ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ

-

เขียนโดย Richa

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ผาสาดลอยเคราะห์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
หญิงสาวกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนผิวนุ่ม ๆ ของผืนน้ำ เธอปล่อยศีรษะ ลำตัวส่วนหลัง แขนและขาสัมผัสกับพื้นน้ำจนเต็มอัตราส่วน สายน้ำโขงอันลึกลับและเยือกเย็นได้ประคองร่างของเธอชูขึ้นเหนือผิวน้ำอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน คล้ายกับเธอคือสิ่งเลอค่าน่าทะนุถนอม 
เสียงของความวิเวกวังเวงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาวตราบนานเท่านาน ในที่สุดดวงตาทั้งสองข้างก็ถูกลืมขึ้นมาอย่างเชื่องช้าและเบื่อหน่าย เธอเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ค่ำคืนนี้ช่างมีแต่ความมืดมิด แต่ในความมืดมิดมันกลับทำให้หญิงสาวมองเห็นดาวทุกดวงได้อย่างชัดเจน 
ค่ำคืนนี้มีดวงดาวนับล้านดวงส่องแสงแพรวพราวระยิบระยับสวยงามจับตาอยู่บนฟากฟ้า หญิงสาวปล่อยใจดวงน้อยของเธอให้เพลิดเพลินเริงระบำไปกับหมู่ดาว จนกระทั่งดวงอาทิตย์ได้โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทักทาย ท้องฟ้าเริ่มเข้าสู่แสงสว่าง เหล่าดวงดาราต่างพากันร่ำลาเธอไป เพียงไม่นานท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ก็หายจากความมืดมิดกลายเป็นแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์เข้ามาทดแทน 
หญิงสาวทิ้งตัวลงใต้ผิวน้ำอย่างเชื่องช้า เธอปล่อยท่อนขาทั้งสองข้างให้จมดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ ตามด้วยส่วนลำตัว เหลือไว้เพียงแค่ส่วนคอขึ้นมาถึงศีรษะเพื่อรับอากาศหายใจ หญิงสาวกำลังลังเลว่าเธอควรจะปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำโขงแล้วไม่ต้องโผล่ขึ้นมาอีกเลยหรือเธอควรจะลอยเข้าฝั่งแล้วใช้ชีวิตต่อไปอย่างไม่เหลือใครเลย 
ในที่สุดหญิงสาวก็คำตอบของหัวใจ เธอปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ ทันใดนั้นเองงูยักษ์ขนาดใหญ่โตมหึมาตัวหนึ่งก็โผล่เข้ามา มันค่อย ๆ เลื้อยไหลมาตามสายน้ำพุ่งเข้ามายังตัวเธอ ความใหญ่โตของลำตัวตัวงูยักษ์ตัวนั้นทำให้หญิงสาวสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน 
งูยักษ์ ... มีเกล็ดเหมือนปลา เกล็ดตามลำตัวของมันเป็นสีเขียวมรกต ช่วงลำตัวของมันนั้นช่างอวบใหญ่และยาวมากจนเธอไม่อาจมองเห็นว่าส่วนหางของมันสิ้นสุดลงที่ใด ศีรษะของมันจมดิ่งลงไปในน้ำเหมือนกำลังปิดบังซ่อนเร้นจากการมองเห็นของเธอและใคร ๆ มันเคลื่อนที่ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ใหญ่โตของมันทำให้เกิดระลอกคลื่นตามมาในทุกการเคลื่อนไหว มันเลื้อยตรงเข้ามาที่หญิงสาวอย่างหมายเล่นงาน ด้วยความตกใจทำให้หญิงสาวกระโจนหนีสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด 
หญิงสาวลืมความคิดที่จะปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความตาย สิ่งเดียวที่เธอต้องการทำมากที่สุดในตอนนี้คือ “หนี” ให้เร็วที่สุด เพื่อเอาตัวรอดจากอันตราย มันคือสัญชาตญาณของมนุษย์เมื่อความตายมาเยือน หญิงสาวจึงเริ่มรู้ตัวว่าชีวิตที่เหลือมีค่ามากมายแค่ไหน 
หญิงสาวว่ายน้ำหนีจนสุดกำลัง แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดกะทันหันอย่างตกใจและโล่งอกไปพร้อม ๆ กันเมื่อมีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนกระโจนเข้ามาขว้างหน้าเธอเอาไว้ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวคือ “หนุ่มลาวผู้มีตาสีเขียว” คนนั้น เขาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าเธอในนาทีชีวิตที่เธอกำลังสับสนและวุ่นวาย เธอกำลังลังเลอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ดวงตาสีเขียวเป็นประกายของเขาช่างดูมีชีวิตชีวา หรือนี่คือแววตาที่เธอกำลังค้นหา นี่คือแววตาที่เฝ้ามองเธอตลอดมา 
หญิงสาวหยุดนิ่งเหมือนต้องมนต์สะกด เธอรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังถูกกอดรัดจากชายแปลกหน้าแต่ทำไมเธอจึงไม่ยอมขัดขืน ร่างกายของเธอช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย เขาดึงเธอเข้ามาแนบอกและออกแรงรัดเหมือนเช่นการรัดของงู แต่แล้วเพียงไม่นานแรงรัดนั้นก็ค่อย ๆ คลายตัวออกอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ใบหน้าของหญิงสาวและชายหนุ่มห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น 
ใบหน้าของชายหนุ่มช่างสดใสและร่าเริง แม้ดวงตาสีเขียวประกายคู่นั้นจะยังเหลือล่องลอยของความโศกเศร้าปะปนอยู่ แต่ช่วงเวลานี้เขาช่างดูมีชีวิตชีวาเหมือนเธอคือความฝันที่เขารอวันให้เป็นจริง เขาโน้มตัวมาข้างหน้า ก้มลงมาอย่างช้า ๆ ริมฝีปากของเขาสัมผัสเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเธอ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาจากริมฝีปากเรียวบางของเขาสู่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ ร่างกายที่เคยหนาวสะท้านก็ถูกเบียดชิดเข้ามา เขามิได้เติมเต็มไออุ่นให้เรือนกายเธอเพราะร่างกายของเขาช่างเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความเย็นของแม่น้ำโขง 
หญิงสาวหลับตาลงช้า ๆ แม้ว่าจุมพิตนั้นจะเย็นยะเยือกจนหนาวสะท้านไปทั่วเรือนกาย แต่เธอกลับรู้สึกซาบซ่านและตราตรึง มันคือจุมพิตแรกและยังคงเป็นจุมพิตเดียวแต่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน 
ตุ้บ! ตุ้บ!!  เสียงคนกระโดดขึ้นมาบนเตียงนอนของหญิงสาว เธอพยายามพลิกตัวหลบจากการถูกก่อกวน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพื่อนสาวคนหนึ่งของเธอดึงผ้าห่มลายหอยรูปร่างต่าง ๆ ที่กำลังลอยตัวอยู่ในทะเลออกจากการห่อห่มร่างกายของเธอ หญิงสาวพลิกตัวซุกใบหน้าไว้บนหมอนนุ่มของเธอ แต่เพื่อนสาวอีกคนก็ไม่ยอมแพ้ ดึงหมอนออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ใบหน้าของเธอร่วงหล่นลงสู่พื้นเตียง หญิงโดดปลดอาวุธแห่งการนอนหลับไปแล้วทุกสิ่งเหลือเพียงเตียงนอนเท่านั้น ถ้าเพื่อนของเธอทำได้พวกเขาคงทำไปแล้ว 
“อะไรกันเนี่ย?” น้ำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ งอแง เธอยังไม่อยากตื่นจากความฝัน มันเป็นฝันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่วันที่เธอต้องสูญเสียพ่อและแม่ไป เพราะแทบทุกคืนเธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับฝันร้ายอันสยดสยอง ทุกเช้าเธอต้องล้างคราบน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ 
“น้ำ!!! ตื่นเถอะ พวกเรากลับมาหาน้ำแล้ว” เสียงกระซิบที่คุ้นเคยดังก้องมาสู่โสตประสาท 
“ฝน ฟ้า ไผ่ ดีใจที่พวกนายกลับมาแต่เราขอนอนต่ออีกสักงีบนะ เราง่วงเหลือเกิน” 
หญิงสาวพลิกตัวนอนหงาย พลางดึงผ้าห่มจากมือของฝนมาปิดบังร่างกายเอาไว้เพราะชุดที่เธอใส่นอนมีเพียงเสื้อสายเดี่ยวตัวจิ๋วกับกางเกงขาสั้นที่ปิดเพียงแค่สะโพกเท่านั้น และเช้าวันนี้ “ไผ่” เพื่อนชายคนเดียวในกลุ่มก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเธอพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเขินอายปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของเขา 
“ไม่ได้!!! น้ำต้องตื่นเดี๋ยวนี้” ฟ้าที่กำลังถือหมอนอยู่ได้โยนหมอนใบโปรดของน้ำลงไปบนเตียงพร้อมกับพยายามจะยื้อแย่งผ้าห่มออกจากตัวของหญิงสาว 
“ก็ได้ ก็ได้” น้ำยอมจำนนกับการตอแยของเพื่อนสาวทั้งสอง 
“พวกนายมาได้ยังไง ไม่เรียนหนังสือกันเหรอไง” น้ำซึ่งตอนนี้ยอมลุกขึ้นมานั่ง โดยมีฝนกับฟ้า ขยับตัวมานั่งใกล้ ๆ อย่างดีใจ ส่วนไผ่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตูอย่างเขินอายเช่นเดิม 
“วันนี้วันหยุด วันออกพรรษา!!! วันหยุดยาวพวกเราเลยรีบกลับมา ฟ้านั่งเครื่องบินมาจากเชียงใหม่ ส่วนเรากับไผ่นั่งรถบัสมาตั้งแต่เมื่อคืน” ฝนตอบ 
“ไผ่ นายเข้ามาในห้องของเราได้ไง นี่มันห้องนอนของผู้หญิงนะ อีกอย่างเรายังแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย” น้ำหันไปตวาดเพื่อนชายคนเดียวในกลุ่มเบา ๆ 
“แหะ ๆ เราก็ขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ น้ามะปรางบอกให้เราขึ้นมาได้เลย น้ามะปรางบอกว่าสมัยนี้ เขาไม่ถือกันแล้วเรื่องแบบนี้” ไผ่พยายามแก้ตัวอย่างตะกุกตะกักพลางเอามือเกาศีรษะอย่างเขินอาย 
“ถ้าน้ำเขิน เดี๋ยวเราลงไปรอข้างล่างก็ได้นะ” ไผ่พูดจบก็รีบวิ่งแจ้นลงไปด้านล่างอย่างไม่รอเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากเพื่อนสาวคนสนิท 
“เราว่าคนที่เขินไม่ใช่น้ำหรอก แต่เป็นนายไผ่ต่างหาก” ฟ้าจีบปากจีบคอพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก 
“น้ำ เร็วเข้า! ไปทำบุญใส่บาตรกัน วันนี้มีพวกนักท่องเที่ยวมาตักบาตรข้าวเหนียวกันเพียบเลย” ฝนพูดอย่างตื่นเต้นและกระซิบเร่งให้เพื่อนสาวผู้ยังงอแงอยู่รีบลุกขึ้นจากเตียง 
“แต่เรายังไม่ได้เตรียมชุดข้าวปลาอาหารสำหรับใส่บาตรเลยนะ” หญิงสาวพยายามหาข้อแก้ตัว 
“น้ามะปรางเตรียมไว้ให้แล้ว” ฟ้าลบล้างข้อแก้ตัวของเพื่อนสาว 
“เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทันพระมาบิณฑบาต” ฝนเร่งรัดมาอีกคน 
“ก็ได้ เราขอเวลาล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว 5 นาที” หญิงสาวรับปากอย่างเกียจคร้าน ภาพในความฝันมันยังตราตรึงในหัวใจ เธอยังไม่อยากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจจะต้านทานอำนาจแห่งความสนิทสนมของเพื่อน ๆ ทั้งสามได้ 
“โอเค งั้นพวกเราลงไปรอข้างล่างนะ” ฝนเอ่ยขึ้นพลางดึงมือฟ้าวิ่งลงไปด้านล่าง และไม่ลืมที่ปิดประตูพร้อมกับกดปุ่มลูกบิดประตูเพื่อล็อกห้องนอนให้เพื่อนสาว 
น้ำยังคงชอบใส่เสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนสีเข้มเหมือนชุดนี้คือชุดสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ทั้งที่เสื้อผ้าในตู้ยังคงเหลืออีกมากมาย หญิงสาวเดินลงมายังห้องรับแขกด้านล่างที่เพื่อนทั้งสามของเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับน้ามะปรางอย่างสนุกสนาน 
บนโต๊ะใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องมีชุดใส่บาตรชุดใหญ่วางเรียงรายอยู่ทั้งหมด 3 ชุด แต่ละชุดถูกวางไว้บนถาดกลมสีสันสดใส มีกระติบข้าวเหนียวขนาดเล็กวางไว้ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยขนมห่อใบตองสีเขียวเข้มจำนวน 9 ห่อ ปลาเนื้ออ่อนทอดบรรจุลงถุงพลาสติกอย่างดีจำนวน 9 ถุง พร้อมด้วยองุ่นดำไร้เมล็ดที่คัดสรรเฉพาะเมล็ดที่สวยสมบูรณ์แบบบรรจุลงถุงจำนวน 9 ถุงเช่นกัน 
“อรุณสวัสดิ์จ้ะน้ำ น้าเตรียมชุดใส่บาตรให้น้ำแล้วนะจ้ะ” น้ามะปรางส่งยิ้มมายังหลานสาว ใบหน้านั้นดูสวยงามและมีเสน่ห์มากขึ้นเพราะรอยบุ๋มของลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง มันคือผลงานของศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประเทศไทย 
“ขอบคุณค่ะ น้ามะปราง” น้ำกล่าวขอบคุณน้าสาว 
“แล้วอีกชุดเป็นของใครคะ?” น้ำหันไปถามน้าสาวอย่างสงสัย เธอไม่คิดว่าธาร น้องชายจอมเกเรของเธอจะยอมไปทำบุญตักบาตรอย่างแน่นอนและแล้วคำตอบก็ปรากฏ 
ก๊อก!!! ก๊อก!!! เสียงเคาะประตูดังขึ้น น้ามะปรางรีบเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็วและหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก น้ามะปรางหันมาส่งยิ้มให้น้ำและเพื่อน ๆ สร้างบรรยากาศให้ทุกคนดูตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นว่าใครคือบุคคลที่อยู่หลังประตูบานนั้น 
น้ามะปรางเปิดประตูออกอย่างช้า ๆ และชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้น ๆ รูปร่างสูงประมาณ 180 เซนติเมตรก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของทุกคน ใบหน้านั้นกร้านแกร่ง มีเหลี่ยมที่มุมกรามเล็กน้อย คิ้วดกดำรกรุงรัง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเล็กเรียวนั้นส่งยิ้มให้น้ามะปรางและแจกจ่ายมายังบุคคลที่เหลือด้านใน 
“เด็ก ๆ นี่ผู้หมวดรุจน์” น้ามะปรางผายมือออกไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น 
ทุกคนจดจำผู้หมวดรุจน์คนนี้ได้เป็นอย่างดี เขาคือนายตำรวจหนุ่มหน้าตาดี เจ้าของคดีพ่อและแม่ของน้ำ เขาแวะเวียนมาที่บ้านของน้ำบ่อยครั้งตั้งแต่เกิดเรื่อง เพียงแต่ทุกครั้งเขามาในชุดตำรวจแบบเต็มยศ แต่วันนี้ผู้หมวดรุจน์มาในชุดลำลอง เสื้อยืดสีอ่อนกับกางเกงยีนสีซีดดูสบาย ๆ และไม่เป็นทางการเหมือนเช่นทุกครั้ง 
“สวัสดีค่ะ/ครับ” น้ำและเพื่อน ๆ ยกมือไหว้ทักทายตามแบบฉบับของมารยาทไทย 
“สวัสดีจ้ะ เด็ก ๆ จะไปใส่บาตรกันเหรอ” ผู้หมวดรุจน์รับไหว้พร้อมเริ่มต้นบทสนทนา 
“ใช่ค่ะ” ฟ้าและฝนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน 
ฟ้าและฝนเพื่อนสาวคนสนิทของน้ำต่างพากันก้มหน้าและบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย ทั้งคู่แอบสะกิดและผลักไหล่กันไปมาอย่างมีพิรุธบางอย่าง ขณะที่ไผ่แอบชำเลืองมองดูผู้หมวดรุจน์อย่างชื่นชมคล้ายผู้หมวดรุจน์คือความใฝ่ฝันที่เขาอยากจะเป็น พร้อมหันไปค้อนเพื่อนสาวทั้งสองคนที่แสดงออกถึงความชื่นชมจนเกินงาม 
“ดีมาก เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ยังรักษ์วัฒนธรรมไทย เด็ก ๆ สมัยนี้ตามฝรั่งมังค่าไปหมดแล้ว” ผู้หมวดรุจน์กล่าวอย่างชื่นชมพร้อมกับส่งยิ้มไปให้น้ำและเพื่อน ๆ 
“พร้อมรึยังครับคุณมะปราง” ผู้หมวดรุจน์หันไปถามพร้อมส่งยิ้มให้น้ามะปราง ด้วยแววตาที่เป็นประกายอย่างมีความหมายลึกซึ้ง มันช่างแตกต่างจากแววตาที่ผู้หมวดรุจน์มองน้ำและเพื่อน ๆ 
“พร้อมแล้วค่ะ” น้ามะปรางส่งยิ้มออกไปจนลักยิ้มที่แก้มบุ๋มลงไปอย่างชัดเจน มันมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนผู้หมวดรุจน์ไม่อาจจะหุบยิ้มลงได้เลย สายตาของทั้งคู่ประสานกันจนเหมือนโลกทั้งใบไม่มีใครอีกแล้ว 
“ชุดใส่บาตรของน้ามะปรางก็พร้อมแล้ว แล้วของผู้หมวดล่ะคะ” น้ำพูดแทรกขึ้นมาเพื่อตั้งใจทำลายโลกส่วนตัวของน้ามะปรางและผู้หมวดรุจน์ เธอไม่ได้มีเจตนาจะเสียมารยาทเพียงแต่เธอสัมผัสได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจของผู้หมวดรุจน์ที่มีต่อน้ามะปราง 
แม้ผู้หมวดรุจน์จะเป็นผู้ชายที่สุภาพและดูเป็นคนดี แต่ในความรู้สึกส่วนลึก น้ำสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ ผู้หมวดหนุ่มหน้าตาดีหน้าที่การงานดีเลิศเช่นนี้ เป็นไปได้หรือที่เขาจะยังโสดสนิท เขาเข้ามาข้องแวะกับน้ามะปรางอย่างสนิทเสน่หาเช่นนี้ อาจจะมีเสียงซุบซิบนินทาและครหาได้ เธอไม่ได้หวั่นเกรงเสียงเหล่านั้นแต่เธอหวั่นใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับน้าสาวของเธอมากที่สุด 
“ของผู้หมวดรุจน์ก็พร้อมแล้วเช่นเดียวกันค่ะ” น้ามะปรางพูดพลางผ่ายมือไปที่โต๊ะใหญ่มุมห้องที่มีชุดใส่บาตรสามชุดวางเรียงอยู่อย่างสวยงาม 
“ว้าว!!! อลังการ!!! สวยงามและเพอร์เฟกต์มาก ชนะเลิศ!!! เหมือนคุณ” ผู้หมวดรุจน์อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น สายตาของทั้งคู่ยังคงส่งประสานกันไปมา 
ฟ้าและฝนต่างพากันปลื้มปริ่มกระดี๊กระด๊าไปกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เหมือนสองสาววัยรุ่น วัยสดใสที่ยังไม่เคยผ่านการมีความรักกำลังดูฉากถ่ายทำละครเกาหลี ในบทเข้าพระเข้านาง พระเอกกำลังส่งสายตารักให้กับนางเอกคนสวยอย่างไรอย่างนั้น
“อะแฮ่ม!!! ฝนบอกว่าน้ำต้องรีบไป เดี๋ยวจะไม่ทันพระบิณฑบาต” น้ำทำลายบรรยากาศอีกครั้ง 
“เราจะให้เด็ก ๆ ไปก่อน หรือเราจะเป็นฝ่ายไปก่อนดีค่ะ” น้ามะปรางเอ่ยปากถามผู้หมวดรุจน์โดยที่ไม่ยอมละสายตาจากผู้หมวดหนุ่ม 
“ให้เด็ก ๆ ไปก่อนแล้วกันครับ” ผู้หมวดรุจน์ตอบโดยไม่ละสายตาจากน้ามะปรางเช่นเดียวกัน 
ฟ้าและฝนเดินออกไปก่อนพร้อมผลักไหล่กันและกันจนพ้นประตู และยังคงผลักกันไปมาอยู่เช่นนั้นพร้อมกับหัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุขเล็ก ๆ น้ำจ้องมองไปที่น้ามะปรางและผู้หมวดรุจน์อีกครั้ง แต่ทั้งคู่ยังคงไม่ยอมละสายตาจากกันและกันเช่นเดิม หญิงสาวจึงเดินไปยังโต๊ะใหญ่มุมห้องเพื่อจะหยิบชุดใส่บาตรของตัวเอง แต่ไผ่ที่ยังคงรีรออยู่ได้วิ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือ เขาหยิบชุดใส่บาตรได้ก่อนที่น้ำจะเอื้อมมือจะไปหยิบ น้ำจึงเดินออกมาตัวเปล่าโดยมีไผ่ถือชุดใส่บาตรของเธอตามติดออกมาเป็นเงาตามตัว 
บนถนนที่ทุกคนกำลังนั่งรอตักบาตรข้าวเหนียวตามประเพณี ริมถนนทั้งสองฝั่งถูกปูเสื่อยาวทั้งสองข้างเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและผู้มาทำบุญใส่บาตร ทุกคนถอดรองเท้าไว้ด้านหลังและนั่งลงบนเสื่อ ด้านหน้าของทุกคนมีกระติบข้าวเหนียววางอยู่ บางคนมีถาดกลมหลากสี บางคนมีถาดสี่เหลี่ยม ในแต่ละถาดเหล่านั้นต่างบรรจุอาหารคาวหวานสำหรับเตรียมไว้ทำบุญใส่บาตร ซึ่งมีขนมห่อใบตองบ้าง ใส่ถุงพลาสติกใสบ้าง แกงถุง อาหารแห้งต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละบุคคล 
ฝนจูงมือน้ำเดินนำเพื่อนอีกสองคนไปจนถึงตำแหน่งที่พ่อและแม่ของฝนนั่งรอใส่บาตรอยู่ บนเสื่อผืนนั้นมีชุดใส่บาตรวางอยู่ก่อนแล้ว 3 ชุดแบบวางเรียงกระจายให้ห่างกันเพื่อจับจองที่นั่ง ไผ่ขยับชุดใส่บาตรที่วางอยู่ก่อนแล้วให้ชิดกันมากขึ้นและแทรกชุดใส่บาตรของน้ำเข้าไปยังตำแหน่งที่น้ำนั่งลง 
“น้ำ” ฝนกระซิบเรียกเพื่อนสาวเบา ๆ 
“อือหือ” น้ำส่งสัญญาณว่าเธอกำลังฟังสิ่งที่ฝนกำลังจะพูด 
“ยังนอนฝันร้ายอยู่ใช่มั้ย น้ามะปรางบอกว่า บางคืนน้ำก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วก็ร้องไห้จนหลับไปอีกครั้ง” ฝนถามเพื่อนสาว 
น้ำนิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ มันคือความจริงที่เธอต้องตื่นมาพร้อมกับฝันร้าย แม้เวลาจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่มันช่างเป็นความทุกข์ทรมานที่แสนยาวนานสำหรับคนที่ต้องจมปรักอยู่กับความโศกเศร้าอย่างไม่รู้กาลเวลาเช่นเธอ 
“ตักบาตรเสร็จแล้ว เราไปทำบุญทอดกฐินกัน จากนั้นพ่อของเราบอกว่าให้ชวนน้ำไปเฮ็ดเวียกด้วย” ฝนเบียดตัวเข้ามากระซิบบอกน้ำเบา ๆ 
“พิธีผาสาดลอยเคราะห์นะเหรอ” น้ำขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยทั้งที่เธอเองก็รู้อยู่แล้วว่าฝนหมายถึงอะไร 
“ใช่ พ่อของเราเป็นพราหมณ์ และจะทำพิธีลอยเคราะห์ให้ทุกคนในวันนี้ที่วัด พ่อบอกว่าให้ชวนน้ำไปด้วยให้ได้ น้ำไปนะ น้ำจะได้หมดทุกข์ หมดโศก หมดเคราะห์เสียที” ฝนพยายามชักชวน 
“เราขอถามน้ามะปรางดูก่อนนะ” น้ำตอบอย่างลังเลใจ 
“น้ามะปรางเป็นสาวหัวสมัยใหม่ ไม่ค่อยเชื่อประเพณีโบราณ เราแอบได้ยินมาว่าน้ามะปรางไล่ตะเพิดหมอผีออกจากบ้านไปหลายคนเลยนะ ตอนที่พวกหมอผีจะมาช่วยทำพิธีไล่ผี ปราบวิญญาณร้ายให้น้ำ” ไผ่ยื่นหน้าผ่านฟ้าที่นั่งกั้นกลางอยู่เข้ามาพูดกับน้ำ 
“พ่อของเราไม่ใช่หมอผีนะ พ่อของเราเป็นพราหมณ์” ฝนแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบเพราะกลัวว่าถ้าพ่อของเธอมาได้ยินเข้า ไผ่อาจจะโดนดุได้ และอย่างที่ใคร ๆ รู้กันว่าพ่อของฝนก็ดุดันใช่ย่อย 
“พ่อของเราก็รักน้ำเหมือนลูกคนหนึ่ง พ่ออยากให้น้ำพ้นเคราะห์ เราเห็นด้วยกับไผ่นะ ว่าไม่ต้องบอกน้ามะปรางหรอก แค่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เอง ไม่มีอะไรเสียหาย พวกเราก็จะได้สบายใจ เราไม่อยากให้น้ำต้องนอนฝันร้ายอีกต่อไป” ฝนย้ำเตือน 
“ทำ ๆ ไปเถอะ เพื่อน ๆ หวังดีนะ อย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย” ฟ้าบ่นพึมพำพลางสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ 
ฟ้ามักจะแสดงอาการเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เมื่อฝนและไผ่พยายามจะคะยั้นคะยอให้น้ำทำสิ่งใดแล้วน้ำยังคงลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ในขณะที่ฟ้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลยกับเพื่อนทั้งสองเลย ฟ้าเก็บงำความรู้สึกที่ตัวเองแปลกแยกเอาไว้ในใจเสมอมาและเผลอแสดงอาการออกมาบ่อยครั้ง 
“ก็ได้” น้ำตัดสินใจรับปากเพราะทนการรบเร้าจากฝนและไผ่ไม่ได้ และอีกหนึ่งเหตุผลน้ำไม่ต้องการให้ฟ้าเกิดอาการไม่พอใจจนทำให้เสียบรรยากาศระหว่างเพื่อนฝูงขึ้น 
“งั้นทอดกฐินเสร็จ เราจะไปตัดต้นกล้วยมาทำกระทงให้น้ำนะ” ไผ่รีบอาสาอย่างกระตือรือร้น 
“ตัดให้เราด้วยซิ เราอยากทำมั่ง ช่วงนี้เจอแต่เรื่องไม่ค่อยดี” ฟ้าเอ่ยปากขอร้องพร้อมกับหันไปมองไผ่ด้วยสายตาวิงวอน 
“ตัดเองซิ มีก็มือไม่ใช่เหรอ” ไผ่ตัดบทอย่างไม่แยแส 
“ได้ เดี๋ยวเราตัดเองก็ได้ ถ้าไผ่ไม่ตัดให้ฟ้าด้วย เรากับฟ้าก็จะไปตัดกันเอง” น้ำเอ่ยขึ้นก่อนที่บรรยากาศจะมืดมนลงด้วยกระแสอารมณ์ของเพื่อนทั้งสอง 
“ไผ่ตัดมาเผื่อพวกเราทั้งสี่คนเลยแล้วกัน ลอยกันให้หมดนี่ละ” ฝนเป็นอีกคนที่พยายามประคับประคองมิตรภาพระหว่างเพื่อน ๆ เวลามีบรรยากาศคุกรุ่นขึ้นมา 
“ก็ได้ เห็นแกน้ำกับฝนหรอกนะ” ไผ่บ่นพึมพำอย่างค่อยไม่ค่อยเต็มใจนัก ในขณะที่ฟ้าเองก็ทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจเช่นกัน 
“ทีเราขอแล้วไม่ได้ ทีน้ำกับฝนแล้วไผ่ทำให้หมด” ฟ้าบ่นอุบอิบเบา ๆ ในลำคอและมีน้ำตาเอ่อล้นที่เบ้าตา แสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างเงียบ ๆ 
ฟ้าเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อและแม่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล เนื่องจากหน้าที่การงานใหญ่โต เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนทั้งจังหวัด บ่อยครั้งที่ฟ้ามักชอบทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่แทบทุกครั้งมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ ฟ้าต้องพบกับการถูกปฏิเสธหรือผิดหวังอยู่เสมอ  มีเพียงน้ำและฝนเท่านั้นที่คอยตามใจแต่บางครั้งฟ้าก็ทำตัววุ่นวายมากจนเกินไป บางทีทั้งสองสาวก็เลือกที่จะปล่อยวาง ทิ้งฟ้าไว้ตามลำพังบ้าง
 
กลางลานบ้านของฝน ชายวัยกลางคนในชุดพราหมณ์สีขาว เดินลงจากบันไดบ้านทรงไทยโบราณ เขาหยุดยืนดูเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการทำกระทงต้นกล้วย 
“แม่ ช่วยออกมาดูเด็ก ๆ มันทำกระทงผาสาดกันหน่อย ให้น้ำทำชุดใหญ่ ส่วนคนอื่น ๆ ทำชุดเล็กพอ เสร็จแล้วถือกระทงตามพ่อไปที่วัดนะ” พ่อของฝนตะโกนเรียกภรรยาให้ออกมาดูน้ำและเพื่อน ๆ ที่กำลังเตรียมกระทงต้นกล้วยกันอย่างทุลักทุเล 
“ทำไมให้น้ำทำชุดใหญ่คนเดียวล่ะคะ แล้วพวกหนูล่ะ ทำชุดใหญ่ด้วยไม่ได้เหรอคะ” ฟ้าเอ่ยถามออกไปด้วยความไม่รู้เดียงสา 
“คนที่ต้องลอยผาสาดอันใหญ่ คือคนที่เคราะห์มันแรง!!! ชะตามันขาด!!! ต้องทำกระทงขนาดใหญ่ 9 ห้อง ต้องมีอาหารหวาน คาว เชิญตัวเคราะห์ที่อยู่ 8 ทิศ อันนี้ต้องเป็นเคราะห์ใหญ่ขึ้นขั้นตาย” 
“ข้างในก็ต้องมีอาหารคาวหวานให้ครบ แล้วก็ต้องมีสัตว์ประทิศ 8 ตัว คือ ช้าง วัว ครุฑ แมว ราชสีห์ เสือ นาค หนู โดยเอาดินน้ำมันมาปั้น เห็นมั้ยว่าพิธีการมันเยอะไว้ชะตาขาดเมื่อไหร่พ่อถึงจะทำให้ เข้าใจมั้ย!!!”พ่อของฝนหันไปตวาดฟ้าด้วยเสียงดังลั่นจนน่าขนลุก 
แม้พ่อของฝนจะเป็นชาวพุทธแต่ก็นิยมในพิธีกรรมของพราหมณ์ และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีจิตสัมผัสพิเศษจนผู้คนในหมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด และที่อื่น ๆ ต่างพากันเดินทางมาเพื่อขอความช่วยเหลือต่าง ๆ บุคลิกพ่อของฝนจะเป็นคนที่พูดจาเสียงดัง ดุดัน วางอำนาจ พูดพลางตะโกนพลาง ทำตัวให้ดูน่าเกรงขาม ไม่เพียงแค่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ตกใจกลัว แม้แต่ผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่รุ่นดั้งเดิมต่างพากันเกรงกลัว เพราะเชื่อว่าพ่อของฝนมีอิทธิฤทธิ์แก่กล้า มีเพียงคนเดียวเท่านั้นไม่เคยเกรงกลัวพ่อของฝนเลย ไม่เคยยกมือไหว้ หรือก้มหัวให้แม้เพียงครั้งเดียว คน ๆนั้นคือพ่อของน้ำ
ไผ่ทำหน้าที่ลอกต้นกล้วย เอาเพียงแค่กาบกล้วยมาทำเป็นกระทง  จัดกระทงให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่และแบ่งช่องเป็นช่องเล็ก ๆ 9 ช่อง โดยใช้กาบกล้วยขัดกันไปมา ในแต่ละช่องแม่ของฝนจะใส่เครื่องเซ่นสำหรับไหว้เจ้ากรรมนายเวร แม่ของฝนหยิบปลาย่างซึ่งเป็นของคาวใส่ลงไป 1 ช่อง อีกช่องใส่ขนมสอดไส้ซึ่งเป็นของหวาน แล้วตามมาด้วยหมาก พลู ดอกไม้ ธูป เทียน อย่างละช่อง เหลืออีก 2 ช่อง แม่ของฝนก็หยิบหมูย่างใส่ลงไป ช่องสุดท้ายแม่ของฝนก็ใส่ข้าวเหนียวลงไป 
“นี่คือกระทงชุดเล็ก” แม่ของฝนพูดพลางจ้องมองกระทงผาสาดทั้ง 3 กระทง 
“ส่วนกระทงชุดใหญ่ของน้ำ แม่จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” แม่ของฝนพูดขึ้นพลางพยักหน้าให้ไผ่เข้าไปช่วยถือออกมา 
ทั้งหมดเดินตรงไปที่วัดริมน้ำโขงตามที่พ่อของฝนได้นัดแนะเอาไว้พร้อมกระทงกาบกล้วยของตัวเอง ส่วนกระทงกาบกล้วยของน้ำ ไผ่อาสาถือไปให้เพื่อเอาอกเอาใจหญิงสาว น้ำจึงต้องถือกระทงเล็กของไผ่แทน 
ทุกคนเข้าร่วมพิธีกรรมอย่างพร้อมเพรียงกัน ฝน ฟ้า ไผ่ และน้ำ ก็เข้าร่วมประพิธีพร้อมกับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ หลังเสร็จพิธีกรรมทางความเชื่อแล้ว พ่อของฝนได้ตะโกนบอกทุกคนให้นำกระทงผาสาดของตนลงไปลอยที่ริมแม่น้ำโขงท้ายวัด 
"ห้ามเหลียวหลังดู ถ้าเหลียวหลังดูมันจะตามมาอีก!!! " เสียงพ่อของฝนกล่าวปิดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะประคองกระทงกาบกล้วยของตัวเองออกมา 
น้ำและเพื่อน ๆ ยังยืนอยู่ที่ท่าน้ำ ปล่อยให้ชาวบ้านและเหล่านักท่องเที่ยวลอยกันจนครบ พวกเขาจึงได้เดินเข้าไปเพื่อลอยกระทงผาสาดของตัวเอง กระทงกาบกล้วยของทุกคนลอยออกจากฝั่งไปอย่างช้า ๆ น้ำจ้องมองกระทงอันใหญ่ของตัวเองอย่างไม่วางสายตา 
ทุกคนหันหลังให้กระทงแล้วพากันเดินออกมา "ห้ามเหลียวหลังดู ถ้าเหลียวหลังดูมันจะตามมาอีก!!! " คำเตือนสุดท้ายของพ่อฝนมันยังต้องก้องอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาว เธอต้องไม่หันไปดู!! นี่คือคำเตือนที่เธอเฝ้าย้ำเตือนกับตัวเอง 
จ๋อม! จ๋อม! จ๋อม!  เสียงเหมือนคนเดินขึ้นมาจากน้ำ วุ๊ป วุ๊บ วุ๊บ วิี๊ด วี๊ด วี๊ด วี๊ดดดดด!!! เสียงนกร้องส่งสัญญาณกัน มันต้องมีความหมายอะไรบางอย่าง 
“น้ำ แม่รักลูกนะ” เสียงของแม่ดังก้องมาจากแม่น้ำโขง 
“น้ำ หนีไป วิ่งหนีไปเร็วลูก” เสียงของแม่ตะโกนดังลั่น 
“แม่!!!” เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังก้องไปทั่วบริเวณ มันไม่ใช่เสียงที่เธอตะโกนออกไป แต่มันเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากแม่น้ำโขง หญิงสาวหันกลับไปมองยังแม่น้ำโขง ... เสียงประหลาดที่ดังมากระทบโสตประสาทของเธอ มันเรียกร้องให้เธอต้องหันกลับไป 
หญิงสาวลืมคำตักเตือนของพ่อฝน เธอตัดสินใจหันกลับไปมองอย่างไม่ลังเล กระทงกาบกล้วยอันใหญ่ของเธอลอยละล่องออกไปไกล นกขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ งูใหญ่หลายตัวแหวกว่ายหนีตายกันจ้าละหวั่น ชายคนหนึ่งกำลังยืนสงบนิ่งอยู่กลางสายน้ำ เขาถือกระทงกาบกล้วยใบใหญ่ของน้ำไว้ด้วยมืออันแข็งแรงของเขา ดวงตาสีเขียวเป็นประกายคู่นั้นจ้องมองมาที่หญิงสาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนอย่างที่หญิงสาวเคยเห็น แต่เขาอยู่ในสภาพเปลือยอก เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กล้ามแขนเป็นมัดเด่นชัดทั้งสองข้าง ลักษณะร่างกายของเขาคล้ายคลึงกับพ่อของเธอเพียงแต่เขาดูบอบบางกว่าเล็กน้อย
“ห้ามเหลียวหลังดู ถ้าเหลียวหลังดูมันจะตามมาอีก!!!” คำเตือนสุดท้ายจากพ่อของฝน มันไร้ความหมายสำหรับหญิงสาว เธอเหลียวหลังกลับไปดู และเธอก็เจอกับเขา หนุ่มลาวผู้มีตาสีเขียว
 
 * เฮ็ดเวียก เป็นภาษาพื้นเมืองที่ใช้การเรียกพิธีกรรมผาสาดลอยเคราะห์ หรือเรียกว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ *
** ตามความเชื่อพื้นเมือง พ่อและแม่ของน้ำเสียชีวิต น้ำจะต้องทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์หรือบายศรีสู่ขวัญ เพื่อเรียกขวัญคนป่วยให้กลับคืนมา **

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา