทีนั้น เธอรีบวิ่งลงไปด้านล่างทั้ง ๆ ที่ยังใส่ชุดนอนตัวจิ๋วโดยไม่ลืมที่จะหยิบผ้าคลุมสวมทับอีกที หญิงสาววิ่งตรงไปที่เก้าอี้ไม้แกะสลักของพ่อที่ท้ายรีสอร์ทเพื่อจะสังเกตการณ์ และเธอก็มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวนั้น มือข้างหนึ่งของเขาโอบกอดไหล่ของหญิงสาวรูปร่างบอบบางไว้อย่างอบอุ่น ผมที่ยาวสลวยหยิกเป็นลอนของเธอคนนั้นปลิวสะบัดพลิ้วไปตามแรงลม หญิงสาวรีบวิ่งตรงไปยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเขาทั้งคู่ 

“ครูวายุ!!! น้ามะปราง ...” น้ำอุทานออกมาเบา ๆ กับภาพที่เห็นตรงหน้า 

น้ามะปรางนอนหลับตาพริ้มยิ้มละไมเหมือนคนที่กำลังหลับฝันอย่างมีความสุขอยู่บนไหล่กว้างของครูวายุ อากาศยามเช้าที่ยังคงเต็มไปด้วยน้ำค้างแต่ครูวายุกับน้ามะปรางลงมานั่งชมวิวริมกันแต่เช้าเลยเหรอ? แล้วทำไมน้ามะปรางหลับใหลเหมือนคนยังไม่ได้สติ น้ำจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาคำตอบ ส่วนธารไม่ได้สนใจกับภาพตรงหน้าแต่อย่างใด แววตาของเขาจ้องลงไปที่ริมน้ำโขงอย่างเลื่อนลอยเหมือนโดนมนต์สะกดแล้วเดินออกจากเกราะป้องกันของพ่อไป 

“ธาร ... อย่า ...” เสียงทุ้มต่ำของครูวายุดังก้องกังวานเพื่อห้ามปราม ธารออกไปจากเกราะป้องกันแล้วและเขากำลังก้าวลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า แต่มันไม่ได้เชื่องช้าอย่างที่หญิงสาวมองเห็น มันคือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเงียบเชียบเกินกว่าที่จะเป็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์!!! 

“ธาร!!!!” น้ำตะโกนออกไปจนสุดเสียง ร่างกายของธารเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง เขาไม่ได้เป็นมนุษย์เด็กผู้ชายอีกต่อไปแล้ว แต่เขากลายร่างเป็นอสรพิษขนาดใหญ่ยักษ์และกำลังเลื้อยลงสู่แม่น้ำโขงอย่างรวดเร็ว 

“น้ำอย่าออกไป” ครูวายุลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ยาวอย่างรวดเร็วเพื่อคว้ามือของหญิงสาวไว้ เขาปล่อยให้ศีรษะน้ามะปรางที่เคยอยู่บนไหล่ของเขาร่วงลงมาปะทะพื้นไม้และกองอยู่เก้าอี้ยาวนั้นอย่างไม่ไยดี ส่วนน้ามะปรางก็ยังคงหลับสนิทเหมือนคนต้องมนต์สะกดอยู่เช่นเดิม 

หญิงสาวเหลือบตาไปมองดูน้าสาวที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว น้ามะปรางยังคงปลอดภัยอยู่ในเกราะป้องกันแห่งนี้แต่ธารกำลังตกอยู่ในอันตราย หญิงสาวรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีสะบัดสุดแรงจนหลุดออกจากข้อมือของครูวายุในทันที 

น้ำวิ่งตามธารลงไปสู่ริมหาดด้านล่างอย่างรวดเร็วที่สุด การวิ่งครั้งนี้คือการวิ่งครั้งที่เร็วที่สุดในชีวิตของเธอแต่มันก็ยังช้ากว่าการเคลื่อนที่ของธาร ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอทำให้เธอพลาดจนสะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดและนี่ก็จัดเป็นสถิติครั้งใหม่ของเธอเพราะมันเร็วกว่าทุกการเคลื่อนที่ในทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่เธอก็ไม่อาจจะควบคุมการเคลื่อนที่ครั้งนี้ไม่ได้เลย หญิงสาวหมุนติ้วลงไปเรื่อย ๆ ตามขั้นบันได 

จ๋อม!!! ร่างของหญิงสาวร่วงลงสู่แม่น้ำโขงอย่างไร้การควบคุมทิศทาง แต่แล้วร่างกายของเธอก็ลอยละลิ่วขึ้นมาจากผิวน้ำอีกครั้ง แขนของเธอพยายามจะไขว่คว้าอะไรให้ได้สักอย่างและเธอก็พบว่าสิ่งที่คว้ามาได้คือต้นคอด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่ง ร่างกายของเธอถูกอุ้มขึ้นมาจากแม่น้ำโดยอ้อมแขนของเขาคนนั้น หนุ่มลาวผู้มีตาสีเขียว 

“อนันดา!!” หญิงสาวพึมพำเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมาทันทีที่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้คือเขา 

“ธาร ...” เสียงเล็ก ๆ ดังก้องมากระทบโสตประสาทของเธอ หญิงสาวดิ้นอีกครั้ง เธอพยายามสะบัดตัวจนหลุดออกมาจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม ร่างของเธอร่วงลงสู่แม่น้ำอีกครั้ง ตอนนี้ระดับน้ำอยู่ระหว่างอกของเธอ หญิงสาวพยายามจะเดินลงไปในแม่น้ำโขงให้ลึกลงไปอีกเพื่อตามน้องชายของเธอลงไป แต่พลังกำลังอันมหาศาลของชายหนุ่มดึงรั้งร่างกายของหญิงสาวเอาไว้ เขาดึงร่างของเธอมาแนบไว้ในอ้อมกอดของเขา แขนของเขาโอบกอดรอบเอวเล็กคอดกิ่วของเธอ ยิ่งหญิงสาวพยายามจะดิ้นรนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นคล้ายการโอบรัดของอสรพิษ แต่เป็นอสรพิษที่ไม่มีพิษภัยกับเธอ มีแค่อ้อมกอดของความห่วงใยเท่านั้นที่โอบกอดเธอเอาไว้ 

“คุณลงไปไม่ได้ คุณจะจมน้ำตาย” เสียงของชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน 

หญิงสาวจ้องมองไปยังแม่น้ำโขงที่เชี่ยวกราก ตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำตาลขุ่น มีลูกคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงเป็นระยะ ธารในร่างของพญานาคโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำเพียงเล็กน้อย ลำตัวยาวสีดำสนิทของเขาพยายามจะดิ้นรนหนีจากการถูกจำกุมของพญานาคอีก 6-7 ตน และแล้วความมืดมิดเข้ามาปกคลุมทั่วบริเวณ ลมพัดแรงจนระลอกคลื่นของน้ำกระเพื่อมอีกครั้ง วุ๊บ วุ๊บ วุ๊บ วี๊ด วี๊ด วี๊ดดดดด! เสียงนี้อีกแล้ว มันคือเสียงนกร้องที่ดังก้องอยู่กลางอากาศ มันโฉบลงไปกลางแม่น้ำแล้วคว้าร่างของธารติดอุ้งเท้าของมันไปด้วย 

หญิงสาวกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วเธอก็ถูกใครบางคนหรืออะไรบางอย่างคว้าร่างของเธอไปพร้อมกับมีการเคลื่อนย้ายจากจุดที่เธอยืนอยู่ไปยังที่ไหนสักแห่งด้วยความเร็วสูง ทุกหนทุกแห่งที่เธอเคลื่อนที่ผ่านไป หญิงสาวจะมองไม่เห็นมันด้วยตาเปล่าแต่ถูกมองเห็นเป็นภาพที่พร่ามัวเหมือนการดูภาพยนตร์ที่เพิ่มความเร็วจนไม่อาจจะจับภาพได้ชัดเจน เธอสัมผัสได้แค่เพียงความรู้สึกเท่านั้น 

ในความรู้สึกที่หญิงสาวสัมผัสได้เหมือนมีลมพัดผ่านผิวหนังอย่างรวดเร็ว บางครั้งสายตาอันพร่ามัวของเธอก็มองเห็นก้อนหินขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า แล้วเธอก็ถูกพาเลี้ยวหลบก้อนหินก้อนนั้นก่อนที่จะพุ่งชนอย่างจัง บางครั้งก็ผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล บางครั้งก็ผ่านผืนทรายสีขาวละเอียด บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนมีใบพัดขนาดมหึมากระพืออยู่ด้านบนเหนือศีรษะ ใบพัดขนาดใหญ่ยักษ์นั้นมันพัดแรงจนเธอหนาวสะท้านไปทั่วกระดูกไขสันหลัง 

ในที่สุดหญิงสาวก็ถูกเคลื่อนย้ายผ่านแม่น้ำที่เย็นเฉียบแล้วไปโผล่ยังโขดหินที่ไหนสักแห่ง มันเป็นโขดหินขนาดใหญ่เรียงรายกระจายไปทั่วบริเวณ หญิงสาวไม่เคยมาที่นี่แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนสถานที่แห่งนี้คือความทรงจำในอดีตเมื่อนานมาแล้ว หญิงสาวถูกวางลงอย่างมั่นคงและโดนประคองให้ยืนตัวตรง ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะยืนทรงตัวไม่อยู่ แม้เธอจะพยายามควบคุมตัวเองให้หยุดยืนนิ่ง ๆ แต่ความรู้สึกมันเหมือนเธอเพิ่งเดินลงมาจากรถไฟเหาะตีลังกาที่ผาดโผนไปมาด้วยความเร็วสูงสุดโดยหมุนติ้วอยู่กลางอากาศหลายสิบรอบ แล้วดิ่งลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว 

หญิงสาวยังคงยืนโซเซไปมาภายใต้อ้อมแขนของชายคนหนึ่ง มันไม่ใช่อ้อมแขนที่เธอคุ้นเคยเลย เธอสัมผัสได้เพียงแค่ความเยือกเย็นในอ้อมแขนนั้น แต่แล้วก็เหมือนมีพลังงานลึกลับบางอย่างโผล่เข้ามาและผลักร่างกายของชายคนนั้นให้พ้นไปจากตัวเธอ และเขาก็เข้ามาแทนที่เพื่อประคองร่างกายเธอเอาไว้ ชายคนแรกที่ขโมยตัวเธอมาและประคองเธอไว้ก่อนจะโดนผลัก ตอนนี้เขาคนนั้นกลิ้งหลุน ๆ อยู่กับพื้นหินเบื้องหน้า 

“อย่า .. มายุ่งกับผู้หญิงของกู!!!” น้ำเสียงที่มีพลังเสียงหนึ่งดังก้องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ เขาไม่ได้เป็นคนพาเธอมายังสถานที่แห่งนี้ แต่ใครอีกคนที่ลักพาตัวเธอมาและเขาก็รีบรุดตามมาเพื่อช่วยเหลือเธอในทันที 

“น้ำจะต้องขอบใจเราที่พาเธอมา เพราะคนอย่างนายไม่มีวันที่จะพาเธอตามมาในระยะกระชั้นชิดแบบนี้แน่นอน” นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายกับใบหน้าคมเข้มนั้นเชิดขึ้นอย่างท้าทาย 

หญิงสาวจดจำใบหน้านี้ได้ดีมันคือใบหน้าของชายผู้มีชื่อว่า อนาคิน หนุ่มผู้มีตาสีเขียวอีกคนที่หญิงสาวพบเจอในถ้ำนาคราชแห่งนั้น ถ้ำที่พ่อของเธอไปปฏิบัติธรรมจนนายบ้าและนายใบ้ไปพบเจอ ถ้ำที่น้องชายผู้น่าสงสารของเธอต้องกลายเป็นนาคชั้นต่ำอย่างไร้ความปรานี เพราะคำขู่เข็ญของผู้ชายคนนี้ 

“ใช่มั้ยจ๊ะคนสวย” เขาหันมายิ้มละไมให้หญิงสาว 

หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง กำยำ ใบหน้าของเขาช่างหล่อเหลามีเสน่ห์มัดใจสาว รูปหน้าของเขาคล้ายคลึงกันกับอนันดา นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นก็คล้ายคลึงกัน เพียงแต่อนาคินมีแววตาของความเจ้าเล่ห์แสนกลและไม่มีแววตาที่อ่อนโยนเหมือนเช่นอนันดา 

“ยินดีที่ได้พบกัน ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยนะ ผมชื่อ อนาคิน เป็นพี่ชายของอนันดา” ใบหน้านั้นยังคงมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาที่หญิงสาวและเขาก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อเห็นสีหน้าที่บึ้งตึง โกรธแค้นของเธอ 

เมื่อความโกรธแค้นทั้งหมดที่เธอมีทำอะไรเขาไม่ได้ บวกกับสติสัมปชัญญะของเธอเริ่มคืนกลับมาจากอาการวิงเวียนเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หญิงสาวจึงละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าและจ้องมองไปยังพญานาคสีดำสนิทที่กำลังถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์คีบเอาไว้ เจ้าของกรงเล็บนั้นมีรูปร่างครึ่งบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย ครึ่งล่างตั้งแต่เอวลงมาถึงบั้นท้ายและขาเป็นนก ปีกขนาดใหญ่มหึมานั้นกระพือไปมาอยู่กลางอากาศ ส่วนศีรษะนั้นคือมนุษย์ที่มีรูปหน้านั้นเหมือนมนุษย์ผู้ชายทั่วไปเพียงแต่ปากที่ยื่นออกมาจากใบหน้านั้นมันไม่ใช่ปากของ มนุษย์!!! แต่มันคือปากของนกขนาดใหญ่ ความใหญ่โตของปากมันเกือบจะกินพื้นที่ทั้งหมดบนใบหน้า 

“จงปล่อยนาคราชน้อยนั่นไปเถอะท่าน! มันเป็นแค่นาคชั้นต่ำ ไม่คู่ควรจะเป็นอาหารครุฑชั้นสูงอย่างท่านหรอก” เสียงเย้าแหย่ดังมาจากชายผู้มีตาสีเขียว นามว่า อนาคิน เขาละสายตาจากหญิงสาวไปจ้องมองยังพญานาคสีดำสนิทและพญาครุฑที่กระพืออยู่เบื้องหน้าอย่างท้าทาย คล้ายพวกขาทั้งสองเคยรู้จักและคุ้นเคยกันมาก่อน 

หญิงสาวพยายามจะตั้งสติและยืนตัวให้ตรงแต่ก็ยังไม่สามารถทรงตัวได้ ร่างกายของเธอยังโอนเอนไปมาโดยมีท่อนอกขนาดใหญ่และแข็งแรงของอนันดาเป็นเหมือนกำแพงป้องกันเธอไว้ไม่ให้ล้มลง แขนทั้งสองข้างของเขาก็ยังคอยประคองร่างกายของเธอเอาไว้อีกทีหนึ่งอย่างทะนุถนอม 

“ใครบอกเจ้า ว่าเราจะเอามันมากินเป็นอาหาร ให้เป็นเสนียดปากของเรา” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ภาษามนุษย์!! แต่เป็นเพียงเสียงจิ๊บ จิ๊บ เหมือนเสียงนกที่กำลังส่งเสียงร้องคุยกัน แต่หญิงสาวสามารถรับฟังและเข้าใจได้อย่างชัดเจน 

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจับมันมาทำไม ให้แปดเปื้อนอุ้งเท้าของท่านเล่า” อนาคินยังคงเจรจากับพญาครุฑเบื้องหน้า 

“มิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า เจ้ากล้าดียังไงมาเจรจากับเรา แม้เจ้าจะเป็นนาคราชผู้มียศศักดิ์แล้ว แต่ศักดาของเจ้าก็น้อยกว่านัก เราไม่อยากเสียเวลาไปเจรจาพาทีกับเจ้าหรอก ไปซะ ก่อนที่เราจะเล่นงานเจ้าเสียอีกคน” เสียงจิ๊บ ๆ ดังขึ้นเหมือนเสียงนกกรีดร้องอย่างโกรธเคือง 

“ปล่อยน้องชายเราไปเถอะท่าน เราขอร้อง” เสียงเล็ก ๆ ดังจิ๊บ จิ๊บ เล็ดลอดออกมาจากปากของน้ำ 

“มนุษย์!!!” แววตาที่คมกริบคู่นั้นจ้องตรงมาที่น้ำอย่างสงสัยใคร่รู้กึ่งตกใจ 

“เจ้ามนุษย์ผู้นี้มองเห็นเรารึ?” เสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังคล้ายคนรำพึงรำพันกับตัวเอง 

“เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนมองเห็นเรามาก่อน” ปีกทั้งสองข้างพัดกระหน่ำอย่างแรงจนร่างกายของหญิงสาวแทบจะปลิวไปตามแรงพัดของปีกนั้น แต่เพราะอนันดายึดจับร่างกายของเธอไว้อย่างมั่นคง ความแข็งแรงของเขาสามารถต้านทานแรงลมอันมหาศาลนี้ได้ 

รวดเร็วเกินกว่าที่หญิงสาวจะตั้งรับไว้ได้ทัน นกยักษ์ตัวนั้นก็พุ่งตรงมาที่เธอและก่อนที่หญิงสาวจะโดนอุ้งเท้าขนาดใหญ่ยักษ์คว้าเอาไปได้สำเร็จ เธอก็ถูกเคลื่อนย้ายร่างกายอีกครั้งและเป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนครั้งที่เพิ่งผ่านมา เพียงแต่การเคลื่อนที่ครั้งนี้มันช่างดูอบอุ่นและปลอดภัยกว่าในครั้งแรก 

อนันดาวางหญิงสาวลงบนพื้นในท่านอนหงายอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบา แล้วค่อย ๆ ผลักเธอให้กลิ้งเข้าไปในบริเวณเกราะป้องกันของพ่อเธอ ส่วนตัวเขาเข้ามาด้านในไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือหนีให้เร็วที่สุด นกยักษ์ตัวนั้นบินตามติดมาด้วยความเร็วพอกัน มันบินขึ้นเกาะแน่นอยู่ด้านบนของเกราะป้องกัน มันพยายามใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งของมัน ขูด ขีดทำลายแต่ไม่เป็นผล เกราะป้องกันยังคงแข็งแรง บนอุ้งเท้าของมันอีกข้างหนึ่งยังคงมีร่างกายพญานาคของธารติดอยู่ มันยังไม่ยอมปล่อยธารให้เป็นอิสระ 

สิ่งมีชีวิตหรือวัตถุบางอย่างพุ่งขึ้นจากด้านล่างทะยานขึ้นสู่ด้านบนของเกราะป้องกันอย่างรวดเร็ว มันเข้าจู่โจมนกยักษ์ตัวนั้นในทันทีจนนกยักษ์ร่วงลงสู่พื้นดิน สิ่งที่เข้าจู่โจมนั่นคือ อสรพิษขนาดใหญ่ ลำตัวยาวเหมือนงูแต่มีหัวเป็นเปลวเพลิง ลำตัวเป็นเกล็ดสีดำนิลแต่มีแววตาสีเขียวเป็นประกาย 

อสรพิษกับนกยักษ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด พญาครุฑปล่อยร่างพญานาคของธารออกจากอุ้งเท้าเพื่อต่อสู้จนเต็มฤทธิ์เดช พญานาคตนนั้นตกเป็นรองคู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด เพียงชั่วอึดใจเดียวอีกสองอสรพิษก็ได้โผล่เข้ามาจู่โจมพร้อมกัน การต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรมก็ได้เกิดขึ้นระหว่างสามอสรพิษและหนึ่งนกยักษ์ ความปราชัยกำลังจะบังเกิดกับนกยักษ์หากเพียงแต่นกยักษ์ไหวตัวทัน มันทะยานขึ้นสู่อากาศเบื้องบน สูงเกินกว่าที่เหล่าอสรพิษทั้งสามจะดีดตัวตามขึ้นไปเล่นงานได้ วุ๊บ วุ๊บ วุ๊บ วี๊ด วี๊ด วี๊ดดดดดด! เสียงร้องดังลั่นไปทั่วบริเวณ นกยักษ์โบยบินหายไปจากเส้นขอบฟ้าสู่ดินแดนที่มนุษย์หรืออสรพิษทั้งสามไม่อาจจะติดตามไปได้ 

"ธาร!!! " หญิงสาวรีบวิ่งออกมาจากเกราะป้องกันตรงไปยังร่างพญานาคสีดำสนิทที่ถูกปล่อยให้ร่วงหล่นลงมากองอยู่บนพื้นดิน 

ร่างกายอันยาวเหยียดของธารม้วนตัวไปมาอย่างเชื่องช้าและเหนื่อยอ่อน ช่วงท้องของเขาถูกจิกกัดลึกจนเป็นแผลเหวอะหวะอย่างน่าสมเพช น้ำรีบวิ่งเข้าไปเพื่อประคองศีรษะของน้องชาย มันไม่ใช่ศีรษะของเด็กหนุ่มวัย 15 ปี แต่มันศีรษะของอสรพิษที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ครอบอยู่ เธอผละมือออกจากศีรษะนั้นลงทันที ด้วยความแสบร้อนของเปลวเพลิง เธอไม่สามารถสัมผัสศีรษะนั้นได้ด้วยมือเปล่า ไม่ว่าจะส่วนใดของร่างกายธาร เลือดซึมออกมาจากมือและแขนของเธอเพราะรอยบาดจากเกล็ดตามลำตัวของธาร มันเกิดขึ้นเพราะเธอพยายามจะเข้าไปสัมผัสขณะที่ธารกำลังม้วนดิ้นอย่างทุกข์ทรมาน 

“ธาร ...” น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาว 

“คุณสัมผัสธารไม่ได้” เสียงที่อบอุ่นและคุ้นเคยของชายหนุ่มดังมากระทบโสตประสาทของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เขาแอบไปแปลงกายกลับสู่ร่างมนุษย์จำแลงโดยไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว เขารวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะทันสังเกตเห็น 

“เกิดอะไรขึ้นกับธาร” หญิงสาวเอ่ยถามพลางสะอื้นไห้   

“ธาร ... กำลังจะตาย” ชายหนุ่มตอบพลางดึงตัวของหญิงสาวเข้ามากอดรัดแทนคำปลอบโยน 

“พญานาคจะต้องกลายร่างเป็นนาคเช่นเดิมเมื่อเข้าสู่สภาวะสุดท้าย คือ ตาย” อนาคินย้ำเตือนมาอีกคน 

“ไม่!!!” หญิงสาวสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดขอชายหนุ่ม เธอกำลังจะพบกับการสูญเสียอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้ เธอกำลังจะสูญเสียคนสุดท้ายในครอบครัวของเธอไป เธอกับน้องชายเพิ่งจะปรับความเข้าใจกันได้สำเร็จ เธอกำลังจะได้น้องชายที่แสนดีกลับคืนมาแต่แล้วเธอก็ต้องสูญเสียเขาไปในวันที่ทุกอย่างกำลังจะเดินไปข้างหน้าด้วยดี 

อนาคินยืนมองดูน้ำและอนันดาในอ้อมกอดของกันและกันอย่างเจ็บปวดและเศร้าสร้อย แววตาอันแสนเจ้าเล่ห์ของเขาได้จางหายไป เหลือเพียงแค่ความเซื่องซึม หงอยเหงา และโดดเดี่ยว 

“อนันดา” และ “อนาคิน” เขาทั้งสองคืออสรพิษที่พุ่งเข้าเล่นงาน “นกยักษ์” พร้อมกัน พวกเขาทั้งสองมีแววตาสีเขียวเป็นประกายเพลิง ร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวมรกตเช่นกัน แล้วอีกหนึ่งอสรพิษ แววตาสีเขียวแต่ลำตัวสีดำนิล ที่โผล่เข้ามาเล่นงานในตอนแรกคือใครกัน?

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา