รอรักเคียงใจ

-

เขียนโดย 0ilz

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.31 น.

  9 บท
  0 วิจารณ์
  8,532 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เป็นคนนอกสายตาของเธอเสมอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่2

เป็นคนนอกสายตาของเธอเสมอ

         “พอร์ชเมื่อคืนเอารถพี่ไปขับใช่ไหม” มือเรียวเล็กผลักประตูห้องนอนของน้องชายเข้าไปตอนเจ็ดโมงเช้า เมื่อเจ้าของห้องไม่เคยล็อกมันมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนจะก้าวไปดึงผ้าห่มผืนหนาที่คลุมร่างสูงใหญ่เอาไว้จนมิด

          พงศกรงัวเงียตื่นเมื่อมีคนเข้ามาขัดจังหวะการนอน ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะเลิกงานและได้กลับมานอนเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง เขาทำท่าไม่สนใจ เอื้อมคว้าผ้าห่มกลับมา จนได้ยินเสียงตวาดดังขึ้น จึงรีบดีดตัวลุกมานั่งราวคนละเมอ

          “ไอ้พอร์ช จะตื่นมาคุยดีๆ หรือให้ฉันไปตักน้ำมาสาดแกแต่เช้าฮะ”

          พงศกรขยี้ตาตัวเองอย่างแรง รับรู้ได้ว่าตอนนี้พี่สาวอยู่ในอารมณ์ที่โมโหจัด ไม่อย่างนั้นไม่ขึ้น ‘ไอ้’ กับน้องชายผู้แสนน่ารักอย่างเขาแน่

          “โธ่พี่พริม มีอะไรไว้คุยกันทีหลังได้ไหม ผมง่วง ขอนอนก่อน” ว่าแล้วก็ทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีก จนพริมมาดาต้องกระโจนไปดึงแขนน้องชายตัวดีไว้แล้วบังคับให้นั่งอยู่เหมือนเดิม

          “ไม่ได้จนกว่าแกจะบอกมาว่าเอารถฉันไปไว้ไหน รถฉันหายไปอย่างไร้ร่องรอยมาสองวันแล้ว วันนี้ถ้าแกไม่มีคำตอบให้ฉันอย่าคิดว่าจะได้นอนอย่างสบายใจ”

          “ผมยืมไปแข่ง”

          “แล้วยังไง ยืมไปแข่งแล้วรถฉันหายไปไหน แข่งเสร็จทำไมไม่ขับกลับมา”

          “ก็...โดนพวกมันยึดไปแล้ว” น้ำเสียงอ่อยๆ ที่ตอบกลับมายิ่งเพิ่มโทสะของพริมมาดาให้สูงขึ้น ร่างบางสั่นเทาด้วยแรงอารมณ์

          “ห๊ะ! แกว่าไงนะไอ้พอร์ช โดนยึด พวกมันที่แกว่าพวกไหน”

          “พวกไอ้บีม มันมาท้าแข่งพูดจาเยาะเย้ยถากถางผมหรือจะยอม ก็เลยรับคำท้าไป แต่พวกมันโกง ไม่อย่างนั้นมันไม่มีทางชนะผมได้หรอก”

          “จนถึงตอนนี้แกก็ยังมั่นหน้าคิดว่าตัวเองเก่งสินะ กฎคืออะไร แพ้แล้วเสียรถอย่างนั้นใช่ไหม”

          “ใช่”

          “ฉันจะไปคุยกับพวกมัน แล้วจะกลับมาจัดการกับแกต่อ เตรียมโลงไว้ได้เลยไอ้พอร์ช”

          พริมมาดาเดินออกมาหน้าบ้านตรงจุดที่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ด้วยแรงอารมณ์ที่ยังไม่สงบ วันนี้เธอมีสอนคาบสามราวๆ สิบโมงดังนั้นจึงยังพอมีเวลาสามชั่วโมงในการจัดการธุระให้เรียบร้อย เมื่อสตาร์ทเครื่องได้จึงบิดออกจากบ้านด้วยความเร็วสูง ทางที่ทอดออกจากตัวบ้านถึงประตูมีระยะทางหลายร้อยเมตร เพราะเป็นบ้านสวนที่เชื่อมกับไร่กาแฟในพื้นที่ข้างๆ

          เอี๊ยด!

          มือบางกำเบรกและครัชไว้แน่นเมื่อมีรถเอสยูวีสีดำโผล่ออกมาจากทางเข้าไร่กาแฟและเกือบจะชนกับเธอ พริมมาดาเตรียมตัวจะลงไปถามเสียหน่อยว่าทำไมถึงขับรถไม่มีมารยาท อยู่ๆ ขับรถมาปาดหน้าแบบนี้ได้อย่างไร แต่พอเจ้าของรถคันนั้นเปิดประตูแล้วเดินอ้อมมาอีกฝั่งก็ทำให้ยั้งเท้าที่จะถีบขาตั้งลงทันที

          “จะรีบไปไหนแต่เช้า” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่เพิ่งจะขับรถปาดหน้าเธอไปหยกๆ

          “เป็นครูก็ต้องไปสอนหนังสือสิ”

          “ทำไมต้องหลบหน้า”

          “ใครหลบ อย่ามาพูดมั่วๆ นะ” เมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าพยายามจะหลบหน้า แม้จะเป็นความจริงแต่มีหรือจะยอมรับง่ายๆ จึงแสร้งพูดจาประชดประชันเพื่อกลบเกลื่อน “อ๋อไอ้นิสัยชอบปรักปรำคนอื่นคงจะยังแก้ไม่หายสินะ ถึงได้เที่ยวมาหาเรื่องกันอยู่แบบนี้”

          แม้จะไม่ได้ตั้งใจรื้อฟื้นความเก่าความหลังแต่คำพูดของเธอก็กระแทกใจคนฟังโดยที่เธอไม่รู้ตัว ดวงตาคมไหววูบไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิดกับการกระทำในอดีตของตัวเอง แต่เพียงไม่นานเขาก็ควบคุมมันให้กลับมาเป็นปกติได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต เพราะเอาแต่เมินมองไปทางอื่น

          “แล้วทำไมถึงเอารถคันนี้มาขับ ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย มีข่าวให้เห็นบ่อยๆ” น้ำเสียงของเขาแม้จะเรียบเฉยแต่ก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใย

          เขาหรือจะมาเป็นห่วงเป็นใยในตัวเธอ บ้าแล้วพริม...เธอคงคิดไปเอง

          “ไปถามน้องชายตัวดีเอาเองสิว่าก่อเรื่องอะไรไว้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็หลบ จะได้ไปทำงาน”

          ธีทัตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อไหร่เธอจะคุยดีๆ กับเขาบ้างนะ แต่เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็ต้องยอมกลับไปขึ้นรถ วันนี้เขามีธุระด่วนต้องรีบไปทำ แต่ก่อนจะออกรถกระจกฝั่งตรงข้ามคนขับก็เลื่อนลง

          “ขับรถดีๆ ล่ะ อย่าขับเร็วมันอันตราย”

          รถเอสยูวีแล่นออกไปแล้ว ทิ้งให้พริมมาดาทบทวนคำพูดของเขาอยู่ในใจ เขาห่วงเธอใช่ไหม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้รับความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ จากเขา แม้จะเป็นเพียงการคิดเข้าข้างตัวเอง แต่หากมันทำให้เธอพอจะยิ้มได้ เธอก็ไม่ลังเลที่จะทำ

          โรงแรมริมกกการ์เด้นโฮมความสูงห้าชั้นตั้งเด่นเป็นสง่าบนพื้นที่กว่าสิบไร่ บริเวณนี้เป็นทำเลทองของจังหวัดเชียงรายเนื่องจากอยู่ติดกับแม่น้ำกก มีท่าสำหรับล่องเรือชมความงามและดื่มด่ำกับธรรมชาติท่ามกลางป่าเขา ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการที่นี่เป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัด

          แต่สำหรับพริมมาดา หากไม่จำเป็นเธอไม่ค่อยอยากจะเข้ามาเหยียบที่นี่สักเท่าไหร่ เพราะลูกชายเจ้าของโรงแรมนี้เป็นอริกับพี่น้องเดอะแก๊งของเธอมาตั้งแต่สมัยมัธยม

          ครอบครัวของเธอมีกิจการไร่ส้มอันเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณปู่ แม้จะไม่ใช่ไร่ที่ใหญ่มากแต่พื้นที่ขนาดห้าสิบไร่ก็ทำกำไรได้เจ็ดหลักต่อปี บิดาของเธอมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนคือคุณลุงปรีชามีธุรกิจปั๊มน้ำมันหลายแห่งทั่วจังหวัดและคุณลุงศาสตราผู้เป็นเจ้าของไร่กาแฟข้างๆ นี่เอง

          ลุงปรีชามีลูกชายสองคนคือปราณนต์และปราณภพส่วนลุงศาสตรามีลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งก็คือธีทัต ปราณนต์และธีทัตอายุมากกว่าเธอสามปี ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันมาตั้งแต่ประถมจนจบมอหกจึงแยกย้ายกันไปเรียนตามความชอบของตัวเอง

          ปราณนต์เลือกเรียนบริหารเพื่อจะได้กลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ในขณะที่ธีทัตเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์โดยไม่สนใจว่าจะมีใครดูแลไร่กาแฟ ต่อจากพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนปราณภพอายุมากกว่าเธอเพียงหนึ่งปีเท่านั้นตอนนี้เป็นศัลยแพทย์อยู่โรงพยาบาลทหารในตัวจังหวัดซึ่งก็ถือว่าเขาโชคดีที่เกิดมาเป็นน้อง สามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองรักโดยไม่ต้องกังวลว่าปั๊มน้ำมันของพ่อจะไม่มีคนสืบทอด

          ครอบครัวของพริมมาดามีพี่น้องสองคนคือเธอกับพงศกรที่อายุน้อยกว่าเธอสองปี และในบรรดาสมาชิกเดอะแก๊งทั้งห้าคนมีเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ทำให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพี่ๆ มาตั้งแต่เด็กราวกับเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ที่มีองครักษ์ตัวใหญ่สามคนล้อมหน้าล้อมหลัง

          ทั้งสามครอบครัวสนิทสนมกันมานาน ไปมาหาสู่กันเสมอ ทำให้เด็กๆ ทั้งห้ารักใคร่กลมเกลียวราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นเธอเรียนอยู่ชั้นมอสอง ฉัตรชัยหรือบีมมาตามจีบเธอ ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพื่อนผู้ชายคนไหนเข้าใกล้มักจะถูกเขาพาพวกไปรุมทำร้ายจนเธอไม่มีใครคบ เพื่อนๆ พากันหลบหลีกไม่กล้าเข้าใกล้จนเย็นวันหนึ่งพี่ๆ ของเธอกลับบ้านมาด้วยสภาพหน้าตาแตกยับเยิน คนที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นธีทัต

          เมื่อสอบถามก็ได้ความว่าพวกเขาไปมีเรื่องกับพวกของฉัตรชัยมา ส่วนเธอก็โดนดุไปไม่น้อยเหมือนกันที่เกิดเรื่องขนาดนี้แต่ไม่ยอมบอกพวกเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกของฉัตรชัยและพี่ๆ ของเธอก็เขม่นกันมาตลอด แม้ตอนนี้จะโตจนอายุย่างเข้าเลขสามแล้วก็คอยแต่จะหาเรื่องกันทุกครั้งที่มีโอกาส

          ติ๊ด ติ๊ดตีดีดิ๊ด

          มือบางล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอแม้จะเป็นชื่อที่ไม่ได้บันทึกไว้แต่เธอก็จำได้ดีว่าหมายเลขสิบหลักนี้เป็นของใคร

พริมมาดากดปิดเสียงแล้วยัดมันใส่กระเป๋าตามเดิมก่อนจะเดินเข้าไปยังโรงแรมริมกกการ์เด้นโฮม หญิงสาวตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมกับแจ้งความประสงค์ของตัวเอง

          “ดิฉันมาพบคุณฉัตรชัยค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะแจ้งให้ได้ไหมคะ”

          “รอสักครู่นะคะ”

          พนักงานหน้าเคาน์เตอร์รับคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายภายใน ไม่นานก็หันกลับมาถาม

          “จะให้เรียนท่านว่าใครมาขอพบคะ”

          “บอกว่าชื่อพริมมาดาค่ะ”

          ผู้หญิงคนนั้นกลับไปคุยโทรศัพท์แล้วจึงวางสาย ก่อนจะเดินนำให้เธอเข้าไปรออยู่ในห้องรับรอง ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง

          “โทรมาทำไมนักหนา” แม้จะพึมพำบ่น เขาคงจะรู้เรื่องจากน้องชายตัวดีของเธอแล้วถึงได้โทรมาหา เมื่อคิดได้ว่าหากไม่รับมันก็คงจะดังอยู่แบบนี้ มือบางจึงยอมกดรับสายในที่สุด

          “สวัสดีค่ะ”

          “ไปทำอะไรที่โรงแรมของไอ้บีม กลับมาเดี๋ยวนี้นะ” ไม่มีคำทักทาย มีแต่น้ำเสียงเข้มดุดังมาตามสาย จนพริมมาดาเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังทำหน้าถมึงทึงใส่เธอเป็นแน่ แต่มีหรือที่เธอจะยอมทำตามคำสั่งของเขาง่ายๆ

          “พริมจะมาขอรถคืน รถไม่ใช่ราคาบาทสองบาท กว่าจะซื้อมาได้ต้องทำงานเหนื่อยแค่ไหนอยู่ๆ จะมาเอาไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง”

          “แต่ไอ้บีมมันไม่ใช่คนที่จะคุยด้วยได้ง่ายๆ ก็รู้ๆ อยู่ว่านิสัยมันเป็นยังไง กลับมาก่อนแล้วปล่อยให้พี่จัดการเอง”

          “ไม่ค่ะ รถพริมพริมจะจัดการเอง”

          “ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ”

          ธีทัตรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอาแต่เถียง ไม่ฟังที่เขาพูดแม้แต่น้อย มันน่าจับมาตีก้นนัก

          “อีกอย่างพริมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร โดยเฉพาะพี่ แค่นี้นะคะ”

          พูดจบก็รีบตัดสายแล้วปิดเครื่องทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรกลับมาอีก ทิ้งให้คนปลายสายสบถเสียงดังอยู่ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้าจนใครๆ ต่างหันมามอง แต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจ ตอนนี้จิตใจร้อนรุ่ม เฝ้าแต่เป็นห่วงคนชอบทำอะไรตามแต่ใจตัวเองโดยไม่ปรึกษาใคร

          พริมมาดารอไม่นานประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยเจ้าของสถานที่ ฉัตรชัยเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ อยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนสีเข้ม หญิงสาวพิจารณาใบหน้าขาวซีดเหมือนคนที่ไม่ได้ออกแดดของเขา โครงหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม เคยขี้เหร่ยังไงก็ขี้เหร่อยู่อย่างนั้น

          “ไม่คิดว่าคุณจะมาเอง” เขาเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้ามกับพริมมาดา ซึ่งมีโต๊ะกระจกตัวเล็กกั้นกลาง

          “ฉันต้องการรถคืน” หญิงสาวไม่อ้อมค้อม เธอต้องการพูดให้จบๆ จะได้ออกไปจากที่นี่

          “ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ รับกาแฟหรือน้ำส้มสักแก้วก่อนไหม”

          “ไม่ค่ะ ฉันต้องการรถคืน” เมื่ออีกฝ่ายพยายามถ่วงเวลาด้วยการหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางราวกับไม่สนใจว่ายังมีเธออยู่ในห้องอีกคน พริมมาดาจึงย้ำความต้องการของเธออีกครั้ง

          “เห็นทีว่าจะไม่ได้ น้องคุณแพ้ผม ก็ต้องทำตามกติกา มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของผู้ชาย คุณคงไม่เข้าใจ”

          “แต่ฉันเป็นเจ้าของรถ แล้วก็ไม่สนศักดิ์ศรีบ้าบออะไรของพวกคุณด้วย อีกอย่างถ้าฉันไปแจ้งความว่ารถหาย คุณจะเดือดร้อนและเสียชื่อเสียงนะ คืนรถให้ฉันก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายเถอะ”

          หึๆ อีกฝ่ายหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดาจน มือหนาพับปิดหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำให้พริมมาดาถึงกับเดือดด้วยความโมโห

          “ถ้าคุณคิดว่าทำได้ก็เชิญ แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าเรื่องแค่นี้ผมจัดการได้สบายมาก แค่ยกโทรศัพท์มาพูดไม่กี่คำตำรวจแถวนี้ก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับผมแล้ว”

          “แล้วคุณต้องการอะไร”

          “อืม...” ฉัตรชัยทำท่าครุ่นคิด เขายกมือขึ้นเกาคางแล้วทำน้ำเสียงอืออาในลำคอ” ตัวคุณเป็นไง สามวัน แล้วผมจะคืนรถให้”

          พริมมาดาถึงกับหน้าชา ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้ ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดขาดลงทันที นาทีนี้พริมมาดาไม่สนใจจะรักษามารยาทอะไรทั้งนั้น ร่างบางผุดลุกขึ้นก่อนจะชี้นิ้วเรียวยาวของตัวเอาไปที่ใบหน้าของฉัตรชัย

          “ทุเรศ! จะชวนผู้หญิงสวยๆ อย่างฉันขึ้นเตียงหัดดูหนังหน้าตัวเองด้วยนะ ที่บ้านมีกระจกไหม” มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบธนบัตรสีเทาออกมาวางไว้โต๊ะกระจกอย่างแรก

          ปัง

          “ถ้าไม่มีเอาเงินนี่ไปซื้อซะ ซื้อมาหลายๆ อันติดไว้หลายๆ มุมจะได้เห็นชัด” พูดจบก็ผลุนผลันออกไปจากห้อง เกลียด เธอเกลียดผู้ชายอย่างฉัตรชัยมากที่สุด แล้วตอนนี้คงต้องเกลียดน้องชายตัวดีของเธออีกคน คอยดูนะถ้าเธอไม่ได้รถคือเงินเดือนของเขาเธอจะยึดให้หมด ให้กินมาม่าทั้งปีเสียให้เข็ด

          ร่างสูงใหญ่ที่สวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนก้าวลงมาจากรถเอสยูวีสีดำ แม้การแต่งตัวจะดูธรรมดา หากแต่พออยู่บนร่างกายสมส่วนที่สูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรอีกทั้งเจ้าของยังมีใบหน้าที่หล่อเหลา แม้ดวงตาจะถูกปกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปเลย

          นักเรียนหญิงที่เดินอยู่บนทางเดินปูอิฐซึ่งทอดสู่อาคารหอประชุมต่างก็ชักชวนให้มองมายังชายหนุ่มด้วยความชื่นชม บางคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะนานๆ ทีจะมีคนหน้าตาดีเข้ามาเดินเล่นในโรงเรียนแบบนี้

          ธีทัต อัครเสนากุล เป็นศิษย์เก่าคนหนึ่งที่ถูกเชิญให้มาร่วมพูดคุยในกิจกรรมแนะแนวน้องๆ นักเรียนชั้นมอหกของโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งนี้ หากเป็นคนอื่นติดต่อไปเขาอาจจะปฏิเสธไปแล้วเพราะไม่ชอบกิจกรรมอะไรที่คนเยอะแบบนี้ แต่ครั้งนี้ผู้อำนวยการซึ่งอดีตเคยเป็นครูวิชาฟิสิกส์ของเขาเป็นคนติดต่อไปโดยตรง เขาจึงรับปากว่าจะมา

          “โรงเรียนเก่าธีร์ใหญ่โตเหมือนกันนะคะ บรรยากาศร่มรื่นดีด้วย” มุกมณีก้าวลงมาจากรถอีกฝั่งหนึ่งแล้วเดินมาเกาะแขนธีทัตก่อนจะขึ้นหอไปชุมไปพร้อมกัน

          เสียงนักเรียนพูดคุยกันบวกกับเสียงลากเก้าอี้ที่ดังอยู่ภายในหอประชุมทำให้ผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับเบ้หน้า

          “เด็กพวกนี้ขนาดจะเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้วยังทำตัวราวกับเด็กประถมอยู่อีก เสียงดังไม่มีมารยาท” มุกมณีเหยียดปากพูดแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ทำให้คนที่นั่งอยู่โต๊ะเช็คชื่อบริเวณทางเข้าได้ยินอย่างชัดเจน

          พริมมาดาเงยหน้าจากใบรายชื่อนักเรียนทั้งสิบห้าใบเพื่อมองดูว่าใครกันที่พูดจาตำหนินักเรียนของเธอ เมื่อเห็นสาวสวยท่าทางไฮโซแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีแดงแบรนดังทำท่าทางเหยียดปากควงแขนมากับคนที่เธอไม่อยากเจอ คิ้วสวยก็ขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ

          “มาทำไม”

          คุณครูสาวพึมพำเบาๆ แต่ไม่รู้ว่ามันไม่เบาหรือใครบางคนหูดีกันแน่ สายตาคมเลื่อนมาสบตา แล้วก็ยิ่งหน้าบึ้งด้วยความหงุดหงิดเมื่อหญิงสาวไม่สนใจจะทักทายเขา ทำเมินเหมือนมองไม่เห็น

          “ธีร์” ผู้ชายคนหนึ่งโบกมือเรียกพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา พริมมาดาพิจารณาใบหน้าของเขาอยู่ไม่นานก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของธีทัต เพราะเพื่อนของเขาเธอรู้จักทุกคน เพียงแต่บางคนอาจจะไม่ค่อยสนิทอย่างเช่นรุ่นพี่คนนี้” ไม่รู้ว่ามึงก็มาด้วย”

          “ตอนแรกก็ว่าจะไม่มา แต่คิดๆ ดูแล้วอาจจะได้เจอเพื่อนเก่าก็เลยมา” ปากพูดกับเพื่อนแต่สายตากลับมองมาทางคุณครูคนสวย

          “แล้วนี่แฟนเหรอ ควงแต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ” ประวิทย์เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อเห็นสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ยืนเคียงข้างเพื่อนสุดฮอตของเขา           “สวัสดีครับผมประวิทย์เป็นเพื่อนร่วมห้องกับไอ้ธีร์ตั้งแต่สมัยมัธยม ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ...”

          “มุกมณีค่ะ เรียกมุกเฉยๆ ก็ได้” หญิงสาวยิ้มรับคำทักทายอย่างร่าเริง รู้สึกดีที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นคนรักของธีทัต ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาการแสดงออกของเขาก็พอจะทำให้เธอมีความหวังอยู่ไม่น้อย

          “แล้วนี่มาเที่ยวหรือย้ายมาอยู่กับไอ้ธีร์แบบถาวรเลยครับ”

          “มุกมณีค่ะ เรียกมุกเฉยๆ ก็ได้” หญิงสาวยิ้มรับคำทักทายอย่างร่าเริง รู้สึกดีที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นคนรักของธีทัต ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาการแสดงออกของเขาก็พอจะทำให้เธอมีความหวังอยู่ไม่น้อย

          พูดออกไปแล้วก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย ธีทัตไม่เคยเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับเธอเลย จึงถือโอกาสหยั่งเชิงเขาดู ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของธีทัตทั้งนั้น เขาเป็นหนุ่มหล่อโปรไฟล์ดี ทั้งเก่งทั้งรวย หากได้แต่งงานด้วยเธอจะกลายเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดคนหนึ่ง

          “มุกมณีค่ะ เรียกมุกเฉยๆ ก็ได้” หญิงสาวยิ้มรับคำทักทายอย่างร่าเริง รู้สึกดีที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นคนรักของธีทัต ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาการแสดงออกของเขาก็พอจะทำให้เธอมีความหวังอยู่ไม่น้อย

          “ก่อนจะยุ่งเรื่องของคนอื่น เอาตัวเองให้รอดก่อน”

          “กูก็แค่หวังดี ไม่เห็นต้องแดกดันเลย”

          บทสนทนาที่ดังอยู่เบื้องหน้าทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของใครบางคนหนักอึ้งอย่างไม่มีสาเหตุ เขาคบกับผู้หญิงคนนี้จนถึงขั้นจะแต่งงานแล้วเหรอ แต่จะว่าไปแล้วเขาก็เหมาะสมกันดี เธอควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ พริมมาดาก้มหน้าเหยียดยิ้มสมเพชตัวเอง

          เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ จะกี่ปีก็ไม่จำว่าไม่มีสิทธิ์ ถ้าเขาจะรักคงรักไปนานแล้ว ไม่ต้องเจ็บมายาวนานแบบนี้หรอก

          ต้องมีสักวัน สักวันที่เธอจะหลุดพ้นจากบ่วงนี้ เมื่อปลอบใจตัวเองแล้วพริมมาดาจึงเก็บหัวใจที่บอบช้ำยัดลงไปในซอกที่ลึกที่สุด แล้วปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

          “ขอโทษนะคะ จะยืนคุยกันอีกนานไหม คนอื่นเขาทยอยขึ้นเวทีกันแล้ว”

          บรรยากาศยามเย็นที่อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณสิบหกองศา ส่งผลให้เสื้อกันหนาวตัวหนาถูกรื้อออกมาจากตู้หลังจากนอนอยู่ในนั้นมาตลอดทั้งปี วันนี้พริมมาดามีนัดรวมตัวกับนักเรียนที่เธอเป็นครูที่ปรึกษาอยู่ เด็กๆ มีแพลนจะฉลองความสำเร็จของสมาชิกในห้องที่บางคนสอบติดมหาวิทยาลัยในโครงการสอบตรงและโควตามหาวิทยาลัยดังในจังหวัดเชียงใหม่ และแน่นอนว่าพริมมาดาไม่อาจจะปฏิเสธได้

          สถานที่ที่ถูกเลือกในวันนี้ยังคงเป็นร้านหมูกระทะเจ้าประจำที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก เนื่องจากราคาไม่แพงมากเมื่อรวมทั้งค่าอาหารและน้ำแล้วอยู่ในระดับที่เด็กๆ นักเรียนสามารถจ่ายได้ เพราะบางคนที่อาศัยอยู่ในหอพักต้องจำกัดค่าใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์

          ลมหนาวที่ต้องผิวกายทำให้มือบางต้องยกมากอดตัวเองไว้หลวมๆ ยามก้าวเดินเข้าร้านที่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังอยู่ทั่วร้าน วันนี้พริมมาดายังคงอาศัยเจ้าสองล้อคันใหญ่มาเหมือนเดิม เพราะยังไม่ได้รถคู่ใจคืน นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วแต่ทางโน้นก็บ่ายเบี่ยง เธอเคยพยายามไปขอพบเขาหลังจากวันนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้แต่กลับมานั่งกุมขมับกลุ้มใจต่อไป

          เวลาประมาณหกโมงเศษร้านทั้งร้านแน่นขนัดโดยเฉพาะบริเวณโซนหน้าเวทีถูกจับจองโดยเด็กนักเรียนจนเต็มหมดแล้ว แม้นักร้องที่ถูกจ้างมาเล่นจะยังไม่ขึ้นเวที แต่ก็ยังมีเสียงเพลงที่ดังมาจากตู้ลำโพงเล็กๆ ข้างเสาร์คลอเบาๆ

          “ครูพริมทางนี้ค่ะ”

          เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนโบกมือเรียกหย็อยๆ รอยยิ้มสุขใจประพิมพ์ประพายอยู่บนใบหน้าของแต่ละคนก็ทำให้ครูอย่างพริมมาดารู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายตามไปด้วย

          สิ่งใดเล่าจะสุขเท่าเห็นนักเรียนประสบความสำเร็จ

          “หนูตักของมาย่างไว้รอครูแล้ว กินได้เลยค่ะครูเดี๋ยวพวกเราบริการเอง” ว่าแล้วก็ดันเธอนั่งลงยังเก้าอี้ จัดแจงหยิบจานกับตะเกียบมาวางไว้ตรงหน้าให้เสร็จสรรพ ไม่นานอีกคนก็แหวกฝูงชนเอาถ้วยน้ำจิ้มมาอีกสองถ้วย

          “พอแล้วๆ ไม่ต้องบริการมากนักหรอก พวกเธอจะกินอะไรก็ไปตักเถอะ เดี๋ยวครูจัดการเองได้” พริมมาดาจำต้องปรามเพราะตอนนี้ตรงหน้าเธอเต็มไปด้วยจานอาหารสดจนไม่เหลือที่ว่างแล้ว

          “โอเคค่ะ แต่ถ้ามีอะไรจะใช้พวกเราก็เรียกได้เลยนะคะ”

          “อีกเดียวนักดนตรีจะขึ้นเวทีกันแล้ว วงนี้หล่อๆ กันทั้งนั้นเลยนะคะครู ร้านเพิ่งจะจ้างมาเล่นได้ไม่นาน หนูมาครั้งที่แล้วกรี๊ดซะเสียบแทบหายแหนะ” พูดแล้วยิ้มดี๊ด๊ากันตามประสาผู้หญิงคลั่งผู้ชายหล่อๆ

          แต่พริมมาดาก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่นัก เพียงแต่ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก้มหน้ากินหมูที่นักเรียนย่างแล้วคีบมาวางไว้ให้จนพูนจาน กระทั่งมีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นนั่นแหละ เธอถึงได้เงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่านักดนตรีที่ว่านั้นขึ้นบรรเลงแล้ว

          “อ๊าย นั่นพี่ธีร์ หนุ่มวิศวะสุดหล่อที่ไปโรงเรียนเราเมื่อวันก่อนนี่”

          “ไหนๆ ...เออใช่จริงๆ ด้วย”

          “หล่อเน๊อะ ดูสิดีดกีตาร์แล้วยิ่งหล่อ ออร่าจับมากอ่ะ”

          พริมมาดาลมหายใจสะดุด หมูย่างชิ้นใหญ่แทบจะติดคอจนต้องยกน้ำขึ้นกระดกเกือบหมดแก้ว หนีไม่พ้นจริงๆ คนอะไรตามหลอกหลอนไปได้ทุกที นี่สินะที่โบราณบอกว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ

          เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าธีทัตรับงานนักดนตรีกลางคืนด้วย เพราะเท่าที่รู้งานหลักก็หนักหนาเอาการแล้ว ทำแทบจะไม่มีวันหยุด บางวันควงกะทั้งกลางวันกลางคืน แล้วนี่เอาเวลาที่ไหนเจียดมาเล่นดนตรีได้

          ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดีค่อยๆ พรมนิ้วลงไปบนสายกีตาร์สะกดให้หลายสายจับจ้องไปที่เขาราวต้องมนต์ เมื่อเพลงบรรเลงและนักน้องขับร้องด้วยเสียงไพเราะน่าฟัง เด็กๆ ก็ลุกขึ้นโบกไม้โบกมือ บ้างก็ร้องตามจนเสียงกระหึ่ม ซึ่งนักร้องนำของวงก็เอ็นเตอร์เทนได้ดี มีการเล่นกับผู้ชมจนกระทั่งเปลี่ยนจากทำนองช้าๆ เป็นร็อกแรงๆ นักเรียนของเธอนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกขึ้นโยกย้ายตามจังหวะเพลงจนน่าเวียนหัว

          “พี่ค้า ขอเพลงได้ไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางวง

          “ได้ครับ อยากฟังเพลงไหนขอขึ้นมาได้เลขครับ” นักร้องหนุ่มตอบรับมาตามเสียงไมโครโฟน

          “อยากฟังพี่ธีร์ร้องค้า เพลงอะไรก็ได้ ร้องให้ฟังหน่อยนะพี่ธีร์”

          เมื่อมีคนนำอีกหลายเสียงก็ร่ำร้องตามมา กลายเป็นการประสานเสียงเรียก ‘พี่ธีร์’ ลั่นร้าน จนนักร้องประจำวงต้องเดินเข้าไปคุยกับมือกีตาร์ ไม่นานเขาก็ถอดสายสะพายกีต้าร์ส่งให้แล้วเดินออกมายังหน้าเวที นั่นยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดให้ดังขึ้นไปอีก

          กรี๊ดดดด

          “พี่ธีร์ออกมาแล้ว”

          “สวัสดีครับ ผมอาจจะร้องไม่เพราะเท่าพี่คิงนักร้องนำของเรา แต่เห็นน้องๆ ขอมาขนาดนี้ผมจะร้องให้ฟังสักเพลงก็แล้วกันครับ”

          เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง มือหนาจับไมโครโฟนมาแนบริมฝีปากก่อนจะเปล่งเสียงนุ่มทุ้มที่แสนไพเราะในความรู้สึกของคนฟัง ขับกล่อมให้คนด้านล่างโยกตัวเบาๆ ไปตามจังหวะ

สั่งตัวเองคอยเตือนให้รู้ตัวอยู่ ห้ามตัวเองวันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง

ไม่มีสิทธิ์จะคิดรักเธอเลย อาจจะเคยได้เคียงข้าง ไม่มีทางจะได้หัวใจ

บอกตัวเองวันหนึ่งก็ต้องสิ้นสุด หยุดตัวเองที่จะไม่ต้องเจ็บช้ำ

ถึงรู้สึกกับเธอมากเพียงใด เก็บเอาไว้ทุกถ้อยคำ จดจำไว้ในใจคนเดียว

          นักร้องกิตติมศักดิ์ยังคงขับร้องไปเรื่อยๆ กวาดสายตามองไปข้างล่างเวทีแล้วส่งยิ้มละลายใจแบบไม่มีกั๊ก แต่จุดที่ชายหนุ่มจับจ้องบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นโต๊ะตัวยาวที่อยู่หน้าเวทีราวกับจะสื่อสารไปถึงใครสักคนในนั้น พริมมาดาก็รับรู้ถึงสายตาคู่นั้น หัวใจดวงน้อยไหวโยกอย่างระงับไว้ไม่อยู่ ทั้งน้ำเสียงและสายตามันชวนให้เธอมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลง แต่ก็คงจะใช่ เมื่อเพลงนี้มันตรงกับชีวิตเธอไม่ผิดเพี้ยน

          มีบางคนเคยบอกว่าเพลงจะเพราะหรือไม่เพราะไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ฟังแล้วคิดถึงใครต่างหาก ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว เมื่อคนที่ชวนให้คิดถึงกำลังมาขับร้องอยู่ต่อหน้า เข้าใจลึกซึ้งเลยทีเดียว

อยากตะโกนให้ดังเพียงใด เก็บมันไว้ภายในใจเรื่อยไป อย่างนี้

ฟ้าและดินเท่านั้นรู้ดี ว่าคนคนนี้รักเธอเพียงใด

อยากตะโกนให้มันดังดัง ว่ายังมีคนรักเธอ สุดหัวใจ

แค่ไม่เคยจะพูดมันไป คำรักที่เธอ ไม่เคยฟัง

  1. เครดิต:เพลงคำรักที่เธอไม่เคยฟัง หนุ่ม กะลา

          เมื่อเพลงจบลงริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มออก เป็นรอยยิ้มเศร้าๆ ที่เธอเห็นตัวเองในกระจกจนชิน ‘คำรักที่เธอไม่เคยฟัง’

          ใช่...ขนาดเขายังไม่เคยฟังมัน เขายังกันเธอออกจากวงจรชีวิต เสียงนั้น คำพูดนั้นเธอยังจำได้ดี คำพูดร้ายๆ ที่เขาเคยพูดว่าเขาไม่เลือกเธอ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา