กาลครั้งหนึ่งของผม

-

เขียนโดย HANTEI

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.32 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,942 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 10.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) กาลครั้งหนึ่งร้องไห้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 2 

 

 

“น้องเทรซ...”

“เฮ้ย นั่นใครทำอะไรน้องเค้าวะ”

“โห ทั้งกลิ่นทั้งสีมาเต็ม”

“อยากปกป้องจัง”

“ใครวะ เพิ่งเห็น น่ารักฉิบหาย”

“มากับไอ้บิ้กด้วยว่ะ”

“กิ๊กมันหรอวะ”

“ว่าแต่ใครมันช่างกล้ารังแกคนน่ารักแบบนั้นได้วะ แม่ง กูจะไม่ทน”

            เสียงอื้ออึงเดาไม่ถูกว่ามาจากใครบ้างนอกจากเสียงแรกตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาเป็นเสียงของพี่ต้น ผมเดินหน้าเดียวตามหลังไอ้รูมเมทเงียบๆ ยิ้มรับเมื่อเผลอสบตาพี่ต้นเข้าก่อนจะเสไปทางอื่น

นี่หรออยากแก้ไขเอง? แล้วเป็นไงล่ะ โดนเค้ามองด้วยความสงสารเลย

 

“ทอดเสื้อ”

“...”

“กางเกงด้วย”

“อ่า”

“มึงนี่น๊า เกะกะลูกตาฉิบ มานี่!”

“....”

“เฮ้อ เพราะมึงมัวแต่เงียบอยู่แบบนี้ไงพวกมันถึงได้ใจ”

“....”

“ตัวแม่งก็เล็กเหมือนผู้หญิง กลัวพวกมันรึไง”

“....” ไม่ได้กลัว..

“หรือว่ากลัวจะโดนต่อยจนเสียโฉม? ก็นะ หน้ามึงมันแรร์ไอเท็มนี่หว่า หึหึ”

“....” หน้าผมมันทำไม..

“มีหน้าตาแบบนี้ไม่รู้สึกเคืองบ้างหรือไง”

“....” ทำไมจะไม่รู้สึก..

“ตัวก็เล็กเหมือนผู้หญิงหน้านี่ยิ่งแล้วใหญ่”

“.....” พอซักที

“มีร่างกายแบบมึงนี่ เสียชาติเกิดจริงๆ”

“...!!” จะมากไปแล้วนะ ไอ้เหี้ย

“กูนี่อยากจะสำรอกวันละหลายเวลาเลยจริงๆ”

“แล้วไงวะ! มึงไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์กูแบบนี้!!! หน้ากูมันทำไม!!” ขึ้นโว้ยยย ขึ้น!! นี่ผมปล่อยให้มันหยามศักดิ์ศรีผมอยู่ได้ยังไงกัน เพราะเห็นมันเป็นคนดีขึ้นมาหน่อยใช่มั้ย เพราะมันช่วยไล่ไอ้พวกนรกหมาหมู่นั่นไปให้พ้นหน้าผมถึงได้ไม่ปริปากว่าอะไร ยอมมันง่ายๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่นี่อะไร มันมีสิทธิ์อะไรมาว่าผมฉอดๆ แบบนี้

เป็นแค่รูมเมทเกรดต่ำแท้ๆ ไม่ใช่พ่อใช่แม่ซักหน่อย!

“มึงว่าไงนะ เฮอะ” มันหยุดชะงักขณะทอดเสื้อของตัวเองหลังจากที่เสร่อมาถอดเสื้อนิสิตผมออก สายตาที่เหยียดมองผมจากด้านบนบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างมากเมื่อได้ยินในสิ่งที่ผมพูดไป

ไอ้รูมเมทคว้าหมับตรงสองข้างแก้มแล้วบีบจนขาผมลอยขึ้นจากพื้นลากสารร่างของผมเข้าห้องน้ำก่อนจะกดผมลงไปจ่อกับกระจก

“ดูซะ ดูว่ากูพูดถูกไหม ดูสิวะ ปิดตาทำหอกไร!”แม้ผมจะปิดตาแน่นแค่ไหนสุดท้ายผมทำได้แต่ค่อยๆ ลืมตามองสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้ว่าสิ่งที่อยู่หน้ากระจก

เป็นใบหน้าของผู้ชายที่ไม่สมกับเป็นผู้ชายเอาซะเลย...

“มึงแม่ง...เลว เกลียดมึง  ไอ้เหี้ยจุมพล”

“มึงพูดว่าไงนะ” แม่งหูหนวกหรอ กูด่ามึงอยู่ไง สัด ไม่ต้องมาเต๊ะท่าปั้นหน้าโหดใส่กู ทำไมกูจะด่ามึงบ้างไม่ได้ โดนด่าซะบ้างชีวิตของมึงจะได้สำเหนียกว่าไม่ควรพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้

เฮอะ

เออแล้วไง กูจะด่าอะ มึงทำกูเสียความรู้สึกก่อนเองอะ

“กูด่ามึงไง ไอ้เหี้ยจุมพล!”

“หุบปากมึงเดี่ยวนี้ กูไม่ชอบให้ใครมาเรียกกูว่าไอ้เหี้ยอย่ามาเรียกชื่อเต็มกูและโคตรเกลียดเข้าไส้ถ้าคนเรียก เป็นมึง” อ้อเรอะ เกลียดหรา เกลียดกูหรา ด้ายยย แม่งจะเรียกทั้งวันหลังอาหารเลยคอยดู

“ทำไม ไอ้เหี้ย มึงมันก็เหี้ยดีๆ นี่แหละ ไอ้เหี้ยจุมพล”

“กูบอกให้หยุดไง”

“ทำไม ห้ะ ด่าไม่ได้หรอทีมึงยังล้อเลียนปมด้อยกูได้เลย ทำไมกูจะเรียกชื่อมึงบ้างไม่ได้”

“กูไม่ชอบชื่อกู ห้ามเรียก!”

“อะไรวะ ชื่อมึงเป็นปมด้อยหรือไง เด็กว่ะ! ไอ้จุมพล”

“ไอ้เตี้ย! บอกว่าให้หยุดไง!”

“โว้ยยย ก็พอกันทั้งคู่แหละ ฮ่วย!”

 

 

กริ๊งงงงงงง

เสียงนาฬิกาปลุกดังกึกก้องเข้ามาในโสตประสาทของผมทำให้ร่างกายที่หนังอึ้งเหมือนถูกผีทับมาตลอดทั้งคืนต้องยกตัวไปหยิบนาฬิกาอนาล๊อกรุ่นเดอะสมัยคุณแม่ยังสาวขึ้นมาปิดแล้ววางมันลงที่เดิมก่อนจะเหยียดกายแก้เมื่อยเหมือนที่ชอบทำทุกครั้งหลังตื่นนอน

แต่วันนี้กลับไม่เหมือนอย่างทุกวัน...ทำไมรู้สึกขยับตัวยากจังวะ? รู้สึกเหมือนมีงูเหลือมตัวใหญ่มหึมารัดอยู่ตรงเอวขยับตัวแทบไม่ได้แถมหนักอีกต่างหาก

ไม่นะไอ้เทรซ

หรือมึงจะเจอดีเข้าแล้ว T_T ผีใช่มั้ย ไอ้ตัวที่สิงผมอยู่คือผีที่ตามหลอกหลอนผมอยู่ทั้งคืนใช่มั้ย

ตอบกูทีว่าใช่มั้ย!!!!!

ผมค่อยๆ หันหลังช้าๆ เนิบๆ กันไม่ให้ผีตื่น(?) บางทีผมอาจจะมาแย่งที่นอนเดิมของเขาก็ได้ครับถ้าเราคุยกันรู้เรื่องเจรจากันให้ดีผมอาจจะเข้าใจเขามากขึ้น(?) ใช่มั้ยครับ

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็หันขวับไปมองผีตัวนั้นทันที และ

“เหี้ยยยยยยยยยย” ตกใจกว่าผีก็ไอ้เหี้ยจุมพลนี่แหละสาสสสสสส แม่ง นี่มือหรืองูเหลือมวะ รัดกูขนาดนี้ไม่เอากูเป็นเมียเลยล่ะ ดวก! แกะมือแล้วปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี

แฮ่ก...เหนื่อย กว่าจะลุกออกไปจากอนาเขตของมันเล่นเอาหอบแดกไม่รู้ทำไมมันถึงมานอนเตียงของผมได้นะทั้งที่เมื่อคืนแม่งเถียงกันแทบตาย เถียงจนเหนื่อย....

เออว่ะ หรือเพราะเหนื่อยวะ?

ช่างแม่งไปก่อนเถอะ นี่ก็เจ็ดโมงเช้าละ เช้านี้ผมมีเรียนแคลคูลัสตอนแปดโมงและไอ้จุมพลก็คงด้วยเหมือนกันแต่เรื่องอะไรผมต้องปลุกมันให้มาแย่งห้องน้ำกับผม หึหึ แม่งจะแอบเทสบู่บนพื้นให้มันลื่นตายไปเลย ก้ากกกกกก

 

 

ผมเดินมาถึงอาคารเรียนรวมในเวลาแปดโมงตรงพอดีเด๊ะเพราะว่ามัวแต่เถียงกับไอ้จุมพลเรื่องที่ผมไม่ยอมปลุกมันทำให้มันต้องเข้าเรียนสายอันที่จริงผมนี่แหละใจดีปลุกมัน

ปลุกตอนที่ผมเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกแล้วยังไงล่ะ หว่ายยยย สมน้ำหน้า ส่วนผมน่ะเหรอ

เดินปัดผมไปนั่งแดกข้าวต้มรอเวลาเข้าเรียนไงล่ะคร้าบบบบ ก้ากกกก สะใจฉิบหาย

เดินกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจมาจนถึงห้องเรียนรวม เปิดประตูบานโตที่สูงกว่าผมเท่าผมสองคนยืนต่อตัวกัน ทันทีทีประตูเปิดกว้างแอร์ภายในห้องก็ลอยมากระแทกหน้าผมให้หนาวขนจมูกเล่น

ผมมองหาที่นั่งภายในห้องที่ถูกแบ่งโซนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะขึ้นชั้นบันไดไปที่นั่งโซนนิสิตแพทย์เหลือบเห็นไอ้พวกนรกสามตัวมองผมอย่างหวาดกลัวระคนเคียดแค้น ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยรอยช้ำเขียวม่วงดูไม่เป็นผู้เป็นคน...ดูเหี้ยก็ได้ เอ้า!

เมื่อผมจ้องพวกมันอย่างนึกเคืองเพราะยังไม่ได้ปล่อยของสักที แต่พวกแม่งก็หลบตา หึ

นี่เหรอ อิทธิพลของไอ้จุมพล...ทำไมพวกมันถึงกลัวไอ้จุมพลนัก เรื่องนี้ผมเองก็ไม่เข้าใจ

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ผมนั่งเรียนโดยไม่มีหนังสือเป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่ไอ้จุมพลยังไม่โผล่หัวเข้ามา ผมนั่งควงปากกาไปมาตาจ้องสมุดโน้ตสีขาวปกเป็นตัวการ์ตูนมารุโกะของดาวที่ใจดีซื้อให้ ผมนั่งมองมันโดยไม่คิดจะฟังเสียงอาจารย์สอนสักนิดเพราะผมไม่เข้าใจที่สอนเลยเหมือนเวลาที่ผมหยุดไปตั้งหกสัปดาห์มันได้กลายเป็นจุดอ่อนของผมไปแล้ว...

“.........เธ....อ....”

ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นปัญหาในภายหลังมั้ยเพราะนิสิตแพทย์ปีหนึ่งต้องมีพื้นฐานมาก่อนซึ่งวันปรับพื้นฐานผมก็ไม่ได้เข้า

“.....เธอ”

แล้วนี่อะไร หนังสือยังโดนฉีกจนไม่เหลือซากและที่แย่ยิ่งกว่านั้น...กูโง่ด้วย!

“...เธอ!”

เออนี่ก็ขยันเรียกจังเลยนะ รีบๆ หันไปสิครับมันรบกวนความคิดคนอื่นรู้ปะ ชอบมาแทรกแซงวิถีคนจริงของกูจริงๆ พับผาสิ ผู้หญิงที่ถูกเรียกนี่ก็อะไร หูหนวกเหรอครับ ไปโรงบาลบ้างนะ หมอเทรซเป็นห่วง คึคึ ...จะว่าไปเรียกแทนตัวเองว่า หมอ รู้สึกเท่ห์ไม่หยอกเลยครับ...

“เธอน่ะ!”

อ้าว กูเองเรอะ เยียดเปียด

“อ้ะ ฮะ อะไรมีอะไร” โอยยย เหม่อตะล๊อดนะมึงอะ! ผมหันรีหันขวามองตามเสียงเรียกเล็กน่ารักของเพื่อนร่วมคณะที่ผมไม่รู้ชื่อแต่รู้ว่าเป็นคนที่น่ารักคนหนึ่งเลยของคณะผม เธอนั่งเก้าอี้ข้างหน้าผมใช้นิ้วมือขาวผ่องเป็นยองใยเคาะโต๊ะ แกะๆ เป็นการสะกิด

“มีคนเรียกแน่ะ” พูดแล้วก็บุ้ยปากไปตรงประตู ผมมองตามที่เธอชี้เห็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาคุ้นตา แต่ผมไม่รู้จัก เขากวักมือเรียกเมื่อผมหันไปสบตา

“เฮ้ย นั่นอาจารย์ที่สอนปีสูงนี่หว่า มาทำไรวะ” เสียงของไอ้แว่นแก่เรียนที่นั่งข้างผมพูดเหมือนแปลกใจที่เห็นคนด้านล่าง

“แกๆ อาจารย์คนนี้ใช่ปะ ที่พี่ปีสูงบอกว่าม้ามืดอะมึง”

“หล่ออย่างที่เขาร่ำลือเลยอะแกร๊ แอร้ยย”  ผู้หญิงข้างหลังที่นั่งเกาะกลุ่มกันกรี้ดกร้าดชี้ไม้ชี้มือสะกิดผองเพื่อนร่วมสายพันธุ์ให้ดู

“จริงเปล่าที่เขาบอกว่าเป็นถึงศัลยแพทย์อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์อะ ไอดอลของพวกพี่ปีสูงเลยนะเว่ย” และเสียงเซ็งแซ่รอบตัวผมต่างก็อวดอ้างสรรพคุณของผู้ชายหน้าหล่อที่กำลังยืนแจกยิ้มหล่อให้กับบรรดานิสิตที่กำลังยกมือไหว้

“เขาชื่ออะไรนะ”

“หมอรพีไงแกร๊ แอร้ยยย” ผู้หญิงคนเดิมตอบแบบไม่ค่อยจะเก็บอาการเลย แหม๊ เจอคนหล่อหน่อยก็ไม่ได้แดดิ้นอย่างกะโดนไฟลวก ชิ แล้วดูไอ้หล่อนั่นดิกวักมือเรียกซะ...

แล้วกูอะ จะนั่งแช่อีกนานมั้ย!!

เขากวักมือเรียกมึงจนข้ออักเสบแล้วมั้ง ยกก้นลุกไปดิสัด!

และเมื่อผมปัดตูดลุกขึ้นเต็มความสูงเสียงเซ็งแซ่ภายในห้องขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้เกือบพันก็เงียบกริบ บรรดานิสิตทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะพร้อมใจกันเบนสายตามาทางผมรวมทั้งอาจารย์สาวสวมแว่นขอบขาวที่กำลังนั่งสอนพวกเราอยู่ด้วยเช่นกัน จะว่าความจริงแกเงียบไปตั้งแต่ไอ้หน้าหล่อนั่นมาแล้วละมั้งน่ะ ดูดิ่ พี่แกมองไอ้หน้าหล่อตาละห้อยเชียว

“หมอรพีมาหาไอ้เตี้ยนั่นหรอวะ” นั่นไง โดนเพ้งละกู ไอ้ฉิบหาย

 “ทำไมคนระดับนั้นถึงมาหาไอ้เตี้ยวะ” กูไม่รู้!!! อยากรู้ก็ไปถามมันเองสิโว้ย!

“แอร้ยย อิจฉาอะ แกๆๆ” ผู้หญิงคนเดิมเรียกผม

“ครับ ว่า” กำลังจะเดินอยู่พอดีจะได้ไปให้พ้นๆ หน้าพวกนี่สักที แล้วอีผู้หญิงคนนี้นะถ้าเรียกแล้วไม่พูดธุระที่มันสำคัญละก็พ่อจะโถลกกระโปรงขึ้นแล้วถอดกางเกงในมายัดปากซะให้เข็ด

“ฝากจับมือหมอรพีให้ด้วยน๊า กรี้ดดดดดด”

ฮ่วยยยยย ร้องอย่างกับไก่โดนเชือด เสียเวลากูจริงๆ!!

คิดว่ากูจะจับหรอครับ? แม่ง ผมจะไม่โง่เข้าห้องมาเป็นขี้ปากให้ไอ้พวกนี้เสือกผมอีกรอบหรอกครับ คิดได้ดังนั้นผมเลยคว้าเป้ซูพรีมสีแดงตัวเก่าที่เคยใช้ช่วงเรียนพิเศษเพราะลูกรักของผมโดนไอ้นรกพวกนั้นรังแกจนไม่เหลือซากขึ้นมาสะพายแล้วเดินทำหน้าเหนื่อยหน่ายไปหาไอ้หล่อนั่นที่คนพวกนี้เรียกกันว่า 'หมอรพี‘

 

“มีอะไรเหรอครับ” ผมมายืนอยู่ตรงข้างประตูห้องบานเดิมยิงคำถามใส่ผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้าที่ยังคงปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาให้

ว่าแต่ ทำไมรู้สึกคุ้นๆ วะ ติดอยู่ที่คอเนี่ย นิดเดียวเหมือนจะนึกออกแต่นึกไม่ออก

“ว้า น้อยใจจังคนน่ารักจำไม่ได้” ปรี้ด นี่กูต้องใช้ชีวิตให้ชินกับคำว่าน่ารักจริงๆ ใช่มั้ย! แล้วนั่นอะไร ทำหน้าทำตาตัดพ้อมาให้ คิดว่าหล่อมากสินะ

เออ หล่อ... แม่งหล่อกระแทกเรติน่าผมมาก

ยิ้มที ดาเมจทำลายล้างรุนแรงประหนึ่งฟีลเดอะซันก็ไม่ปาน

“ขอโทษครับ ผมพอจะคุ้นๆ แต่จำไม่ได้ แหะๆ” เกาหัวแกรกๆ ส่งยิ้มเก้อไปให้แม่งรู้เลยว่าเล่นอะไรช่วยดูซีรีบรัมกูด้วยครับ สมองระดับกูอ่านะ ไม่เคยจะจำหรอกพวกไฮท์คลาสอะ

เพราะเรื่องตัวเองกูยังลืมเลย ไอ้เห้!!

“ฉันเป็นคนสัมภาษณ์เธอเข้าเรียนไง” สัมภาษณ์? สัมภาษณ์ตอนไหนวะ สัมภาษณ์เข้าเรียนอะหรอ

เอ่อ

อืมมม

อ่า

“อ้ออออออ คนที่ท่าทางกวนตะ...ตลอดเวลานั่นเอง” เกือบ ไอ้เห้ เกือบทำให้คนของประชาชนแดกตีนไปเต็มรักแล้วมั้ยล่ะมึง

“หึหึ ดีใจที่ยังจำกันได้ อ่ะนี่” หมอรพีเหยียดยิ้มหล่อก่อนจะยื่นถุงกระดาษใหญ่ยักษ์ที่ข้างในบรรจุอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ผมรับมาแบบงงๆ แต่

เชี่ยยยยย โคตรหนัก!

อารมณ์เหมือนโดนหลอกให้ยกดัมเบลที่เหมือนเหล็กแต่เสือกทำด้วยพลาสติกอัดลม ฟวยเถอะ

“มันคืออะไรเหรอครับ” ถามด้วยความงงสุดติ่งกระดิ่งแมว

“หนังสือเรียนแล้วก็ชีทวิชาต่างๆ ไง มีเลคเชอร์ด้วย...แต่ไม่รู้ว่าครบไหม กลับไปเปิดดูนะไม่ครบก็บอกฉันได้ ของฉันเอง ถ้ามีประโยชน์กับเธอฉันก็ดีใจนะ” ห้ะ! ว้อท? เขาเป็นใครทำไมถึงช่วยเหลือผมขนาดนี้? ผมแทบไม่รู้จักมักจี่กับหมอรพีคนนี้เลย เป็นเรื่องที่โคตรงงและโคตรแปลกสุดแล้วตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่

แล้วหมอรพีคนนี้รู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีหนังสือ? เฮ้ย งง!

ผมยืนตาโปนมองหมอรพีอึ้งๆ ผสมงง ตื้นตัน อิ่มเอิบอยู่ในใจอธิบายไม่ถูกรู้แต่ว่า แม่งโคตรรู้สึกดีที่มีคนห่วงใย...ปาดน้ำตา

และเพราะมัวแต่ยืนเอ๋อทำหน้าประหลาดนั่นแหละหมอรพีคนเดิมตรงหน้าผมนั่น...ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยการ..

หัวเราะ!

“ฮ่าๆๆๆๆ ดูมองเข้าทำหน้าเหมือนหมางงเลย ฮ่าๆๆๆๆ” เป็นหมาเลยกู......

หมามองคนหล่อด้วยนะ..ยิ้มธรรมดาก็ว่าหล่อแล้ว หัวเราะทีโลกกูเป็นทุ่งลาเวนเดอร์เลย ซัช

ก็มันน่างงมั้ย! เดี่ยวเถอะ ไม่ติดว่ามีบุญคุณกูจะตอกส้นเท้าบี้ๆ จนละเอียดเลยแม่ง

“โทษๆ ฮ่าๆ คืองี้นะมีคนบอกฉันว่าหนังสือเธอขาดน่ะ เด็กหอของฉันทั้งคนทำไมฉันจะดูแลไม่ได้ จริงไหม” เดี่ยวนะ คือมีคนบอกนี่ใครบอกครับ แล้วเด็กหอของหมอรพีนี่อีก มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งนั้น

จูนกูทีเถอะ..

“ทำไมต้องดูแลผมอะครับ?” ถามด้วยหน้าตาซื่อๆ ผสมงงงวย

“อ้าว ต้นยังไม่ได้บอกเหรอว่า...ฉันเป็นหัวหน้าหอของเธอ” แต้งงง อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีใครมาสั่นระฆังวัดเมื่อบรรลุนิพพาน ตอนนี้ผมกลายเป็นคนหยังรู้ไปเลย..

รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองงงงง ถุย!

บอกตอนไหน ที่ไหน เมื่อไรไม่ทราบ ทุกวันนี้กูอยู่แบบไม่รู้เหี้ยอะไรเลยเถอะ เคยคิดจะบอกกันบ้างมั้ย...เอ่อ หรือกูเองที่ไม่ถาม? เออ ช่างแม่งไป

“พี่เขาคงลืมมั้งครับ” ต้องพูดแก้ตัวให้พี่ต้นคนดีดีกรีนิสิตทันตะผู้พกพารอยยิ้มอบอุ่นมาให้สำเหมอ โหง่ยย พูดถึงพี่ต้นทีไรคิดถึงคุณย่าตะล๊อดๆ

“ฉันไม่ค่อยว่างน่ะ นานๆ ทีจะอยู่หอว่างๆ เธอไปหาฉันข้างบนได้นะห้อง 1401” หูวว ชั้นเกือบดาดฟ้าที่ร่ำลือมาว่ากว้างอย่างกับเพ้นเฮาส์ที่แท้ผู้ที่ได้ครอบครองพื้นที่แห่งนั้นคือ ไอ้หมอหน้าหล่อคนนี้นี่เอง... หูยย อิจฉาตาร้อนไปสิกู

กล้าชวนก็กล้าไปครับไม่โกง อิอิ

ห้องเพ้นเฮาส์เอ๋ย รอพี่เทรซก่อนนะจ๊ะ เอิ้กกกกกก

“เทรซ..” ตายห่าน เผลอแสดงด้านมืดให้คนหล่อเห็น สูดน้ำลายแทบไม่ทัน

“ครับ”

“อยู่กับจุมพลได้ไหม โดนทำอะไรหรือเปล่า” หือ?

“ครับ?”

“ถ้าโอเคฉันก็หายห่วงนะ น้องชายฉันมันบ้าอารมณ์ร้ายฉันกลัวว่าเธอจะโดนทำอะไรเข้าน่ะสิ” ไม่พูดเปล่ายกมือมาลูบหัวผมราวกับเอ็นดู

แต่เดี่นวก่อน

น้องชาย..ว้อท? ไอ้จุมพลรูมเมทหน้าหล่อดีกรีว่าที่เดือนแพทย์เป็นน้องชายหมอรพีฉายาม้ามืดแห่งวงการแพทย์!?

สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน..

คุณย่าครับ.....ผมมันอ่อนหัด ไอ้เทรซของป้ามันอ่อนหัด อ่อนด๋อย

ผมมันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย..เป้ เสลอไปอีกกู...

“ไอ้..เอ่อ จุมพลเป็นน้องชายหมอเหรอครับ?” ผมถามด้วยความอยากรู้หรือถ้าภาษาชาวบ้านก็คือ เสือก ความจริงแล้วตั้งแต่ผมเห็นหมอรพีความรู้สึกคุ้นๆ อีกอย่างของหมอคือกลิ่น...

ไม่ใช่กลิ่นจุ้กกุแร๊นะครับแหม...

มันเป็นกลิ่นไอทางความรู้สึกที่มักแผ่ออกมาเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมวลมนุษย์(กลับทะเลก่อนมั้ย?) คือเอาง่ายๆ นะครับ ถ้าตระกูลเป็นนักฆ่ารังสีที่แผ่ออกมาทางลูกหลานก็คือรังสีฆ่าฟัน อะไรทำนองนี้...ถ้าให้เปรียบเหมือนสัตว์ไอ้จุมพลคือหมาป่าดุร้ายส่วนหมอรพีหน้าตายิ้มแย้ตรงหน้าผมเนี่ย...สุนัขจิ้งจอกดีๆ นี่เอง

เข้าเรื่องกันเถอะ จะออกทะเลไปตามหาวันพีชหรือไง ฝัด!

“ใช่ครับ เป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง”

“อ่อ” พยักหน้าหงึกหงัก

“แล้ว...เอ่อ เทรซเป็นยังไงบ้าง ฉันเรียกเทรซได้ไหม เรียกเธอๆ มันดูห่างเหิน” หมอรพียิ้มกรุ้มกริ่มทำตาออดอ้อนมาให้ แต่ถึงหมอไม่ขอ ผมเองแหละที่จะเป็นฝ่ายขอไม่ขอธรรมดานะครับ

กราบบบบบบบบบบบบบบบบล่ะ เลิกเรียกกูว่า เธอ สักที!!

ฟังไปฟังมาเกิดกูนึกเคลิ้มตอบ ค่ะ ไปมึงจะซึ้ง

“ได้ครับตามสบายเลย ผมชอบให้หมอเรียกผมแบบนี้มากกว่า” ฉีกยิ้มดีใจจนตาปิด หมอรพีเหยียดยิ้มหล่อพลางยีผมของผมเบาๆ อย่างมันเขี้ยวสักพักอยู่ดีๆ มือหมอก็ข้างไว้อย่างนั่น ผมเงยหน้ามองหมอที่กำลังคิ้วผูกโบเหมือนกำลังเครียดแล้วเจ้าตัวก็เรียกขานชื่อผม

“เทรซ...”

“ครับ?”

“ทำไมถึงถูกแกล้ง รู้ตัวบ้างไหม?”

“...!!” หมอรพีรู้ได้ยังไงวะ อ่า...

ถ้าถึงขนาดรู้ว่าหนังสือผมขาดได้ละก็ เรื่องที่ผมโดนแกล้งมันจะไปเหลืออาไร๊

อย่าให้กูรู้นะว่าเป็นใคร มึงจะโดนมิใช่น้อยเลย (นี่ไม่รู้จริงๆ อ่ะ??)

“เทรซไม่ลองคิดกลับกันดูล่ะว่าที่เทรซโดนแกล้งสาเหตุอาจมาจากตัวเราเองด้วย?” หมอรพีถามยิ้มๆ มือที่ค้างอยู่บนหัวก็ยังคงทำหน้าที่ปลอบโยนของมันไป

จริงๆ ที่หมอรพีพูดผมเองก็เคยคิด คิดมาสักพักแล้วว่าสาเหตุอาจมาจากผม อย่างแรกเลยก็คือ ผมไม่โดนทำโทษอย่างที่สมควรจะโดน ผมไม่เข้ารับน้องหรือเข้าแต่ช้ากว่าเพื่อนมาก ไม่มีป้ายชื่อ เพลงเชียร์ยังจำไม่ได้ สมควรแล้วที่เพื่อนไม่ชอบ มินกับดาวเล่าว่าช่วงรับน้องแรกๆ รุ่นพี่มักจะใช้วิธีลงโทษน้องๆ ด้วยการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อย่างผู้หญิงก็จะวิ่งหรือกระโดดตบหรือเต้นก็แล้วแต่ใครจะสั่งส่วนผู้ชายจะโดนหนักหน่อยก็มีสก็อตจั้มพ์ ซิทอัพ อะไรที่มันโหดร้ายก็โยนให้พวกผู้ชายไป ยิ่งพี่ที่รับหน้าที่ว้ากนะ ยิ่งดุ โหด โฉด เป็นพิเศษขนาดดาวเองยังขยาดเลย เล่าไปนี่มีเปิดสมุดอ่านชื่อให้ฟังด้วยนะครับ มันบอกว่ากลัวลืมสัญญากับตัวเองว่าจะเกลียดชาตินี้ยันชาติหน้า

แต่ถึงอย่างนั้นทำไมไม่คุยกันดีๆ ล่ะครับ แค่บอกคำเดียวว่าไม่แฟร์ไอ้เทรซคนจริงซะอย่างจะให้แก้ผ้าวิ่งรอบมอยังได้เลย!  อ้ะ อ้ะ คิดว่าผมไม่กล้าอะดิ ถ้าคิดว่าผมไม่กล้าเอาตีนมาลูบหน้าผมเลยดีกว่า เฮอะ

ขอตีนไก่ก็พอนะครับ เพราะกูไม่กล้าจริงๆ กูป๊อดดดดดดดดดดดดดดดด

“ครับ ผมพอจะรู้แต่ว่าพวกมัน..” พวกมันไม่มีเหตุผล..

“เทรซ เอาอย่างนี้ไหม เทรซลองยิ้มให้พวกที่แกล้งเทรซดู เชื่อฉันสิหน้าตาอย่างเทรซคิดว่าน่าจะได้ผลนะ..”

“ทำไมผมต้องยิ้มประจบพวกมันด้วยล่ะครับ! ผมทำผิดก็จริงแต่พวกมันเองก็ผิด ผิดมากด้วย!!” ผมเหวใส่หมอรพีอย่างลืมตัว อุ่ย หมออึ้งไปเลย...

“เอาเถอะๆ ฉันไม่ได้บังคับแต่ลองกลับไปคิดนะ หึหึ ฉันไปละอยู่นานไม่ได้ ไปนะ” หมอรพียิ้มหล่อแล้วหันหลังเดินไปแต่ก็ไม่วายวายหันมาพูดติดตลกว่า “ลืมบอก ฉันไม่ใช่หมอคราวหลังเรียกฉันว่าอาจารย์รพี”

 

มึงลืมนานไปมั้ย!!! ล่อกูไปหลายย่อหน้าละ ซัช

 

 

 

หลังจากแยกจากอาจารย์รพีอปป้าของประชาชีชาวแพทย์ผมได้แต่ยืนปลงตกคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี ไหนๆ ก็ไม่ออกมาแล้วจะให้เข้าไปอีก กูคงไม่คิดสั้นขนาดนั้น ไอ้จุมพลแม่งก็หายวับไม่โผล่มาให้เห็นเลยตั้งแต่ออกจากหอ

ห่า งอนกูป่าววะ

แต่ผมก็ปลุกมันแล้วนะเว้ยก่อนออกจากห้องผมยังเห็นมันนุ่งผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปกับตาเลยไม่ใช่ว่าลื่นสบู่ที่กูเททิ้งไว้หรอกนะ...น่าคิด แต่ดูทรงแล้วอย่างมันไม่น่าโง่นะครับ กลุ้มใจ...

“ไงวะ ไอ้แคระ”

“มึง..” ผมนิ่งงันมองคนมองกลุ่มผู้ชายสามคนเจ้าเก่าเจ้าเดิมคู่อริตั้งแต่ชาติปางก่อนซึ่งแม่งไม่รู้จะเกลียดอะไรกูหนักหนาถึงได้ตามจองล้างจองผลาญกันไม่จบไม่สิ้น นี่ขนาดผมแวะเข้าห้องน้ำไปขี้ ออกมาก็เจอพวกแม่งยืนหลอนตรงอ่างล้างมือเหยียดยิ้มชั่วๆ เหมือนโจรห้าร้อยในละครช่องเจ็ดซ้ำยังเอาถุงกระดาษที่มีหนังสือของอาจารย์รพีไปถืออีก

โว้ยยยยยย จะเกลียดอะไรกูขนาดนี้ ต้องให้กูตายก่อนใช่มั้ยพวกมันถึงจะพอใจ?

“มึง กูขอ นะ..หนังสือพวกนั้นสำคัญกับกูจริงๆ” ผมบอกเสียงอ่อนก้าวเท้าเข้าหาทีละเก้าเพื่อที่จะได้คว้าตอนพวกมันเผลอ แต่เป่วครับ มันรูตัว

“นี่น่ะเหรอ” ไอ้คนข้างๆ หยิบชีทออกมาจากถุงกระดาษแล้วชูขึ้นมาให้ผมเห็น

“โอ้โห นี่มันชีทของหมอรพีว่ะ แม่งถ้าเอาไปขายไอ้พวกเด็กเรียนข้างในกำไรเห็นๆ เลยว่ะ” พวกมันตาลุกวาวแสยะยิ้มเลวมาทางผม

“แต่กูไม่ทำแบบนั้นหรอกมึงสบายใจได้” จริงดิ ไม่ทำแน่นะ มันเป็นของที่อาจารย์ให้มาผมไม่อยากให้อาจารย์มองว่าผมดูแลรักษาของไม่เป็น อีกทั้งอาจารย์รพียังอุตส่าห์เอามาให้ด้วยตัวเอง ผมไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวผม

“ขอบจะ...”

“เพราะกูจะเผามันทิ้งว่ะ”

“...!!” ผมยืนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะรีบปรี่เข้าหาไอ้สัดที่ถือถุงกระดาษอยู่แต่ไอ้คนที่บอกจะเผามันกลับมาล็อกคอผมไว้จากข้างหลัง ผมจับแขนมันหมุนเข้าหาตัวเองก่อนจะจรดริมฝีปากกัดมือมันเต็มรัก

พลัก!

และผมโดนต่อยจนตัวปลิวเลย...แมนสัด มัวแต่โฟกัสกับแขนมันลืมไปว่าแขนอีกข้างมันยังว่าง!

“ไอ้เหี้ยบอย!” หนึ่งในนั้นตะโกนเรียกคนที่ต่อยผม  อ้อ ไอ้สัดนี่ชื่อบอยใช่ม่ะ

“มันกัดกูนี่หว่า ดูดิ่” ไอ้สัดบอยทำหน้าปวดร้าวเหมือนแม่ยายเสียยื่นมือง่อยๆ ของมันให้เพื่อนสองตัวตรงหน้าดู อิโถ่เอ้ย แค่รอยฟันเลือดก็ไม่เห็นจะไหลเหมือนผมเลย สำออยว่ะ...

เลือด..!!

ไอ้เหี้ย เลือดกูเต็มมือเลย!

มาจากไหนวะ อูย...เยื่อบุโพรงจมูกผมแตกครับท่านนนนนนน

ผมใช่สองมือกุมตรงจมูกไว้แต่เลือดมันมากเกินไปจนไหลลงไปตรงซอกนิ้วลามไปยังแขนเสื้อ ไหนจะหยดติ้งลงพื้นให้ผมดูเล่นอีกห่า โอยยยย กูจะตายก็คราวนี้แหละ

เลือดหมดตัวแน่ไอ้เทรซเอ๋ย

“เฮอะ อ่อน โดนแค่นั้นถึงกับได้เลือดอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปสิครับ ลืมตามาดูกูเผา ขยะ ก่อน”

“....” ผมเงยหน้ามองไอ้สัดบอลควักไฟแช็กในกระเป๋ากางเกงชูชีทอันเดิมไปมาก่อนจะกดไฟแช็กเผามันต่อหน้าต่อตาผม

ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งผมไม่อาจปกป้องอะไรได้เลย...

ผมไม่เคยปกป้องอะไรได้เลย..

อยู่ดีๆ คำพูดของอาจารย์รพีก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม

‘เทรซลองยิ้มให้พวกที่แกล้งเทรซดูสิ’

ยิ้มยังไง?

‘เชื่อฉันสิหน้าตาอย่างเทรซคิดว่าน่าจะได้ผลนะ’

หน้าแบบไหนล่ะ?

เกิดเรื่องแบบนี้...จะให้ผมทำหน้าแบบไหนดีล่ะ?

“เตี้ย” ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้จุมพลที่ยืนปั้นหน้านิ่งๆ มาทางผม มันสาวเท้าเข้ามายืนใกล้ๆ ย่อตัวลงมาเทียบเท่าผม “ขอดูหน้าหน่อย”

“อย่ามายุ่งกับกู” ผมปัดมือมันที่พยายามจะแตะตัวผม

“มีผ้าเช็ดหน้าไหม” พูดไม่รู้เรื่องอีก ถ้ามีกูจะมานั่งเลือดอาบตรงนี้หรอ ถามใจมึงดู!

“บอกว่าอย่ามาโดนไง ฟังไม่รู้เรื่องรึไงวะ” ผมเหวใส่มันขณะที่เลือดตรงจมูกแม่งก็ไหลเอาไหลอย่างกับท่อน้ำประปาแตก

“โวยวายจริง กับอีแค่เลือดกำเดาเนี่ย” เออทำไม เลือดกำเดาแล้วมันทำไม มันก็เลือดเหมือนกันป่าววะ ถ้ารำคาญมากก็ไม่ต้องมายุ่ง สัด!

“น่ารำคาญ..”

“....!!” ไอ้.. ไอ้จุมพล.. ไอ้เหี้ยนี่...ไอ้เหี้ยนี่มันอุ้มผม

ท่าเจ้าสาว แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“ไอ้บอล ไอ้กิต ไอ้เบน” ไอ้จุมพลเรียกพวกมันที่ยืนเป็นสัมภเวสีไร้สังกัดเสียงเย็นเหยียบ(จริงๆ กูลืมไปแล้วว่าพวกมันยังอยู่)

“หนังสือที่พวกมึงเผาเป็นของรพี..”

“....?”

“รพีเป็นพี่ชายกู ทำแบบนี้เท่ากับลงมือกับกูทางอ้อมเลยนะ...ทำไงดี”

“....พี่ชายมึง?”

“หึหึหึหึหึ แปะโป้งไว้ก่อนเดี๋ยวกูมาชำระ”

ผมได้ยินร้องไห้ของพวกนั้นมาแต่ไกลเลยครับ ณ จุดๆ นี้...

“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู”

“เรียกดีๆ นะเตี้ย”

“ก็ปล่อยกูลงก่อนสิวะ”

“โอเค”

“อ้ากกกกกกก” ไอ้สันขวาน ไอ้ห่านจิก ไอ้เห็บหมา ไอ้เหี้ยจุมพลมันจะปล่อยผมตรงบันไดชั้นบนสุด โอย ไอ้เหี้ย

ปล่อยกูตรงนี้ ทำไมไม่โยนกูลงจากดาดฟ้าไปเลยล่ะ ครุย!

“เฮอะ ว่าง่ายๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ไอ้โหด!

“จะไปไหน?” ผมถามเพราะเห็นมันเงียบ

“ห้องพยาบาล”

“ไม่ไปได้ไหม”

“แต่เลือดมันยังไม่หยุดไหล แล้วก็เลิกเอาหน้าแบบนั้นมาซุกตรงอกกูได้ละ”

“งั้นก็ปล่อยกูสิ”

“....” มันเงียบ “ช่างเหอะ ยังไงก็ต้องซัก”

“....”

“....”

“ไอ้จุมพล..”

“อะไร”

“หนังสือ...... หนังสือของอาจารย์รพีถูกเผาไปแล้ว”

“อืม เห็นแล้ว”

“...อุตส่าห์...ได้มา..”

“คราวหน้าไอ้ต้นคงให้”

“..กู..แค่..” ดีใจที่มีคนมาห่วงใย..

‘ถ้ามีประโยชน์กับเธอฉันก็ดีใจ’

ทั้งที่คิดว่าจะดูแลให้ดีแท้ๆ...

.

.

.

“ช่วยไม่ได้นา.. อย่าร้องไห้เลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

ณ หอพัก

 

ผมถูกไอ้จุมพลแบกท่าอุบาดๆ นั่นมาจนถึงหอพักแล้วจัดการเปลื้องผ้าผมออกต่อด้วยของมันและเอาเสื้อเปื้อนเลือดไปยัดลงเครื่องซักผ้า มันไล่ให้ผมไปอาบน้ำอาบท่าให้สะอาดซ้ำยังย้ำแกมขู่ว่าอย่าเสร่อเทสบู่ลงพื้นอีก ไม่งั้นมันจะทำยิ่งกว่าผมโดนวันนี้

ตกลงที่มึงมาช้า เพราะลื่นสบู่กูช่ะ?

หลังจากอาบเสร็จมันก็เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไป ผมเดินเอื่อยมานั่งตรงขอบโซฟาในสภาพที่แต่งตัวเรียบร้อยจากในห้องน้ำ ผมเหม่อมองโกษบนชั้นวางพลางนึกย้อนไปยังอดีต

จำได้ว่างานศพคุณย่าผมไม่ร้องเลยสักแอ่ะทั้งงานศพคุณปู่หรือแม้กระทั่งของคุณแม่เอง..ตอนนั้นผมคิดว่าผมอาจเป็นคนตายด้านไปแล้วเพราะเวลาเศร้าจริงๆ กลับไม่ร้อง..

เศร้า...เศร้าอะไร?

คุณย่าตายคุณปู่ตายคุณแม่ตายก็ไม่เศร้า

ที่ร้อง...เพราะว่าทุกคนทิ้งผมไว้คนเดียว...ต่างหาก

 

 

“ดาว มิน มาไงอะ” ผมเดินมานั่งตรงเก้าอี้สวนหย่อมใต้หอพักผมเอง อยู่ๆ ยามก็โทรเข้าห้องผมบอกมีเพื่อนมารอพบ ผมเลยต้องแบกร่างเคล้าน้ำเลือดลงมาหาพวกมัน ผมไม่รู้ว่ามินกับดาวจะรู้อะไรเข้าถึงได้ถ่อมาหาผมกลางวันแสกๆ กลัวฉิบ..

“ก็ไม่ไง ไปหาที่ห้องเรียนเขาบอกออกไปนานแล้วเลยมาดูที่หอ” มินพูดบอกเสียงเรียบไม่แสดงอาการผิดปกติอันใดออกมา

“เทรซเป็นอะไรรึเปล่า เพื่อนๆ บอกว่าเทรซไม่สบาย” ดาวถามเสียงอ่อนเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม

“เปล่าหรอก แค่เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ไม่เป็นไรตอนนี้หยุดแล้ว”

“ดาว เทรซคงหิวแล้วไปซื้อนมสดคาราเมลปั่นของโปรดของมันมาให้หน่อยนะ” หือ ไอ้มินมึงจะทำอะไรครับ กูไม่ได้หิวสักหน่อย มโนไรของมึ้ง

“ได้ๆ มินจะเอาด้วยไหม”

“ของเทรซก็พอ” พูดจบดาวก็เดินตัวปลิวไปซื้อน้ำตรงอีกฝั่งของหอทิ้งไว้ให้เหลือผมกับมินเจ้าเดิมเพิ่มเติม...คือน่ากลัวสาสสสสสสสสสสสสส

“ไอ้เทรซ” โห ขึ้นไอ้มาแบบนี้ กูโดนสวดยับแน่นวล

“ครับ...” คุณย่าบอกว่าผู้หญิงแพ้เสียงอ้อน

“อย่ามาอ่อยกูค่ะ” แต่กับไอ้มินคงใช้ไม่ได้ผล T_T

“อะไรเล่า..” หมดมู้ดเลยกู

“วันนี้กูไปห้องมึงมา” นั่นไง มันมาแล้ว มินจิตสัมผัส

“เออ ทำไม แปลกใช่ปะละ”

“อือ แปลก กูไปถามหามึงกับเพื่อนคณะมึงมา มึงรู้ไหมกูเจออะไร” โอย ลุ้น! มึงจะบิ้วกูไปไหนเนี่ย กูไม่รู้เว่ย กูออกไปอ้อร้อหนีตามผู้ชายเข้าห้องน้ำจะไปรู้ได้ไงว่าพวกที่ยังนั่งเรียนจะคิดยังไงกับผม

“อ่า..เจออะไร”

“มันถามกูเว่ย ว่ากูรู้จักกับเทรซคนตัวเล็กๆ นั่นด้วยเหรอ”

“มึงอย่าไปตอบว่ารู้จักเชียวล่ะ” ผมพูดดักไว้กันเรื่องจะบานปลายมาถึงไอ้มินกับดาว แต่..ครับ กูเตือนมันช้าไป...

“เสียใจ กูบอกไปว่ามึงเป็นเพื่อนรักกู” โหยย ไอ้เหี้ยย กูไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเครียดดีเลยเนี่ย ฮ่วย!

“มึงแม่ง..” ไม่รู้จะด่าอะไรมันแล้ว นอกจาก...ตื้นตันใจ

“เออน่า ดาวไม่รู้เรื่องนี้หรอกมีแต่กูที่รู้” ห่า กูควรดีใจใช่มั้ย “แล้วนี่อย่าบอกนะว่าที่กลับมาก่อนเพราะ..”

“ตามนั้น” ผมยักไหล่ไม่แคร์

“ไอ้พวกสันดาน แม่จะไปตบกะโหลกเรียงตัวเลย”

“มินๆๆๆๆ กูโอเคแล้วเว่ย มึงก็” ผมรีบดึงคนตัวเล็ก...กับผมไม่กี่เซ็นให้นั่งลงตามเดิมตบไหล่มันแปะๆ ส่งยิ้มหล่อแบบเทรซสไตล์ไปให้ สักพักมินก็เย็นลง

“แล้วหลังจากนี้มึงจะเอาไง”

“คงต้องทำอะไรสักอย่างแหละ ตอนแรกว่าจะปล่อยไปเพราะคิดว่ากูเองก็ผิดแต่มันเริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน”

“อืม ผลเป็นยังไงอย่าลืมบอกทางนี้ด้วยละกันมึง” มันตบบ่าผม ปุๆ นั่งถอนหายใจทิ้งกันอยู่เงียบๆ จนกระทั้งดาวโผล่มาพร้อมนมสดคาราเมลปั่นในมือกับข้างกายพ่วงมาด้วยว่าที่เดือนแพทย์...ไอ้จุมพล

“ไอ้จุมพล” ผมเรียกชื่อมันก่อนที่เจ้าของชื่อจะทิ้งตัวลงมานั่งข้างผม

“จุมพล?”

“รูมเมทกู”

“เตี้ย ไปนอนไปเดี๋ยวเลือดก็ไหลอีกหรอกกูขี้เกียจตามเช็ด” แหม๊ พูดอย่างกับมันเช็ดเอง แม่บ้านมั้ยมึง หยั่มมาครับ รีบไล่กูไปนอนเพราะจะนั่งจีบเพื่อนกูละสิท่า

โนเวย์ครับ สองคนนี้กูห่วง

“ไม่เป็นไรมึง ไม่ก้มหน้าเป็นพอ” พูดไม่พอเงยหน้าโชว์ด้วยครับเดี๋ยวแม่งไม่เชื่อ ไอ้จุมพลทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมก่อนจะดึงหัวทุยๆ ของผมไปพิงบ่ามันแต่เรื่องอะไรผมต้องไปแสดงความอ่อนด๋อยต่อหน้าเพื่อนซี้ผมด้วยครับแค่ร้องไห้ต่อหน้ามันผมก็ไม่รู้จะมุดหัวไว้ที่ไหนละเนี่ย

“พิงไว้ จะเมื่อยเอา” มันพูดดักเมื่อผมพยายามจะดึงหัวขึ้นซ้ำยังเอารอบแขนมาโอบคอกูอีกต่างหาก โอยยย อายผีอายสางบ้างมั้ยมึงเนี่ย อย่างน้อยก็ช่วยอายเพื่อนกูก็ได้นะบางที

“ไอ้เทรซ!!” นั่นไงคนแรก ขึ้นไอ้มาแบบนี้ไม่พ้นจะเข็นเขี้ยวกูอีกแหงแซะ

“ออกไปห่างๆ จากรูมเมทมึงเดี๋ยวนี้ มันเป็นคนไม่ดีเข้ามาวันแรกก็มีเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่วิศวะปีสูงไม่ซ้ำหน้าเลย กูของสั่ง!” ไอ้มินชี้ปลายนิ้วยาวมาทางคนข้างตัวผมที่ยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังหน้าด้านยกตัวกูนั่งบนตักมันโชว์อีก

เห็นกูเบาไม่หือไม่อือแล้วจะกระเตงไปไหนทำอะไรก็ได้ง้านหรอ ผมพยายามแกะแขนงูเหลือมที่รัดคอกอดเอวผมอยู่ให้ออกไปแต่ไม่วายถูกมันเปลี่ยนเรื่องอีกละ

“คนนั้นใคร” มันกระซิบถามผมขณะที่ตามองไปยังมินที่ยังคงมองตอบมันด้วยแววตาดุดันประหนึ่งแม่แมวลูกอ่อนถ้าไม่ติดว่าไอ้มินมันเป็นคนป่านนี้คงมีเสียงเอฟเฟ็คประกอบแบ็คกราวนด์มัน

ฝ่อออออออออ

“ชื่อ มิน เรียนบริหาร เพื่อนสมัยเด็กกู อ้ะๆ ไม่ให้จีบนะครัช กูห่วง” ต้องดักมันไว้ก่อนเห็นไอ้มินแมนๆ ห่ามๆ อย่างนี้มันสวยนะครับคราวก่อนมันยังมาปรึกษาผมอยู่เลยว่าโดนรุ่นพี่ของให้ไปเป็นดาวคณะซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในช่วงไว้อาลัยคุณย่าผมแถมยังหมดอาลัยตายอยากอีกมันเลยปฏิเสธรุ่นพี่ไปแบบไม่ใยดี

“เฮอะ กูไม่เอาผู้หญิงที่เห็นมึงสำคัญกว่ากูมาเป็นแฟนหรอก” มันตอบเสียงเรียบพลางเบนสายตาไปทางดาวที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองมินปั้นหน้าโหดใส่ผม “แล้วนั่นใคร”

“ชื่อดาว เรียนคณะเดียวกับมิน คนนี้กูก็ห่วงเหมือนกัน!” เอาตรงๆ คือต่อให้ผู้ชายหน้าไหนกูก็ห่วงหมดแหละ เอ้า อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้ามินเปรียบเสมือนพี่สาวผมดาวก็น้องสาวของผมนั่นแหละ แถมคนนี้นะตั้งแต่ประถมยันมัธยมดูแลเอาใจใส่ผมทุกอย่างเลยครับทั้งอาหารการกินยันวิถีชีวิตผมลามปามมาจนถึงทรงผม หึหึ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะครับ ดาวเป็นคนน่ารัก สุภาพ อ่อนโยน ไม่ว่าผมจะทำอะไรดาวจะสนับสนุนผมเสมอ

ตลอดเวลาที่อยู่กับพวกมันผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดอะไรเลย อย่างวันแม่อย่างนี้ผมกับพวกมันจะวาดคนสี่คนลงเอสี่ส่งคุณครูเสมอ หนึ่งในนั้นคือ คุณย่า คุณแม่ และดาวกับมิน

“คนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ คลั่งไคล้มึงยิ่งกว่าอะไร กูไม่ยุ่งหรอก” อ้าว กูต้องภูมิใจใช่มั้ยที่ดาวปลื้มผม? เออเนอะ เพราะดาวปลื้มผมไอ้จุมพลมันถึงไม่สน?

“มิน กลับกันเถอะ บ่ายนี้มีเรียนเดี๋ยวไปไม่ทัน” ดาวเขย่าแขนมินยิกๆ ฉุดให้มันลุกขึ้นจนได้แต่ไม่วายหันมาชี้นิ้วสั่งผมเสียงแข็งว่า

“อย่ายุ่งกับมัน” พร้อมกับเบนนิ้วไปทางไอ้รูมเมทหน้าหล่อใจทราม “อย่าทำอะไรเพื่อนกู ไม่งั้นล่ะก็..” มันชี้นิ้วไปที่คอตัวเองแล้วขีดฆ่า อื้อหือออ ไอ้มินมันเอาถึงตายครับพี่น้อง!

จากนั้นพวกมันสองตัวก็สะบัดตูดหายไปกับฝูงชนทิ้งให้ผมกับไอ้รูมเมทหน้าหล่อนั่งง่อยแดกแบบไม่รู้ว่าควรจะดีดตัวเองไปทำอะไรดี...

เฮ้อ ชีวิตกู แย่ยิ่งกว่าเพื่อนไม่คบก็คือ มีไอ้ห่านี่มาคอยพันแข้งพันขานี่แหละ ฮ่วย!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา