รอรักเคียงใจ

-

เขียนโดย 0ilz

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.31 น.

  9 บท
  0 วิจารณ์
  8,620 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ทวงคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่3

ทวงคืน

          เช้านี้อากาศเย็นลงมากกว่าทุกๆ วัน กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าอุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่าสิบองศาตลอดทั้งสัปดาห์ โรงเรียนจึงประกาศให้นักเรียนสวมใส่ชุดพละมาเรียนได้ จนกว่าอุณหภูมิจะปรับสูงขึ้น

          ดวงตากลมโตเพ่งฝ่าละอองหมอกหนาจัดที่ปกคลุมสนามฟุตบอลไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามแต่ก็มองเห็นได้แค่รางๆ เท่านั้น มือเรียวบางหอบหนังสือและกระดาษรายงานไว้เต็มอ้อมแขนเดินออกจากห้องเรียนเมื่อสัญญาณหมดคาบเรียนดังขึ้น

          นักเรียนต่างกระวีกระวาดเก็บของใส่กระเป๋าทยอยลุกจากเก้าอี้และออกจากห้องอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันไปเรียนวิชาต่อไป

          “ครูพริมคะ” เสียงเรียกที่ดังมาจากประตูห้องเรียนที่พริมมาดากำลังเดินผ่านทำให้เท้าเล็กต้องหยุดชะงัก ก่อนนักเรียนหญิงสองคนที่ขอให้เธอเป็นที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์สำหรับส่งเข้าประกวดจะหอบกระเป๋าวิ่งมาหา

          “ว่าไงจ๊ะ อรุโณชา วนาลี” เสียงใสเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งคู่มาหยุดหอบหายใจอยู่ตรงหน้า

          “หนูจะถามครูว่าใบมะรุมที่แช่เฮกเซน*ไว้ครบกำหนดเวลาแล้ว เอาไปกลั่นเลยไหมคะ คาบต่อไปพวกหนูว่าง”

          “อ๋อ...เดี๋ยวเราสองคนขึ้นไปหาครูเมธาสิทธิ์ที่ห้องพักครูเคมีนะ ครูแจ้งไว้แล้วว่าจะขออนุญาตใช้เครื่องกลั่นสุญญากาศ เตรียมอุปกรณ์ไปให้พร้อมครูขอเอาของไปเก็บก่อนแล้วจะตามไปดู”

          “ค่ะครู”

          รับคำแล้วทั้งคู่ก็ปลีกตัวไปเตรียมอุปกรณ์และสารละลายที่ต้องใช้ ส่วนพริมมาดาก็หอบเอาเอกสารกองโตในอ้อมแขนไปเก็บแล้วจึงตามขึ้นไปยังห้องปฏิบัติการเคมี

          เมธาสิทธิ์และนักเรียนหญิงทั้งสองคนรออยู่บนนั้นแล้ว เบื้องหน้าคือเครื่องกลั่นสุญญากาศที่โรงเรียนเพิ่งจะได้งบประมาณและสั่งซื้อเข้ามา มันเป็นเครื่องที่ใช้ในการระเหยสารตัวอย่าง โดยแยกตัวทำละลายที่ผสมอยู่ในสารละลาย มีการควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า หน้าจอแบบดิจิทอลที่แสดงอุณหภูมิที่ทำความร้อน ความเร็วรอบการหมุน และการจับเวลา

          “เอาล่ะ ครูจะให้พวกเราทำความรู้จักกับเจ้าเครื่องกลั่นนี่เสียก่อน ส่วนประกอบหลักๆ จะมีอ่างให้ความร้อน ขวดกลั่นแล้วก็เจ้ายาวๆ นี่เรียกว่าชุดควบแน่น อ่างให้ความร้อนใช้ได้ทั้งกับน้ำและน้ำมัน...”

          พริมมาดายกหน้าที่การอธิบายและควบคุมการทำงานทั้งหมดให้กับครูรุ่นพี่ซึ่งมีความถนัดมากกว่า โดยเธอคอยให้คำแนะนำบางอย่างในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น เมื่อพร้อมสำหรับลงมือปฏิบัติทั้งคู่ก็ปล่อยให้นักเรียนได้ทำด้วยตัวเองจะได้เกิดทักษะและความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

          ขวดแก้วรูปชมพู่หมุนในอัตราเร็วคงที่ ไอจากสารละลายพวยพุ่งออกไปเป็นระยะ ปริมาณของเหลวสีเขียวลดลงเรื่อยๆ เวลาผ่านไปไม่นานก็ปรากฏสีเขียวข้นหนืดติดก้นขวดในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของอรุโณชาและวนาลีได้

          “นี่แหละสิ่งที่เราต้องการ แต่ว่ามันได้ไม่มาก หวังว่าห้าขวดที่แช่ไว้คงจะพอ” พริมมาดาบอกเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ทั้งสองมองมันด้วยความตื่นเต้นราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ล้ำค่า “อย่ามัวแต่ยืนยิ้ม เอาอีกสี่ขวดมากลั่นสิ เดี๋ยวจะหมดคาบเสียก่อน”

          “ค่ะๆ” ทั้งคู่ตอบรับแทบจะทันทีแล้วจัดแจงเทสารละลายลงไปในขวดรูปชมพู่ และทำตามขั้นตอนที่ครูเมธาสิทธิ์สอนไว้ได้คล่องแคล่วมากขึ้น

          ติ๊ด ติ๊ด

          เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋าทำให้พริมมาดาต้องละความสนใจทั้งหมดแล้วเดินออกไปนอกห้องเพื่อจะได้ไม่รบกวนสมาธิคนอื่น

          ริมฝีปากบางที่เคลือบลิปกลอสสีชมพูระเรื่ออมยิ้มเมื่อเห็นเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ

          “กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะพี่นนท์”

          “อย่ามาโม้ พี่ไม่ใช่ไอ้ธีร์”

          “โอเค...งั้นวาง”

          “เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ วางแล้วไม่รู้อะไรดีๆ อย่ามาโกรธพี่ทีหลังก็แล้วกัน”

          “ถ้าอย่างนั้นก็บอกสักทีสิคะ มัวแต่โยกโย้อยู่ได้ พริมไม่ได้ว่างมาคุยเล่นได้ทั้งวันนะ นี่ก็กำลังยุ่งอยู่”

          ปลายสายถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนกับมีเรื่องหนักอกหนักใจแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ จนพริมมาดาปรับอารมณ์ตามไม่ทัน แล้วจึงพูดอย่างจริงจังมากขึ้น

          “เมื่อกี้ไอ้ธีร์กับน้องชายเรามาหาพี่ มาขอยืมรถ บอกว่าจะไปตามรถเราคืน พี่ถามอะไรมันก็ไม่ยอมบอก ก็เลยกระโดดขึ้นรถมากับมัน ถึงได้รู้ว่ามันนัดแข่งรถกับพวกไอ้บีม”

          “แล้วพี่นนท์ก็ไม่ห้าม? แถมยังโดดขึ้นรถไปด้วยเนี่ยนะ”

          “จะห้ามยังไงล่ะ พวกมันฟังซะที่ไหน ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไอ้พวกนี้มันบ้า แล้วไม่ได้มีแค่พวกมันสองคนนะ แก๊งวิศวะก็ขับรถตามมาเป็นพรวนอย่างกับเด็กแว๊นนัดตีกัน นี่พี่ยังคิดอยู่ว่าจะขอทหารที่ค่ายไอ้ภพมาช่วยสักกองร้อยนึงดีไหม เผื่อพวกมันฆ่ากันตาย”

          พริมมาดาไม่รู้ว่าพวกนั้นกำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่ เธอไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายจนถึงขนาดต้องยกพวกไปเป็นโขยงอย่างนั้นราวกันวัยรุ่นหัวร้อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว และดูท่าคงหยุดยาก

          “ตอนนี้พวกพี่อยู่ที่ไหน”

          “ที่สนาม...”

          เมื่อได้พิกัดมาพริมมาดาจึงกลับเข้าไปสั่งความกับอรุโณชาและวนาลีโดยบอกว่ามีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการ ซึ่งเมธาสิทธิ์ก็อาสาที่จะดูแลเด็กๆ ให้เพราะอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว

          พริมมาดาก้าวออกจากห้องอย่างรวดเร็วเมื่อกล่าวขอบคุณครูรุ่นพี่เรียบร้อย แต่ต้องจัดการแลกเปลี่ยนตารางสอนกับใครสักคนที่ว่างอยู่ในตอนนี้เสียก่อน และหวยก็มาออกที่รุ้งรดา เธอว่างยาวตลอดช่วงเช้านี้และเต็มใจที่จะเข้าสอนแทน ทำให้พริมมาดาค่อยคลายใจ ร่างบางตรงไปยังลานจอดรถแล้วขับออกไปทันที

          ระยะทางหลายสิบกิโลเมตรที่ผ่านมาสองข้างทางมีแต่เนินเขาสลับหน้าผาที่มีต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม ถนนเส้นนี้รถไม่ค่อยพลุกพล่านทำให้พริมมาดาสามารถทำความเร็วได้ตามที่ใจต้องการแม้จะมีเพียงแค่สองเลนเท่านั้น

          พริมมาดาใช้เวลาในการเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สนามแข่งรถที่มีพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไร่ก็ปรากฏแก่สายตา เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงแค่ยี่สิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น เส้นทางคดเคี้ยวสลับซ้ายขวาที่บริเวณโดยรอบเป็นเนินเขาโอบล้อมไว้ชวนให้คนที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอดตื่นเต้นไม่ได้

          แต่เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มทำให้ความตื่นเต้นต้องถูกพับเก็บไว้ก่อน จากที่สังเกตคนบนอัฒจันทร์และจำนวนรถที่จอดอยู่ตามเต็นท์ เดาว่าวันนี้ทางสนามคงมีการแข่งขันอะไรสักอย่าง ซึ่งพวกธีทัตก็ได้โอกาสมาแจมด้วยพอดี

          พริมมาดาชะลอความเร็วเมื่อขับผ่านเต็นท์ที่มีรถหลากหลายยี่ห้อจอดเรียงรายเพื่อเช็คความพร้อมก่อนลงศึกแข่งขัน กลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล เธอจำใครหลายๆ คนในนั้นได้แม่นแม้จะมองผ่านกระจกหมวกกันน็อกก็ตาม จึงขับเข้าไปจอดและคนพวกนั้นก็กรูกันเข้ามาหาเธอราวผึ้งแตกรัง

          “มาได้ไงพี่พริม” เป็นพงศกรที่ปรี่เข้ามาหาเธอเป็นคนแรก โดยมีปราณนต์และหนุ่มๆ วิศวกรที่คาดว่าคงเกงานทั้งวันตามมาติดๆ

          “พี่นนท์โทรไปบอกถึงได้รู้ว่าพวกนายบ้าดีเดือดถึงขนาดยกพวกมาให้เขาสับถึงที่” มือบางผลักอกน้องชายออกห่างด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเดินตรงไปหาคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพิงรถสปอร์ตพอร์ชบ็อกซเตอร์ลูกรักของปราณนต์โดยไม่สนใจการมาของเธอ มีเพียงหางตาที่ใช้มองแบบผ่านๆ เก๊กซะไม่มี

          “มั่นใจแค่ไหนว่าจะชนะ” เป็นประโยคแรกในรอบหลายวันนับตั้งแต่ที่เขาโทรหาตอนไปคุยกับฉัตรชัยครั้งแรก เธอก็ไม่ได้พูดคุยกับเขาอีกเลย สาเหตุหนึ่งมาจากเธอพยายามจะหลบเลี่ยงไม่พบเจอเขา

          “ไม่รู้” ร่างสูงใหญ่ขยับตัวยืนตรงจนเงาของเขาทาบทับมายังตัวเธอจนมิด แว่นกันแดดถูกถอดออกมาเช็ดกับชายเสื้อยืดสองสามครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์จนคนฟังได้ยินเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ในหู “ถ้าแพ้ก็แค่เสียรถไอ้นนท์ไปอีกคัน”

          “นี่คิดว่าเล่นตลกอะไรกันอยู่ แพ้เสียรถ รถราคาไม่ใช่บางสองบาทนะ ไปบ้าตามเกมส์เขาทำไม มันมีวิธีอีกตั้งเยอะที่จะเอารถคืนมา”

          “แล้ววิธีที่ทำมามันได้ผลไหม”

          “ก็ยังไม่ได้ทำอะไรจริงจังไง พริมไม่เชื่อหรอกว่ากฎหมายจะจัดการไม่ได้ ไอ้หมอนั่นก็แค่ขู่”

          “แล้วที่มันขอให้เธอขึ้นเตียงกับมันล่ะ” นึกถึงเรื่องนี้ทีไรความโกรธก็แล่นเป็นริ้วๆ น้ำเสียงของเขาจึงทุ้มต่ำจนน่ากลัว

          เจอคำถามนี้เข้าไปพริมมาดาได้แต่อึ้ง ปากบางหยุดขยับสมองยังประมวลผลไม่ทัน ไม่รู้ว่าเขาไปรู้หรือได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ทั้งที่เธอไม่ได้เล่าให้ใครฟัง

          “นั่นมันเรื่องส่วนตัว อีกอย่างพริมจะขึ้นหรือไม่ขึ้นเตียงกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่”

          “หึ!”

          เหล่ากองสนับสนุนยืนฟังกันตาปริบๆ ไม่กล้าเข้าไปแทรกกลางการสนทนาของคนทั้งคู่ที่เดาอารมณ์ได้ยากยิ่งกว่าวันให้ทายปัญหาไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนเสียอีก ยิ่งตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาเพิ่มระดับความกระด้างจนเกือบจะบึ้งตึง คนที่รู้จักคลุกคลีกันมายาวนานไม่มีใครกล้าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแน่

          “แล้วทำไมต้องเอารถพี่นนท์มาด้วย พอร์ชเป็นคนก่อเรื่องก็ใช้รถพอร์ชสิ”

          “จะให้เอาเศษเหล็กมาแลกกับรถราคาสามล้านเหรอ ใช้อะไรคิด อีกอย่างมันเคยเป็นแฟนเธอนี่ สมควรแล้วที่มันจะต้องช่วย” แม้ฮอนด้าซิตี้จะห่างไกลกับคำว่าเศษเหล็กแต่ราคายังไม่อาจเทียบได้กับเลกซัสไอเอชเลคชูรี่ของผู้เป็นพี่สาว แต่สิ่งที่สะดุดหูพริมมาดาคือประโยคหลังของเขาต่างหาก

          “ห๊ะ! ว่าไงนะ ใครเป็นแฟนใครพูดใหม่อีกทีซิ” มือเรียวเล็กรั้งลำแขนแกร่งเอาไว้เมื่อเขาหันหลังจะเดินไปหลังจากพูดจบ พูดเองเออเองแบบนี้แล้วจะเดินหนีไปง่ายๆ ได้ยังไง

          แต่แล้วใบหน้าสวยหวานก็มีอันต้องแดงก่ำด้วยความโมโห นิ้วมือเรียวยาวที่เล็บเคลือบสีชมพูเข้มกระชากมือเธอแล้วเหวี่ยงอย่างสุดแรง ก่อนจะถือสิทธิ์เกาะแขนธีทัตอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

          “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะธีร์ อยู่ๆ ก็มาโวยวายใส่คุณ” ดวงตาโฉบเฉี่ยวจากมาสคาร่าตวัดมองพริมมาดาอย่างประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนริมฝีปากจะหยักยิ้มเหยียดๆ ส่งมาให้ พริมมาดาจำได้ทันทีว่าเธอคือคนคนเดียวกับที่ธีทัตเคยพาไปที่โรงเรียนเมื่อหลายวันก่อน

          “เด็กข้างบ้านน่ะ อย่าไปสนใจเลย” มือแกร่งแกะมือเรียวยาวออกจากแขนก่อนจะหันหลังเดินไปเปิดฝากระโปรงรถแล้วจับโน่นจับนี่ไปตามเรื่องของเขา

          เด็กข้างบ้านอย่างนั้นเหรอ? ใช่สิ อย่างเธอคงเป็นได้แค่นั้น

          “เป็นแค่เด็กข้างบ้านแต่พูดจาก้าวร้าวแบบนี้ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” น้ำเสียงที่ใช้ยังคงแฝงไว้ด้วยการจิกกัดและแสดงความไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน

          พริมมาดานับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้นจะเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นเมื่อไหร่ มันอาจจะมาเงียบๆ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

          “พวกแกว่าเจ๊คนนั้นจะโดนตบไหม”

          หนุ่มๆ ต่างหันมากระซิบกระซาบกัน พฤติกรรมเมื่อครู่ของสาวสวยคนนั้นนิยามได้คำเดียวเลยว่า ‘วอน’ แต่ก็ยังแปลกใจเมื่อพริมมาดายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีการกระโดดเข้าไปฉีกทึ้งอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ อย่างที่หลายคนคิดไว้

          ร่างโปร่งระหงก้าวไปประจันหน้ากับอีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบบางอย่างที่ได้ยินกันแค่สองคน

          “ไม่แน่นะ บางทีเด็กข้างบ้านอย่างฉันอาจจะได้เลื่อนสถานะเป็นคนในบ้าน ส่วนใครบางคนก็อาจจะโดนถีบกระเด็นออกไปทั้งที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ก็ได้”

          เท่านั้นแหละมุกมณีก็ได้แต่อ้าปากค้าง กำมือแน่นด้วยชิงชัง แม้จะเจอกันครั้งแรกแต่สัญชาตญาณบางอย่างก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจไม่เบา พอตั้งสติได้จะตอบโต้พริมมาดาก็เดินหนีไปเสียแล้ว

          “ปล่อยไปได้ไงเจ๊ น่าจะจัดให้สักหน่อย” ตูนหรือคชาโผล่มาตรงหน้าพร้อมกับยื่นขวดน้ำที่มีหยดเล็กๆ เกาะรอบขวดให้ เมื่อร่างบางหันหลังกลับไปนั่งพิงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

          พริมมาดาเปิดขวดน้ำแล้วกระดกเข้าปากด้วยความกระหาย ก่อนจะหันมายิ้มให้หนุ่มรุ่นน้อง และนั่นทำให้คชาถึงกับสั่นสะท้าน นึกเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาทันควัน

          รอยยิ้มร้ายกาจอย่างใจเย็นที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยจากผู้หญิงที่ชื่อพริมมาดา ทำให้คชารู้ทันทีว่า เมื่อมีโอกาสเธอจะเอาคืนแน่!

          การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น รถยนต์ซูเปอร์คาร์สุดหรูสองคันจอดเคียงข้างกันอยู่ในสนาม ตรงหน้าคือสาวสวยที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นสุดวาบหวิว ยืนถือธงโบกสะบัดไปมาเพื่อรอสัญญาณสำหรับเริ่มการแข่งขัน

          พริมมาดานั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ร่างบางซึ่งอยู่บนอัฒจันทร์ลุกขึ้นชะเง้อมองไปยังสนามด้วยใจระทึก รถสองคันที่เห็นคันหนึ่งเป็นรถของเธอโดยมีฉัตรชัยเป็นคนขับ ส่วนอีกคันคือพอร์ชบ็อกซเตอร์ของปราณนท์ซึ่งคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยคือธีทัต

          นาทีนี้เธอหวังให้สมรรถนะรถของตัวเองสู้เจ้ารถสปอร์ตของปราณนต์ไม่ได้ ชัยชนะจะได้เป็นของธีทัต แต่ความเป็นจริงมันคงไม่ง่ายอย่างที่เธอหวัง

          “นั่งลงเถอะ อย่ากังวลเลย พี่ว่าธีร์ต้องทำได้” ปราณนต์กระตุกแขนพริมมาดาให้นั่งลงที่เดิมเมื่อเห็นอาการของหญิงสาวแล้วก็พอจะเดาได้ว่ากำลังกังวลอะไร

          “จะไม่ให้พริมกังวลได้ยังไง พี่ธีร์จะเอาอะไรไปสู้กับเจ้าของสนามแข่งรถอย่างนายฉัตรชัยได้” ท่าทางหนักอกหนักใจที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนทางสีหน้าทำให้ปราณนต์ถึงกับหลุดขำ มือหนายกขึ้นลูบเส้นผมของเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

          “พี่พริมไม่รู้อะไร ตอนเรียนพี่ธีร์น่ะแชมป์เก่าฟอร์มูล่าวันเกือบทุกสนามเชียวนะ แค่นี้ชิวๆ” พงศกรชะโงกหน้ามาจากที่นั่งนั่งข้างหลัง เอาคางมาเกยบนไหล่พี่สาวแต่ถูกถือฝ่ามือเล็กผลักให้กลับไปที่เดิม จนน้องชายทำหน้ามุ่ย

          “พี่ธีร์เนี่ยนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมพริมไม่เห็นรู้” เมื่อจัดการตัววุ่นวายแล้วจึงหันกลับมาคุยกับปราณนต์ต่อ

          “ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้นพริมเคยสนใจไอ้ธีร์ด้วยเหรอ พี่เห็นเราทำท่าเหมือนจะตัดขาดกับมัน หลบได้เป็นหลบ ใครพูดถึงไอ้ธีร์ก็เดินหนี รับปริญญามันก็ไม่ยอมไป พอมันกลับบ้านพริมก็หาทางเลี่ยงไม่ยอมมาเจอมันอีก”

          “จริงสินะ”

          พริมมาดารับคำเสียงอ่อย เธอไม่เคยสนใจเรื่องของเขาอีกเลยนับแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น ไม่ติดต่อ ไม่ขวนขวายที่จะสอดส่องชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เธอพยายามถอยออกมาให้ห่าง ปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด คอยบอกตัวเองเสมอว่าชีวิตที่ไม่มีเขามันดีกว่า

          แต่แล้วพริมมาดาก็ค้นพบความจริงว่า วันนี้...หัวใจของเธอกลับมาเต้นได้อีกครั้งหลังจากที่มันหยุดไปนาน เพราะการกลับมาของผู้ชายที่ชื่อธีทัต

          ติ๊ดดดดด

          ในขณะที่คิดอะไรเพลินๆ สัญญาณปล่อยตัวก็ดังขึ้น ความสนใจทั้งหมดจึงกลับมาอยู่ที่สนามอีกครั้ง รถทั้งสองคันพุ่งออกไปจากจุดสตาร์ทอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เป็นเจ้าของสนามทำให้ฉัตรชัยได้เปรียบธีทัตอยู่เล็กน้อย เขารู้ว่าช่วงไหนเป็นทางเรียบและช่วงไหนเป็นเนินดิน รถที่ฉัตรชัยขับจึงนำหน้าอยู่หลายช่วงตัว

          “สนามสั้น ทางตรงมีนิดเดียว โอกาสเหยียบแทบไม่มี วนครบรอบแล้วไม่รู้เข้าเกียร์ครบหรือเปล่า”

          นักวิเคราะห์เริ่มทำงานให้คุ้มค่ากับการลงทุนหนีงานในไซต์ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกปรับมูลค่ามหาศาลทันใด จากที่ได้ยินหนุ่มๆ พูดคุยกันตอนอยู่ในเต็นพริมมาดาพอจะจับใจความได้ว่า สนามนี้มีความยาวทั้งหมด 2.4กิโลเมตร ต้องแข่งทั้งหมด 15 รอบ กติกานี้ไม่ใช่กติกาสากล แต่ตั้งจากความพอใจของพวกเขาเอง

          เครื่องยนต์ยังคงหวีดร้องหวานแหลมยามเมื่อเกียร์ถูกกระชากสูงขึ้นตามอัตราทดเกียร์ รถทั้งสองคันขับผ่านอัฒจันทร์ที่มีกองเชียร์แน่นแทบทุกที่นั่งรอบแล้วรอบเล่า โดยธีทัตที่ตอนแรกเป็นฝ่ายตามหลังก็ตีตื้นขึ้นมาสูสีจนมองไม่ออกว่าใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อน

          “ทางโค้งแคบแบบนี้พี่ธีร์ได้เปรียบแน่” คชาเอนหลังพิงพนักก่อนจะแสดงความคิดเห็นบ้าง

          “ทำไมคิดงั้น”

          “พี่ธีร์แกฉลาดไง อีกอย่างก็คำนวณแม่นด้วย แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางไม่มีพลาด”

          “กูเพิ่งรู้ว่าเวลามึงขับรถ มึงเอาสมาธิไปคำนวณแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางกับพวกโมเมนตัมด้วย วันหลังเผื่อมีคนโทรมาให้ไปเก็บศพมึงกูจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมมึงถึงตายอนาถกลางถนน” พงศกรย้อนเพื่อนทันควัน ไอ้บ้า...เวลาแบบนี้มันยังมีกะจิตกะใจมาคิดอะไรซับซ้อนให้ปวดหัวอีก

          “อย่ามาแช่งกู” ชายหนุ่มทำท่าค้อนเข้าให้ ถ้าใครเห็นคงขนลุกเกินกว่าจะมองว่าน่ารัก

          ในขณะที่กำลังเกิดศึกน้ำลายทางฝั่งกองเชียร์ ฝั่งคนที่อยู่ในสังเวียนก็พยายามประคองรถเข้าโค้งอย่างสุดชีวิต ข้างหน้าคือทางโค้งแคบตัวยูที่ขับผ่านมาแล้วถึงแปดรอบ เหลืออีกครึ่งทาง ถ้าจะสลัดให้หลุดเพื่อขึ้นนำก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ธีทัตลดความเร็วด้วยการแตะเบรกลดเกียร์ลงต่ำ เพื่อรักษาประสิทธิภาพการยึดเกาะระหว่างยาง ช่วงล่าง และผิวถนน พร้อมสำหรับการพุ่งทะยานแบบสุดเกียร์หลังหลุดจากโค้งนี้ไป

          สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังรถสองคันที่กำลังเบียดกันเกาะไลน์เข้าโค้ง แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างช้าๆ ราวเกิดภาพสโลว์อยู่ตรงหน้า แต่แล้วก็เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นจากกองเชียร์ที่อยู่อีกฝั่ง เมื่อรถเลคซัสไอเอสเกิดอาการท้ายปัดตอนเข้าโค้งพอดี น่าจะมาจากการใช้ความเร็วมากเกินไป ซึ่งครั้งนี้ถือว่าแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ก็มีอาการเหวี่ยงให้เห็นบ้างตอนเข้าโค้งหักศอกแต่ไม่มีใครเอะใจจนกระทั่งตอนนี้

          “พี่พริมเปลี่ยนยางรถครั้งล่าสุดเมื่อไหร่” จีรวัฒน์ร้องถามขึ้นเมื่อประเมินอาการจนเกือบจะแน่ใจอะไรบางอย่าง

          “ก็...” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดก่อนจะยิ้มแห้งๆ “น่าจะสักสามหรือสี่ปีได้แล้วมั้ง”

          เป๊าะ

          หนุ่มๆ ต่างดีดนิ้วพร้อมกัน พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ประกอบกับเสียงอืออาในลำคอเหมือนกระจ่างในคำตอบที่ร้องถามแล้ว ก่อนจะหันไปวิเคราะห์การแข่งขันต่อโดยทิ้งให้เธองุนงงอยู่คนเดียว นี่ไม่มีใครคิดจะช่วยอธิบายให้เธอเข้าใจหน่อยหรือ?

          “กูบอกแล้วพี่ธีร์ของเราฉลาด โมเมนตัม มวล แม้แต่ยาง พี่แกก็คำนวณมาจากบ้านแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลือกรถสปอร์ตมาเหรอ” คชาไขความกระจ่างให้เพื่อนๆ ที่ต่างก็ว่าเขาบ้าในตอนแรก แต่ใครจะรู้ว่าเขาก็กูรูเรื่องรถแข่งเหมือนกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าธีทัตวางแผนมาอย่างดีแล้ว

          ธีทัตน่าจะแอบไปส่องโค๊ดวันที่ผลิตที่ขอบยางรถของพริมมาดา จึงรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้เปลี่ยนยางตามอายุการใช้งาน ปกติแล้วรถยนต์ราคาแพงเหล่านี้ ส่วนผสมของยางธรรมชาติจะมีมากกว่ารถปกติ เพื่อให้นิ่มและเกาะถนน อายุการใช้งานก็เพียงสองปีเท่านั้น

          สงสัยพี่พริมของพวกเขาจะไม่เคยอ่านคู่มือเลยกระมัง

          ใครบางคนที่โดนวิจารณ์โดยไม่รู้ตัวกำลังขมวดคิ้วดกดำของตัวเองอย่างใช้ความคิด คนพวกนี้คุยเรื่องอะไรกัน แม้ฟิสิกส์เธอจะเรียนมาเหมือนกัน แต่เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับการแข่งขันความเร็วสมองเธอก็ดับทันที เพราะเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาสัมผัส

          “อืม..อีกอย่างรถพี่นนท์ดีด้วยไง ถ้าเอารถไอ้พอร์ชลงแข่งกูว่าโดนน็อครอบว่ะ” เมื่อเห็นว่าทางฝั่งตัวเองเป็นต่อจีรวัฒน์ก็คลายใจลงมากจนมีอารมณ์กลับมากวนอวัยวะเบื้องล่างได้เหมือนเดิม

          “เฮ้ยพวกมึงก็พูดเกินไป ไม่เคยได้ยินที่โดมินิค โทเร็ตโต้พูดเหรอว่าไม่ได้สำคัญที่รถ แต่สำคัญที่คนอยู่หลังพวงมาลัยโว้ย”

          พงศกรแก้ลำได้อย่างสวยงามกับการหยิบยกวลีสุดเด็ดจากภาพยนตร์ดังมาใช้ จนได้ยินเสียงโหยหวนลอยอยู่เต็มหู

          รอบที่สิบสองกำลังจะผ่านไป รถทั้งสองคันขับเคี่ยวกันไปบนถนนอย่างไม่มีใครยอมใคร ตอนนี้ธีทัตขึ้นนำอยู่เล็กน้อย ซึ่งยังไม่อาจจะมั่นใจอะไรได้ จนกว่าจะถึงเส้นชัย สามรอบสุดท้ายพริมมาดาลุ้นจนตัวเกร็ง กลั้นหายใจรอคอยแต่ละวินาทีที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

          ธีทัตเกาะไลน์โค้งแต่ละโค้งอย่างมีสมาธิ ก็หวังว่าสติจะยังอยู่ครบจนจบการแข่งขัน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเตรียมพร้อมกับแผนสุดท้ายก่อนจะเผด็จศึก เข้าสู่รอบที่สิบสามธีทัตนำอยู่ประมาณสามวินาทีซึ่งถือว่ายังไม่ขาดเสียทีเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้ต้องไม่ประมาท

          “ก่อนแข่งกูเห็นพี่ธีร์เถียงกับช่างเครื่องเรื่องลมยาง มึงเห็นไหมวะไอ้ตูน” จีรวัฒน์หันไปถามคชาที่น่าจะเข้าใจอะไรมากกว่าคนอื่นๆ และคงจะให้คำตอบในข้อสงสัยของเขาได้

          ‘เอาอีกแล้ว’ พริมมาดาเบ้หน้าด้วยความรำคาญพลางบ่นในใจ มนุษย์ประหลาดพวกนี้จะคุยอะไรกันนักหนา คนจะใช้สมาธิดูการแข่งขันก็มีอันต้องโดนเสียงมดเสียงแมลงแถวนี้รบกวน แถมเรื่องที่คุยกันก็ไม่แบ่งปันความเข้าใจให้คนอื่นอีก ทั้งที่เมื่อกี้หยุดกันไปแล้วเชียว

          “อืม...พี่ธีร์ปล่อยลมยางออกให้เหลือแค่ 20 ปอนด์”

          “เฮ้ยเจ๋ง กูว่ากูเข้าใจละ” เป็นอีกครั้งที่พวกเขาต้องอึ้งกับความคิดของธีทัต

          ปกติรถที่ใช้ในการแข่งขันจะต้องเติมลมยาง 30 ปอนด์ทั้งหน้าและหลัง แต่จากที่ธีทัตทำคือปล่อยลมยางออกจะทำให้หน้ายางแบนลง ซึ่งนั่นหมายความว่าการสัมผัสของหน้ายางกับผิวถนนจะมากขึ้นด้วย และเข้าโค้งได้ดีกว่าการเติมลมยางตามสเป็ค แถมยังไร้กังวลว่าจะมีปัญหายางพังตามมา เพราะเมื่อวิ่งได้สักครึ่งทาง ยางจะร้อนมากขึ้น อากาศก็จะพองตัวมาเป็น 30 ปอนด์เหมือนรถปกติ แค่นี้ก็สามารถชนะคู่แข่งได้ไกลเป็นโค้งแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว

          แน่นอนว่าสมองอย่างฉัตรชัยไม่มีทางตามทันความคิดของธีทัตแน่

          โค้งสุดท้ายรออยู่เบื้องหน้า ธีทัตเหยียบมาสุดคันเร่ง จนกระทั่งถึงจุดเบรกก่อนเข้าโค้ง ชายหนุ่มยกเท้าขวาจากคันเร่งแล้วเปลี่ยนมากดแป้นเบรกด้วยเท้าขวาเต็มแรง โดยปะครองไม่ให้ล้อล็อกไปเสียก่อน ในขณะที่เท้าซ้ายก็กดแป้นคลัทช์ไปด้วย มือซ้ายกำแน่นอยู่บนหัวเกียร์ ก่อนเท้าซ้ายจะถอนคลัทช์แล้วลงน้ำหนักส้นเท้าขวาเหยียบคันเร่งเพื่อเบิ้ล ในขณะที่ปลายเท้ายังแตะเบรกอยู่ เท้าซ้ายขยับกลับมาเหยียบคลัทชอีกครั้งรอจนรอบช้าลงมาให้พอดีจึงชิพเกียร์ลงมาเป็นเกียร์สี่ แล้วเลี้ยวเข้าโค้ง

          ทั้งหมดนั้นชายหนุ่มใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เกิดเสียงฮือฮาและโห่ร้องจากผู้ชมข้างสนามที่ชื่นชมความสามารถของนักแข่งที่ในตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงนักแข่งสมัครเล่น แต่ตอนนี้ต้องมองใหม่เสียแล้ว เจ้าของทีมบางคนที่เข้าร่วมการแข่งขันในวันนี้ถึงกับมีความคิดที่จะดึงตัวชายหนุ่มไปเข้าร่วมทีม

          “ไอ้ธีร์มันร้าย ช่วยเซฟเกียร์ให้ด้วย แต่มันน่าเตะตรงเพิ่งมาทำเอารอบสุดท้าย รอบก่อนๆ สึกหรอไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย” ปราณนต์บ่นพึมพำไม่จริงจังนัก แล้วฝ่ามือหนักๆ ก็ตบลงมาบนไหล่

          “เอาน่าพี่เกียร์แตกก็เปลี่ยนใหม่ ไม่กี่แสนหรอก” คชาพูดกลั้วหัวเราะเย้าแหย่หนุ่มรุ่นพี่

          “เพื่อนเล่นเหรอ?” สายตาพิฆาตมองตรงมายังมือที่วางอยู่บนไหล่อย่างขุ่นๆ ไอ้นี่...ปีนเกลียว! คชาดึงมือกลับอย่างเร็วราวกับโดนของร้อน ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ส่งกลับไป

          “ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง แค่นี้ก็โกรธ ทำหน้าดุมากๆ ระวังแก่เร็วนะ” ปราณนต์ส่ายหน้าอย่างระอา ขนาดมองด้วยสายตาขุ่นๆ แล้วมันยังไม่สำนึก

          นิสัยกวนอวัยวะเบื้องกับปากสุนัขของพวกมันแก้ยังไงก็ไม่หายจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ยังครองตัวโสดมาได้ตั้งแต่เข้าเรียนยันตอนนี้ ทั้งๆ ที่ก็หน้าตาดีกันทุกคน ยิ่งคชาหล่อถึงขั้นได้ตำแหน่งเดือนคณะมาครอง แต่เรื่องผู้หญิงพวกมันช่างอาภัพ อยากได้ก็ต้องใช้เงินซื้อเอา ไม่มีใครอยากมาเสี่ยงกับปากของพวกมันหรอก

          แล้ววินาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ธีทัตกำลังจะเข้าเส้นชัย อีกเพียงแค่ 100 เมตรทุกคนก็จะได้โห่ร้องยินดีกันแล้ว แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กองเชียร์บนอัฒจันทร์ต่างลุกขึ้นมองอย่างไม่เชื่อสายตา

          รถที่ธีทัตขับทิ้งคู่แข่งมาไกลโข เกิดอาการกระตุกคล้ายกับน้ำมันจะหมด เสียงจากข้างสนามเงียบกริบต่างก็ลุ้นและภาวนาให้สิ่งที่คิดไม่เกิดขึ้นจริง แต่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่รับคำอ้อนวอนและไม่ปรานี ในที่สุดเครื่องยนต์ของธีทัตก็ดับลงก่อนที่รถจะเข้าเส้นชัยเพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น หลายคนต่างยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆ พร้อมกับส่งเสียงโอดครวญอย่างแสนเสียดาย

          ตายตอนจบเป็นอย่างไรก็เพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวันนี้

          “กูกะแล้วว่าไอ้ทริ๊คประหลาดของพี่แกจะต้องให้โทษ” คชาพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ สายตายังไม่คลาดไปจากสนาม แม้เขาจะมั่นใจว่าอย่างไรเสียธีทัตต้องหาทางเอาตัวรอดได้แต่ก็ลุ้นจนหัวใจเกิดอาการตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ดี

          ธีทัตสบถออกมาอย่างหัวเสีย อีกนิดเดียวก็จะลอยลำเข้าเส้นชัยอยู่แล้ว แต่น้ำมันที่เติมมาเพียง 15 ลิตรดันหมดก่อน เขาคาดการณ์ไว้ให้มันพอดี ไม่ได้เผื่อเหลือเผื่อขาด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับขาดเสียอย่างนั้น...ช่างน่าประทับใจ

          ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากอาศัยความเร็วที่ยังมีอยู่ เร็วเท่าความคิด ธีทัตปลดเกียร์ว่างปล่อยไหลไปเรื่อยๆ หวังว่าจะทันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตีตื้นขึ้นมาแล้วเบียดเข้าเส้นชัยก่อนให้เจ็บใจเล่น

          ชายหนุ่มมองกระจกมองหลังเห็นรถฉัตรชัยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ร้อนรน

          “เร็วสิวะ” มือแกร่งยกขึ้นทุบพวงมาลัยแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ สถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นและกดดันแค่ไหน ใครไม่มานั่งอยู่หลังพวงมาลัยกับเขาไม่มีทางเข้าใจหรอก

          สิบเมตรเท่านั้น มันไม่ไกลเลยหากรถที่ขับอยู่สามารถเหยียบคันเร่งได้ แต่สำหรับรถที่ช้าจนเต่าแทบจะกัดยางได้ในความรู้สึกของธีทัตทำให้ระยะทางมันไกลจนต้องกลั้นหายใจรอ

          ไม่เพียงแต่ธีทัตเท่านั้น กองเชียร์บนอัฒจันทร์ต่างก็กลั้นใจรอจนตัวเกร็งเช่นกัน แต่ละเมตรที่รถเคลื่อนผ่านให้ความรู้สึกว่านานราวนาฬิกาหยุดเดิน

          แต่แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง รถของธีทัตเคลื่อนเข้าเส้นชัยโดยทิ้งห่างจากรถของฉัตรชัยที่ตามติดมาเพียงแค่ 3 เมตรเท่านั้น ทุกคนต่างกระโดดโลดเต้น โห่ร้องสุดเสียงด้วยความดีใจ ถึงจะทำให้ลุ้นหนักไปหน่อยแต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย ร่างสูงใหญ่เปิดประตูลงมาจากรถ ฉัตรชัยมาจอดต่อท้ายก็ลงมาเช่นกัน พร้อมกับสบถอย่างหัวเสียที่แพ้อย่างหมดท่า

          “ฉันชนะแล้ว หวังว่าแกจะรักษาคำพูด” ธีทัตก้าวมาหยุดตรงหน้าฉัตรชัย ทวงถามในข้อตกลงที่คุยกันไว้ก่อนแข่ง

          “แน่นอน คนอย่างฉันคำไหนคำนั้น หวังว่าเธอคงจะรับรู้ได้นะว่าแกทำเพื่อเธอขนาดนี้” ฉัตรชัยส่งยิ้มมาให้ เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดในความคิดของธีทัต ก่อนเขาจะยื่นมือมาตรงหน้า ซึ่งธีทัตก็ไม่ปฏิเสธที่จะยื่นมือของตัวเองให้อีกฝ่ายเช่นกัน

          “ถ้าคิดจะทิ้งงานวิศวกรมาเป็นนักแข่งรถเมื่อไหร่ก็บอกนะ ฉันมีทีมใหญ่ๆ ให้แกเลือกเพียบ”

          “ขอบใจ แต่ไม่เอาดีกว่า ถ้าฉันคบกับแกมีหวัง ‘เธอ’ อาละวาดบ้านแตก แค่นี้ก็รับมือยากอยู่แล้ว ไม่อยากหาเรื่องเพิ่ม” แม้อีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากคบด้วย แต่นอกจากฉัตรชัยจะไม่โกรธแล้วยังหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน

          “ไว้จะรอดูวันที่แกสมหวัง”

          คำอวยพรส่งท้ายธีทัตยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปก็เห็นว่ากองสนับสนุนเดินมาถึงตรงนั้นพอดี รั้งท้ายด้วยมุกมณีที่จับหมวกปิดใบหน้าป้องกันแสงแดดจ้า เดินกรีดกรายมาอย่างแช่มช้า แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ จุดหมายของเขาคือร่างบอบบางที่เดินอยู่หน้าสุดกำลังส่งสายตาภาคภูมิใจมาให้ สายตาแบบนี้ที่เขาไม่ได้เห็นมากว่าเจ็ดปี ตอนนี้มันกลับมาแล้ว

          “กลับกันเถอะ โดดสอนมาครึ่งวันแล้ว เดี๋ยวเด็กจะบ่นเอาได้” เดินเข้าไปจับแขนเล็กแล้วฉุดให้เดินตามไปยังรถเลคซัสที่จอดอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังไม่ลืมโยนกุญแจคืนให้ปราณนต์ซึ่งเขาก็รับได้อย่างแม่นยำ เปิดประตูเสร็จก็ดันร่างบางเข้าไปก่อนจะอ้อมไปฝั่งคนขับ แล้วออกรถทันที

          พริมมาดาเหลือบมองกระจกมองข้างก็เห็นมุกมณีกระทืบเท้าร้องกรี๊ดๆ โดยไม่มีใครสนใจจะเข้าไปดู ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างสมใจ ส่วนอีกฝ่ายคงจะเจ็บใจที่จู่ๆ ก็ถูกทิ้งโดยไม่ทันตั้งตัว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา